บทความให้กำลังใจ(สุขเพราะให้)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    lpteaching.jpg
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    คติธรรมก่อนนอน เห็นคุณค่าก่อนสูญเสีย : พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล (มีคำบรรยายไทย)

    อ่านให้ฟัง by She
    Apr 1, 2022
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ความสุขที่ถูกมองข้าม

    เขียนโดย sothorn เมื่อ 17 ตุลาคม, 2008 - 07:14

    คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อ ว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
    ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่….มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง” เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

    คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคน ทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

    แต่ ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

    ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มา ใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

    พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม

    บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของ เดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์ เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

    ถ้า หากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก “เฉย ๆ” เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?

    เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

    ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่ง ที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หา ไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

    นิสัย ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

    การมองแบบนี้ทำให้ “ขาดทุน” สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
    บ่อเกิด แห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่ แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

    แทน ที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
    เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้ และ การไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

    พระไพศาล วิสาโล
    :- https://www.bansuanporpeang.com/node/65
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    cry.jpg
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    crying-cry-baby.gif
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    file1.gif
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    file2.gif
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    happiness.gif
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    อาจารย์ยอด : ธรรมะยามทุกข์ยาก [น่ารู้]

    อาจารย์ยอด
    28,146 views May 1, 2022
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    DhammaGuard.jpg
    เวลารู้สึกท้อแท้ จะมีวิธีสร้างกำลังใจให้ตัวเองอย่างไร มีสาระดีๆมาฝาก ให้ทุกๆท่านอ่านกันอีกแล้วค่ะ
    มีหลายท่านนะค่ะที่กำลังทำงาน ก้าวเดินไปตามรอยความฝันของตัว แต่บางครั้งก็รู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง หมดเรี่ยวแรง และไร้ซึ่งพลังจะเดินสู้ต่อเหลือเกิน แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี วันนี้ดิฉันเลยมีแนวคิดในการสร้างกำลังใจให้ตัวเองมาฝาก พอดีว่าได้อ่านบทความในหลายๆคัมลัมทั้งไทยและเทศ ดิฉันคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่กำลังรู้สึกท้อแท้และรู้สึกใจห่อเหี่ยวได้อ่านกัน และปลุกพลังและสร้างกำลังใจใหักับตัวเองเพื่อจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าค่ะ

    วันนี้ดิฉันเลยขอมาแนะนำวิธีการสร้างกำลังใจสั้นๆ แบบฉบับคุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้าเที่ยวมาให้ทุกๆท่านได้อ่านฆ่าเวลากัน ดังนี้ค่ะ

    1.เวลาที่รู้สึกท้อแท้ ให้มองและหรือนึกถึงคนที่ลำบากมากกว่าเราค่ะ ข้อนี้ถือว่าสามารถสร้างกำลังใจและปลุกพลังให้เราได้เยอะมากนะค่ะ สำหรับตัวดิฉันเองก็ใช้วิธีนี้ค่ะ วิธีการก็คือพยายามนึกคนที่เค้าไม่มีโอกาสเท่าๆเร ยกตัวอย่างเช่น หากเรานั่งทำงานในออฟฟิส แอร์เย็นๆ แต่รู้สึกใจมันหดหู่ ทอแท้มากๆเลย ให้เรานึกถึงคนที่ลำบากมากกว่าเรา เช่น นึกถึงคนทุกข์คนยากที่กำลังตกระกำลำบาก หรือนึกถึงคนหาบเร่ขายของ ต้องเดินท่ามกลางแดดร้อนๆ ฝ่าลมฝนๆ ซึ่งการที่เรานึกถึงภาพหรือมองเห็นคนที่ลำบากนี้เองนะค่ะ จะทำให้เรามีพลังและมีกำลังใจที่จะไม่ท้อแท้และสู้ต่อไปค่ะ

