นิทานขี้โม้ by SAMA

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย วงกรตน้ำ, 5 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    แล้วตกลงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ
    เมื่อไหร่ท่าน อ ระมิงค์จะมาเล่าต่อ
     
  2. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    811
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,433
  3. anurut459

    anurut459 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณครับ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    เคยอ่านจุไรพรเที่ยวดวงดาว บางดวงไม่มีตํารวจเพราะทุกคนมีศีล๕ บางดวงมีแร่ยูเรเนียมและเจริญมาก(เท่าที่จําได้)ค่ะ
     
  5. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    เขาคือใคร จุไรพร
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  7. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    811
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,433
  8. anurut459

    anurut459 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณครับ
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ส่งวิญญาณ


    กรกฎาคม 05, 2562

    8%25A2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3.jpg

    ส่งวิญญาณ ตาตั๋ง

    ตาตั๋งบ่นปวดหัว ไปโรงพยาบาลตอนสายๆ หมอบอกว่าความดันโลหิตสูง ให้แอดมิท ให้น้ำเกลือ บ่ายไม่รู้สึกตัว เย็นเส้นเลือดแกนสมองแตก เข้าไอซียู คืนที่สองของไอซียูตอนหัวค่ำ หลานๆไปบอกลา ตีสามครึ่ง ก็จากไปอย่างสงบ ด้วยวัย 82 ปี ที่จริงตาตั๋งหมดอายุขัยไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน ต่ออายุมาเรื่อยๆ จนหลังสุด ให้หลานชายบวชเณรให้ ก็ต่ออายุมาได้ 3 ปี เวลาจะต่ออายุขัย ผมก็จะขอบารมีพระ และครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ แล้วไปกราบลุงพุฒ คือท่านพระยายมราช ไปถึงยังไม่ทันจะอ้าปากถาม ท่านจะตอบสวนมาก่อนทุกที หลายๆครั้งที่ไปขอความเมตตาจากท่าน ก็จะได้รับคำแนะนำให้ทำบุญในแบบที่แตกต่างกัน ในแต่ละคน แต่ละวาระ ไม่ค่อยเหมือนกัน ซึ่งเมื่อทำตามคำแนะนำของลุงพุฒแล้ว ก็ปรากฏว่าคนผู้นั้นไม่ตายในวาระนั้นๆ

    เอาเข้าจริงๆ หลายคนก็คงจะสงสัยนะครับว่า ผมอาจจะมโน เพ้อเจ้อไปเอง แล้วจริงๆคนๆนั้นถ้าไม่ทำบุญตามที่ผมบอก เขาก็อาจจะไม่ตายก็ได้ มันมีอะไรมาเป็นเครื่องพิสูจน์ล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมจะไม่คิดนะครับ ผมก็คิด แต่ไม่ได้คิดไปปรามาสลุงพุฒนะครับ ผมคิดว่าฌานก็ดี สมาธิก็ดี ส่วนตัวของผมแล้วมันยังไม่เอาไหน ฝึกมาตั้งแต่เด็กยันแก่ ไม่เคยมีดีอะไรเลย ดังนั้นหากอุปาทานจะแทรก ปุถุชนคนหนาอย่างผมนี่ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลก แต่ว่าถ้าบังเอิญจะถูกบ้าง ตรงบ้าง อันนี้ผมเชื่อของผมเองว่าเป็นด้วยบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ พรหมเทวดา ท่านช่วยสงเคราะห์ ไม่น่าจะเป็นด้วยวิชาความรู้ความสามารถของผมเองเลย

    ทีนี้มาถึงเรื่องพิสูจน์ ก็ต้องลองดูว่าถ้าไม่ทำตามแล้วจะตายไหม? ถ้าไม่ตายแสดงว่าผมนี่อุปาทานแล้วแหละนะ ก็มีตาแก้ว แกป่วยไม่มาก พอคุยรู้เรื่องอยู่ แต่ว่าหมดอายุขัยแล้ว หลานก็มาขอคำแนะนำ เมื่อไปกราบเรียนถามลุงพุฒแล้ว บอกไป คนทางบ้านนั้นไม่มีใครเชื่อ ก็ไม่ทำตาม หลานก็มาถามว่าถ้าไม่ทำตามจะตายเมื่อไหร่ ก็บอกเวลาไปว่าไม่เกินเดือนนี้ตาย ผลปรากฏก็ตายตามนั้น อีกรายนึงมาขอคำแนะนำให้น้องชายต้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ 6 ไม่เคยมีใครรอด หมอก็มั่นใจว่าไม่รอด ไปกราบเรียนถามลุงพุฒท่านก็บอกว่าให้บนบวชพระ 1 เดือน เขาก็บนเอาไว้ การผ่าตัดผ่านไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ หายป่วยออกจากรพ.ได้ ออกมาแล้วก็พบว่างานยุ่งเหลือเกินต้องวิ่งไปโน่นมานี่ ทำให้ไม่มีโอกาสจะไปบวชแก้บน ไม่กี่เดือนต่อมาก็เสียชีวิต รายนี้ตามไปดูว่าไปอยู่ที่ไหน ก็พบว่าไม่ผ่านสำนักพระยายมราช ลงดิ่งไปนรกทันที ยืนร้องโหยหวน ไฟลุกท่วม รู้ขึ้นมาทันทีว่านี่เป็นผลของกรรมที่สาบาน บนบาน แล้วผิดสัจจะ มันทำให้ผมรู้สึกผิดในใจขึ้นมาทันทีว่า ถ้าหากว่าไม่ไปแนะนำ เขาอาจจะเสียชีวิตก็จริง แต่ก็มีทางไปสุคติภูมิได้ (หรือเปล่า) แต่พอรอดมาได้แล้วผิดสัจจะแบบนี้ มันหนักเลยนะ อีกใจนึงก็คิดว่า ไม่ใช่ความผิดของเรา เราทำลงไปด้วยความกรุณา ปรารถนาให้หายป่วย พ้นทุกข์ เราช่วยแล้วก็แล้วกัน ส่วนเรื่องการผิดสัจจะมันเรื่องของเขาเองเราไม่ได้มีส่วนรู้เห็น สมรู้ร่วมคิดด้วยแต่อย่างใด มันขึ้นกับสันดานของแต่ละคนมากกว่า นับแต่นั้นมา คนที่ไม่ใช่ในครอบครัวเดียวกันก็ขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอีกต่อไป

    มาว่าถึงตาตั๋ง เวลาเชิญศพออกจากรพ. ผมก็ไปกราบพระประธานก่อน พร้อมกับบอกเจ้าที่ที่อยู่ตรงนั้นเพื่อขอนำศพออก เวลานั้นก็เห็นพระท่านมา หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ท่านมา พรหมเทวดาก็มา เจ้าที่ก็มาด้วย แล้วเห็นวิญญาณตาตั๋งมายืนอยู่ ก็เลยกราบขอบารมีพระท่าน และหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ท่านได้สงเคราะห์กับวิญญาณตาตั๋ง ซึ่งหมดอายุขัยแล้ว ให้ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี เพราะส่วนตัวผมนี้ค่อนข้างเชื่อได้ว่าผลบุญกุศลและคุณงามความดีไม่ค่อยจะมี หากว่าขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ย่อมจะดีกว่า มองเห็นแสงสว่างแผ่กระจายไปยังร่างของตาตั๋ง แต่ว่าเข้าไปไม่ถึงตัว สงสัยว่าทำไม? ถามตาตั๋งดูแกก็บอกว่าห่วงหลานๆ ใจยังรู้สึกห่วงอยู่ ยังไม่อยากไปไหน อยากจะอยู่ดูแลหลานต่อไป ก็เลยต้องอธิบายไปว่า หลานๆโตๆกันหมดแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง พวกเราเองก็จะอยู่ดูแลอย่างดี ไม่มีปัญหา ไม่ต้องห่วงแล้ว ขอให้วางใจได้ พอแกหมดห่วงกระแสบุญที่แผ่ไปก็เข้าถึงตัวได้ อาทิสมานกายก็เปลี่ยนเป็นเทวดา ชฎาก็มา เสื้อสีน้ำเงิน เครื่องประดับ ทับทรวงต่างๆก็มาพร้อม สว่างไสว เวลานั้นก็เลยกราบขอเชิญท้าวมหาราชทั้ง๔ ฝากให้นำพาตาตั๋ง ที่ตอนนี้เป็นเทวดาไปแล้ว ได้ไปสู่ภพภูมิอันควร ฝากท่านช่วยให้ความดูแลอนุเคราะห์ด้วย ท่านรับปากแล้วก็เดินนำหน้า ตาตั๋งเดินตามหลังแล้วก็หายไป กราบลาทุกท่านเสร็จก็กลับมาจัดการเรื่องการย้ายศพออกจากรพ.ต่อ

    การส่งวิญญาณด้วยวิธีนี้ จะพิสูจน์กันอย่างไรดี? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่บอกทุกๆคนว่า ตาไปดีแล้ว ไม่มาแล้ว และไม่ฝันเห็น ไม่กลับมาเยี่ยมบ้าน ไม่มีอะไรใดๆอย่างที่คนอื่นๆเขาเล่ากัน อันนั้นมันเป็นสัมภเวสีที่ยังเป็นผีเร่ร่อน แต่ถ้าไปสู่สุคติภูมิแบบนี้แล้วจะไม่กลับมาเข้าฝันอะไรใดๆให้เห็นอีก ซึ่งนับตั้งแต่วันที่เสียชีวิต จนกระทั่งผ่านไปหลายวัน จวบจนการลอยอังคาร ก็ไม่มีใครฝันเห็น ได้กลิ่น ได้ยิน อะไรใดๆเลย ว่าแต่วันที่ลอยอังคาร ก็ได้เจอกับตาตั๋งอีกครั้ง มาในชุดเทวดาแต่งองค์ทรงเครื่องครบ มีเทวดาชั้นผู้ใหญ่ท่านมาด้วย ตาตั๋งมาฝากบอกว่า รอวันที่ยายจะละจากโลกนี้วันใด ตาตั๋งจะมารับยายไปด้วย ตามเดิมที่เคยกราบเรียนถามลุงพุฒ ท่านก็บอกว่า หลังตาตั๋ง3ปี ก็จะถึงวาระของยาย การส่งวิญญาณตาตั๋งก็จบลงเรียบร้อย ท่านใดจับทริกได้ก็นำไปใช้ได้นะครับ เพียงแต่เบื้องต้น ท่านทั้งหลายก็น่าจะได้ฝึกสมาธิเอาไว้บ้าง เพื่ออาศัยเป็นเครื่องรู้อะไรต่อมิอะไรได้ นิดๆหน่อยๆนะครับ
    :- http://raming2555.blogspot.com/2019/07/blog-post.html?m=1
     
