ธรรมะก่อนละสังขารของ...หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย อดุลย์ เมธีกุล, 12 มีนาคม 2008.

  1. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,795
    ธรรมะก่อนละสังขารของ...หลวงปู่สมชาย


    [​IMG]

    พระวิสุทธิญาณเถร หรือ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์ วัดเขาสุกิม ต.เขาบายศรี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี

    มรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยอาการโรคหัวใจล้มเหลว เมื่อเวลา ๑๐.๔๐ น. วันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๘ ที่ห้องไอซียู ชั้น ๗ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพฯ รวมสิริอายุ ๘๐ ปี พรรษา ๖๐

    จากนั้น ก็มีการเคลื่อนย้ายศพ ไปยังศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน เวลา ๑๑.๐๐ น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานหีบทองทึบ น้ำหลวงอาบศพ และทรงรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นเวลา ๓ วัน จากนั้นได้ประกอบพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา ๗ วัน ก่อนที่จะเคลื่อนศพกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเขาสุกิม

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน ได้มีการเคลื่อนขบวนศพ หลวงปู่สมชาย ออกจากวัดเทพศิรินทราวาส ไปยังบริเวณ หน้าวัดเขาสุกิม โดยมีประชาชนนั่งร่วมไว้อาลัยหลวงปู่สมชายตลอดเส้นทาง ต่อจากนั้นได้มีขบวน นำศพหลวงปู่สมชาย ไปตั้งบำเพ็ญกุศลไว้ ณ ศาลาเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ ปี จากนั้นพระเทพสารสุธี เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี ฝ่ายธรรมยุต ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี และพุทธศาสนิกชนประกอบพิธีขอขมาหลวงปู่ และมีพิธีสวดพระอภิธรรมทุกคืน ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น.เป็นต้นไป

    พระอาจารย์ไพศาล อภิวิสาโล เลขานุการหลวงปู่สมชาย กล่าวว่า ร่างของท่านเมื่อละสังขารแล้วไม่ให้เผาเด็ดขาด แต่ขอให้เก็บร่างท่านไว้ เมื่อลูกศิษย์ไปไหนมาไหนมาหาจะได้มากราบมาไหว้ ส่วนอีกเรื่องที่ท่านฝากเอาไว้ให้สานต่อคือ การสร้างเจดีย์บูรพาฐิตวิริยาประชาสามัคคี ที่ยังสร้างไม่เสร็จ เนื่องจากท่านอาพาธเสียก่อน ทางคณะสงฆ์ โดยเฉพาะพระญาณวิลาศ (ปุณ สิริปุณโญ) เจ้าอาวาสวัดเขาสุกิม จะได้สานต่องานของท่านทั้งหมด


    [​IMG]
    "เป็นคำปรารภของท่านแล้วท่านก็สั่งอาตมาไว้แบบนี้ ก่อนที่หลวงปู่จะมรณท่านก็ปรารภว่า ผมจะอยู่แค่อายุ ๘๐ ปี ลูกศิษย์ทุกคนจะรู้กันหมด ในที่สุดท่านก็มรณภาพลง เลยอายุ ๘๐ ปี มา ๗๒ วัน และวัดที่ท่านยังสร้างเอาไว้ที่ จ.ร้อยเอ็ดก็ยังไม่เสร็จ ซึ่งก็ยังเหลือเยอะเหมือนกัน จุดมุ่งหมายหลักลูกศิษย์ ก็อยากจะทำ ให้เจดีย์เสร็จตามที่ท่านปรารถนาไว้ ที่ท่านบอกว่าก่อนตาย อยากเห็นเจดีย์นี้เสร็จ"

    นายพนัส แก้วลาย ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กล่าวด้วยว่า ในฐานะ เป็นพ่อเมืองจันทบุรี หลวงปู่สมชาย เป็นที่เคารพ นับถือ ของ คนจันทบุรี รวมไปถึงคนไทยทั่วประเทศ เมื่อท่าน ละสังขาร ไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงเหลือเป็นรูปธรรมก็คือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ของวัดเขาสุกิม ที่จะเป็นสิ่งกระตุ้นเตือน ให้ทุกคนมา สักการะ หลวงปู่สมชายได้ตลอดเวลา อีกทั้งทางจังหวัดก็จะมีการส่งเสริม การท่องเที่ยวให้กับวัดเขาสุกิมมากขึ้น เพราะถือเป็น มรดกทางพระพุทธศาสนา