    2.เวลาท้อแท้ ให้นึกถึงเรื่องราวๆดีๆ การที่เรานึกถึงเรื่องเรื่องราวดีๆจะทำให้เรามีกำลังใจ และมีพลังวังชาไม่น้อยเลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น นึกถึงวันเราได้ทำบุญตักบาตรตอนเช้า หรือว่าได้ร่วมบริจาคสิ่งของช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรือทำบุญออนไลน์สงเคราะห์ผู้ยากไร้ ก็ทำให้จิตใจของเรามีความอิ่มเอิม รวมทั้งมีพลังและกำลังใจขึ้นมาเยอะเลยค่ะ หากใครที่เคยทำบุญ ทำทาน คงจะมีความรู้สึกถึงความสุขเลยไม่น้อยใช่ใหม๊ค่ะ ดังนั้นหากเวลาท้อแท้ ให้นึกเรื่องราวดีๆของตัวเองที่ได้ทำไว้ค่ะ

    3.เวลาท้อแท้ พยายามสร้างรอยยิ้มและอารมณ์ขันให้กับตัวเองค่ะ เพราะการยิ้มเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจให้กับตัวเองได้มากทีเดียวค่ะ เมื่อใดก็ตามที่เรายิ้ม ก็จะทำให้อารมณ์แจ่มใส เบิกบาน สมองก็จะได้รับความสุขก็จะพีพลังด้านบวกเข้ามา ทำให้เรามีกำลังใจสู้แล้วก้าวเดินต่อไปค่ะ เหมือนที่เค้ากล่าวไว้ว่า ยิ้มนิดๆ จิตแจ่มใส หากใครยังยิ้มไม่ออก ลองนึกถึงเรื่องราวขบขำ

    4.เวลาท้อแท้ ให้เรานึกถึงข้อดีของตัวเอง ว่าเรามีข้อดีอะไรบ้าง ส่วนข้อไม่ดีไม่ต้องเอามาคิดค่ะ เดียวจะหมดกำลังใจไปปล่าวนะค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เป็นคนชอบทำบุญ ทำทาน ชอบทำอาหาร ทำขนมนมเนย ชอบเผื่อแผ่และแบ่งปัน เพราะยามที่เรารู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง หมดเรี่ยวแรง และไร้พลัง และต้องการกำลังใจอย่างยิ่งนั้น การไดหวนกลับไปนึกถึงข้อดีของตัวเอง ก็ช่วยเรียกขวัญและกำลังใจได้ไม่น้อยเลยค่

    5.เวลาท้อแท้ ให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ หากเมื่อใดว่าเรามีภารกิจ และความรับผิดชอบมากมายในแต่ละวันที่ทำมันเยอะเสียเหลือเกิน ขอให้ท่านลองทำเรื่องเล็กๆง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้เวลานานมากนักก่อนค่ะ ตัวอย่างเช่น การรถน้ำต้นไม้ ทำอาหารง่าย ทอดไข่ดาว ทำไข่เจียว ทำความสะอาดห้องน้ำ หรืออื่นๆ บลาๆ ที่เป็นงานเล็กๆที่ถนัดค่ะ ดูเป็นเป้าหมายทั่วไปที่ทำได้ง่ายๆนะค่ะ แต่เมื่อได้ทำเสร็จมีจะมีกำลังใจ และมีพลังในการที่จะทำเป้าหมายที่ใหญ่ต่อไปค่ะ

    6.เวลาท้อท้อให้มองโลกในแง่ดี เข้าไว้ค่ะ เพราะการมองโลกในแง่ดี จะทำให้ใจของเรามีพลังด้านบก มีแรงฮึสู้ และมีความเชื่อว่าเราทำได้ และจะได้มีพลังและกำลังใจทำสิ่งทีมุ่งหวังให้สำเร็จค่ะ

    7.เวลาท้อแท้ พยายามละวางความโกรธค่ะ เพราะการที่เราโกรธเพราะทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ได้รับความยุติธรรมในอดีตก็จะะทำให้เราท้อแท้และรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติพอ ดังนั้นต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าความโกรธ ย่อมเป็นความรู้สึกที่ไม่ก่อประโยชน์ใดๆค่ะ ละวางความโกรธแค้นในอดีตและสนใจเป้าหมายปัจจุบันของเราก็พอค่ะ