  10. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    811
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,433
    ขอบคุณพี่สุค่ะที่ช่วยดูแลอัพให้ ^_^ จัดไป
     
  11. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    811
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,433
  12. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    811
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,433
  13. anurut459

    anurut459 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณครับ
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    สะกดวิญญาน
    ตุลาคม 03, 2562
    คนที่เห็นแก่ตัวตายไปเป็นผีก็เป็นผีที่เห็นแก่ตัว เป็นเรื่องธรรมดา สันดานไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ง่ายๆ ปกติของคนทั่วๆไปแล้ว การตายตามอายุขัย ก็ไปเสวยผลกรรมตามที่เคยได้ทำมาไปเกิดเป็นสัตว์บ้าง คนบ้าง สัตว์นรกบ้าง หรือไปเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดาบ้าง แต่สำหรับคนที่ตายโดยยังไม่หมดอายุขัย คนพวกนี้ยังไปเกิดในภพภูมิใดๆไม่ได้ จึงต้องกลายมาเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อน ผีเร่ร่อนส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ทำบุญสร้างกุศลอะไรเอาไว้ พอตายไปจิตใจที่คิดไม่ดีอย่างไร เป็นผีก็ยังคงคิดไม่ดีอย่างนั้น เป็นต้นว่าหวงของ ใครมาแตะต้องของข้าฯ เอ็งต้องเจ็บป่วยตายสารพัดจะคิดจะแค้นเอา บ้างก็คิดจะเอาชีวิตคนใกล้ตัวไปอยู่ด้วย ผีพวกนี้มาอยู่ใกล้ๆก็สร้างความอึดอัดคับข้องใจได้ มาอยู่แล้วก็สร้างบรรยากาศแปลกๆให้กับบริเวณบ้านก็มี จนเป็นเหตุให้บางครั้งจำเป็นที่จะต้องสะกดวิญญานเอาไว้


    วันลอยอังคาร ขณะที่กำลังทำพิธีอยู่นั้น ก็ปรากฎว่ามีวิญญานมายืนอยู่ข้างๆห่อผ้าที่ใส่กระดูกและเถ้าเตรียมสำหรับจะลอยลงทะเลที่ปากอ่าว เวลานั้นก็กำหนดจิต ขออาราธนาบารมีครูบาอาจารย์เป็นที่ตั้ง จากนั้นก็อาศัยกำลังจิต บีบบังคับย่อส่วนวิญญานนั้นลงไปให้เหลือขนาดเท่าฝ่ามือ จากนั้นก็ย้ายมาลงที่ห่อผ้าดิบ ผนึกเอาไว้ด้วยยันต์ที่เขียนด้วยกำลังจิต ที่ผมทำจะเป็นเส้นสายสีแดงฉาน ก็โดยอาศัยกสิณไฟเป็นที่ตั้ง สร้างเป็นตาข่ายยันต์ ห่อหุ้มเถ้ากระดูกพร้อมกับดวงจิต ดวงวิญญานของผู้ตาย จากนั้นจึงทำการอธิษฐานกำกับไปว่า ขอฝากดวงจิตดวงวิญญานของ...... เอาไว้กับเทพยดาทั้งหลาย ณ ที่แห่งนี้ ขอได้โปรดอย่าให้ดวงวิญญานนี้ ไปจากสถานที่แห่งนี้ จนกว่าจะถึงวาระที่หมดอายุขัย เพื่อให้ไปเสวยผลบุญตามที่ได้กระทำเอาไว้ ขออาราธนาท้าวมหาราชทั้งสี่ โปรดสงเคราะห์ให้บริวารที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ได้เฝ้าดู กำกับ บังคับ ดวงวิญญาณนี้ไม่ให้ไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ เป็นการตั้งสัจจะลงไปในคำอธิษฐานอีกทีหนึ่ง



    ทำแบบนี้ก็ดูเหมือนจะโหดร้ายไปสักหน่อย เพราะดวงวิญญานของสัมภเวสีนี้ก็ยังมีหิว กระหาย ยังอยากได้เครื่องเซ่นเครื่องสังเวย เหมือนอย่างคนทั่วๆไป ทำแบบนี้แล้วก็จะออกไปหากินเครื่องเซ่นตามวันตรุษ วันสารท ไม่ได้ ส่วนผลบุญที่อุทิศส่วนกุศลให้นั้นก็ยังสามารถได้รับอยู่



    เรื่องนี้ได้ไปกราบเรียนพอจ.ที่เคารพ ท่านก็ว่าโยมโหดร้ายไปสักหน่อย น่าจะเทศนาโปรดให้เป็นสัมมาฑิฐิสัก 3-5 รอบก่อน ถ้าไม่ยอมแล้วค่อยสะกดวิญญาณ เมื่อเรียนให้ท่านทราบถึงพฤติกรรมและความต้องการของวิญญานตนนี้แล้ว พอจ.ก็บอกว่า การสะกดแบบนี้ป้องกันไม่ให้มารบกวนโยมได้เพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆยังอาจถูกรบกวนได้ (อันนี้ก็สงสัยอยู่ เพราะเท่าที่มองดูนั้น ดวงวิญญานยังถูกสะกดอยู่ใต้ทะเล ไม่สามารถออกไปไหนได้ อย่างนี้แล้วจะไปรบกวนใครได้อีก?)


    พอจ.ท่านว่า ถ้าเหลือเกินจะโปรดแล้ว ก็ให้อธิษฐานขออนุญาตจากเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย แล้วก็ขออัญเชิญกรรมทั้งหลายที่ดวงวิญญานนี้ได้กระทำไว้ ให้มารวมตัวกัน ณ เวลานี้ เพื่อให้ดวงวิญญานนี้มาเสวยผลของกรรม แล้วขออัญเชิญผู้ที่มีหน้าที่มานำเอาดวงวิญญานนี้ไปรับผลกรรมของเขาเถิด ด้วยวิธีการนี้ก็จะทำให้วิญญานนี้ไปเสวยกรรม แล้วก็จะไม่สามารถกลับมาตามรังควานคนรอบข้างได้ ตรงนี้ก็ได้กราบเรียน พอจ.ไปว่า ผมได้เล็งดูผลของกรรมแล้วว่า หากใช้วิธีนี้แล้ว วิญญานดวงนี้จะต้องไปเสวยกรรม ณ อเวจีมหานรก ดังนั้นจึงไม่ได้กระทำการอธิษฐานลงไปแบบนั้น ด้วยรู้สึกเมตตาสงสาร ยังไม่อยากให้ต้องไปเสวยกรรม ที่หนักหนาสาหัสถึงเพียงนั้น พอจ.ท่านนั่งพิจารณาสักพักหนึ่ง ก็กล่าวขึ้นว่า กรรมของใครทำสิ่งใดไว้ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องรับกรรมนั้นอยู่ดี จะช้าหรือเร็วก็ตาม แม้เราอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ อันนี้ผมก็เห็นด้วยกับพอจ.ทุกประการ



    ว่าด้วยเรื่องการสะกดวิญญานนี้ จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยากอะไร เพียงแต่ผู้ฝึกต้องมีกำลังใจในการฝึกมาพอสมควร พอที่จะกระทำการต่างๆนี้ในโลกวิญญานได้ สำหรับท่านที่ไม่ได้ฝึกฝนมา ก็อาจจะดูว่ายากเกินไป ไม่น่าจะทำได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไร? อันนี้ก็มีคนถามมาเหมือนกัน ก็ได้ตอบไปว่า “ให้ฝึกสิครับ” จะยากแค่ไหนกันเชียว คนเรามีสองมือ สองเท้า หนึ่งสมอง มีเหมือนๆกัน ฝึกไปจะกี่เดือนกี่ปี ก็ฝึกมันไป สักวันหนึ่งข้างหน้าก็ย่อมทำได้เองนั่นแหละ
    :- http://raming2555.blogspot.com/2019/10/blog-post.html?m=1
    ***************************************************************************************************************************************




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2019
  15. anurut459

    anurut459 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณครับ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    มันก็ไม่แน่
    พฤศจิกายน 20, 2562

    สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าทางโลก ทางธรรม ไม่ว่ารูป หรือว่าอรูป ทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง หาความแน่นอนไม่ได้ ความจริงทั้งหลายทั้งมวลบนโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเรื่องสมมติ สิ้นสมมติเมื่อไหร่ ก็หมดปัญหาเมื่อนั้น


    นิทานขี้โม้ ก็หาความเที่ยงแท้อะไรไม่ได้เช่นกัน เป็นเรื่องของอุปทาน เป็นเรื่องของสมมติ หาความจริงไม่ได้ สำหรับนักปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐานแล้ว นับเป็นเรื่องเลวร้าย ที่ไม่น่าให้อภัย แต่ถ้านับเอาประสาปุถุชน คนที่ยังมีกิเลสหนา ตัณหามาก ก็จัดว่าเป็นนิทานเอาความเพลิดเพลินสนุกสนาน แบบเดียวกับนิทานอีสป ที่ตัวละครเป็นสัตว์แล้วพูดภาษาคนได้ด้วย ก็เป็นเรื่องสมมติขึ้นทั้งนั้น



    นิทานขี้โม้ที่จะเล่าต่อไปนี้ มีความล่าช้าออกไป เพราะว่ายังทำใจรับกับความห่วยแตกของตัวเองไม่ได้ เป็นความรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย ช่วยอะไรก็ไม่ได้ อีกทั้งความรู้ความเห็นต่างๆก็เป็นเพียงอุปทาน หาความจริงแท้อะไรไม่ได้ นับว่าเป็นความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในชีวิต



    หลังงานศพน้องชายแฟน ก็ไปกราบขอเรียนถามลุงพุฒิถึงอายุขัยของแม่ยาย เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ไม่เห็นลุงพุฒิจะพูดหรือจะแนะนำอะไร มองไปที่สมุดบันทึก เล่มสีทอง ที่เปิดกางอยู่ หน้านึงนี่ขนาดสัก 4x8 ม. พอกางออกมาก็จะมีขนาดประมาณ 8x8 ม. เห็นจะได้ มองลงไปก็ไม่เห็นมีตัวหนังสืออะไรเลย เป็นแต่หน้าว่างๆเปล่าๆ หันไปจะถามลุง ท่านก็ไม่พูดไม่ตอบ ในใจเวลานั้นก็รู้สึกได้ว่า แม่ยายหมดอายุขัยแล้ว จะอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปี เป็นการหมดอายุขัยที่ไม่สามารถต่ออายุได้อีกแล้ว ผมลงไปกราบขอความอนุเคราะห์จากลุงพุฒิ 3 วาระด้วยกัน ก็ปรากฏว่าทุกอย่างเหมือนเดิม คือช่วยอะไรไม่ได้



