ธรรมพเนจร กับหลวงปู่จันทา ตอน เห็นทูตนรกที่บ้านเฉลียงลับ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 28 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    ธรรมพเนจร กับหลวงปู่จันทา ตอน เห็นทูตนรกที่บ้านเฉลียงลับ
    [​IMG]
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้กราบลา หลวงปู่ทับ ออกเที่ยววิเวกไปกับท่านพระอาจารย์จันทร์ ซึ่งเป็นคนบ้านกระไดใหญ่ จ.ยโสธร ท่านอาจารย์จันทร์ได้ ๑๑ พรรษา เป็นหัวหน้าพาไป ขณะนั้นเป็นฤดูแล้ง ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้ไปพักอยู่ที่ วัดบ้านเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

    อยู่มาวันหนึ่ง ก็เลยตั้งใจ ฝึกจิตตามวิธีการที่หลวงปู่ทับสอนให้ มีหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งก็ ตั้งสัตย์ไว้ว่า จะไม่นอน วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ข้างก็ไม่ฉัน ทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วตั้งใจมั่น อธิษฐานว่า

    “ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้ หรือ คืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นนายะโก ผู้นำโลก คือหมู่สัตว์ออกจากวัฏฏทุกข์ได้แท้จริง”

    จากนั้นก็ออก เดินจงกรม ก้าวขวาว่า พุทโธ ก้าวซ้ายว่า ธัมโม ก้าวขวาว่า สังโฆ เมื่อครบ ๓ รอบแล้ว ก็ย่อคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า พุท ก้าวซ้ายว่า โธ ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ จนกระทั่งถึง ๖ โมงเย็นจึงหยุด ไปอาบน้ำชำระร่างกาย เสร็จแล้วก็ฉันน้ำร้อน

    จากนั้น เวลาเกือบ ๖ โมง ๓๐ นาที แสงอาทิตย์จวนจะหมดแล้ว ก็เอากลดไปกางบนศาลา แล้วเข้าที่อธิษฐาน ตั้งใจมั่นว่า

    “คืนนี้จะนั่งภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ และฝึกจิตให้จิตรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมต่าง ๆ นรก สวรรค์ นิพพานมีไหม ขอให้รู้เห็นเป็นไป จะได้สิ้นสงสัย”

    อธิษฐานแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็อุทิศส่วนบุญ จากนั้นเข้าที่ นั่งสมาธิ ชำระจิตใจให้ผ่องใส ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงให้หมดเสียสิ้น นั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น เฉพาะหน้า บริกรรม พุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ

    พอจิตยึดมั่นกับ พุทโธ ได้ไม่นาน จิตก็ปล่อยวาง พุทโธ เหลือแต่ผู้รู้ อยู่กับสติ พอจิตรวมลงไปนั้น จะไปนึกฐานอะไรก็ไม่ทราบ มันเป็นฐานใหญ่กว่า ขณิกสมาธิ ที่เคยเป็นมาแล้ว จิตก็วางกาย วางลม วางขันธ์ ลงถึงฐานใหญ่แสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืน เหมือนกลางวัน สว่างรุ่งโรจน์

    ในขณะนั้น มีความสุขและความเยือกเย็นร่าเริงบันเทิงเกิดขึ้นกล้าแข็ง จนรู้สึกแปลกประหลาดใจ นั่นแหละพอลงไปถึงฐานนั้นแล้ว จิตก็เสวยสุขอยู่ในที่นั้นนานพอสมควร ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาในหัวใจว่า

    “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ความสุขอื่นเสมอด้วยจิตสงบ ไม่มี”

    นี่แหละ พูดขึ้นมาอย่างนั้น อันนี้เป็น ภวังคภพภวังคจรณะ ภวังค์ใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อยู่ อ.กมลาไสย อันนี้ใหญ่กว่านั้น จะเป็นอะไรเล่า ถ้าพูดตามหลักธรรมก็เรียกว่า อุปจารสมาธิ พูดขึ้นมาอย่างนั้นว่า นี่แหละคืออุปจารสมาธิ สมาธิธรรมอันมั่นคงหนาแน่นนะ ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นจากการเจริญสมณธรรม

    ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาอีกว่า “ความสุขนี้ยังเป็นโลกียสุขอยู่ซึ่งไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แสงสว่างนี่คือ แสงพระนิพพาน แต่ยังไม่ใช่ตัวจริง เป็นรูปเปรียบเทียบเฉย ๆฉะนั้นอย่าเพิ่งติดสุข นักปราชญ์ พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ผู้ได้พบพระนิพพานนั้น เป็นผู้ทำความเพียรเวียนหาความพ้นทุกข์ ไม่ติดสุขทั้งนั้น”

