ธรรมพระบูรพาจารย์(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 14 ตุลาคม 2011.

  1. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    ขอบพระคุณท่าน AVATAAR เป็นอย่างสูงค่ะ การพิจารณาขันธ์ 5 ต้องอาศัยมหาสติปัฏฐาน 4 ยังไม่เข้าใจละเอียดทีดเดียว แต่จะพยายามฝึกพิจารณาค่ะ อนุโมทนาบุญกับทานด้วยค่ะ
     
  2. _nnn_123

    _nnn_123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +567
    มาเป็นอีก 1 กำลังใจนะคะ.....เชื่อว่า...มารไม่มีบารมีไม่เกิด คะ...เราเกิดเป็นมนุษย์..ย่อมต้องมีอุปสรรค เพราะต้องเกิดวิบากที่เป็นบททดสอบให้ผ่าน
    เป็นกำลังใจ นะคะ ...ขอบคุณอีกครั้งคะ คุณคุรุวาโร สำหรับคำแนะนะ
     
  3. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    การบรรลุมรรคผลนั้น ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน แต่เป็นเรื่องประณีต รู้ตามเห็นตามได้
    แต่เห็นเป็นเฉพาะบุคคล สำหรับผู้ปฏิบัติเท่านั้น จึงจะรู้ได้เฉพาะตน
     
  4. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    อนุโมทนากับท่าน AVARTAAR ด้วยค่ะ
    ได้ข้อคิดสะกิดใจเสมอ เวลาอ่านธรรมะของท่าน
     
  5. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    สาธุค่ะท่าน จะเพียรพยายามค่ะ เป็นเรื่องประณีต คำนี้เจนเข้าใจค่ะท่าน เพราะจากการตั้งใจ ทุกอริยบท ธรรมภายใจใจเริ่มเกิดขึ้น เราจะเรียกว่าเป็นธรรมของเราเองได้ไหมค่ะ คือเราไม่ได้ตั้งใจ แต่จะวิปัสนาเอง เมื่อก่อนนี้เป็นวิปัสนึก วิปัสนากับวิปัสนึก ต่างกัน เพิ่งจะเข้าใจ เมื่อก่อนบ่นท้อ แต่เดี๋ยวนี้ กำลังใจเต็มแล้วค่ะท่าน หากมีคำแนะนำอื่นใด เมตตาชี้แนะด้วยค่ะ
     
  6. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    ธรรมทั้งปวงเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ธรรมของเขาของเรา...

    ธรรมนั้นไว้สำหรับให้เรียนรู้หมั่นพิจารณา ไม่เฉพาะธรรมขาวหรือดำ ไม่ได้นำมายึดติด คิดว่าดีเด่วิเศษวิโสหรือเที่ยวโชว์อิทธิฤทธิ์ในภพภูมิ

    ธรรมก็คือธรรมอยู่นั่นเอง

    วิปัสสนา และ วิปัสสนึก แตกต่างกันตรงไหน

    วิปัสสนา นำธรรมทั้งปวง มาพิจารณาลงเป็นไตรลักษณ์แล้วจบ

    วิปัสสนึก นำธรรมทั้งปวง มาพิจารณาแล้วปรุงแต่งจิตให้มหัศจรรย์ต่อไปอีกยาวไกลไม่รู้จบ...เมื่อเราไม่รู้เราจึงวิ่งวุ่นหมุนติ้ววนเวียนอยู่ในภพในชาติต่อไป หาต้นหาปลายไม่ได้....
     
  7. tukktikk

    tukktikk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    กราบสวัสดีทุกๆท่านค่ะ

    เนื่องด้วย ดิฉันเพิ่งสมัครสมาชิกใหม่ นะคะ ขอสวัสดีเเละขอคำชี้แนะบางประการ ดังนี้ค่ะ
    1.ถ้าดิฉันจะฝึกสมาธิด้วยการสวดมนต์เกือบทุกวัน แต่มิได้ทำการนั่งสมาธิเลยจะได้ไหมคะ เพราะ รู้สึกว่าเวลานั่งเเล้วฟุ้งซ่าน
    2.เนื่องด้วยเมื่อคืน ฝันว่าโดนผู้ชายนั่งทับจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาสวดมนต์ เเล้วนอนต่อไม่ค่อยหลับสนิท จนฝันว่าจิตส่วนที่เป็นศีรษะจะหลุดออกจากตัว จึงสะดุ้งตื่น แบบนี้มีผลร้ายไหมคะ จะต้องแก้ไขเช่นไรคะ