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 width="100%" bgColor=#660066 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>
    ธรรมะก่อนละสังขาร

    หลวงปู่สมชาย ได้เทศน์เอาไว้ครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับความตายที่ได้มีการบรรจุเอาไว้ในซีดี ซึ่งทางลูกศิษย์ได้นำมาแจกจ่ายให้กับศิษยานุศิษย์ที่ได้มาสักการะหลวงปู่สมชายที่วัดเทพศิรินทราวาส โดยเนื้อหาที่หลวงปู่ได้กล่าวเอาไว้นั้นได้มีการถอดเป็นคำพูดออกมา แต่มีบางช่วงบางตอนเราไม่สามารถถอดออกมาได้ แต่เชื่อว่าธรรมะเรื่องนี้ทำให้เราได้ตระหนักถึงความตาย ดังนี้ ..

    อาตมาเองก็มีความรู้สึกถึงความดีตอนที่กระทำได้นั้น รู้สึกว่าระหว่างที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์น้อมด้วยบุญกุศลจริงๆ จิตมันอิ่มเอิบอยู่ทั้งวัน จึงเป็นบุญมีอานิสงส์ ทำบุญอย่าสักแต่ว่าทำต้องมีใจน้อมนำ พระพุทธเจ้าบอกว่า สักแต่ว่าทำ ถึงแม้จะมีอานิสงส์ก็ตามที อาตมาเองสมัยนั้นเคยคำนวณพิจารณาอยู่ว่า อันนี้เป็นความจริง อานิสงส์ไม่ปรากฏในสิ่งที่เราทำไว้หลายอย่าง ก็ได้ถามเทพเจ้าเหล่านั้นว่า ทำบุญมาแบบนี้ๆไม่ปรากฏอานิสงส์เลย ท่านก็บอกว่า ท่านสักแต่ว่าทำ ก็ยอมรับว่า เออจริง

    ครูบาอาจารย์ว่าเราเนี่ยไม่ดี ทำเพื่อให้ท่านอาจารย์เห็นว่าเราเป็นคนดี เพื่อท่านจะได้ประสิทธิสาทวิชาธรรมะให้เรา ทำเพื่อมุ่งธรรมะไม่ได้มุ่งบุญ เพราะฉะนั้นคนที่พร้อมไปด้วยบุญ เขาบอกว่าจิตใจของเราต้องน้อมลงเพื่อบุญจริงๆ เหมือนเราตักบาตรที่มีจิตใจที่เอิบอิ่มอันนี้ย่อมเป็นบุญเป็นกุศลมหาศาล ดังนั้น การทำบุญนั้นให้รีบทำเสีย เพราะพระยามัจจุราชมันตามติดอยู่ ย่อมจะปลิดชีวิตในวันใดวันหนึ่งแน่นอน ไม่มีข้อแม้สักคนเดียว แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น เมื่ออายุขัยหมดลงก็ต้องจากโลกนี้ไป เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว จำเป็นที่เราจะต้องรีบทำบุญ


    สอบถามเรื่องซีดีธรรมะนี้ได้ที่วัดเขาสุกิม โทร.๐-๑๘๖๓-๘๘๗๐


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ที่มา - คมชัดลึก 5 ก.ค. 2548
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มีนาคม 2008
  2. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    สาธุ เจริญธรรม เจริญปัญญาครับ

    ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของบทความ ท่านผู้ตั้งกระทู้ และท่านที่อนุโมทนาบุญ ครับ
    สาาาาา...ธุ
    สาาาาา...ธ
    สาาาาา...ธุ<O:p</O:p
    นิพพานะ ปัจจโย โหตุ
     
  3. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    สาธุ อนุโมทนาบุญ ขอบคุณครับ [​IMG]
     
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ
     
  5. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,595
    ค่าพลัง:
    +6,346
    [​IMG]
     
  6. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    </EMBED>​
    <TABLE cellSpacing=0 borderColorDark=#66cc00 cellPadding=0 width=770 align=center bgColor=#5b7edc borderColorLight=#66ff33 border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD align=middle> </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width="26%"><CENTER>[FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC][FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC]ป็นสถาปัตยกรรม
    สมัยรัตนโกสินทร์
    อยู่บนยอดเขาสูง ๔๔ เมตร
    โครงสร้างกว้าง ๙๙ เมตร
    สูง ๑๑๙ มีทั้งหมด ๗ ชั้น
    ชั้นหลัก ๖ ชั้น ชั้นลอย ๖ ชั้น
    [/FONT] </CENTER>
    [/FONT]</TD><TD align=middle width="43%">[​IMG]
    ภาพเจดีย์
    ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ทางภูเขาทางทิศตะวันออก
    </TD><TD width="31%">
    [FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC]สร้างเพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรม
    พิพิธภัณฑ์อัฐบริขาร
    ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อน
    พระพุทธรูปประทานพร ๑๐๑
    และประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
    องค์เจดีย์ประกอบด้วย
    พระพุทธรูป ๘๔,๐๐๐ องค์
    [/FONT]
    </TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD align=middle> </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,109
    กราบหลวงพ่อครับ ภาพเจดีย์สวยมากๆ
     