    นั่นแหละ เมื่อตั้งมั่นพอสมควรแล้ว ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์

    อนิจจตา ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ แปรปรวนเปลี่ยนแปลงยักย้ายกลายมาเป็นอื่น ตั้งแต่วันเกิดมาโน่น จนถึงวันนี้ จากวันนี้ก็จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอีกข้างหน้าโน้น

    ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ ทุกถ้วนหน้า โลก คือหมู่สัตว์ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น เพราะเป็นทุกข์ เพราะใจห่วง ใจยึด

    อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราเสียสิ้น นั่นแหละ พิจารณาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์เสมอ มันจึงจะเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด ยึดธาตุขันธ์ว่า ขันธ์เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ขันธ์มีในตน ตนมีในขันธ์ ไม่ใช่หรอก เป็นแต่เพียงสัมภาระปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว ไม่แน่นอน ไม่นานก็พลัดพรากจากกันไปเท่านั้น เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทอดทิ้งไว้ อย่าเพิ่งสงสัย ยึดมั่นอยู่เลย ยึดไว้พอเป็นปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว เพื่อให้มันได้ตน ได้ธรรม ได้บุญ ได้กุศล มรรคผลที่เกิดขึ้นจากสมบัติอันนี้ แล้วก็พิจารณาอย่างนั้น อนุโลม ปฏิโลม เดินหน้า ถอยหลัง ตัวเองก็แจ้งชัด คนอื่นภายนอกก็แจ้งชัด ก็สิ้นสงสัย

    อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปรายนา ฯ ทั้งจนและมี ดีและชั่ว นอกบ้าน ในบ้าน นอกเมือง ในเมือง ใต้น้ำ บนบก ใต้ดิน บนอากาศทุกถ้วนหน้า เกิดมาแล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลง แก่เจ็บตายทอดทิ้งไว้ทุกถ้วนหน้าทั้งหมด นั่นแหละ ได้ยิน ได้ฟังได้เห็นอย่างนั้น จิตก็สังเวชสลดใจจนน้ำตาไหล เกิดความขนัน หมั่นในการทำความเพียรไม่ลดละ

    จนกระทั่ง ล่วงไปถึงตีสอง ๓๐ นาที มีนิมิตผ่านเข้ามา เป็น นายนิริยบาล ๘ คน เดินทางออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมา ขนาดมนุษย์เรา ๖ คน จึงจะเท่ากับเขา ๑ คนนะ ผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะ มือถือง้าวปลายแหลม เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ - ๓ วาเท่านั้น

    คนที่เป็นหัวหน้าก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้ง ๘ คนนี้เป็นนายนิริยบาล มาจากเมืองนรก มาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์ให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”

    “พวกท่านเป็น นายนิริยบาล มาจากเมืองนรกจริงหรือ ?”

    “จริง ! ...ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า นายนิริยบาล นายนิริยบาลเปรียบเสมือนกับพลตำรวจก็มี และมี จ่ายมบาล ซึ่งเปรียบเสมือนอธิบดีกรมตำรวจ คอยควบคุมบัญชาการอีกที”

    ถามเขาไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร ?”

    เขาก็บอกว่า “ความดีก็ทำ ความชั่วก็ทำ เอาหมดทั้งนั้น ไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว กรรมดีและชั่วนั้นจึงพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิริยบาล ทำงานอยู่ในเมืองนรก”

    จากนั้นก็ถามเขาอีกว่า “นรกนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ?”

    เขาก็บอกว่า “นรกนั้นอยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหาก อยู่ระหว่างกึ่งกลางของ ๓ จังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์”

    “นรกนั้น เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ ประการใด ?”

    “เป็นทุกข์ หาสุขไม่มี”

    “ทุกข์อย่างไร ?”

    “ทุกข์เพราะถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิริยบาล เป็นทุกข์อย่านั้น หาสุขไม่มี”

    “พวกท่านที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้นเล่า เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ประการใด ?”

    “เป็นทุกข์ครึ่งหนึ่งของสัตว์นรกเหล่านั้น”

    “เป็นทุกข์อย่างไร ?”