    ขอบพระคุณมากค่ะ
     
  8. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    กราบขอบพระคุณท่านมากค่ะ เข้ามาอ่านได้ความรู้เพิ่มเติมทุกครั้ง เมื่อพิจารณาธรรมแล้ว รู้ธรรม วางธรรม รู้ธรรมหมายถึงทุกอย่างแจ้งลงที่ไตรลักษณ์ โอ..ข้อนี้ กราบขอบพระคุณท่านมากค่ะ การรู้ธรรมนัีั้น ต้องรู้แบบหยาบ กลาง ละเอียด อย่างนั้นใช่หรือไม่ค่ัะ
     
  9. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    ถ้าให้เปรียบเทียบกันการสวดมนต์และการนั่งทำสมาธิก็เหมือนกันแหละครับเพราะจุดประสงค์ก็เพื่อให้จิตตั้งมั่นไม่แส่ส่ายเหมือนกัน
    เมื่อจิตมีความสุขอยู่กับอารมณ์อันเดียวใจก็จะเป็นสมาธิ
    การสวดมนต์จิตเราก็อยู่กับบทสวดไม่ซัดส่ายเฉไฉไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้จะจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์อย่างเดียวใจก็สงบตั้งมั่นมีสมาธิ
    การนั่งสมาธิจิตเราก็อยู่กับคำบริกรรมหรือลมหายใจก็ได้เมื่อจิตแส่ส่ายไปหรือจิตไหวไปไหนทางไหนเราก็รู้ก็ดึงกลับมาเพราะเราสร้างเครื่องอยู่ของจิตไว้คือ คำบริกรรมหรือลมหายใจ

    แล้วแต่คุณชอบปฏิบัติแบบไหนแล้วจิตโล่งโปร่งเบาสบายเหมาะแก่การงานก็เลือกเอาอันนั้นเป็นหลักนะครับ ถ้าเรานั่งแล้วชอบฟุ้งซ่าน การสวดมนต์ทำสมาธิได้ดีกว่าก็ได้ครับ เพราะแล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละท่านไม่เหมือนกันครับ

    อย่าลืมเจริญปัญญานะครับ พิจารณาทุกสิ่งลงในไตรลักษณ์จึงจะเรียกวิปัสสนาวิปัสสนาจะยังปัญญาให้เราสมถะสมาธิเอาไว้ทำความสงบพักผ่อนให้จิตมีกำลังตั้งมั่นในการที่จะเจริญปัญญา<O:p</O:p
    บุคคลบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยปัญญาญาณ ไม่ใช่อภิญญาญาน(ยกเว้นไว้เฉพาะอาสวขยญาณเท่านั้น สำหรับญาณอื่นไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นไปได้)



    สำหรับเรื่องความฝันก็เป็นนิมิตอย่างหนึ่ง อย่าไปใส่ใจ หรือเป็นสุขเป็นทุกข์กับความฝันนั้นเลยครับ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฝันทุกวันตีความกันทุกวันยุ่งตายเลยเฉพาะเรื่องที่ดำเนินอยู่ก็วุ่นวายพอแล้ว อย่าเอาความฝันลงมาผสมโรงด้วยเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2011
  10. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    ภูมิจิตภูมิธรรมก็เป็นขั้นเป็นตอนไปครับ ก่อนที่เราจะวางธรรมนั้นเราต้องรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวงก่อน

    การรู้ธรรมก็เหมือนได้ปัญญา ในที่นี้เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการเจริญภาวนา

    กิเลส อย่างหยาบ ก็ใช้ศีลเป็นเครื่องมือระงับได้

    กิเลส อย่างกลาง ใช้สมถะสมาธิเป็นเครื่องรู้ระงับได้

    กิเลส อย่างละเอียด ต้องใช้ปัญญาเท่านั้นจึงจะรู้เท่าทัน

    เป็นขั้นเป็นตอนเป็นลำดับๆไปครับ
     
  11. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603

    ส่วนความรู้จริงๆ ที่เป็นรากฐานแห่งความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดดับๆ นี้ไม่ดับ เราจะพูดว่า จิตนี้ดับไม่ได้เราจะพูดว่าจิตนี้เกิดไม่ได้เพราะฉะนั้นจิตที่บริสุทธิ์แล้วจึงหมดปัญหาในเรื่องเกิดเรื่องตายที่เกี่ยวกับธาตุขันธ์ไปถือกำเนิดเกิดที่นั่นที่นี่ แสดงตัวอันหยาบออกมา เช่นเป็นสัตว์เป็นบุคคลเหล่านั้น เป็นต้นจึงไม่มีสำหรับจิตท่านที่บริสุทธิ์แล้ว


    แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์ก็พวกนี้แหละไปเกิดไปตายหมายป่าช้าอยู่ไม่หยุดเพราะจิตที่ไม่ตายนี้แหละ


    ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนโลก เฉพาะอย่างยิ่งคือโลกมนุษย์เรา ผู้ที่รู้ดีรู้ชั่วรู้บาปบุญคุณโทษ และรู้วิธีการที่จะแก้ไขดัดแปลงหรือส่งเสริมได้เข้าใจในภาษาธรรมที่ท่านแสดง ท่านจึงได้ประกาศสอนโลกมนุษย์เป็นสำคัญกว่าโลกอื่นๆเพื่อจะได้พยายามดัดแปลงหรือแก้ไขสิ่งที่เห็นว่าไม่เกิดประโยชน์และเป็นโทษออกจากจิตใจกายวาจา และสอนให้พยายามบำรุงส่งเสริมความดีที่พอมีอยู่บ้างแล้วหรือมีอยู่แล้ว และที่ยังไม่มีให้มีให้เกิดขึ้นสิ่งที่มีแล้วบำรุงรักษาให้เจริญเพื่อเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความชุ่มเย็นมีความสงบสุขมีหลักมีเกณฑ์ด้วยคุณธรรมคือความดีหากได้เคลื่อนย้ายจากธาตุขันธ์ปัจจุบันนี้ไปสู่สถานที่ใด ภพใดชาติใดจิตที่มีความดีเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ ย่อมเป็นจิตที่ดี ไปก็ไปดีแม้จะเกิดก็เกิดดี อยู่ก็อยู่ดี มีความสุขเรื่อยๆไป


    จน กว่าจิตนี้จะมีกำลังสามารถอำนาจวาสนามีบุญญาภิสมภารที่ได้สร้างโดยลำดับลำดานับตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ต่อเนื่องกันมาเช่นวานนี้เป็นอดีตสำหรับวันนี้ วันนี้เป็นอดีตสำหรับวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันที่เราได้สร้างความดีมาด้วยกันทั้งนั้น และหนุนกันเป็นลำดับจนกระทั่งจิตมีกำลังกล้าสามารถ เพราะอำนาจแห่งความดีนี้เป็นเครื่องสนับสนุนแล้วผ่านพ้นไปได้
     
  12. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    คำว่า สมมุติ คือ การเกิดการตายดังที่เป็นอยู่นั้น จะไปเกิดในภพที่เงียบๆละเอียดขนาดไหนก็ตาม ที่เป็นเรื่องของสมมุติแฝงอยู่นั้นจึงไม่มีท่านผ่านไปหมดโดยประการทั้งปวง
    นี่ได้แก่จิตพระอรหันต์และจิตพระพุทธเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังมีเรื่องของ “พระวังคีสะ”

    พระวังคีสะ
    ท่านเก่งมากในการที่ดูจิตผู้ที่ตายแล้ว ไปเกิดในภพใดแดนใด ตั้งแต่ท่านเป็นฆราวาสใครตายก็ตาม
    จะว่าท่านเป็นหมอดูก็พูดไม่ถนัด ท่านเก่งทางไสยศาสตร์นั่นแหละเวลาใครตายเขานำเอากะโหลกศีรษะมาให้เคาะ ป๊อก ๆๆ
    กำหนดดูทราบว่าอันนั้นไปเกิดที่นั่น ๆ เช่นไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็บอกไปเกิดในสวรรค์ก็บอก ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานไปเกิดเป็นเปรตเป็นผีอะไรท่านบอกหมดไม่มีอัดมีอั้น
    บอกได้ทั้งนั้นขอให้ได้เคาะกะโหลกศีรษะของผู้ตายนั้นก็แล้วกัน


