นิทานแฟนตาซีสนองกิเลศ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย Sataniel, 1 มีนาคม 2018.

  1. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ มิติละเอียด ณ เขาโอลิมปัส เขาพระสุเมรุ เขาจักรวาล ที่มีองค์เทพที่มีสายฟ้าเป็นศาสตราวุธ มีนามว่า ซุส เอ้ยธอร์ เอ้ยพระอินทร์ เอิ่มองค์เดียวกันนั่นแหละ ปกครองอยู่ มีเหล่าเทวาใต้ปกครองอยู่มากมาย เกริ่นมาตั้งนานแน่นอนนิทานเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย.


    ณ มิติอะไรก็ไม่รู้มีเทวดาสองพวกพวกหนึ่งเป็นสัมมาทิษฐิ มีทั้งองค์ที่เป็นอริยะ องค์ที่เป็นเทวดา องค์ที่เป็นพรหม กำลังถกปัญหากับเทวดาที่เป็นมารปลอมมา แต่ไม่รู้เกิดเหตุอะไรขึ้น เสียงทิพย์ที่ถกกันดันเป็นเสียงหยาบไปสามารถได้ยินแม้หูมนุษย์ เสียงนี้ได้ยินไปทุกโลกธาตุทุกมิติทิพย์ ประชาชนชาวมนุษย์ ก็ได้ฟังเรื่องที่ถกกันว่าธรรมนี้แท้ วิชาของตนแน่กว่า เทวดามารอยากจะเปลี่ยนโลกให้ฝูงชนหลงผิด โดยการนำสิ่งที่ถูกต้องมาขาย มาชำแหละเพราะรู้ว่าหากนำสิ่งที่ผิดมาแสดงจะมีผู้รู้มาไขความจริงออกไปได้. แต่เนื่องจากเสียงนี่ได้ยินไปทุกโลกธาตุ เหล่าฝูงชนในมิติต่างๆจึงได้ถกประเด็นนี้กันมากมาย.

    โดยฝูงชนนั้นมีหลายความคิดที่แยกแยะออกมา อาทิเช่น. เชื่อ. เชื่อครึ่งไม่เขื่อครึ่ง. ไม่เชื่อเลย. จนกระทั่งมีกลุ่มมนุษย์กลุ่มนึงที่เป็นปราชญ์ เป็นเซียน เป็นนั่นเป็นนี่ มาถกปัญหาเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง. เพราะมันเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากหากธรรมของเทวดามารเป็นจริงพวกตนที่หลงปฏิบัติผิดมานานก็ย่อมพลาดทันทีแต่หากตนปฏิบัติถูกแล้วแต่ดันเชื่อละ ? ถกกันไปกันมาเหล่าผู้มีปัญญากลุมนี้ ได้ไขข้อสรุปถึงวิธีตัดสินถูกผิด จนได้รู้คำตอบคือ มีเหตุก็ต้องมีผล คือ ดูที่ผล พวกเขาจึงสังเกตุการดูผลต่อไป โดยทดลองทั้งสองทาง

    ผ่านไป 50 ปีมนุษย์
    ผู้ทดลองปฏิบัติแนวมารไม่มีใครที่มีเศษธรรม(พระธาตุ) ขณะที่เหล่าชนผู้ปฏิบัติถูกมีเศษธรรม กันเป็นว่าเล่น แต่ปัญหาก็ได้เกิดขึ้นแล้วเพราะเหล่าประชาชนผู้ไม่รอบคอบ ดันปฏิบัติทางมารเพราะมันง่ายกว่า แลดูโอเคกว่า จนคัมภีร์ของจริงนั้นหายไปกว่าครึ่ง. แลผู้ปฏิบัติได้ถูกทางจึงเหลือน้อยเต็มที เหล่าปราชญ์จึงคิดว่าพวกเราควรจะแก้ปัญหาเช่นไรดี จึงพบว่าแก้ไม่ได้แล้วเพราะฝูงชนนั้นชอบอะไรง่ายสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อย แลหากแสดงธรรมไปเหล่าชนผู้หลงผิดจำนวนมากก็ออกมาคัดค้าน. เหล่าผู้มีสัมมาทิษฐิจึงกล่าวว่างั้นลองแสดงฤทธิ์กันเป็นไร เพราะหากธรรมนั้นจริงแท้ย่อมต้องทำได้. แต่ผู้หลงผิดก็บอกว่าเป็นวิชามาร นู่นนี่หาเหตุผลไปเรื่อยเพราะเสียงข้างมาก อนิจจัง นี่แลความจริง

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าหากจะหลงเชื่อสิ่งใดควรดูผู้สอนเขาทำสิ่งใด ทำได้เช่นที่พูดไหม มีกริยาเช่นใด แล้วธรรมนั้นจริงหรือไม่ มีปัญญาจริงหรือไม่ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ไม่สามารถบอกกล่าวได้เพราะผู้ที่เชื่อและปฏิบัติตามก็คือผู้ชมนั่นเอง ชะตาโลกจะเป็นเช่นไรต่อไปพวกท่านนั่นแลเป็นคนเลือก

    จบแล้วนึกครึ้มครับเลยโพสท์
    ปล.นิทานเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือสมาคมใดๆให้ข้อคิดเฉยๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...