    ผมรู้ตัวเองดีว่าเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน มันหาความเที่ยงแท้แน่นอนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว จึงได้เดินทางไปกราบเรียนขอคำแนะนำ จากพอจ. ที่จ.เชียงราย พอจ.ท่านเทศนาอยู่จนเย็น กว่าจะตอบคำถามว่า แม่ยายไม่เป็นไร ยังไม่หมดอายุขัย ทำให้ผมสบายใจว่า สิ่งที่ผมรู้เห็นมานั้นมันเป็นเพียงอุปปาทานเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด กลับมาก็ยังมาเล่าให้ภรรยาและแม่ยายฟัง ทุกคนก็สบายใจ จนกระทั่งแม่ยายไปรพ.เพื่อตรวจสุขภาพตามหมอนัด ระหว่างเช็คความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และปริมาณออกซิเจน พบว่าออกซิเจนต่ำ ความดันต่ำ หมอจึงให้แอดมิท เพื่อให้ออกซิเจน พบการติดเชื้อในปอด ให้ยาฆ่าเชื้อสัก4-5วันก็น่าจะกลับบ้านได้ แล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หมอบอก อาการทรุดหนักลง ต้องสอดท่อให้อาหาร ให้ยากระตุ้นความดันเพิ่มขึ้น ติดเชื้อในกระแสโลหิต อาการเริ่มไม่ดี มองเห็นน้องชายแฟนที่พึ่งเสียชีวิตไป มาร่ำร้องคร่ำครวญจะให้แม่ไปอยู่ด้วย มีตัดพ้อต่อว่าต่างๆนานา ผมก็เริ่มสับสน ไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งต่างๆที่รู้ที่เห็นมันคืออะไรกัน ก็ในเมื่อเราสะกดวิญญาณเอาไว้ในท้องทะเลแล้ว ตอนลอยอังคาร แล้วที่เราเห็นมาหาแม่นี้คืออะไร ตอนนั้นก็ทราบว่าเป็นกระแสจิต เป็นกระแสจิตอาฆาต เศร้าหมอง ไม่พอใจ ตัดพ้อต่อว่า กระแสจิตที่ส่งมาจากวิญญาณที่ตายไปแล้ว แม้ว่าจะถูกสะกดไว้ที่ใต้ทะเล แต่ไม่อาจสะกดกระแสจิตเอาไว้ได้ เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? แม่เริ่มไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป นึกอยากจะตายเพื่อไปหาลูกชาย หรือว่าเราอุปทานไปเอง พอจ.บอกว่าแม่ยายไม่เป็นไรนินา เราต้องเชื่อท่าน ท่านเป็นพระ มีศีลมากกว่า ปฏิบัติธรรมอย่างหนักมาแล้วนับแสนชั่วโมง แม่ยายคงไม่เป็นไร เราอุปปาทานไปเอง ท่องเอาไว้แบบนี้



    นั่งสมาธิไป จู่ๆก็เห็นพ่อตา แต่งตัวเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยถามว่าพ่อจะมารับแม่ไปเมื่อไหร่หรือ พ่อก็บอกว่าเดือนธันวาคม พ่อจะมารับแม่ไป ในใจก็คิดว่าเป็นไม่ได้หรอกเราคงอุปปาทานไปเอง เพราะว่าพอจ.ท่านก็บอกว่าแม่ไม่เป็นไร ตอนนั้นเลยตัดสินใจทำบุญบ้าน เพราะบ้านแม่ยายอยู่มาร่วมสิบปีไม่เคยทำบุญเลี้ยงพระ นิมนต์พระแล้ว ตกลงกับร้านอาหารแล้ว เคลียร์บ้านแล้ว ก็ไปอาบน้ำ กำลังอาบน้ำอยู่ก็เห็นตาลุงปะขาว ก็เลยบอกว่าจะทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านนะ ลุงมาโมทนาด้วย แกว่าข้ารู้แล้ว .... เอ็งไหว้ข้าด้วย...ก็เลยถามว่าจะให้ไหว้อะไรบ้าง แกว่าต้มปลา ทองหยิบทองหยอดฝอยทอง บุหรี่ ก็ถามว่าเหล้าด้วยไหม แกว่าไม่ต้อง ตอนเช้ามาก่อนพระจะมาถึงก็จัดไหว้ตามนั้น เปิดชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อ พรหมเทวดามากันครบ เหมือนสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็อราธนาตามที่หลวงพ่อสอนมาทุกอย่าง เห็นตาลุงปะขาวมายืน แต่ว่าใส่เครื่องแบบมาเต็มยศ เป็นเทวดาหล่อเพี้ยวมาก ไหว้เสร็จเก็บของ พระก็มาพอดี สวดเสร็จ ส่งพระ เลือดกำเดาแตก คงเพราะเหนื่อยจัด วิ่งวุ่นอยู่คนเดียว แก่แล้วด้วยมั๊ง เลือดกำเดาแตก ก็เอาผ้าอุดไว้ล้มตัวลงนอนสักพักอาการก็ดีขึ้น อยากรู้ว่าแม่ยายจะดีขึ้นไหม ก็ไม่เห็นอะไร ยังคงรู้ว่าอยู่ไม่เกินสิ้นปีนี้เหมือนเดิม อย่างมากไม่เกินสงกรานต์ ใช่แล้วครับ ผมอุปปาทานไปเอง สมาธิอะไรที่ว่ามานั้นมันเป็นเรื่องเหลวไหลขี้โม้ไปเองครับ ผมไม่ได้เรื่องและไม่เอาไหนใดๆเลย อันนี้รู้สึกตัวเองว่าแย่จริงๆ อ่อนซ้อม กระจอก สารพัดก็แล้วแต่จะเรียก



    3 พฤศจิกายน 2562 ไปเยี่ยมแม่ยาย วันนั้นเจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจหาเชื้อ หมอบอกว่าสงสัยว่าติดเชื้อแต่ติดเชื้อจากตรงไหนไม่รู้ ความดันตก ไม่รู้สาเหตุ อาจจะติดเชื้อที่สมอง จึงเจาะน้ำจากไขสันหลังไปตรวจ หลังเจาะแล้วเจ็บ จะต้องนอนหงายไป6ชม. ไปเยี่ยมเลยไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ความรู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยดีแล้ว ตอนเย็นพี่เลี้ยงกลับมารายงานว่า ไข้ขึ้นสูง หายใจไม่ออก ต้องเปลี่ยนมานอนตะแคง ยกหัวสูง คืนนั้นก็นั่งสมาธิไปตามปกติ ไม่ได้คิดอะไร เป็นเพียงการฝึกจิตตามปกติ ก็เห็นแม่ยายเดินมาหา มาบอกว่า “........ แม่ไปก่อนนะ” มองเลยไปข้างหลังแม่ยาย ก็เห็นพ่อตา ยืนอยู่ข้างขวามือพ่อตาก็เป็นลูกชาย เช้ามาเล่าให้ภรรยาฟัง เธอก็ไปเยี่ยมแม่ เย็นกลับมาบอกว่าแม่ยังลืมตาได้ กรอกตาได้ ยังมองตามได้อยู่ จะบอกว่าวิญญาณแม่ออกจากร่างมาหา ว่าแม่ตายแล้วได้ยังไง อืมมม... มันก็จริงของเขา เราคงจะอุปปาทานไปเอง ถ้าตายแล้วจะลืมตา กรอกตาได้ไง



    วันต่อมาหมอโทรมาบอกว่า หัวใจหยุดเต้น ปั๊มกลับมาแล้ว จะให้เอาไงต่อ ไปคุยกับหมอก็บอกว่าติดเชื้อร้ายแรงเป็นเชื้อดื้อยา ให้ยาฆ่าเชื้อตัวที่แรงที่สุดแล้ว ให้ยากระตุ้นและออกซิเจนระดับสูงสุดแล้ว จะเอาไงต่อ ก็เลยคุยกับหมอตรงๆเลยว่า ไม่รอดแล้วใช่ไหม หมอก็บอกว่า หมอพูดไม่ได้แต่ก็อย่างที่ญาติเข้าใจ ในเมื่อเชื้อดื้อยาแล้วจะให้ยาฆ่าเชื้อไปเพื่อฆ่าคนป่วยเหรอ? เพราะในเมื่อมันฆ่าเชื้อไม่ได้? เชื้อนี้อยู่ที่รพ.มาตลอด ไม่มีทางกำจัดแล้วเดือนๆนึงนี่ต้องติดเชื้อตายกันกี่ศพ ? มากมายในคำถามที่ขัดแย้งกันเองของตรรกะ หมอต้องการคำตอบจากญาติคนไข้ และเซ็นเอกสาร ก็เลยต้องบอกไปว่า Full medicine , No CPR ในที่สุด ตี 3.20 น. คือเช้าวันที่ 7 พฤศจิกายน พยาบาลก็โทรมาแจ้งว่า คุณแม่เสียชีวิตแล้ว