    พอท่านวังคีสะได้ทราบจากเพื่อนฝูงเล่าให้ฟังว่าพระพุทธเจ้ายังเก่งกว่านี้อีกหลายเท่า
    ท่านอยากได้ความรู้เพิ่มเติมจึงไปยังสำนักพระพุทธเจ้าเพื่อขอเรียนวิชาแขนงนี้เพิ่มเติมอีก
    พอไปถึงพระพุทธเจ้าท่านก็เอาศีรษะพระอรหันต์มาให้เคาะ เอ้า ลองดูซิไปเกิดที่ไหน?”
    เคาะแล้วฟัง เงียบ, เคาะแล้วฟัง เงียบ, คิดแล้วเงียบ กำหนดแล้วเงียบไม่ปรากฏว่าเจ้าของกะโหลกศีรษะนี้ไปเกิดที่ไหน!


    ท่านจนตรอก ท่านพูดสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ทราบที่เกิด


    ทีแรกพระวังคีสะนี้ว่าตัวเก่งเฉลียวฉลาดจะไปแข่งกับพระพุทธเจ้าเสียก่อนก่อนจะเรียนต่อ
    พอไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์เอากะโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้เคาะนี่ ซิ ! ท่านมาติดตรงนี้!

    ทีนี้ก็อยากจะเรียนต่อ ถ้าเรียนได้แล้วก็จะวิเศษวิโสมากเมื่อการณ์เป็นไปเช่นนั้นก็ขอเรียนที่สำนักพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนวิชาให้สอนวิธีให้ คือสอนวิชาธรรมนี่ให้ ฝึกปฏิบัติไป ๆพระวังคีสะก็เลยสำเร็จพระอรหันต์ขึ้นมา
    เลยไม่สนใจจะไปเคาะศีรษะใครอีกนอกจากเคาะศีรษะเจ้าของ รู้แจ้งชัดเจนแล้วหมดปัญหาไปเลย นี่เรียกว่าเคาะศีรษะที่ถูกต้อง”!


    เมื่อยกเรื่องจิตที่ไม่เกิดขึ้นมากะโหลกศีรษะของท่านผู้บริสุทธิ์แล้วเคาะเท่าไรก็ไม่รู้ว่าไปเกิดที่ไหน!
    ทั้งๆที่พระวังคีสะแต่ก่อนเก่งมากแต่จิตที่บริสุทธิ์แล้วหาที่เกิดไม่ได้ !เช่น พระโคธิกะก็เหมือนกันนี้ก็น่าเป็นคติอยู่ไม่น้อย
    ท่านไปบำเพ็ญสมณธรรมเจริญขึ้นไปโดยลำดับๆ แล้วเสื่อมลงเจริญขึ้นเสื่อมลง ฟังว่าถึงหกหนหนที่เจ็ดท่านจะเอามีดโกนมาเชือดคอตนเอง
    โอ้ เสียใจแต่ กลับได้สติขึ้นมาจึงได้พิจารณาธรรมจนได้เป็นพระอรหันต์ในวาระสุดท้าย
    อันนี้เราพูดย่อเอาเลยตอนท่านนิพพาน พวกพญามารก็มาค้นหาวิญญาณของท่าน
    พูดตามภาษาเราก็ว่า ตลบเมฆเลยการขุดการค้นหาวิญญาณของท่านนั้นไม่เจอ เลยไม่ทราบว่าท่านไปเกิดที่ไหน


    พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า การที่จะค้นหาวิญญาณของพระโคธิกะที่เป็นบุตรของเราซึ่งเป็นผู้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้วโดยประการทั้งปวงนั้น
    จะขุดจะค้นจะพิจารณาเท่าไรหรือพลิกแผ่นดินค้นหาวิญญาณท่านก็ไม่เจอ มันสุดวิสัยของสมมุติแล้วจะเจออย่างไร!
    มันเลยวิสัยของคนที่มีกิเลสจะไปทราบอำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านได้!

    ( พระวังคีสเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณ /บวชเพื่อเรียนมนต์ )
     
  13. มารกิเลส

    มารกิเลส สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    อยู่ระหว่างฝึกปฏิบัติอยู่ครับ...ขอคำแนะนำด้วยคนครับ
     
  14. mongkol20

    mongkol20 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +14
    รบกวนดูให้ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  15. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    ในวงสมมุติทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดจะสามารถตามวิถีจิตของพระอรหันต์ท่านได้เพราะท่านนอกสมมุติไปแล้ว จะเป็นจิตเหมือนกันก็ตาม
    ลองพิจารณาดูซิจิตของเราที่กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่เวลานี้ก็ตามเมื่อได้ถูกชำระเข้าไปโดยสม่ำเสมอไม่หยุดไม่ถอย
    ไม่ละความเพียรแล้วจะค่อยละเอียดไปได้ จนละเอียดถึงที่สุด ความละเอียดก็หมดไปเพราะความละเอียดนั้นเป็นสมมุติ
    เหลือแต่ธรรมชาติทองทั้งแท่งหรือธรรมทั้งดวงที่เรียกว่า “จิตบริสุทธิ์
    แล้วก็หมดปัญหาอีกเช่นเดียวกันเพราะกลายเป็นจิตประเสริฐเช่นเดียวกับจิตของท่านที่พ้นไปแล้วนั้นนั่นแล


    จิต ประเภทนี้เป็นเหมือนกันหมดไม่นิยมเป็นผู้หญิงผู้ชาย นี่เป็นเพศหรือสมมุติอันหนึ่งต่างหาก
    ส่วนจิตนั้นไม่ได้นิยมว่าเป็นหญิงเป็นชายความสามารถในอรรถในธรรมจึงมีได้ทั้งหญิงทั้งชาย
    และความสามารถที่บรรลุธรรมขั้นต่างๆจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นไปได้ ก็เป็นไปได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายไม่มีกฎเกณฑ์ที่จะบังคับกันได้
    ขอแต่ความสามารถอำนาจวาสนาของตนพอแล้วเป็นอันผ่านไปได้ด้วยกันทั้งนั้น


    เพราะฉะนั้นเราจึงควรพยายามอบรมจิตใจของเรา อย่างน้อยก็ให้ได้ความสงบเย็นจะด้วยธรรมบทใดก็ตาม

    ที่เป็นธรรมซึ่งจะกล่อมให้จิตมีความสงบแล้วปรากฏเป็นความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมาภายในจิตใจ
    พึงนำธรรมบทนั้นมาเป็นเครื่องกำกับ มาเป็นเครื่องพึ่งพึง เป็นเครื่องยึดของจิต
    เช่นอานาปานสติซึ่งเป็นกรรมฐานสำคัญบทหนึ่งในวงปฏิบัติทั้งหลาย
    รู้สึกว่าอานาปานสติจะเป็นธรรมที่ถูกกับจริตนิสัยของคนจำนวนมากกว่าธรรมบทอื่นๆ
    และนำเข้ามาประพฤติปฏิบัติภายในจิตใจของเราให้ได้รับความสงบเย็น


    เมื่อใจเริ่มสงบ เราก็จะเริ่มเห็นสาระของใจ
    หรือจะเริ่มเห็นใจว่าเป็นอะไร เป็นอย่างไรก็คือความที่จิตรวมกระแสของตัวเข้ามาสู่จุดเดียว เป็นความรู้ล้วนๆ อยู่ภายในตัวนั้นแหละท่านเรียกว่าจิต

    ความรวมตัวเข้ามาของจิตนี้ รวมเข้ามาตามขั้นตามความสามารถ ตามความละเอียดของจิต ตามขั้นของจิตที่มีความละเอียดเป็นลำดับ
    ถ้าจิตยังหยาบรวมตัวเข้ามาก็พอทราบได้เหมือนกันเมื่อจิตละเอียดเข้าไปก็ทราบความละเอียดลงไปอีกว่า
    จิตนี้ละเอียด จิตนี้ผ่องใส จิตนี้สงบยิ่ง จิตนี้เป็นของอัศจรรย์ ยิ่งขึ้นไปโดยลำดับๆจิตดวงเดียวนี้แหละ!