    “เป็นทุกข์ในขณะที่ไปสังหารสัตว์นรก ตรวจตราสัตว์นรก ถูกไฟนรกปลิวขึ้นมาไหม้ ถูกน้ำร้อนกระเด็นขึ้นมา ลวกแทบจะตาย นี่เป็นเพราะกรรมชั่วที่สะสมไว้เมื่อครั้งยังชาติเป็นมนุษย์โน้น จึงให้ผลเป็นทุกข์อย่างนั้น ครั้นพอเลิกจากงาน ก็กลับมาอยู่ปราสาทราชมณเฑียร กินของทิพย์อยู่สุขสบาย เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ครั้งยังชาติเป็นมนุษย์ทั้งนั้น”

    “คนในเมืองไทยนี่ ก็คงจะไปนรก กันหมดทุกคนใช่ไหม ?”

    “เปล่า !... คนที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมนั้น ไม่ได้ไป ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรก”

    “ฉะนั้น แสดงว่า คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล เมื่อตายแล้ว พวกท่านไปนำเขามาทั้งหมด ใช่หรือไม่ ?”

    “ใช่ !... คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าชาติใด ภาษามด ทั้งนั้นมีรายชื่ออยู่ในบัญชีของจ่ายมบาลทั้งหมด เขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตามที จะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”

    ถามเขาไปอีกว่า “นรกนั้น มีมากน้อยเท่าไหร่ ?”

    เขาก็ตอบว่า “เฉพาะในเมืองไทยนี่ก็มีหลายขุม ๔ ภาค ก็คงจะ ๔ ขุมใหญ่ ๆ นั่นแหละ”

    อาตมาก็เคยเห็นใน มหาวิบากสูตร และใน พระมาลัยสูตร กล่าวว่า นรกในโลกมนุษย์นี้มีทั้งหมด ๔๕๖ ขุม ทีนี้ก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า

    “เอาเฉพาะคนในเมืองไทยนี่แหละ เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ศาสนาพุทธ ก็ว่า ผู้ถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ ส่วนศาสนาอื่น ๆ เขาก็ว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป และไปสวรรค์ได้ เมื่อทำบาปหยาบช้าทั้งหลายทั้งปวงลงไป พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์นั้นจะเป็นผู้รับแทนทั้งหมด และว่า พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์เป็นผู้สร้างโลก มันจะเป็นจริงอย่างเขาว่านั้นหรือไม่ ?”

    “ไม่หรอกท่าน...พูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวกตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลก และคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความดีนั้น เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปมนุษย์และสวรรค์นั้น สะอาดเตียนดี เหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องของบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปนรกนั้น สะอาด เตียนดี เปลวไฟในในนรกที่ลุกรุ่งโรจน์ ก็สำคัญว่าเป็นกองดอกไม้ สัตว์ร้องครางร้องไห้คร่ำครวญเลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่า เป็นสายสร้อยสังวาลสนุกสนาน นั่นก็เพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น กลับมองเห็นเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนาม นั่นแหละเรื่องของบาป”

    ได้ซักถามเขาต่อไปอีกว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ต่างศาสนากัน เมื่อตายไป และถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกแล้ว ทำอย่างไรต่อไป ?”

    เขาตอบว่า “เมื่อถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาล จะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำกิจการงานใดเลี้ยงชีพ บางคนก็ตอบว่า ค้าขาย บ้างก็ว่า ทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่า รับราชการ ต่าง ๆ กันไป”

    จากนั้น จ่ายมบาลจะถามต่อไปว่า “นับถือศาสนาอะไร ?” บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม สิกข์ และฮินดู แตกต่างกันไป

    ทีนี้ จ่ายมบาลจะถามถึง เทวทูตทั้ง ๕ (ทูตะ แปลว่า เครื่องส่ง เครื่องรับรอง) คือ ๑. ชาติ ความเกิด ๒. ชรา ความแก่ ๓. พยาธิ ความปวดไข้ ๔. มรณะ ความตาย และ ๕. นักโทษในเรือนจำ นั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร โดยถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็ถามศาสนาพุทธก่อน

    ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชาย ก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น ฝังอยู่ที่ใจของเขา จึงดลบันดาลจิตใจให้เป็นปราชญ์ฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น โดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้น
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญบูชาสมเด็จปฐวีธาตุหลวงปู่คำพันธ์ร่วมปิดทองสมเด็จโต๖๙นิ้ว.552849/
     

แชร์หน้านี้

Loading...