    จัดงานศพเป็นครั้งที่3 ในระยะเวลาไม่ถึง 5 เดือน วัดเดิม ศาลาเดิม เมรุเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม วนๆไป 3 รอบ ลอยอังคารก็ที่เดิม สวดคืนแรก เห็นแม่ยายมายืนอยู่ตรงหน้า แสดงท่าทางดีใจ อุทานมาว่า แหมมมม...แม่มีความสุขเหลือเกิน แม่มีความสุขเหลือเกิน แม่ได้เจอพ่อเจอลูกชายแล้ว .... จะเล่าให้ใครฟังได้เหรอ ในเมื่อมันเป็นเพียงอุปปาทานของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง ฝึกมาหลายสิบปี ช่วยอะไรไม่ได้เลย รู้สึกว่าตัวเราเองนี้ช่างน่าสมเพชจริงๆ ได้เจอครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ มากบารมีแห่งยุคสมัย แต่เรากลับหาสาระอะไรไม่ได้เลย วันลอยอังคาร เห็นวิญญาณลูกชาย ยืนหัวเราะชอบใจ บอกว่า”เป็นไงล่ะ 5555+ “ เป็นวลีเดียวที่แทนทุกๆสิ่ง ทุกๆเหตุการณ์ออกมาได้ทั้งหมด เห็นแม่ยืนอยู่กับพ่อ ได้แต่ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เห็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤษี หลวงพ่อทวด ท่านมาปรากฏ จึงอธิษฐานขอผลบุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยทำมาตั้งแต่ครั้งที่เริ่มต้นบำเพ็ญบารมีจะมีแต่เพียงใดขออุทิศส่วนกุศลทั้งหมดนี้ให้แก่พ่อตาแม่ยายที่อยู่เบื้องหน้านี้ ขอให้ได้รับประโยชน์และความสุขเฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับโดยครบถ้วนทั้งสิ้นทุกประการ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด และผลบุญใดที่พ่อตาแม่ยายได้เคยทำไว้ มีสังฆทานเป็นต้นขอให้ผลบุญทั้งหลายเหล่านั้นจงมาดลบันดาลให้ท่านทั้งสองได้ไปสุคติภูมิ ขออาราธนาท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้ช่วยสงเคราะห์ให้กับพ่อตาแม่ยาย ได้ไปสู่สวรรค์ตามผลบุญที่ท่านทั้งสองได้ทำมาด้วย จบคำอธิษฐาน พ่อตาก็เปลี่ยนเครื่องทรงเป็นสีน้ำเงินปนเขียว แม่ยายเป็นชุดขาวปักดิ้นทองพร้อมเครื่องประดับแวววาว ท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านก็สงเคราะห์ไปส่งให้ถึงวิมาน เป็นวิมานทองคำ มีแท่นสำหรับนั่งอยู่ตรงกลาง เห็นทั้งสองนั่งลงไป กุมมือกันไว้ ยิ้มน้อยๆอย่างพอใจแล้ว เพียงเท่านี้ก็ลากลับมา มาจัดการกับมัน.... ขออัญเชิญท้าวพญายมราช ยมทูต ผู้มีหน้าที่ควบคุมกฎของกรรม และ ขอเชิญเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ของนาย.......จงปรากฏ ขอให้ผลกรรมทั้งหลายที่นาย.......ทำมา จงมาสนองต่อดวงจิตดวงวิญญาณของนาย...... และขอให้ยมทูต ผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกฎของกรรม จงมานำดวงจิตดวงวิญญาณ ของนาย...... ไปรับโทษรับกรรม ตามที่ได้เคยทำมา ณ บัดเดี๋ยวนี้เถิด ภาพที่เห็นคือ ถูกหิ้วปีกลากไป จองจำ ตรึงไว้กับเสา มีเปลวไฟลุกท่วมตัว เสียงแหกปากร้องจนสุดเสียง .... จงไปรับกรรมของเจ้าเสีย ต่อไปนี้จะไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกแล้ว



    จบงานแล้ว ช่วยอะไรไม่ใครไม่ได้เลย สิ่งที่รู้ที่เห็นทั้งหลายนั้น ตอนนี้รู้แล้วว่า เป็นเพียงอุปปาทานของเราเองเท่านั้น หาประโยชน์ หาสาระไม่ได้เลย เป็นวันที่อ่อนล้าในหัวใจ และเป็นวันที่จะมุ่งสู่การฝึกฝนจิตใจให้ยิ่งๆขึ้นไป ฝึกอยู่เงียบๆ เพื่อกำจัดอุปปาทานในใจตัวเอง มีสติตามดูจิต มีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม ทรงกำลังใจเอาไว้ให้มั่นคง ไม่ส่งจิตออกนอก กายผ่อนคลาย จิตเบาสบาย เฝ้ามองสิ่งชั่วในดวงใจ หากุศโลบายในการละอุปปาทานในใจตนเอง หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งภายภาคหน้า เครื่องเศร้าหมองทั้งหลายจะคลายตัวลง คงสักวันหนึ่ง



    นิทานขี้โม้ตอนนี้เป็นตอนที่เครียดไปหน่อย แต่ก็ยังหวังว่าจะมีสาระอะไรบางอย่างให้กับท่านที่ผ่านมาอ่าน ส่วนผู้เขียน คงต้องลาไปฝึกฝนจิตใจตนเองอย่างเงียบๆต่อไป
    :- http://raming2555.blogspot.com/2019/11/blog-post.html?m=1









     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    บันทึกท่านอ.ระมิงค์ค่ะ
    แขวนวัตถุมงคลแล้วอึดอัด แน่นอก
    พี่ท่านนึงสงสัยว่าเกิดขึ้นจากอะไรแล้วจะต้องแก้ไขยังไง ทำไมตอนโน้นแขวนแล้วไม่เป็นไร ตอนนี้แขวนแล้วทำไมแน่นอก อึดอัด เรื่องแบบนี้ผมเคยเจอมาก่อน ไม่ใช่แค่อึดอัด บางทีก็มีความฮึกเหิม บ้าอำนาจ ใจร้อน หงุดหงิดง่าย บางคนเข้าใกล้ในรัศมี 1 วา รู้สึกได้เลยว่ามีพลังแผ่จากตัวเราไปกระแทกตัวเขาจนรู้สึกหวาดกลัวบ้าง ขนลุกบ้าง แบบนี้ก็มี

    ผมเคยสัมผัสกับประสบการณ์แบบนี้จากที่เคยแขวนจตุคาม วัดพุทไธสวรรค์ ยุคแรกๆ กับยันต์ครู หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ความรู้สึกเมื่อแขวนขึ้นคอปุ๊บ คือเหมือนมีพลังพุ่งเข้ามาที่อกแล้วแรงทะลุออกหลัง จะคล้ายๆโดนฟันศอกเข้าที่อกแรงๆ แต่ก็มีพลังเพิ่มเติมเข้ามาที่ร่างกายด้วยเหมือนกัน ให้มีความฮึกเหิม บ้าพลังขึ้นมาทันที อาการแบบนี้เวลานั้นมีความรู้สึกว่าไม่น่าจะดีต่อเซลล์ต่างๆในร่างกายเป็นแน่แท้ แต่การจะสลายพลังก็ทำไม่เป็น จะประสานพลังก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง จะถามใครรึ ก็ไม่รู้ว่าจะไปถามใคร เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้าไปอีก ก็ต้องลองเข้าสมาธิดูว่าเป็นยังไง แล้วพอจะอาศัยกำลังสมาธิช่วยอะไรได้บ้าง

    ตอนนั้นพอเข้าสมาธิปุ๊บก็เห็นเป็นแสงสีขาวสว่างจ้า ออกจากวัตถุมงคล พอมีร่างกายเนื้อแนบอยู่ใกล้ชิด แสงสีขาวจ้านี้ก็พุ่งทะลุออกไปข้างหลัง เหมือนเราถือหลอดไฟแนบไว้กับอก แล้วแสงจากหลอดไฟพุ่งมาปะทะจุดที่ใกล้ที่สุดคือทรวงอก ความแรงที่มีมากนี้ก็ดันทะลุออกไปทางข้างหลัง มองดูพลังแบบนี้มีความกล้าแข็งมาก น่าจะแบบนี้รึป่าวที่เรียกว่า มหาอำนาจ เพราะถ้ามหาเมตตาควรจะสงบเย็น แช่มชื่นใจ อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าในวงการเขาเรียกกันว่าอะไร เอาเป็นว่าเวลานั้นพอรู้สึกแบบนี้แล้วก็มองดูที่ร่างกายเรา กับพลังที่แผ่ออกมาจากวัตถุมงคล มันก็แยกกันอยู่ จึงลองทำดูว่าถ้าเราน้อม(ก็คือดึงนี่แหละนะ) เอาพลังนี้กระจายไปทั่วทุกๆปรมาณู ไม่ใช่ทุกๆเซลล์ในร่างกาย แต่เป็นส่วนที่เล็กลงไปในระดับอะตอม พลังนี้ก็แผ่ซึมเข้าไปในทุกๆอะตอม จนร่างกายนี้กับพลังที่แผ่ออกจากวัตถุมงคลนั้นเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันไปหมด เสมือนหนึ่งว่าร่างกายนี้คือวัตถุมงคลด้วยเช่นเดียวกัน อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี เปรียบไปแล้วก็คล้ายๆกับการที่เราเอาเกลือมาละลายในน้ำ เกลือก็เหมือนวัตถุมงคลที่มีพลัง อานุภาพสูง ส่วนร่างกายนี้เหมือนน้ำ เมื่อนำมาหลอมรวมกันจนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันแล้ว น้ำก็ยังดูว่าเป็นน้ำ แต่ว่าไม่ใช่น้ำแบบเดิม มันคือน้ำเกลือ จะว่าคือเกลือ ก็ไม่ถูกเสียเลยทีเดียวเพราะว่าไม่ปรากฏอยู่ในรูปเกลืออีกแล้ว แต่จะว่าไม่ใช่เกลือหรือ มันก็ยังเค็มเท่าเดิม หลังจากที่ทำแบบนี้แล้วอาการอึดอัด แน่นอก หงุดหงิด ใจร้อน วู่วาม ก็บรรเทาเบาบางเจือจางลงไปจนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติในการแขวนวัตถุมงคลนั้นๆอีก