    การชำระการอบรมเพื่อความสงบการพิจารณาค้นคว้าแก้ไขสิ่งที่ขัดข้องภายในจิตด้วยปัญญา
    ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้จิตก้าวหน้าหรือทำให้ถึงความจริงของจิตได้โดยลำดับ
    ด้วยการกระทำดังที่กล่าวนี้ใจจะหยาบขนาดไหนก็หยาบเถอะถ้าลงความเพียรได้พยายามติดต่อกันอยู่เสมอด้วยความอุตส่าห์พยายามของเราอยู่
    แล้วความหยาบนั้นก็จะค่อยหมดไป ๆความละเอียดจะค่อยปรากฏขึ้นมาเพราะการกระทำหรือการบำเพ็ญของเรา
    จนกระทั่งสามารถผ่านพ้นด้วยการฟาดฟันกิเลสให้แหลกไปได้เช่นเดียวกันหมดไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
     
  16. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603


    ในขณะที่เรายังไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ก็ไม่ต้องเดือดร้อนใจขอให้ทำใจให้มีหลักมีเกณฑ์ เป็นที่ยึดเป็นที่พึ่งของตนเอง
    ได้ส่วนสกลกายนี้เราก็พึ่งเขามาแล้วตั้งแต่วันเกิด ทราบได้ด้วยกัน พาอยู่พานอนพาขับพาถ่าย พาทำงานทำการ ทำมาหาเลี้ยงชีพ
    ทั้งเราใช้เขา ทั้งเขาใช้เราทั้งเขาบังคับเรา ทั้งเราบังคับเขา เช่น บังคับให้ทำงานแล้วเขาก็บังคับเราให้เป็นทุกข์ ปวดนั่นเจ็บนี่
    ต้องไปหาหยูกหายามารักษาก็เขานั่นแหละเป็นคนเจ็บ
    และก็เขานั่นแหละเป็นคนหาหยูกหายาเงินทองข้าวของก็เขาแหละหามามันหนุนกันไปหนุนกันมาอยู่อย่างนี้


    ไม่ทราบว่าใครเป็นใหญ่กว่าใคร ธาตุขันธ์กับเรา?
    เราบังคับเขาได้ชั่วกาล และเขาก็บังคับเราได้ตลอด!
    การ เจ็บไข้ได้ป่วย การหิวกระหายการอยากหลับอยากนอน ล้วนแต่เป็นเรื่องกองทุกข์ซึ่งเขาบังคับเราทั้งนั้นและบังคับทุกด้าน
    แต่เราบังคับเขาได้เพียงเล็กๆ น้อยๆฉะนั้นในกาลอันควรที่เราจะบังคับเขา ให้พาเขาภาวนา
    เอ้า ทำลงไปเมื่อธาตุขันธ์มันปกติอยู่ จะหนักเบามากน้อยเพียงไรก็ทำลงไป แต่ถ้าธาตุขันธ์ไม่ปกติมีการเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ต้องรู้ความหนักเบาของธาตุขันธ์

    เรื่องใจให้เป็นความเพียรอยู่ภายในตัวอย่าลดละปล่อยวางเพราะเป็นกิจจำเป็น


    เราอาศัยเขามานานแล้ว เวลานี้มันชำรุดทรุดโทรมก็ให้ทราบว่ามันชำรุดอันไหนที่ควรจะใช้ได้ อันไหนที่ใช้ไม่ได้
    เราเป็นเจ้าของทราบอยู่แก่ใจที่ควรลดหย่อนผ่อนผันก็ผ่อนผันไป


    ส่วนใจที่ไม่เจ็บป่วยไปตามขันธ์ ก็ควรเร่งความเพียรอยู่ภายในไม่ขาดประโยชน์ที่ควรได้รับ
    ให้ใจมีหลักมีเกณฑ์ อยู่ก็มีหลัก ตายก็มีหลักเกิดที่ไหนก็ให้มีหลักเกณฑ์อันดีเป็นที่พึงพอใจ
    คำว่า บุญก็ไม่ให้ผิดคาดผิดหมายไม่ให้ผิดหวัง ให้มีสิ่งที่พึงพอใจอยู่ตลอดเวลา
    สมกับเรา สร้างบุญคือความสุขที่โลกต้องการด้วยกัน ไม่มีใครอิ่มพอก็คือความสุขนี่แหละจะเป็นสุขทางไหนก็ตามเป็นสิ่งที่โลกต้องการ
    เฉพาะอย่างยิ่งสุขทางใจซึ่งจะเกิดขึ้นเพราะการทำคุณงามความดีเป็นลำดับๆ มีภาวนาเป็นต้น