  8. thananyi

    thananyi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +45
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ผมก็เป็นอีกคนที่ศรัทธาหลวงปู่ เคยพาครอบครัวไปวัดเขาสุกิม 2 ครั้ง ยิ่งเพิ่มศรัทธามากขึ้นครับ

    ธรรมะจากหลวงปู่ครับ

    เรื่อง : อบรมพระเณรที่เข้าใจผิดเรื่องผลของสมาธิ

    <O:p</O:p
    การบำเพ็ญของพวกเราก็พยายามนะครับ พยามดำเนินต่อไป วันนี้ก็มีพระท่านบำเพ็ญไปก็สำคัญผิดตัวเองนิดหน่อยนะครับ อย่างที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังมา องค์โน้นเป็นบ้าง องค์นี้เป็นบ้าง ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าตกใจละครับ ถ้าเจ้าตัวรู้จักแก้ไขตัวเองก็ ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยครับ ความจริงสำหรับผู้บำเพ็ญ ในเมื่อจิตสงบลงไปแล้วนี่ ก็ย่อมจะประสบอะไรบางอย่าง ถ้าหากมัวแต่อยากอย่างเดียว พอไปเจอเข้าก็มีความตื่นเต้น

    ความตื่นเต้นอาจจะทำให้เรานี้มีผลเสียได้เป็นบางอย่าง เหมือนอย่างวันนี้สำหรับพระองค์ที่ได้ ก็เข้าใจว่าตัวเองได้ฌานชั้นสูงนะครับ ด้วยความดีอกดีใจว่าจะเป็นกำลังช่วยครูบาอาจารย์นี้ละครับ ความจริงพวกเราก็มักจะตั้งใจกันไว้แบบนั้น มักจะตั้งใจกันไว้ว่าจะเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนครูบาอาจารย์ จะช่วยรับภาระครูบาอาจารย์ จะเป็นครูเป็นอาจารย์สอน มันมีอะไรตั้งไว้ในใจนะครับ ความตั้งใจไว้อย่างนี้มันก็ไม่สู้จะดีนัก ขอให้ถือว่าเรื่องคนอื่นไม่สำคัญ เรื่องเราสำคัญที่สุด ขอให้เราเป็นไปได้เสียอย่าง อันอื่นเราจะได้ไม่ได้ ไม่เกี่ยวครับ ไม่เกี่ยวก็เหมือนผมอย่างปัจจุบันนี้ การสอนผู้อื่นนะครับ เวลานี้มันต้องมองให้แน่นอน ควรจะสอนไม่สอนประการใด ไม่เหมือนในยุคสมัยกระโน้น ผมก็เป็นนักปกฐกถาที่มีชื่อเสียง เพราะด้วยความไม่รู้ประสาของผมนั้นแหละ ผมก็ว่าไปตามเรื่อง ความเข้าใจของตัวเองแค่ไหนก็ว่าไปตามความเข้าใจแต่ข้อเท็จจริงแล้ว ความจริงกับผมพูด มันไม่ค่อยตรงกัน

    ต่อมาเมื่อผมก้าวขึ้นสู่ธรรมะชั้นสูงพอสมควรแล้ว ก็ทำให้มองเห็นคำพูดของตัวเองนั้นไม่ค่อยจะถูกต้อง ก็เลยทำให้ผมนี้ไม่ค่อยกล้า ทีนี้ตอมามาฟังครูบาอาจารย์องค์อื่นที่ท่านเทศก์ บางสิ่งบางอย่างเราเข้าใจถูกต้องสำหรับคำพูดที่ท่านพูดมานั้น ไม่ตรงกับความเป็นจริง เราได้ยินได้ฟังก็อายแทนเหมือนกันครับ อายแทนจนกระทำให้เรางง ผลที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างรวมแล้วก็หมายความว่าทำให้เราไม่กล้าเทศก์เลอะเทอะเปรอะประครับ แต่เราไม่ปฏิเสธเราจะเทศก์ หรือคุยเฉพาะคนฟังกันรู้เรื่องครับ สำหรับคนผู้ฟังกันไม่รู้เรื่องเราก็ปฏิเสธไปคือ หมายความว่าเวลานี้รู้จักเฟ้น รู้จักหานะครับ รู้จักพูด รู้จักสอน มันผิดจากสมัยก่อนครับ ผิดเป็นคนละคนนี่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น