    8.เวลาท้อแท้ พยายามคลายความกลัว ก็หมายถึงพยายามละลดความกลัวนั้นเองค่ะ เพราะความกลัวก็เหมือนกับความโกรธนั้นแหละค่ะ ถ้าเรากลัวความล้มเหลวหรือไม่เคยปฎิบัติเป้าหมายที่สำคัญให้สำเร็จลุล่วงไปได้ เราก็จะไม่กล้าทำอะไรเลย การหาวิธีการคลายความกลัวจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะเอาชนะความกลัว

    9.เวลาท้อแท้ หาคนคอยปรึกษาให้คำแนะนำ ถ้าเรารู้สึกท้อแท้เวลาพบเจอปัญหาหรืออุปสรรคในการทำงานหรือชิ้นงานนั้นๆอยู่ ลองขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆที่ร่วมงานที่มีประสบการณ์นั้นดูค่ะ โดยผู้ให้คำปรึกษาควรเป็นคนมองโลกในแง่ดีและอยากทำงานร่วมกับเรานะค่ะ เพราะว่าการ สร้างความสัมพันธ์กับที่ปรึกษาของเราอย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ และขอคำปรึกษาคนที่เราสามารถทำงานร่วมกับเขาได้ดีค่ะ

    10.เวลาท้อแท้ ให้ไปออกกำลังกายเลยค่ะ เพราะการออกกำลังกายเป็นการต่อสู้กับจิตใจที่ซึมเศร้าของเราอยู่ค่ะ และการออกกำลังกายก็ทำให้อารมณ์และสุขภาพจิตดีขึ้นมากด้วย ในการออกกำลังใจเพื่อสร้างกำลังใจนี้นะค่ะ ก็ควรออกไปเดิน หรือไปวิ่งเยอะ ไปทำกิจกรรม เต้นแอโรบิค เดินจ๊อกกิ้ง ก็ช่วยเพิ่มความสุขให้กับจิตใจไม่น้อยเลยค่ะ

    เป็นยังไงบ้างค่ะ สำหรับ 10 ข้อสั้นๆกะจิ๊กลิ๊ดวันนี้ คงสร้างพลังให้คุณทุกๆท่านที่ท้อแท้อยู่ได้ไม่มากก็น้อยนะค่ะ บางข้ออาจซ้ำกันไปมา แต่จริงๆแล้วแนวคิดในการสร้างกำลังใจ ยังมีอีกหลายข้อเลยนะค่ะ แต่ดิฉันเอามาแค่ส่วนนึงค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่ง สิ่งใดสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง ก็คงหนีไม่พ้น จิตใจของเราที่ต้องเข้มแข็ง เพื่อที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง พร้อมมอบความรักให้กับคนรอบข้าง ก็คงจะทำให้เรามีความสุข และสร้างสรรสิ่งดีงามให้สังคมนี้อยู่ได้อย่างร่มเป็นสุขแน่นอนค่ะ

    สำหรับบทความเล็กๆสั้นๆในวันนี้ น่าจะมีประโยชน์ สำหรับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะค่ะ หากข้อมูลดังกล่าวที่ดิฉันได้นำเสนอไปนี้ มีข้อผิดพลาด หรือบกพร่องประการใด ดิฉันเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ ขอบพระคุณทุกๆท่านที่เข้ามาติดตามอ่านกันค่ะ
    จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
    บล็อกเกอร์สมัครเล่น
    :- https://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/Encouragementbyself.html

     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    happiness-success-52.jpg
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    cheerup.jpg
    Funny and Cute Penguin Video Compilation | Try not to smile 2018 ( Winter edition )

    Funny Moments
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e5932.gif
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043

    ชีวิตที่คุ้มค่า

    โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑโฒ)