    เล่าขั้นตอนไปเหมือนว่าจะยากและใช้เวลานานนะครับ แต่จริงๆแล้วใช้เวลาแค่ชั่วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดเท่านั้นก็สามารถทำเรื่องที่เล่ามาข้างต้นทั้งหมดได้แล้วครับ ผมว่าไม่ใช่เป็นของยากอะไร แต่อีกวิธีหนึ่งนั้นผมว่าค่อนข้างยาก แต่ว่าชาวบ้านบอกว่าง่ายมาก เพราะใช้สมาธิเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ด้วยการน้อมจิตไปที่วัตถุมงคลที่แขวนอยู่นั้น แล้วทำจิตให้นอบน้อมอ่อนโยน เพื่อขอรับเอาพลังจากวัตถุมงคลนั้นๆเข้ามาในตัวเองทั้งร่างกายนี้ โดยไม่ต้องแผ่พลังกระจายไปทั่วทุกปรมาณูในร่างกายแต่อย่างใด การนอบน้อมอ่อนโยนนี้ เปรียบไปแล้วจะเหมือนเด็กตัวเล็กๆกำลังขอของที่อยากได้จากพ่อแม่ กริยาวาจาจิตใจนั้นขอนอบน้อมด้วยความเคารพรักอย่างสุดใจ ไม่มีลังเล สงสัย เคอะเขิน ใดๆทั้งสิ้น เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจล้วนๆ วิธีนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในการดึงเอาพลังจากวัตถุมงคลมาเข้าตัวเท่านั้นนะครับ แต่ยังสามารถนำมาใช้เวลาที่พระอริยะ ท่านให้พร ก็จะสามารถนอบน้อมรับเอาพลังนี้เข้ามาสู่ตัวเองได้ ใครทำได้บ่อยๆ ร่างกายของท่านจะคล้ายๆวัตถุมงคลเคลื่อนที่ได้เลยทีเดียว มีพลังที่บรรจุเอาไว้ทั่วทั้งร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บไม่ค่อยกล้ำกลาย ผีสางนางไม้ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ คุณไสยไม่กล้าเฉียดมาหา น่าเสียดายที่ผมพยายามมาสิบกว่าปีแล้ว ก็ยังทำไม่สำเร็จสักที ทำได้ก็ใกล้เคียง แต่ก็ทำให้สุดหัวจิตหัวใจไม่ได้ ตรงนี้เป็นสันดานเสียของผมเอง แต่เล็กจนโตต้องพึ่งพาลำแข้งตัวเองมาเสมอ อะไรที่เอ่ยปากอ้อนวอนขอร้อง นอกจากจะไม่ได้แล้ว ยังได้รับการดูถูกเหยียดหยาม จนกลายเป็นความพยายาม มุมานะที่จะทำอะไรต่างๆด้วยตนเอง จนมาได้ยินวลีจากหลวงพ่อกวย ที่ว่า “ชาติเสือ ไม่ขอเนื้อใครกิน” รู้สึกประทับใจมากว่า นี่แหละ ตรงกับที่ใจเรารู้สึกเสมอมา ทั้งที่จริงแล้วยังเป็นชาติหมาแท้ๆ อืมมม....ชาติแมวก็แล้วกันครับ ใกล้เคียงเสือสักหน่อยนึง อันนี้เป็นความไม่เจียมบอดี้ของผมเองนั่นแหละครับ เพราะคิดแบบนี้นี่แหละ มิจฉาฑิฐิมันเกิด มานะก็มา อวิชชานี่คลุมหัวเอาไว้เลยครับ มันสลัดยังไงก็สลัดไม่หลุด มันก็เลยไปต่อไม่ได้ ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆแท้ๆ กลายเป็นเรื่องยากสำหรับผมไปได้

    ทั้งที่ใจผมนั้นรักเคารพใน พระรัตนตรัย ไม่มีสงสัย มีความนอบน้อมยอมรับ แต่...มันมีตรงคำว่าแต่ นี่แหละครับ ตายตรงนี้เอง ถ้ายังมีแต่...ในใจเมื่อไหร่ มันยังไม่หมดสงสัย มันยังศรัทธาไม่เต็ม ไปต่อไม่ได้ก็ติดตรงคำว่าแต่นี่เอง... แต่อะไร... แต่ว่าการจะอ้อนวอนขอพระรัตนตรัยให้ดลบันดาลในสิ่งต่างๆเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน การเงินนั้น ผมไม่มีความเชื่อหรือเรียกว่าไม่มีความมั่นใจว่าขอแล้วจะได้ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านๆมา เคยขอแล้ว บนบานศาลกล่าว ทั้งพระ ทั้งเทพ ไม่เคยมีผลใดๆ ทำให้ผมไม่เชื่อเรื่องการอ้อนวอนขอ ผมเชื่อว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เมื่อตนฝึกฝนตนอย่างดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งอันหาได้ยาก เป็นพุทธพจน์ที่ทรงตรัสเอาไว้ แล้วผมก็เชื่อ เพราะผมพิสูจน์แล้วว่า เมื่อผมบนตัวเอง ผมฝึกฝนตนเองจนชำนิชำนาญ จนแตกฉานดีแล้ว กิจการนั้นๆย่อมสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการสวดอ้อนวอนขอ หรือบนบานศาลกล่าวแต่อย่างใด จะว่าผมผิด มีมิจฉาฑิฐิ ก็ว่าได้ จะว่าผมถูก ก็มีส่วนถูก มันอาจจะขึ้นกับ เหตุการณ์ บุคคล กาลเทศะ สถานที่ ฯลฯ ที่จะทำในสิ่งที่เหมาะที่ควร ซึ่งผมยังคงต้องงมหากันต่อไป ที่เล่ามานี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า ผมยังเป็นปุถุชน ยังไม่ได้มีคุณธรรมอันวิเศษใดๆ ยังมีความหลงผิด หลงทาง หลงธรรม ยังไม่ได้มีอะไรดี จะมีก็แต่นิทานขี้โม้นี่แหละ ที่เอามาเล่าสู่กันฟัง พอได้แก้เซ็ง ก็ขออย่าได้จริงจังนะครับ เอาเป็นแค่นิทานฆ่าเวลาก็พอ
    :- http://raming2555.blogspot.com/2019/10/blog-post_10.html?m=1
     
  18. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    811
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,433
    ผีบ้าสิงใจ


    ทำไมเรื่องดีๆคิดกันไม่ได้นะ เรื่องบ้าๆเรื่องโง่ ไร้สาระ คิดแล้วทำมันลงไปได้ยังไง เดือดร้อนกันไปทั่วราชอาณาจักร ทำไมเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนเตือนแล้วบอกแล้วก็ไม่ฟัง จนต้องวิบัติฉิบหายให้ได้ใช่ไหม? ใครดีด้วยก็ไปเอารัดเอาเปรียบเขา คนที่เลวๆขี้โกง ถ่อย สถุน กลับไปยอมพวกมัน แล้วก็มาบอกให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ พวกเอ็งงอมืองอตีนไม่ทำหน้าที่ แล้วจะไปให้กฎแห่งกรรมที่ไหนมาทำหน้าที่วะ กฎแห่งกรรม ก็คือกฎที่เกิดจากการกระทำของคนโดยมีเจตนาแล้วลงมือกระทำไปจนเห็นผลนั่นแหละ ไม่ได้มีตัวอะไรมาแสดงอาการวิบวับช่วยดลบันดาลอะไรหรอก เลิกพึ่งเวรพึ่งกรรมแล้วหันมาพึ่งตัวเองได้ไหม เมื่อไหร่จะหายโง่ เมื่อไหร่จะคิดได้ หรือต้องตายไปอีกกี่แสนชาติ....

    เมืองไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ยังไง? ก็มันเดินเป็นวงกลมไง พอครบรอบมันก็ต้องเวียนไปอย่างนี้แหละ ที่เปรียบไปแล้วเหมือนกงล้อเกวียนที่หมุนเวียนไปมาแบบนี้เอง มันก็เป็นวัฎจักร นี่ก็สองร้อยกว่าปีแล้ว มันก็วนเวียนกันมาบรรจบครบรอบอีก มีโหรทำนายว่า พ้นวันที่ 17 มีนาคม 2563 ประเทศไทยจะดีขึ้น พ้นจากภัยโรคระบาดโควิด แล้วทำนายต่ออีกว่า กรกฎาคม 2565 ประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้า เป็นประเทศที่เนื้อหอม ใครๆก็อยากจะมาค้าขายด้วยลงทุนด้วย จะเป็นประเทศที่มีอำนาจ โดดเด่นขึ้นมา

    อันนี้ก็ย้อนไปหลายปีก่อน ที่ผมเคยทำนายไว้ว่า ปี 2565 จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับประเทศไทย อาจถึงขั้นเสียเอกราช ก็รอดูกันไปว่าจะเกิดก่อน 2565 หรือว่าจะกลายเป็นดี มีความศิวิไลซ์ ในปี 2565 เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงอยากให้เมืองไทยเป็นเมืองที่มีความสุขความเจริญ มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง แต่ก็มองไม่เห็นว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร กับกระบวนการยุติธรรม ที่มันบิดเบี้ยว กับการทุจริต ทรยศ กดขี่ ข่มขู่ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้อำนาจทำผิดให้กลายเป็นถูกอย่างหน้าด้านๆไร้ยางอาย ทั้งเฮโรอีนกลายเป็นผงแป้ง ทั้งกักตุน ส่งออกหน้ากาก โดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของคนในชาติ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ที่สู้อุตส่าห์เสียสละชีวิตเพื่อผู้ป่วย ผีบ้าอะไรมาสิงใจคนไทย

    ผู้พิพากษาที่เรียกร้องความยุติธรรม ต้องฆ่าตัวตาย ด้วยต้องคดีอาญา ทั้งที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมโดยไม่มีใครสนใจจะฟังสิ่งที่ผู้พิพากษาท่านนี้พูด ชีวิตที่ท่านปลิดชีพตัวเองด้วยหวังว่าจะมีใครได้ยินความอยุติธรรมที่ท่านได้รับ กลายเป็นก้อนหินก้อนเล็กๆกระทบผิวน้ำ กระเพื่อมเป็นระลอกเล็กๆแล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ข่าวร้าย ถูกข่าวที่ร้ายยิ่งกว่าทับถมมันลงไป จากเดือนละข่าว เป็นเดือนละหลายข่าว กลายเป็นวันละหลายข่าว ข่าวความชั่วร้าย นับวันยิ่งพบว่ามีข่าวที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า เกิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าไม่หยุดหย่อน

    อยุธยาตอนปลายก่อนเสียกรุงครั้งที่สอง กษัตริย์ผู้ปกครองนครในเวลานั้น หมกมุ่นกับสุรานารี โดยเฉพาะนารี นี่ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น วันๆก็ไม่มีเรื่องราชกิจเพื่อราษฎร เอาเรื่องสนุกสนานบันเทิง มั่วผู้หญิง ข้าราชการได้โอกาสก็ขูดรีดประชาชน ขึ้นภาษี ขึ้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ยักยอก โกงกินกันสนุกสนาน ใช้กฎหมายในการทำความชั่ว ทำชั่วเท่าไหร่ไม่เป็นไร เพราะผู้รักษากฎหมายในเวลานั้นเป็นพวกเดียวกัน ร่วมกันทำชั่วไปด้วยกัน กฎหมายเวลานั้นไม่ได้เป็นเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรม แต่เป็นเครื่องมือในการปกป้องขุนนาง และผู้มีอำนาจ เป็นเครื่องมือในการทำร้ายราษฎร และเอารัดเอาเปรียบ ราษฎร ทุกข์ยากแสนเข็ญ กษัตริย์ ขุนนางกังฉิน มีความสุขสบาย ร่ำรวย เหยียบย่ำรังแกราษฎร พระสงฆ์องคเจ้าที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ต้องหมายคดีต้องอาญา ต้องหลบหนีเข้าป่าไป พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เวลานั้นก็ไม่เห็นจะมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็หลบหนีกันไปหมด เวลานั้นผีบ้า ก็เพ่นพ่านไปมาเต็มบ้านเต็มเมือง อลัชชีก็เป็นใหญ่ ผู้คนงมงายฝักใฝ่ในผีสาง ไสยเวทย์ ในที่สุดแผ่นดินก็ถึงกาลล่มสลาย แม้พม่าไม่บุกเข้ามาทำลาย แผ่นดินก็ฉิบหายย่อยยับลงไปเสียก่อนแล้ว