    สำหรับผู้ที่ทำสมาธิสงบปุ๊บ ลงไปเบื้องต้นก็มักจะเข้าใจว่าตัวเองนี้สำเร็จฌานชั้นสูง

    ก็มักจะเป็นอย่างนั้นเสมอละครับ ผมก็เคยเป็นเพราะฉะนั้นท่านที่เป็นวันนี้ท่านก็เข้าใจว่าท่านสำเร็จฌานชั้นสูง แต่ก็ไม่มีความระงับปีติ ไม่มีความระงับความตื่นเต้นอะไรได้ทั้งสิ้นละครับ

    ผมบอกว่า การเข้าถึงฌานนี้ มันต้องมีความชำนิชำนาญ สมาธิสมบัติต่าง ๆ นี้ เบื้องต้นนี้ตลอดรสชาติอำนาจความดีทุกอย่างเราต้องชินชาเขาเสียก่อน ชินจนเข้าใจอะไรเป็นอะไร หมดความตื่นหมดความเต้น สามารถระงับทุกสิ่งทุกอย่างได้ดี แล้วก็เกิดหลายครั้งหลายหนหลายสิ่งหลายอย่าง จนมีความเฉลียวฉลาดรู้จักนั่นนะครับ มันถึงจะเข้าถึงฌานได้ครับ แท้ที่จริงที่หลงนั้นมันแค่ประตูขณิกเท่านั้นเองครับ

    แต่นี้เราไม่ได้พูดตามขณิกของตำราที่เขียน แล้วพูดตามขณิกของผู้บำเพ็ญจริง ๆ ว่าขณิกคืออะไร ลักษณะหน้าตาของขณิกคืออะไร ก่อนจะเข้าถึงขณิกได้ จะมีอะไรเป็นอุปสรรคอยู่ข้างหน้าครับ อย่างพระองค์ที่เจอนี้ถือเป็นอุปสรรคครับ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรค ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นอุปสรรค ถ้าเราสามารถระงับเราไว้ดี การตั้งตัวของเราถูกต้องเรียกว่า อัตตสัมมาปณิธิ คือตั้งตัวไว้ถูก เรามุ่งเอาเราก่อนคนอื่นไม่เกี่ยวเอาเราเสียก่อน ไม่ใช่เมตตาตกบ่อนนะครับ วางแผนไว้เลย เราจะเป็นศาสดา เราจะเป็นตัวแทนศาสดา เราจะเป็นตัวแทนครูบาอาจารย์เหล่านี้ กิเลสมันบ่งการไว้หมด เรื่องของกิเลสพอไปถึงปุ๊บ กิเลสมันก็ชวนอีกละครับ เราจะได้แล้ว เราจะเป็นแล้ว เราจะวิเศษแล้ว เราจะเก่งแล้ว จะเป็นไปตามความต้องการของเราแล้ว มันสุดแล้วแต่กิเลสมันจับเชิดเอาครับ เพราะเราวิ่งตามกิเลส ทำสมาธิทำด้วยอำนาจกิเลส ในเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกิเลสมันก็จับเชิดเอา มันก็ไปเลยกายเป็นวิปลาศมันเป็นอย่างนั้น เพราะนั้นเราอย่าไปคิด ได้ว่าจะต้องวิเศษ เราจะต้องเก่งเราจะต้องเป็นตัวแทนศาสดาเป็นตัวแทนครูบาอาจารย์ไม่เกี่ยว