    คำถาม : ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า

    พระอาจารย์ : ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า คือ ใช้โอกาสที่เราเองได้กายหยาบ คือ กายมนุษย์ มาทำความดีอย่างเต็มที่ เทวดาเป็นช่วงเสวยผลบุญ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เป็นช่วงเสวยผลบาป จะมาสร้างบุญสร้างกุศล มันได้ผลน้อยเบาบาง สัตว์นรกไม่มีโอกาสในการสร้างบุญ เพราะว่า ถูกทุกทรมานเยอะแยะเทวดามีโอกาส แต่ว่าทำแล้วผลมันก็น้อย เพราะเป็นกายละเอียด แต่เป็นมนุษย์มีกายหยาบทำบุญได้บุญเต็มที่ ทำบาป บาปมหาศาล อยู่ที่เราเลือกกว่าจะทำอะไร ดังนั้นใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าคือ ได้ใช้กายมนุษย์นี้ในการสร้างบุญสร้างกุศลทั้งให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อย่างเต็มที่ นั้นแหละคือความคุ้มค่า ของชีวิต เจริญพร
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e5941.gif
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • e5941.gif
      e5941.gif
      ขนาดไฟล์:
      884.6 KB
      เปิดดู:
      81
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    คอลัมน์ สาระขัน : ทำยากให้ง่าย
    By : สามสลึง
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    สมปองเข้าไปหาจิตแพทย์ด้วยสีหน้าหม่นหมอง

    “หมอครับช่วยผมด้วย ผมนอนไม่หลับมาเป็นปีแล้ว ทุกครั้งที่นอนบนเตียง ผมจะรู้สึกว่ามีใครซ่อนอยู่ใต้เตียง พอผมลงไปนอนใต้เตียง ก็มักตงิด ๆ ว่ามีคนอยู่บนเตียง ผมเป็นอะไรรู้ไหมหมอ หมอช่วยผมที”

    “คุณไม่เป็นอะไรมากหรอก คุณคิดมากไปเอง มาหาหมอทุกอาทิตย์ แล้วหมอจะช่วยคุณ แต่ระหว่างที่คุณอยู่บ้าน ขอให้คุณพูดกับตัวเองก่อนนอนสัก ๑๐๐ ครั้งทุกคืนว่าห้องนี้มีฉันคนเดียว ไม่มีใครอยู่ใต้เตียงหรือบนเตียงทั้งสิ้น”

    อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า ที่สมปองทำตามที่หมอว่า ทั้งพูดกับตัวเองคนเดียวและไปคลีนิกฟังหมอบรรยายนานนับชั่วโมง หนึ่งเดือนผ่านไปพร้อมกับเงินอีกหลายพันบาทที่จ่ายเป็นค่ารักษา สมปองก็หายหน้าไปจากคลินิก แล้ววันหนึ่ง หมอก็เจอสมปองโดยบังเอิญที่ห้าง สรรพสินค้า

    “คุณหายไปไหน ไม่เห็นไปหาผมอีกเลย”

    “ผมหายแล้วครับ ”

    “หายได้ยังไง หมอยังรักษาไม่ครบคอร์สเลย”

    “ผมไปเจอหลวงพ่อที่อยุธยา ท่านแนะว่าให้ผมตัดขาเตียงออกซะ ก็เท่านั้นเอง”


    สมปองมีปัญหาทางจิตใจ เขาเป็นคนคิดมาก อาจเป็นเพราะมีปมบางอย่างในใจ จิตแพทย์พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ และพาเขาสำรวจปมดังกล่าว ทั้งให้ทำแบบฝึกหัดมากมาย แต่ไม่เป็นผล ผิดกับหลวงพ่อซึ่งเข้าใจนิสัยของคนอย่างสมปองดี แทนที่ท่านจะใช้เหตุผลอธิบายให้เขาหายวิตกกังวล ท่านแนะวิธีแก้ที่ง่ายกว่านั้น เมื่อตัดขาเตียง ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนอยู่ใต้เตียง เป็นอันว่าหมดปัญหา

