นั่งทำสมาธิใจนึงอยากออกใจนึงไม่อยากออก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย indyxa, 29 มีนาคม 2020.

  1. indyxa

    indyxa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    นั่งทำสมาธิสักพักแต่ก็รู้สึกสงบนิ่ง
    ผมปฏิบัติโดยการเลื่อนไหลความสนใจทางร่างกาย
    ตามลบำดับต่างๆ
    แต่ทำไปสักพักจิตนึงมันบอกอยากออก แต่จิตนึงผมก็ยังอยากอยู่ต่อ
    ผมพยายามพิจรณาจิตว่าจะออกเพื่ออะไร ในเมื่อหาเหตุในการออกไม่ได้ ผมก็ไม่ออก
    แต่สักพักก็หาเหตุผลเจอ(ข้ออ้าง) เหตุผลนั้นก็คือแรกๆจิตผมไล่ลำดับได้ตามกายทีละส่วน ทีละส่วน แต่พอทำสักพักรู้สึกจิตกระโดดโลดเต้นไปคิดเรื่องอื่นดึงไปๆมาๆ
    ก็เลยตัดสินใจออกมาสะงั้น แบบนี้ผมแพ้จิตที่ไม่ดีแน่ๆๆเลย

    ควรทำอย่างไรดีครับ
     
  2. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อย่าไป ใส่ใจ ให้คะแนน หรือ ตัดคะแนน

    คำพระศาสดาจะใช้คำว่า

    "ห้ามตำหนิจิต เด็ดขาด"

    ที่นี้ จะทำอย่างไร

    ให้สังเกตดีๆ การภาวนาแท้ๆ ไม่มี
    คำว่า "ทำยังไงดี"

    ถ้ามี การถามว่า ทำยังไงดี
    ทำอย่างไรจึงจะถูก

    ให้รู้ว่า ขณะนั้น "จิตหิวอารมณ์"

    แล้ว ย้อนกลับ ทวนกลับอีกนิดนึง

    ให้เหน สภาวะที่ "มันเริ่มตั้งคำถาม
    จะออก" ให้เหนตัวนั้น

    ส่วนการหาคำตอบ หรือ ไม่หาคำตอบ
    รวมทั้ง เหนแล้วแกล้งภาวนาต่อ ล้วน
    แต่โดนมันหลอก

    ถ้าเปนพระ อะไรแบบนี้ แปลว่า
    กำลังจะสึกแล้ว ผ้าเหลืองร้อน

    หากวาสนาน้อย กรรมมาให้ผล

    มันจะเหมือนเจอคำตอบ สมณสารูป
    จะกระเจิง แบบหมดสิทธิกลับเอาได้

    เช่น พระมีชื่อ ไม่ทันเหน พอมีสิกา
    พาขึ้นรถตู้แค่สองรอบ ก้ เข้าวัด
    ชนะสงครามสึก แล้วบินออกนอก
    ประเทศไปเลย

    นะ

    สังเกตดีๆ เอาให้ไสๆ ทวนไปเหน
    จังหวะ "มันจะเริ่มหา จุด ออก"

    ยกตัวนี้ได้ ก้จะเลิกตำหนิจิต

    พร้อมกับรับรู้ว่า จิตผู้รู้ไม่เที่ยง

    สติ จึงจะเกิด

    หากยังเหน จิตผู้รู้เที่ยง เหตุผล
    มันจะสารพัดแหละ แม้นแต่ปั้น
    ท่าทำกรรมฐานต่อ อุ้ยผลเจโตวิมุตติ
    วิจิตรอลังการ มันจะเอามาให้
    จนเก่งกว่าศาสดาหลายเท่าก้มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2020
  3. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สมัยนี้ เขาจะเรียก ญานม้วนเสื่อ

    แต่ สมัยนี้มองไม่ออกว่า
    มันเปนตัสเดียวกันกับ

    ญานเสื่อผืนหมอนใบ

    มันจะมาตั้งตัวเปนใหญ่ กว่า
    ศาสดา

    พอภัยพิบัติเกิด โอยยย
    กุลีกุจอ ลาออกจากงาน
    มาตั้งท่าทำกรรมฐาน
    รอจังหวะเปนศาสดา

    นะ

    ถ้ามองอารมณ์ ญานเสื่อผืน
    หมอนใบได้ จะเหนเลย
    อะไรๆก้ทิ้งหมด รู้หมด
    แล้วไม่มีอะไรเหลือ
    หยุดทุกอย่าง รอจังหวะ
    เดียว.....รอไปเถอะ....
     