    จากปี 2549 ที่ได้เห็นไอ้ตัวดำๆ ปีนขึ้นมาจากขุมนรก มาสิงสู่จิตใจผู้คนให้เสียสติ เห็นผิดเป็นชอบ ทำตัวเป็นบ้าคลุ้มคลั่ง ไร้เมตตา หาคุณธรรมไม่มี ปลายปี 2562 ในวาระที่ได้เข้ากรรมฐานที่วัดท่าซุง นับเป็นครั้งแรก ตั้งแต่หลวงพ่ออนันต์ได้เริ่มจัดงานธุดงควัตร นับเป็นปีที่ 27 และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ไปร่วมเข้ากรรมฐานด้วย เมื่อมองผ่านจิตของปุถุชนอย่างข้าพเจ้า ก็ไม่เห็นแสงสว่างในแผ่นดินไทยอีกแล้ว ผีบ้าสิงสู่ใจ ทั้งพระทั้งชี ชาวบ้าน ต่างถูกสิงสู่ไปจนแทบสิ้นแผ่นดินเสียแล้ว บันทึกนี้ พิมพ์เอาไว้ในวันที่ 14 มีนาคม 2563 วันที่มองไม่เห็นแสงสว่าง ในวันที่กราบหาครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เคยคุ้มครองปกป้อง ประชาราษฎร์ ปกป้องแผ่นดิน พระศาสนา ท่านทั้งหลายอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินนี้ไปมาก ทรงอุเบกขาญาณ มองดูอยู่เฉยๆ ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจได้ กาลเวลานี้มันคงต้องเป็นแบบนี้นี่แหละ เป็นไปตามธรรม เป็นไปตามโลก มันย่อมเป็นของมันอย่างนั้นเอง ท่านผู้เข้าถึงธรรมแล้วย่อมไม่ฝืนในธรรม กลับมาย้อนมองดูรอบๆตัว รอบๆบ้าน เห็นแต่ผีบ้า เดินกันเพ่นพ่าน เหิมเกริม ไม่หวาดกลัวพระ ไม่กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆอะไรอีกแล้ว ให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ย้อนระลึกไปว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลายก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะเรียกสภาวะแบบนี้ว่าอย่างไรดี จึงขอตั้งชื่อเอาเองว่า “ผีบ้าสิงใจ”

    ยิ่งชั่วช้า ยิ่งสกปรก ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งหน้าด้าน ไร้ยางอาย ผีบ้ายิ่งชอบอกชอบใจ จนกว่าจะถึงกาลวิบัติฉิบหาย ใครอยากรู้ว่าแก้ไขอย่างไร ก็ตอบไว้ตรงนี้เลยว่า แก้ไขไม่ได้แล้ว มันต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ต้องแตกดับฉิบหายไปจนหมดสิ้น นารีขี่ม้าขาวไม่มี คนที่จะมากอบกู้ชาติไทย ไม่มี ซากปรักหักพังในเวลาที่อยุธยาสูญสิ้นเป็นเช่นไร ก็จะหวนกลับมาให้เห็นเช่นนั้น การทรยศหักหลัง ล้างผลาญจะบังเกิด ในเวลานั้น คนที่หนีจะเป็นคนที่รอด คนที่หนีก่อนจะหนีทัน คนที่หนีไม่ทันก็ย่อมไม่รอด กษัตริย์ในอยุธยาตอนปลายหนีไม่ทัน ต้องไปอดตายในป่า แตกต่างจากยุคสมัยนี้ที่การเดินทางสะดวกสบาย รวดเร็ว ใครมีเงิน มีอำนาจ ย่อมหนีได้เร็ว หนีได้ทัน ชาวบ้านทั่วไปหนีไม่ทัน หลวงพ่อฤษีท่านสร้างวัด สร้างห้องพักไว้จำนวนมาก เตรียมการรอรับทั้งโรคระบาด สงครามนิวเคลียร์ ทุกข์เข็ญที่จะเกิดขึ้นกับพุทธบริษัทฯ โรงทานอาหารพื้นบ้านที่กินง่ายอยู่ง่าย เพื่อปกป้องลูกศิษย์ของท่านให้พ้นจากทุกข์ภัย ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อก็ล้มหายตายจากไปมากแล้ว พวกที่ผีบ้าสิงใจก็มีมากมายที่แทรกตัวเข้าไปอาศัยวัดเป็นที่กำบัง ทำมาหากิน จนกระทั่งเมื่อเกิดเรื่องราวร้ายแรงขึ้นมา ผีบ้าพวกนี้ก็จะเข้าไปทำลายแหล่งพักพิงที่หลวงพ่อท่านได้สร้างเอาไว้ ผีบ้าสิงใจ มันแทรกซึมไปทั่วหมดแล้ว นอกจากแตกดับล่มสลายแล้ว ไม่เห็นมีทางอื่นจะเยียวยาแก้ไขได้เลย

    พระเจ้าตากสินที่เคยกอบกู้แผ่นดินจะไม่มีอย่างพระองค์ท่านเกิดขึ้นอีกแล้วในรอบนี้ คนที่จะมีอุดมการณ์เสียสละชีวิตตนเองและบริวารลูกเมียให้กับการถูกทรยศหักหลัง จะไม่เกิดขึ้นอีก ผู้คนต่างจะหนีเอาตัวรอด เหยียบย่ำทับถมคนอื่นๆขึ้นไปเพื่อให้ตัวเองรอด แน่นอนว่า พวกที่ผีบ้าสิงใจ จะเหยียบย่ำชีวิตผู้คนทั้งหลายที่ต้องตกตายลงไป เพื่อให้ตัวเองรอดได้อย่างไม่ละอายแก่ใจ ไม่กลัวบาป ไม่กลัวนรก เพราะผีบ้ากับนรกเป็นของคู่กัน ไฉนจะต้องกลัว

    เท่าที่จะสามารถลำดับภูมิความรู้ทั้งหลายเท่าที่เคยเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อที่จะผ่านพ้นวิกฤติผีบ้าสิงใจ ให้เอาตัวรอดได้นั้น มองไม่เห็นอะไรที่จะสามารถรอดพ้นจากผีบ้าสิงใจได้เลย ทบทวนอยู่หลายๆวาระ ก็มองเห็นแค่คำสั้นๆเพียงคำเดียวที่จะช่วยให้รอดพ้นจากผีบ้าสิงใจได้ก็คือ “สติ” มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียว ฝึกให้มาก ฝึกให้ชำนิชำนาญ ฝึกจนเป็นวสี คือเป็นอัตโนมัติ จึงจะมีโอกาสรอด... ขอให้สติ สัมปชัญญะ จงสถิตย์อยู่ในจิตในกายของท่านทั้งหลาย สวัสดี

    http://raming2555.blogspot.com/2020/03/blog-post.html?m=1
     
  19. กึกก้อง

    กึกก้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2009
    โพสต์:
    609
    ค่าพลัง:
    +3,478
    แบบนี้อ่านง่ายดี ขอบคุณหลาย
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ศาสตราวุธในโลกวิญญาณ
    มิถุนายน 16, 2562
    received_878777622277174.jpg
    (อาวุธในพระคาถาอาวุธ 5 ประการ ทางสายหลวงพ่อเดิม มีดังนี้)
    1.สักกัสสะ วะชิราวุธัง คือ วชิราวุธ ของ พระอินทร์
    2.ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง คือ นัยน์ตา ของ พระยายม
    3.เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง คือ กระบอง ของ ท้าวเวสสุวรรณ
    4.นารายะสะ จักกราวุธัง คือ จักร ของ พระนารายณ์
    5.อาฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง คือ บ่วงบาศ ของ ท้าวอาฬวกยักษ์

    (อาวุธในพระคาถาอาวุธ 5 ประการ ทางสายหลวงพ่อปาน มีดังนี้)
    1.สักกัสสะ วะชิราวุธัง คือ วชิราวุธ ของ พระอินทร์
    2.ยะมะนะสะ นะยะนาวุธัง คือ นัยน์ตา ของ พระยายม
    3.เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง คือ กระบอง ของ ท้าวเวสสุวรรณ
    4.อาฬะวะกัสสะ ภูสาวุธัง คื ผ้าแดง ของ ท้าวอาฬวกยักษ์
    5.พุทธัสสะ ธัมมะจักกราวุธัง คือ พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ ของ พระพุทธเจ้า

    นะโมสามจบ

    "สักกัสสะวชิราวุทธัง เวสสุวันนะสะคะธาวุทธัง อาฬาวะกะสะธุสาวุทธัง
    ยะมะสะนัยนาวุทธัง นารายยะสะจักกะราวุทธัง ปัญจอาวุทธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ
    ปัญจะอาวุธธานังภัคคะภัคขา วิจุณนัง วิจุณาโลมังมาเมนะ พุทธะสันติ คัจฉะอะมุมหิ
    โอกาเสติฐาหิ

    ซึ่งพระคาถานี้รวมอาวุธห้าประการที่ถือว่ามีอิทธิฤทธิ์คือ

    1. วชิราวุธ..อาวุธประจำกายพระอินทร์ที่ปราบมารร้ายและอสูร
    2. ไม้เท้า...(กระบอง)ที่ยันกายขององค์ท้าวเวสสุวรรณ อันเป็นเจ้าแห่งภูตผีทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นผีอะไรต้องเกรงกลัวท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งนั้น
    3. ผ้าแดง...ของอาฬาวะกะยักษ์ ที่พ่ายแพ้แก่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ้าแดงนี้เป็นอาวุธที่ร้ายแรงตามที่โบราณกล่าวว่าถ้าผ้าผืนนี้ตกลงบนพื้นพิภพแห่งใดจะไหม้เป็นจุณและปลูกอะไรไม่ขึ้นจนตลอดกาล
    4. นัยเนตร...ของท่านพญายมราช ที่เพ่งแล้วภูตผีทั้งหลายจะมอดไหม้ไปเป็นจุลมหาจุล…
    5. กงจักร...ของพระนารายณ์ ตามลัทธิพราหมณ์ถือว่ากงจักรสุทรรศน์ของพระนารายณ์นี้ปราบได้ทั้งสวรรค์ อสูร และใต้บาดาล มีอิทธิฤทธิ์มากมายเหลือคณานับ…
    -----------------------
    คาถาเทพอาวุธ