    การอธิบายด้วยเหตุผลนั้น ใช้ได้กับบางคน หรือใช้ได้ในบางสถานการณ์ คนที่กำลังทุกข์ร้อนอย่างหนัก เอาเหตุผลหรือแม้แต่ธรรมะมาพูดกับเขา มักจะไม่ได้ผล เพราะสมองไม่รับคำพูดจึงไม่เข้าหัว แต่พอหลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้หรือให้สายสิญจน์ เขากลับสงบและเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น วิธีนี้แม้ไม่ช่วยให้เขามีปัญญามากขึ้น แต่ก็ดึงสติของเขาให้กลับมาและตั้งหลักได้เร็ว คนที่มีการศึกษามักดูถูกหลวงพ่อหลวงปู่ที่ใช้วิธีแบบนี้ หาว่าเป็นไสยศาสตร์ ทำให้หลงงมงาย นั่นเป็นเพราะเขายังไม่เข้าใจจิตวิทยาของชาวบ้าน

    เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ววิธีของหลวงพ่อเป็นการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ตรงกันข้ามกับวิธีการของจิตแพทย์ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน นอกจากใช้เวลานานแล้ว ยังสิ้นเปลืองทั้งเงินและคำพูด คนที่มีความรู้มาก มีการศึกษามาก แม้จะมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง แต่บางครั้งก็ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก

    มีเรื่องเล่าว่าเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถส่งนักบินอวกาศไปโคจรรอบโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เกิดปัญหาขึ้นมาว่าปากกาหมึกซึมและปากกาลูกลื่นใช้ไม่ได้ในอวกาศ เพราะแรงโน้มถ่วงน้อยมาก ทำให้การบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เป็นไปได้ยาก จึงมีการวิจัยและพัฒนาปากกาที่จะใช้ได้ในอวกาศ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนถูกดึงมาทำงานนี้ ปรากฏว่าหมดเงินไปหลายสิบล้านบาทกว่าจะได้ปากกาชนิดพิเศษ อเมริกาภูมิอกภูมิใจมาก ไปคุยอวดเรื่องนี้กับรัสเซียซึ่งเป็นคู่แข่ง แล้วถามรัสเซียว่า “เจอปัญหาแบบนี้แล้วทำยังไง” รัสเซียตอบว่า “ก็ใช้ดินสอแทนไง”

    การทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ต้องอาศัยการคิดนอกกรอบ ไม่ติดยึดกับทฤษฎีหรือความรู้ที่เรียนมา รวมทั้งหัดมองจากแง่มุมที่ดูเหมือนกลับหัวกลับหางด้วย การมองแบบนี้อาจช่วยให้เราเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น อย่างศุภมัยในเรื่องข้างล่าง

    “รู้ไหมอะไรที่ฉลาดกว่าคน” ศุภมัยถามเพื่อนในวงอาหาร

    “ก็ซุปเปอร์แมนไง” เพื่อนตอบ

    “ผิด โลมาต่างหาก” ศุภมัยเฉลย

    “มันฉลาดกว่าคนยังไง” เพื่อนสงสัย

    “แกไม่เห็นเหรอ โลมาไม่ว่าตัวไหน เล็กหรือใหญ่ก็ตาม พอถูกจับได้ไม่กี่วัน ก็สามารถฝึกให้คนมายืนอยู่บนขอบสระและโยนปลาให้มันวันละสามเวลา ”

    :- https://www.visalo.org/article/sarakan254706.htm
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    samathhi.gif
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • samathhi.gif
      samathhi.gif
      ขนาดไฟล์:
      772.2 KB
      เปิดดู:
      130
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [ATTAC=full]5983681[/ATTACH]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • happytime.jpg
      happytime.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.5 KB
      เปิดดู:
      139
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2022
  21. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • goodmood.gif
      goodmood.gif
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      121

แชร์หน้านี้

Loading...