    จะเป็นสุขวิปัสโกก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นจตุสัมภิทา ขอให้เราพ้นจากความทุกข์ สามารถทำลายฐานกิเลสใหญ่ได้ถึง ๖ ฐานนะครับ ฐานที่ตั้งของกิเลสมันมี ๖ ฐานใหญ่ ๆ ฐานที่ตั้งของเขาอยู่ไหน อยู่ที่ตา อยู่ที่หู อยู่ที่จมูก อยู่ที่ลิ้น อยู่ที่กาย และอยู่ที่ใจ ฐานที่ตั้ง ตัวเชื้อที่ก่อให้เกิดขึ้นคืออะไร มีรูปมีเสียงมีกลิ่น มีรสโผฐัพพะ ธัมมารมณ์ ไอ้ตัวเชื้อที่มันก่อกันก็มีแค่นั้น ส่วนฐานกิเลสที่พ้นตั้งอยู่ เราก็รู้อยู่แล้ว ความดีใจ ความเสียใจ ต่อสิ่งกระทบ จะเป็นตา เป็นหู เป็นจมูก เป็นลิ้น เป็นกาย เป็นธัมมารมณ์ก็ดี เกิดความดี ความเสียใจ ต่อสิ่งกระทบนั้นคือตัวฐาน และการไปแสดงกิริยาของจิตต่อภพของเขา ในเมื่อเราสามารถทำลายได้นะครับ ทำลายได้แล้วก็เป็นอริยบุคคลได้ครับ แต่เรามุ่งทำลายฐานของกิเลส เพื่อทำลายภพของจิต เพื่อให้รู้เท่าสิ่งนี้นะครับ แค่นั้นนะครับ

    เราไม่ต้องไปคำนึงว่าจะต้องเป็นศาสดา เราจะต้องสอนคน อันนั้นกิเลสมันบัญชาครับ ในเมื่อได้ขึ้นมาแล้ว แสดงความใหญ่โต เพื่อลาภสักการะ เพื่อเกียรติประวัติชื่อเสียง มันก็อยู่โลกธรรม มันไม่เกินครับ มันไม่เกินครับ มันอยู่แค่นั้นเอง

    เพราะฉะนั้นเราตั้งตัวเราไว้ในให้ถูก ตั้งตัวไว้รับข้อโลกียวิสัย ไม่ใช่ผู้ผ่านพ้น ถ้าเราตั้งตัวไว้ถูกคือว่า ขอให้เราสำเร็จสำหรับคนอื่นไม่เกี่ยว ถ้าเราเป็นไปได้แล้วนั้น สุดแล้วบุญวาสนาบารี วางตัวของเราให้ถูกต้องอย่างนี้ ในเมื่อไปเจอเห็นสิ่งใดทั้งปวง ความตื่นเต้นมันหมดครับ มันหมดครับ

    เพราะกิเลสจับเชิดไปได้ เหมือนอย่างองค์นี้ละนั้น องค์นี้ละครับองค์ที่คุยวันนี้ครับ ตั้งตัวไว้ผิด มุ่งจะเป็นศาสดาเสียเลย มุ่งอยากจะสอนคนอื่น อยากจะดัง อยากใหญ่มีชื่อเสียง พอไปเจอเข้ากิเลสมันเชิดเอาซะเสียเลยนะครับ อันนี้มันอย่างนั้น พอสรุปแล้วก็เพียงแค่ว่าจะเข้าสู่ขณิกเท่านั้น แต่ยังไม่ได้เข้าครับ อุปสรรคมันเกิดขึ้นกิเลสมันจับเชิดเอาผลมันกำลังจะเกิด แต่กิเลสมันเขย่าเสียก่อน เราอยู่ใต้อำนาจกิเลส มันดึงเวียนวนอยู่ นั่นทำให้เกิดฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมตื่นเต้น เลยเสียธรรมะครับ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราผู้ปฏิบัติต้องระวัง ต้องพยายาม เราต้องเจอสิ่งเหล่านี้ต้องเจอทุกองค์ ต้องเจอแต่ถ้าเราตั้งตัวไว้ถูกมันก็นิ่มนวลทีนี้ตัวเองก็เข้าใจว่าตัวเองไว้ฌานชั้นสูง เกิดความดีอกดีใจโลดโผน มันผิดครับ ไม่ใช่ฌานชั้นสูงแค่ประตูขณิกเท่านั้นครับ