    สัพเพเทวาปิสาเจวะ อะฬะวะกาทะโยปิจะ ขันคังตาละปัตตัง
    ทิสะวา สัพเพยักขาปะลายันติ สักกัสสะวะชิราวุธัง ยะมะราชา
    นะยะนาวุธัง อาฬะวะกัสสะทุสาวุธัง นารายัสสะ จักราวุธัง
    เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง ปัญจะอาวุธา ติกขะตะราโลเก
    ปาตุระโหคะตาสัพเพ อิเม ทิสะวา สัพเพ ยักขาปะลายันติ


    จบ เรื่องศาสตราวุธทั้ง5ในโลกวิญญาณตามตำนานเล่าขานสืบๆกันมา ตานี้ก็มาถึงนิทานขี้โม้ ท่านผู้อ่านก็โปรดเข้าใจว่าเป็นเรื่องสนุกสนานเท่านั้นนะครับ อย่าไปหาสาระอะไรกับนิทาน

    ศาสตรวุธในโลกวิญญาณ ของพวกที่ฝึกสมาธิมาทางสายฤษีก็มี อภิญญาก็มีเหมือนกัน อันที่จริงแล้วท่านที่ได้อภิญญากันมานั้น โดยมากก็เคยบำเพ็ญตน ฝึกตบะมาทางสายฤษีมาก่อนแล้วแทบทั้งนั้น ต่อเมื่อมาเจริญวิปัสสนาญาณก็ได้อาศัยกำลังจากที่เคยสะสมมาเป็นพื้นฐานในการพิจารณาสังขาร เข้าสู่ไตรลักษณ์และละสังโยชน์ทั้งสิบประการ ก็บังเกิดเป็นอภิญญาทางฝ่ายพุทธ เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ทิ้งกิเลส ตัณหา อาสวะ เรื่องของทางโลกไปเสียสิ้น

    ศาสตราวุธในโลกวิญญาณนี้ เคยได้ยินว่าบางท่านก็เป็นธนูก็มี ส่วนที่ผมเห็นศาสตราวุธของผมนี่ เป็นท่อนๆสีขาวสว่าง ยาวสัก 7-80 ซม. หัวท้ายมน เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ เอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ อาจจะเอาไว้ใช้ตีกลอง แต่ว่ามีอันเดียว จะตีกลองได้ไง? อาจจะไว้ใช้ตีหัวหมาก็ได้อยู่ ดูๆไปแล้วช่างกระจอกงอกง่อยเสียเหลือเกิน ไม่ได้มีความเท่เหมือนศาสตราวุธอื่นๆแต่อย่างใด เป็นที่น่าอายไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง อยู่มาวันหนึ่ง เกิดอยากรู้ว่ามันเอาไปทำอะไรในโลกวิญญาณได้บ้างวะเนี่ย ว่าแล้วก็ขว้างออกไป มันก็ไปทั้งดุ้นๆอย่างนั้นแหละครับ ไม่มีอะไร คราวต่อมาก็สะบัดไปสะบัดมา ปรากฏว่าทีนี้ยืดออกเป็นแส้ สีขาวสว่างจ้า ยาวไปได้ 20-30 เมตรโน่นเลย บังคับให้ฟาดไปทางไหนก็ได้ แบบนี้คงจะเอาไว้ใช้ต้อนวัว ต้อนควายได้อยู่นะครับ จนปัญญาด้วยไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง จึงต้องอธิษฐานเอาว่าในอดีตข้าพเจ้าเคยใช้ศาสตราวุธนี้ไปทำอะไรไว้บ้าง ก็เห็นแบบนี้ว่า

    แส้ที่ว่านี้เมื่อปล่อยหลุดมือไป ก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนเชือก เข้ารัดร่างกายตั้งแต่ข้อเท้า พันรอบตัวไปจนถึงคอของคนที่เราต้องการจะพันธนาการเอาไว้ สั่งให้รัดแน่นขึ้น แน่นขึ้นก็ได้ ถ้าผู้ถูกพันธนาการนี้มีฤทธิ์มาก ไม่ยอมจำนน ปลายแส้ที่คอก็ยืดออกมาทะลวงเข้าไปทางปาก ทะลุออกตูด แล้วตรึงติดไว้ที่พื้น สภาพผู้ถูกพันธนาการก็จะยืนแหงนหน้า พูดไม่ได้ เจ็บปวดทรมานพอสมควร ต่อมาแส้หรือเชือกเส้นนี้ก็มีหนามพุ่งออกมารอบๆเรียงกันเป็นระเบียบ เหมือนเป็นกงจักรเรียงซ้อนๆกัน จะว่าไปดูดีๆหนามมันก็ไม่ได้พุ่งออกมาหรอกครับ มันเหมือนการหุบร่มกางร่มมากกว่า พอหุบลงหนามก็ราบไปกับแส้ พอกางออก ก็แผ่ออกไปเหมือนเป็นกงจักร หนามนี้ก็จะปักฝังเข้าไปในเนื้อ ถ้าเป็นคนคงเลือดไหลท่วมตัว แต่ในโลกวิญญาณไม่มีเลือดให้เห็นแดงแต่อย่างใด ที่ผ่านลงคอ หนามก็ทะลุคอออกมา พอถึงปลายที่ปักลงดินก็กลายเป็นแท่งสีขาวสว่างเหมือนเดิม สักพักนึง หนามที่เป็นกงจักรนี้ก็เริ่มหมุน แต่ละวงจะหมุนทวนทิศกัน เนื้อก็จะโดนฉีก บดขยี้ สาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่ในลำคอ เพราะปากก็ยังโดนปั่นจนฉีกกระจุยกระจาย ต่อมาก็เกิดเป็นเปลวไฟลุกอยู่รอบๆหนามกงจักร จากที่อยู่ติดกับผิวของหนามเป็นพะยับความร้อน ถัดออกมาหน่อยเป็นสีฟ้าอ่อนๆปนม่วง ถัดมาเป็นสีส้มๆแดงๆ ที่ลุกเป็นเปลวเลยก็คือเนื้อและกระดูกของผู้ที่ถูกพันธนาการ สภาพเหมือนตกอเวจีมหานรกชัดๆ แล้วดวงจิตดวงวิญญาณนี้ไม่แตกดับไปด้วยนี่สิ นี่มันอาวุธบ้าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังกะจำลองอเวจีมหานรกมาไว้ที่นี่ อาวุธที่อำมหิตผิดพวก อาวุธอื่นกำจัดฆ่าให้ตาย ดวงจิต ดวงวิญญาณก็แตกดับไปแล้วบังเกิดขึ้นใหม่ได้ แต่อาวุธนี้กลับตรึงวิญญาณไว้ให้ทรมานโดยไม่สามารถจุติไปในภพอื่นหรือสภาพอื่นได้ ต้องทนทรมานอยู่ในสภาพแบบนี้ไป จนกว่าจะสั่งให้หยุด ร่างนั้นจึงจะแตกสลายไปได้ เห็นสภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตของอาวุธชนิดนี้แล้วอดนึกไม่ได้ว่าไอ้คนที่ครอบครองและใช้มันนี่จิตใจมันทำด้วยอะไรวะ จะชั่วร้ายอำมหิตขนาดไหน ไม่อยากนึกเลย ... ไม่อยากด่ามาก เดียวมันเกิดเอาอาวุธมาเล่นงานเราก็จะลำบาก แต่ว่าเจ้าของอาวุธนี้มันคงชั่วช้าอำมหิตจริงๆเลยนะ เอ้า...ว่าจะไม่ด่าล่ะ...เผลอจนได้...

    ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เวลาผมไปกราบครูบาอาจารย์ที่ท่านทรงคุณวิเศษทางจิต ท่านจะดุด่า ไล่ตะเพิด แม้จะแค่กำลังเอ่ยปากถาม คำพูดยังไม่ทันหลุดจากปากก็โดนด่าโดนไล่เสียก่อนแล้ว มันก็สมควรแล้ว....

    วันก่อนนั่งทานข้าวเย็นไปดูทีวีไปด้วย เห็นข่าวน้องผู้หญิงคนหนึ่งป่วยอย่างกะทันหัน ต่อมเผือกก็ทำงานทันทีว่า น้องเขาป่วยจากโรคอะไรนะ แล้วเวลานี้น้องเขาอยู่ที่ไหนแล้ว จะรอดไหมนะ....

    เวลาทานข้าวนี่สำคัญมากนะครับ เป็นเวลาที่เหมาะกับการเจริญสติและสมาธิสำหรับตัวผมเอง สมัยก่อน หลวงพ่อพิทักษ์ ปริสุทโธ พระธุดงค์ผู้สอนสติให้ผมนั้น ท่านเล่าว่า มีพระศรีลังกาจำนวนไม่น้อยบรรลุธรรมในขณะที่ฉันข้าวต้มร้อนๆตอนเช้า ท่านพูดให้ฟังแค่นี้ ที่เหลือไปพิจารณาเอาเองว่าเพราะอะไร ตอนนั้นก็เดินจงกรมไปพิจารณาไป ตอนกินข้าวก็พิจารณาไปด้วยมันเห็นแบบนี้ครับ ตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส ใจรับธรรมารมณ์ เวลาเดินจงกรม จมูกอาจได้กลิ่นใบไม้ ความสดชื่นในอากาศ กลิ่นดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ แต่ว่าลิ้นรับรสไม่ได้ เพราะไม่มีรสอะไร การพิจารณาก็ไม่เกิด พอเวลาจะกินข้าว ท้องเราหิว เกิดทุกขเวทนาเก่าคือความหิว เมื่อเห็นอาหารอาการอยากกินก็เกิดขึ้น ใจเห็นความอยากนี้แล้ว ก็สงบระงับลงไป ถ้ายังอยากอยู่เราก็ไม่กิน นั่งมองมันอยู่อย่างนั้น พอตักข้าวเข้าปาก รสชาติเกิดที่ลิ้น รับรส มีสติตามดูรสดังกล่าวที่เกิดขึ้น สัมผัสจากการเคี้ยว กลิ่นอาหารที่สัมผัสได้ เมื่อกลืนลงคอ ความรู้สึกของอาหารที่ผ่านลำคอ เป็นสัมปชัญญะ จนอาหารไปกระทบที่กระเพาะ รสชาติที่ปากนี้ก็หายไป อาการทุกขเวทนาคือความหิวก็ผ่อนคลายตัวลงทันทีที่อาหารตกกระทบถึงกระเพาะ รสชาติที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเคี้ยวแล้วก็ดับไปเมื่อกลืนอาหาร บอกว่ารสชาตินี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงและดับสลายหายไป ทุกขเวทนาคือความหิวที่เกิดขึ้นนี้ เมื่อกระทบเข้ากับก้อนอาหาร ก็มีอันต้องเสื่อมสลายหายไป ความยินดียินร้ายในรสชาติอาหารนี้ก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมทรามสลายหายไป รวมความแล้ว ทั้งสุขเวทนา ทุกขเวทนา ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดถือว่าเป็นเราเป็นของของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา ท่านผู้อ่านนิทานขี้โม้ทุกท่าน ก็พิจารณาได้เหมือนกันครับ นี่แค่ข้าวคำเดียว ทีนี้ก็พอจะเข้าใจที่หลวงพ่อพิทักษ์ ท่านพูดแล้วครับว่า ทำไมถึงมีพระศรีลังกาบรรลุธรรมเป็นจำนวนมากระหว่างการฉันข้าวต้มร้อนๆตอนเช้า