  4. indyxa

    indyxa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7


    สรุปคือผมต้องฝึกต่อไป จนรู้สึกไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่อยากได้ ไม่ค้นหา ฝึกจนกว่าจะรู้สึกเฉยๆ(ในรูปแบบไม่ต้องพยายาม แต่ธรรมะจะจัดสรรให้) ถูกต้องไหมครับ
     
  5. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เอาแบบนี้ละกัน

    ฝึกจนสามารถเห็นว่า ขณะนี้ อย่างนี้ๆ ยินดี
    ฝึกจนสามารถเห็นว่า ขณะนี้ อย่างนี้ๆ ยินร้าย
    ฝึกจนสามารถเห็นว่า ขณะนี้ อย่างนี้ๆ เฉยๆ

    ฝึกให้มากๆ มากพอที่จะ ความยินดี ยนร้าย เฉยๆ
    จะเป็น สภาวะธรรม อารมณ์(สิ่งที่ถูกรู้)

    เห็น สภาพอารมณ์(สิ่งที่ถูกรู้) จะได้อะไร

    จะได้ สภาพการปล่อยอัตโนมัติ เวลาที่
    เราจับ "แก้วน้ำใส" ไว้ในมือ มั่นคง

    ไม่มีใครในโลก เห็น แก้วน้ำในมือ เป็นตน
    ( แต่อาจจะค้างที่ เห็นเป็น ของตน อยู่)

    ฝึกไปอีก จนทวนกระแสไปเห็น คนที่
    รู้ว่ากำลังจับแก้ว จนเห็นได้ว่า อาการ
    "คนที่รู้ว่าจับแก้ว" ก็เป็นเพียงแค่ สภาวะธรรม
    ไม่ใช่ตน ( ถึงจุดนี้ อาการค้างว่า แก้ว
    เป็นของตนจะขาดลง )

    เหลือแต่การ แก้แห เห็นจิตผู้รู้ เป็นตน ของตน

    ซึ่ง จะได้ก็ต่อเมื่อ หมั่นสดับธรรม ได้กัลยณธรรม
    ที่ถูก หากยังคบ กดไลค กดแชร์ ธรรมสะเปะ
    สะปะ เห็นเขาว่าเป็นอรหันต์ ก็ ยอมให้การสะกด
    จิตหมู่อยู่เหนือ ความสามารถในการพิสูจน์ด้วย
    ตน ก็จะยังต้องถามไปเรื่อย ไม่จบ
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กิเลสหลอกให้เลิกปฏิบัติทำความดีครับ

    ถ้าเราไปนั่งดูหนังได้เป็นชมนี่ไม่รู้สึกอะไรหรอก ยิ่งนั่งหน้าคอมต่างๆนาๆ บางคนนั่งได้ข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว
     
  7. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    55555555

    (แวะเข้ามาขำคอมเม้นเตเตอร์)
     
  8. BENATO

    BENATO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,582
    ค่าพลัง:
    +1,917
    จากการปฏิบัติโดยส่วนตัวที่ผ่านมา...ขอเล่าพอเป็นสังเขป และ
    อย่าเชื่อจนกว่าจะลองพิจารณาตามด้วยตนเองนะครับ

    เริ่มจากค่อย ๆ ฝึกพิจารณาแบบหยาบ ๆ ให้พอนึกภาพออก แล้วค่อย ๆ เพิ่มความความละเอียดอีกทีครับ

    / อยากออก หรือ อยากอยู่ ...ถามตัวเองก่อนว่า มันทุกข์ มั้ย...?

    / หากรู้ว่าทุกข์ เรายังจะเดินเข้าไปหามัน หรือไม่..? (อุปมาอุปมัย ว่า หากรู้ว่าตรงนี้มีหนาม ยังจะเดินเหยียบอีกมั้ยครับ..?) ตรงนี้ต้องพิจารณาหาวิธีเลี่ยงเอาเอง....

    / ไม่ว่าจะนิยามว่านิมิต หรือ โลกความเป็นจริง เมื่อมีเห็นสิ่งใดก็ให้หยิบสิ่งนั้นมาพิจารณาตามลำดับ ...(โดยให้เทียบเคียงจากสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว) ...
    เมื่อพิจารณาตามจริงเช่นนี้บ่อย ๆ "ตัวรู้" เป็น นิยามเฉพาะส่วนตัวผม คือ อาการที่จิตเกิดสภาวะรับรู้ต่อสิ่งนั้น และตอบสนองผ่านทางร่างกาย (ตรงนี้.. แต่ละคนอาจมีอาการที่แตกต่างกัน แต่ให้ปล่อยไปเฉย ๆ อย่าไปสนใจอะไรมาก เดี๋ยวจะเป็นกิเลสไปอีก)
    / เมื่อฝึกบ่อย ๆ "ตัวรู้" ก็จะมีความชัดขึ้น เข้าใจในสภาวะธรรม / แต่ก็อย่าหลงกับ "ตัวรู้" มาก เดี๋ยวมันจะกลายเป็น “ตัวหลอก” ให้หลงเอาง่าย ๆ หากไม่พิจารณาให้ ละเอียด พอ / จบภาคทฤษฎี***