    นี่เป็นความสุขอันเป็นแก่น หรือเป็นสาระสำคัญภายในใจฉะนั้นให้พากันบำเพ็ญในเวลาร่างกายหรือธาตุขันธ์ยังเป็นไปอยู่
    เมื่อถึงอวสานแห่งชีวิตแล้วมันสุดวิสัยด้วยกัน ทำได้มากน้อยก็ต้องหยุดในเวลานั้นเรียกว่าหยุดงานพักงาน และเสวยผลในอันดับต่อไป


    โน่น! ภพต่อไปโน่น! ควร จะทำได้เราก็ทำถ้าผ่านไปเสียหรือหลุดพ้นไปได้ ก็หมดปัญหาด้วยประการทั้งปวงไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงต่อไป
    นี่พูดถึงเรื่องจิต เพราะจิตเป็นหลักใหญ่ที่จะพาเราไปดีไปชั่ว ไปสุขไปทุกข์ ก็คือจิตไม่ใช่สิ่งอื่นใดที่จะพาให้เป็นไป


     
  17. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603


    คำว่า กรรมว่า เวรก็อยู่ที่จิตเป็นผู้สร้างไว้ ตนจะจำได้หรือไม่ได้ก็ตามแต่เชื้อของมัน
    ซึ่งมีอยู่ภายในใจนั้นก็ปิดไม่อยู่ในการให้ผลเพราะเป็นรากเหง้าอยู่ในจิต เราก็ยอมรับไปตามกรรมนั้น แต่เราอย่าไปตำหนิมัน
    เมื่อเราทำลงไปแล้วก็เป็นอันทำ จะไปตำหนิได้อย่างไร มือเขียนต้องมือลบยอมรับกันไปเหมือนนักกีฬา เรื่องของกรรมเป็นอย่างนั้น

    จนกว่าจะพ้นไปได้มันก็หมดปัญหานั่นแหละ


    ต่อไปให้ท่านปัญญา (ภิกษุปัญญาวัฑโฒ Peter John MORGAN ชาวอังกฤษ)อธิบายให้ท่านเหล่านี้ฟังเพราะมีชาวต่างประเทศอยู่ด้วย
     
  18. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    สำหรับคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงที่ถามผ่านมาแล้วคุณคุรุวาโรยังไม่ได้ตอบนั้น

    ท่านมาจากเทวสถานนิมานรดีทุกท่าน...ที่สำคัญ พัฒนาภูมิจิตภูมิธรรมของท่านๆนะครับ...ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก..อย่าประมาท...

    อ่านกระทู้ที่ 660 ครับ...

    ขอให้ทุกท่านเจริญยิ่งขึ้นในธรรมอันประเสริฐทั้งปวง....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2011
  19. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    การพิจารณาขันธ์ 5 ของท่านพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต

    <O:p</O:p
    พระธรรมเจดีย์ : สาธุข้าพเจ้าเข้าใจได้ความในเรื่องนี้ชัดเจนดีแล้ว แต่ขันธ์ 5 นั้นยังไม่ได้ความว่าจะเกิดขึ้นที่ละอย่างสองอย่าง หรือว่าต้องเกิดพร้อมกันทั้ง 5 ขันธ์

    พระอาจารย์มั่น : ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 5 ขันธ์

    พระธรรมเจดีย์ : ขันธ์ 5 ที่เกิดพร้อมกันนั้น มีลักษณะอย่างไร? และความดับไปมีอาการอย่างไร? ขอให้ชี้ตัวอย่างให้ขาวสักหน่อย

    พระอาจารย์มั่น : เช่นเวลาเรานึกถึงรูปคนหรือรูปสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งอาการที่นึกขึ้นนั้นเป็นลักษณะของสังขารขันธ์
    รูปร่างหรือสิ่งของเหล่านั้นมาปรากฎขึ้นในใจนี่เป็นลักษณะของรูปสัญญา
    ความรู้ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นนี่เป็นลักษณะของมโนวิญญาณ
    สุขหรือทุกข์หรืออุเบกขาที่เกิดขึ้นในคราวนั้น นี่เป็นลักษณะของเวทนา
    มหาภูตรูปหรืออุปาทานรูปที่ปรากฎอยู่นั้น เป็นลักษณะของรูปอย่างนี้เรียกว่าความเกิดขึ้นแห่งขันธ์พร้อมกันทั้ง 5
    เมื่ออาการ 5 อย่างเหล่านั้นดับไป เป็นความดับไปแห่งขันธ์ทั้ง 5

    พระธรรมเจดีย์ :ส่วนนามทั้ง 4 เกิดขึ้นและดับไปพอจะเห็นด้วยแต่ที่ว่ารูปดับไปนั้นยังไม่เข้าใจ?