    ปัญหาเรื่องการรู้การเห็นของผมด้วยอาศัยบารมีครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์นั้นคือ มันเหมือนกับว่าผมไปยืนอยู่ในที่นั้นๆ ไม่ได้นั่งเห็นอยู่กับที่นี่แหละครับ พอไปถึงที่รพ. ก็เห็นน้องเขายืนก้มหน้าอยู่ตรงมุมมืด ถามว่าเป็นอะไร เธอก็เศร้ามาก เหลียวมองไปทางซ้ายก็เห็นร่างนอนอยู่บนเตียงมีเครื่องช่วยหายใจ มีสายยางระโยงรยางค์ เธอเข้าร่างไม่ได้ ลักษณะแบบนี้เคยเห็นมาหลายรายครับ สภาพนี้แม้ร่างกายยังทำงานอยู่ แต่ว่าในทางพุทธศาสนาหมายถึงว่าได้ตายไปแล้ว มองไปก็เห็นเป็นแผ่นดำๆขนาดเท่าฝ่ามือ ฝังอยู่ที่อกทั้งสองข้าง คล้ายๆแผ่นหนังสีดำๆ รูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่ได้เหลียวไปดูทางขวาเพราะรู้ว่าไอ้คนที่รับจ้างเขามาทำแบบนี้มันยืนจ้องอยู่ห่างๆ มองดูหน้าน้องแล้วก็สงสารแต่ว่าช่วยอะไรไม่ได้ ปัญหาก็เกิดจากคนที่แอบหลงรักแล้วผิดหวังเสียใจกลายเป็นความโกรธแค้น เอาว่ารู้แค่นั้นก็กลับ พอกลับมาถึงไอ้คนที่ทำมันเป่าของใส่ทันที มึนหัวตึ๊บขึ้นมา ก็อาศัยกสิณแสงสว่างครอบคลุมตัวแล้วก็นึกถึงหลวงปู่ หลวงปู่ท่านนั่งยิ้มมาอยู่เบื้องหน้าอาการมึนหัวหายไปในทันที เหมือนหลวงปู่จะยิ้มเยาะเย้ยว่าเป็นไงบ้าง ไปเสือกเรื่องชาวบ้านเขา มันก็แบบนี้เอง อันนี้ผมก็ผิดเอง ต้องกราบขออภัย ไม่ควรไปยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆนั่นแหละ ดึกๆของคืนวันนั้น ก็ได้ข่าวว่าน้องเสียชีวิตไปแล้ว น่าสงสารมาก อายุยังน้อย ระหว่างที่พิมพ์อยู่นี้ดวงวิญญาณน้องก็ยังอยู่รพ.ไปไหนไม่ได้ ยังหิว ยังกระหาย เจ็บปวด และยังคงต้องเป็นสัมภเวสีนี้ไปอีกหลายสิบปีจนกว่าจะหมดอายุขัย จึงจะไปตามภพภูมิที่ตนเองประกอบผลของกรรมมา เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจว่า ยามมีชีวิตอยู่ให้เร่งสร้างบุญ สร้างกุศล เพราะตายไปแล้ว บ่อยๆครั้งที่คนอื่นอุทิศบุญกุศลไปให้แล้ว ไม่อยู่ในสภาพที่จะรับได้ ผลบุญนั้นก็ยังคงลอยอยู่ รอเมื่อเวลาที่หมดวาระแล้วก็จึงจะสามารถเข้าถึงผลบุญนั้นได้ ต่างจากบุญที่กระทำด้วยตนเอง ย่อมประสบพบกับผลบุญนั้นได้ในทุกขณะจิตของตน

    มาว่าต่อถึงไอ้คนที่ทำนี้ มันก็ขว้างมีดหมอมาใส่ กะเอาเราตายเพราะไปเผือกเรื่องของมันเข้า เรื่องแบบนี้ปกติก็จะขอท้าวมหาราชทั้งสี่ให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครอง เพราะโลกียวิสัยนี้จะขอบารมีองค์สมเด็จ หรือพระอรหันต์ที่ท่านพ้นจากโลกียะเหล่านี้ไปแล้ว ก็ดูจะไม่เหมาะสม ท่านที่จะช่วยก็เป็นเทพเทวดาที่มีฤทธิ์ แต่ว่าครานี้เป็นพระโพธิสัตย์องค์ใหญ่ ท่านปรากฏต่อหน้า บังเอาไว้ แล้วปัดอาวุธนั้นทิ้งไป พระโพธิสัตย์เป็นผู้มากด้วยบารมี แต่ว่ายังไม่ได้เข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้นท่านยังสังเคราะห์เรื่องทางโลกให้ได้ ส่วนเรื่องจะขอให้ท่านไปทำร้ายตอบโต้กับไอ้คนที่ทำมานั้น ไม่ได้แน่นอน ท่านเพียงมาปกป้อง ปัดเป่า ให้รอดพ้นจากภยันตรายเท่านั้น จะให้ท่านไปทำร้ายใครได้ยังไง อาวุธที่มีก็ปรากฏเป็นแส้เส้นสีขาวยาว สว่างจ้า ฟาดลงไปที่ตัวของไอ้คนที่ทำมา ฟาดเฉียงๆจากไหล่ขวาพาดลงมาที่เอวซ้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งเดียว หมดฤทธิ์กันไป แยกย้าย เลิกรา เรื่องแบบนี้เวลาเล่ามันใช้เวลานาน แต่เวลาปะทะกันในโลกวิญญาณนั้นใช้เวลาแค่ชั่วขณะจิตเท่านั้น ใช้เวลาน้อยกว่ากระพริบตา เวลาใช้ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมีการยกจิตขึ้นสู่สภาวะนั้นนี้ก่อนแล้วอธิษฐานโน่นนี่นั่น มันไม่มีหรอกครับ อันนั้นมันในหนัง หรือในนิยาย เอาจริงๆนี่ซัดกันเลยไม่มีการตั้งท่า ขืนมัวแต่ตั้งท่า โดนซัดมาตายห่านกันก่อนพอดี นี่เองที่หลวงพ่อฤษีท่านสั่งนักสั่งหนาว่า ฌานแกต้องทรงตัวให้ได้ ปกติต้องทรงฌาน๔ให้ได้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาพูดจะเป็นอุปจารสมาธิหรือปฐมฌานก็ได้ แต่ว่าทางที่ดีก็ควรจะฝึกให้เวลาพูดทรงฌาน๔ให้ได้ ของแบบนี้ไม่ใช่ของยากสำหรับคนที่เอาดีทางพระพุทธศาสนา แต่พวกที่มีจิตเป็นอบายภูมิก็จะบ่นว่ายาก สมัยนั้นผมก็เถียงในใจนะครับ ว่าปุถุชนต้องทำงาน เรียนหนังสือ ทำข้อสอบ ทำงานบ้านต่างๆ ไม่เหมือนพระสงฆ์วันๆไม่ต้องมีภาระแบบนี้ มันก็ต่างกันมาก จะให้มานั่งทรงฌานกันตลอดวันมันเป็นไปไม่ได้หรอก มาวันหนึ่งหลวงพ่อก็บอกว่า ฌาน๔ใช้งานกับฌาน๔ที่นั่งหลับตาปี๋มันไม่เหมือนกัน แล้วท่านก็บอกว่า เวลาทำข้อสอบ ทำงาน ก็ลดลงมาเป็นอุปจารสมาธิหรือปฐมฌานก็ได้ ถ้าฌาน๔มันหนักเกินไป เคลื่อนไหวทำอะไรไม่คล่องตัว แต่ก็ต้องไม่ทิ้งอารมณ์ฌาน การได้ครูบาอาจารย์ที่ฉลาด มีประโยชน์แบบนี้เองครับ เราเพียงแต่ฟัง ฟังแล้วคิดตาม จากนั้นก็ทำตามที่ท่านบอก ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก หลวงพ่อท่านบอกว่าใช้เวลาพรรษาเดียวก็ทำได้แล้ว ถ้าคนมันจะเอาดีเสียอย่าง ส่วนตัวผมเองคงมีกรรมและความระยำแสนสาหัส ใช้เวลากว่า 26 ปี ถึงจะพอทำได้ใกล้เคียงกับที่หลวงพ่อสั่งมา

    เล่ามาก็ยืดยาวเกินไปแล้วนะครับ คราวหน้าค่อยเล่าให้ฟังว่า ตายก่อนอายุขัย ไปเป็นสัมภเวสี มันมีหลายแบบและหลายเงื่อนไข ทั้งในสภาวะที่ดำรงอยู่ในโลกนี้หรือโลกทิพย์ การทำบุญไปแล้วได้รับหรือไม่ได้รับ สัมภเวสีแบบไหนต้องให้อาหารแบบไหนถึงจะได้กินได้อยู่พอมีความสุขไปจนกว่าจะหมดอายุขัย เรื่องนี้เคยไปเผือกรู้เผือกเห็นมาในสมัยก่อนน่ะครับ ตามประสาคนขี้สงสัย แล้วจะเอามาเล่าให้ฟัง ประสานิทานขี้โม้ อ่านแล้วตรงไหนเป็นธรรม มีประโยชน์ก็นำไปใช้ได้ครับ ตรงไหนไร้สาระก็คิดเสียว่าบันเทิง บันเทิงไป อย่าจริงจังนะครับ
    :- http://raming2555.blogspot.com/2019/06/blog-post.html?m=1



     

แชร์หน้านี้

Loading...