    ถ้าจะเข้าไปถึงฌานชั้นสูงได้นะครับ เราอย่าไปแปลตามตำราที่เขาแปล คำวาวิตกวิจารณ์ วิตกวิจารณ์มันได้แก่อะไร วิตกวิจารณ์ ปีติสุขเอกกัคคตาอุเปกขา อารมณ์ฌานตามรูปเขาวิพากวิจารณ์ไว้ในตำรานั้น มันไม่ค่อยตรงเท่าไรครับ ไม่ค่อยตรงเท่าไร เขาเรียกวิตกวิจารณ์นี้ก็หมายว่า แบบผมว่า คือ ความพร้อม คือ ตัวมัคคะสมังคี คือ ความพร้อมของพร้อมนะครับ เรานึกถึงเรื่องอะไรก็แล้วแต่ครับ นึกปุ๊บ ไอ้พวกนี้จะเข้าไปรวมตัวครับ รวมตัวทันทีนะครับ คือ วิตกนั้นมันเข้าไปวิจารณ์ เขารวมตัวกันทันทีวิ่งเข้าเลย ควรไม่ควรประการใดนะครับ จะรวมตัวเข้าวิจารณ์ทันที ไอ้ตัวนี้ครับเป็นลักษณะคำว่าวิตกวิจารณ์ ต้องตัวนี้สมังคีก่อนพร้อมก่อน ตั้งแต่เหตุเบื้องต้น จะหยิบจะวางของให้ตัวพร้อมนี้วิ่งไปก่อน จะพูดคำจะมองซ้ายแลขวาที ทุกกิริยาจะเดินจะนั่งนี้ เราต้องไปจากนี้ก่อน ตัวมัคคสมังคีพร้อมทั้งนี้ไล่ไปเป็นลำดับจนกระทั่งวาระจิต วิตกถึงเรื่องอะไร จะชวนให้เสียหรือดี ควรไม่ควร หรือประการใด

    กำลังส่วนนี้จะเข้าไปรวมตัว รวมตัวเข้าไปวิเคราะห์ ไม่ควรคือไม่ควร ไม่ควรจิตก็ไม่วิ่งยอมรับครับ ก็ปล่อยวาง ก็อยู่อย่างนี้ละครับ อันนี้เรียกว่า ตัววิตกกับวิจารณ์ครับ อันนี้เป็นตัวที่ถูกต้อง พอเราสามารถทำได้อย่างนี้ละครับ ครับมันเกิดปีติครับ มันถึงจะเกิดปีติ คำว่าปีติในลักษณะนั้นไม่ใช่สู้สักธรรมดาแบบเขาว่าไม่ใช่ครับ ในเมื่อเราได้อย่างนี้ เราก็จะอิ่มใจเราว่าเราเข้าประตูแล้ว มองเห็นเค้าทางแล้ว รู้ลักษณะของกิเลสแล้วครับ มันจะเกิดขึ้นมาเองครับ เพื่อจะประกาศว่า ชิตังเม แต่ยังครับ อันนี้เรียกว่าความปีติ ความสุขเกิดความมั่นใจ คือคิดว่าเราไม่ต้องกังวลต่อสิ่งทั้งปวง ว่าเราจะเสียหาย แน่นอนครับ ครับมันเกิดความสุข เพราะความไว้ใจ แต่ไม่ใช่บรมสุขครับ พอไปตกปีติสุขแล้วก็ไปตกเอกัคคตา คำว่าเอกัคคตาในที่นี้ไม่ใช่หมายไปอยู่เฉย ไม่มีอะไร ไม่รับเห็นอะไรทั้งปวง นั้นคือโมหะสมาธิ เอกัคคตาตัวนี้เป็นจิต จิตเป็นหนึ่งเป็นเอกครับ จิตเป็นหนึ่งคำว่าหนึ่งนี้ครับ ไม่ใช่ดีใจกับสิ่งทั้งปวง ไม่เสียใจกับสิ่งทั้งปวงแล้วนะครับ ไม่มีทางที่จะทำบาปแล้วครับ คำว่าบาปนี้ไม่เกี่ยวแล้วครับ เป็นจิตที่ตรงเป็นสายเดียวนะครับ ตรงไปสายเดียวที่จะก้าวไปสู่มรรคผล จึงเรียกเอกจิตมันแน่นอนดิ่งแน่ละครับ คำว่าประกอบบาปสายกรรมนั้น ไม่ต้องพูดกับครับเลิก นั่นคือตัวเอกัคคตาครับ คำว่าตัวอุเบกขานะครับ เขาว่าอยู่เฉย ๆ ไม่รับรู้ไม่ใช่คือสิ่งทั้งปวงนี้ เราจะนั่งรู้มัน จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ครับ เราจะไม่รู้อย่างเดียว ว่าอันนี้คือ อันนี้ไม่หลง ไม่ตื่น ไม่เต้นครับ หมายความว่า ไม่ตื่น ไม่เต้นต่อสมบัติอันที่ได้ทีเป็นครับ คำว่าปกติอยู่เท่านั้นเองครับ ปกติเป็นปกติอยู่ครับ อันนั้นนะครับ ถือเป็นตัวอุเบกขา เป็นอารมณ์ของฌาณ มันต้องเลยจากสมาธิ ๓ อันดับไป ต้องชินชาคุ้นเคยต่ออำนาจความเป็นไปทุกอย่าง เราไม่หลงไหล ไม่ตื่นเต้นกับอำนาจทั้งปวง ไม่หลงไหลไม่ตื่นเต้นกับความสุขทั้งปวงจนสามารถเป็นได้ดีที่สุดนั้นละครับถูกต้อง