    ภาคปฏิบัติทางโลก ให้มั่นฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน... เห็นสิ่งใดให้หยิบสิ่งนั้นมาพิจารณาตามลำดับ

    ให้มั่นสังเกตอารมณ์ตนเองทุกขณะ ว่าอารมณ์เราขณะนี้เป็นแบบไหนยังไง มีอาการเป็นไปอย่างไร ถ้าเห็นแล้ว... เราพิจารณาอย่างไร มีการเกิดขึ้น. ตั้งอยู่อย่างไร ดับลงอย่างไร / ให้พิจารณาเห็นไปตามลำดับ. / หากไม่ดับ จะพิจารณาดับอย่างไร...? (ท่านจะดับเอง หรือ รอให้มันดับ)

    ทีนี้ลองพิจารณาต่อ...

    หากทุกข์ที่เกิดนั้นดับเร็ว ดีมั้ย...?
    หรือจะปล่อยให้มันดำรงตั้งอยู่นาน แล้วในชีวิตจริงท่านคิดหรือไม่ว่า ปัญหาอุปสรรคอื่นจะไม่มีตามมาทับถมอีก ดั่งอุปมาอุปมัย "ความวัวยังไม่ทันหายความควายยังเข้ามาแทรก"

    แต่อย่าเอ๊ะใจ..!! เพราะบางครั้งนั้น คือ บททดสอบในชีวิตจริงของท่าน แต่หากทุกข์นั้นเกิดแก่ตนย่อมเป็นทุกข์เฉพาะตน แต่หากทุกข์นั้นเกิดและส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น เท่ากับเป็นการสร้างวิบากสัมพันธ์กับผู้อื่น(ต่อภพต่อชาติไม่จบไม่สิ้น) หากรู้เท่าทันและยุติวางลงได้ ย่อมถือว่าเป็นการรับสภาพและชดใช้วิบากกรรมแก่กัน

    ทำกรรมดี = สร้างสมเสบียงบุญ
    ละเว้นความชั่ว = ไม่ต่อวิบาก
    ทำจิตให้ผ่องใส = เจริญปัญญา - ขัดเกลาจิต

    ผู้เดินทางมาถึงจุดนี้แต่ละคน ย่อมผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ไม่มีใครไม่ผ่านบททดสอบ ไม่ว่าจะทางโลก หรือทางธรรม ขอแค่มีสติตามทัน แล้วใช้ปัญญาพิจารณาแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านั้นให้สิ้นสุดโดยเร็ว

    ขออนุญาตยกตัวอย่าง ซักเล็กน้อยให้พอได้เห็นวิธีทำที่แตกต่างกัน ในวิชาคณิตศาตร์ เช่น

    3 + 3 + 3 = ? (ได้เท่าไหร่)

    บางคน อาจค้นตัวอย่างเดิมในตำรามาตอบ
    บางคน อาจต้องหากระดาษมาขีดเขียนกระบวนการตามขั้นตอน (แบบค่อยไปค่อยไปทีละบรรทัด)
    บางคน อาจเริ่มกระบวนการจาก ตัวหน้า ไปหาตัวที่อยู่ด้านหลัง
    บางคน อาจเริ่มกระบวนการจาก ตัวหลัง ไปหาตัวที่อยู่ด้านหน้า
    บางคน อาจคิดแทนค่าในสมองแล้วตอบ (ความสามารถเฉพาะตัว)

    บทสรุปสุดท้าย คือ แม้วิธี(ฝึก)จะต่างกัน แต่มีเป้าหมายคำตอบเดียวกัน(= 9) / จะแตกต่างกันที่ความปราณีต แต่ความปราณีตนี้ สามารถกลับมาทบทวน(ฝึก)เก็บตกรายละเอียดในภายหลังได้

    ปล. หากสนใจในรายละเอียดขั้นตอนที่มากขึ้น กรุณาลองศึกษาจากกระทู้ของคุณ ธรรม-ชาติ ในกระทู้ “ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย” ดูนะครับ จะเข้าใจขั้นตอนต่างๆ ได้ดีขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2020

แชร์หน้านี้

Loading...