    ผมถึงเปรียบเทียบให้พระองค์ที่เป็นฟังว่า เหมือนฝรั่งเปรียบเทียบนะครับ เข้ามาเมืองไทยว่าเมืองไทยนี้มีผลไม้ ซึ่งเมืองฝรั่งไม่มีคือทุเรียนว่าอย่างงั้น พอฝรั่งเข้ามาถึงเมืองไทยเห็นทุเรียนก็เอาไปเลย ตั้งใจไว้เต็มที่ กินใหญ่เลยกินครับ ไม่รู้ทุเรียนอะไร กินด่ะครับกิน ในเมื่อฝรั่งเข้ามาอยู่ในเมืองไทยนาน ๆ เข้าจะรู้ว่าทุเรียนมีกี่ชนิดครับ ค่อย ๆ รู้ละครับ รู้ทุเรียนมีกี่ชนิด ชนิดใดรสชาติเป็นอย่างไร อันไหนชั้นสูง ชั้นต่ำ ชั้นกลาง เขาจะเข้าใจ แล้วเขาจะเฟ้นเอาทุเรียนที่มีรสชาติที่มีราคาดี มารับประทานนะครับ แล้วจะเข้าใจละเอียดละออด้วยว่ารสชาติของแต่ละรสของทุเรียนจะเป็นพันธุ์ชะนี

    นี่หน่อก้านยาวสุดแล้วแต่จะมีรสชาติแบบไหนครับ จะเป็นหวานมัน หรือหวานขม หรือสามรสสุดแล้วแต่นะครับ ขนาดไหนแค่ไหนนั้นเรียกว่า ความชินนะครับ ความเข้าใจละเอียดละออ จนสามารถเข้าไปชินกับว่าอะไรคืออะไรนะครับ อันนั้นเหมือนกันไม่แตกต่างกันเลยครับ เพราะนั้นอันนี้จึงจะถูกต้อง เพราะนั้นผู้ที่เข้าไปเจอตื่นเต้นเป็นการใหญ่นะ ยังไม่ถึงขณิกครับ ยังไม่ถึงขณิก เพียงแค่จวนจะเข้าขณิก อุปสรรคที่เกิดขึ้นคืออะไร ความซู่ซ่า ความมีความสุข หมายความว่าอะไรนะครับ

    กายลหุตา กายมันเบา จิตลหุตา จิตเขาก็เป็นแล้วครับ กายเบา จิตเบา เพียงแค่จะเข้าสู่ประตู เป็นคุณสมบัติอันนี้ ของขณิกเบื้องต้น จะเข้าเท่านั้นครับ

    อย่าไปหลงแค่นี้ครับ อันนี้เพราะการทำสมาธิของพวกเราอย่าไปหลงของตื้น ๆ แค่นี้ ว่าเป็นความสุขผู้ที่หลงก็หลงที่ตั้งตนไว้มันผิดก็มี ความอยากเป็นบรมศาสดา ความอยากเป็นตัวแทนของพระองค์ท่าน ความอยากเป็นตัวแทนครูบาอาจารย์ เพราะกิเลสมันบัญชาให้อยากเป็นอย่างนั้น เพราะมันตกอยู่แค่โลกธรรม ในเมื่อทำตามอำนาจกิเลส พอได้กิเลสมันจับเชิดเอาครับ มีแค่นั้น

    เพราะนั้นเราต้องตั้งตนให้ถูก ตามหลักอัตตปัมมาปณิธิ คือตั้งตนไว้ชอบครับ อย่าไปนึกว่าจะต้องช่วยคนนี้จะต้องแก้คนนี้ มีแต่ความเมตตาสงสารคนอื่น นั้นมันตกบ่อ เรียกว่าเมตตาตกบ่อ เราต้องเอาเราเสียก่อน สำหรับจะสอนผู้อื่นใดไม่ได้นั้นไม่เกี่ยวครับ ไม่เกี่ยวถ้าเราเป็นไปได้แล้วละครับ เราค่อยว่ากัน เรามีวาสนาสอนได้ก็สอน ไม่มีวาสนาสอนก็ไม่ต้องครับ

    เหมือนอย่างผมเวลานี้เฟ้นควรสอนใครไม่ควรสอนใคร ผมไม่ลามปามหรอกครับ ผมว่าพูดไปแล้วไม่มีผลผมก็ไม่เอา พูดแล้วมีผลผมก็เอา ผมต้องวิเคราะห์เสียก่อนครับ หมายความว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงว่าการสอนไม่ลามปามครับ ในจะมีชื่อเสียงในการพูดในการสอนอย่างไรสุดแล้วแต่ ถือว่าผมผ่านมาหมดแล้วทั้งนั้นครับ ผมก็ถือว่าเป็นสิ่งหัวเราะก็มีแค่นั้นละครับ เพราะนั้นของพวกเราทุกท่านเตรียมตัวเตรียมใจแล้วทำตัวของเราให้ถูกต้องในเมื่อเจอผลแล้วจะไม่เสียนะครับ วันนี้ผมก็เล่าสู่ฟังก็แค่นี้ละครับ ก็ขอให้ทุกท่านทุกองค์จงนำไป ทดลองประพฤติปฏิบัติ ผมเชื่อว่าต้องได้รับผลแน่นอนครับ ผมขอยุติแค่นี้ครับ เอวัง

    <O:p</O:p
    ณ วัดอุโบสถวัดเขาสุกิม ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๒๖<O:p</O:p
     
  9. นักปราชญ์เมืองช้าง

    นักปราชญ์เมืองช้าง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอกราบนมัสการท่านพระอาจาย์ขออนุโมทนากับคำสอนสั่ง ที่ยังคงฝังเข้าสู่จิตใจของเราชาวพุทธ อยู่ตลอดกาล หลวงพ่อท่านยังอยู่กับเราไปตลอดเป็นห่วงกลัวเราท่านทั้งหลายติดอยู่ในห้วงของความทุกข์ แต่เมื่อนึกถึงธรรมะของหลวงพ่อ ก็มีเเรงบันดาลใจตลอด หลวงพ่อเตือนสติเราอยู่เรื่อยๆๆ กับการดำเนินชีวิต ธรรมะคือหน้าที่ คือ ธรรมชาติจริงๆๆ ครับ ขออนุโมทนา สาธุ
     
  10. ton_abc

    ton_abc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +550
    สาธุครับ เคยมีโอกาสไปกราบท่านที่โรงพยาบาลศิริราช แปลกไม่มีใครอยู่เฝ้าท่านเลย ผมก็ได้กราบและทำบุญกับท่านหนึ่งต่อหนึ่ง ปลื้มปิติมาก สายตาท่านคมมากท่านมีเมตตามาก ผมยังจำภาพนั้นได้ ตลอดชีวิต ขอบคุณครับ
     
  11. Kasem_a

    Kasem_a เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +508
    ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่วัดเขาสุกิมมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 ผมได้จดคาถามา 1 คาถา ไม่รู้ว่าเป็นคาถาเกี่ยวกับอะไร เพื่อนๆ ลองไปภาวนาดูนะครับ
    คาถานะมะอะอุ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นะหิจังงัง นะบังจังนะ<o:p></o:p>
    มะหิจังงัง นะบังจังนะ<o:p></o:p>
    อะหิจังงัง นะบังจังนะ<o:p></o:p>
    อุหิจังงัง อุมังจังอุ นะมะอะอุ
     
  12. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976

    [​IMG]

    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย


    [​IMG]


    [​IMG]


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 align=center bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD>
    หลวงปู่เมื่อครั้งงานบุญต่างๆ
    </TD></TR><TR><TD height=126>
    ทำบุญฉลองอายุหลวงปู่สมชาย ๗๘ ปี
    ๑๕ เมษายน ๒๕๔๗
    <TABLE width=582 border=0><TBODY><TR><TD width=284>
    [​IMG]
    </TD><TD width=288>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    หลวงปู่ร่วมงานถวายเพลิงศพ
    หลวงปู่คำพอง ติสฺโส
    [​IMG]
    [​IMG]
    หน้าหลัก
    http://www.luangpumun.org

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  13. อิสวาร์ยาไรท์

    อิสวาร์ยาไรท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,608
    ค่าพลัง:
    +1,955
    อนุโมทนา ค่ะ
     
  14. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    ท่านกล่าวไว้ชอบแล้วควรน้อมนำมาปฏิบัติ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...