    พระอาจารย์มั่น :ส่วนรูปนั้นมีความแปรปรวนอยู่เสมอเช่นของเก่าเสื่อมไปของใหม่เกิดแทนแต่ทว่าไม่เห็นเองเพราะรูปสันตติ
    รูปที่ติดต่อเนื่องกันบังเสียจึงแลไม่เห็น แต่ก็ลองนึกดูถึงรูปตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้เปลี่ยนไปแล้วสักเท่าไร
    ถ้ารูปไม่ดับก็คงไม่มีเวลาแก่แลเวลาตาย

    พระธรรมเจดีย์ :ถ้าเราสังเกตขันธ์ 5 ว่าเวลาเกิดขึ้นแลดับไปนั้น จะสังเกตอย่างไรจึงจะเห็นได้
    แลที่ว่าขันธ์สิ้นไปเสื่อมไปนั้นมีลักษณะอย่างไร เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็เกิดขึ้นได้อีกดูเป็นของคงที่ไม่เห็นมีความเสื่อม

    พระอาจารย์มั่น :พูดกับคนที่ไม่เคยเห็นความจริงนั้น ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน
    วิธีสังเกตขันธ์ 5 นั้นก็ต้องศึกษาให้รู้จักอาการขันธ์ตามความเป็นจริงแล้วก็มีสติสงบความคิดอื่นเสียหมดแล้ว จนเป็นอารมณ์อันเดียวที่เรียกว่าสมาธิ
    ในเวลานั้นความคิดอะไรๆไม่มีแล้ว

    ส่วนรูปนั้นหมายลมหายใจ

    ส่วนเวทนาก็มีแต่ปีติหรือสุข

    ส่วนสัญญาก็เป็นธรรมสัญญาอย่างเดียว

    ส่วนสังขารเวลานั้นเป็นสติกับสมาธิ หรือวิตกวิจารณ์อยู่

    ส่วนวิญญาณก็เป็นแต่ความรู้อยู่ในเรื่องที่สงบนั้น

    ในเวลานั้นขันธ์ 5 เข้าไปรวมอยู่เป็นอารมณ์เดียว ในเวลานั้นต้องสังเกตอารมณ์ปัจจุบันที่ปรากฎอยู่เป็นความเกิดขึ้นแห่งขันธ์
    พออารมณ์ปัจจุบันนั้นดับไปเป็นความดับไปแห่งนามขันธ์
    ส่วนรูปนั้นเช่นลมหายใจออกมาแล้ว พอหายใจกลับเข้าไป ลมหายใจออกนั้นก็ดับไปแล้วครั้นกลับมาหายใจออกอีก ลมหายใจเข้าก็ดับไปแล้ว

    นี่แหละเป็นความดับไปแห่งขันธ์ทั้ง 5 แล้วปรากฎขึ้นมาอีก
    ก็เป็นความเกิดขึ้นทุกๆอารมณ์แลขันธ์ 5 ที่เกิดขึ้นดับไป
    ไม่ใช่ดับไปเปล่าๆ รูปชีวิตินทรีย์ความเป็นอยู่ของนามขันธ์ทั้ง 5 เมื่ออารมณ์ดับไปครั้งหนึ่ง
    ชีวิตแลอายุของขันธ์ทั้ง 5 สิ้นไปหมดทุกๆอารมณ์


    ....
     
  20. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    พอดีรำลึกถึงครูบาอาจารย์...ที่ชุ่มเย็นมากนับตั้งแต่เคยสัมผัสมา...หลวงปู่ขาว อนาลโย ชคดีที่เคยสัมผัสพ่อแม่ครูอาจารย์มาบ้าง

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็แล้วแต่เราจะเรียกท่านเป็นอย่างไร...แต่สำหรับผมเป็นโชคดี โอกาสดี ที่ได้มีโอกาสนมัสการเหล่าพระอริยะทั้งหลาย

    การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษมีแต่คุณ คือจิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มีความสุขไม่มีความทุกข์

    จะเข้าสู่สังคมใดๆ ก็องอาจกล้าหาญ การทำความเพียร เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นแล้วจะไม่มีความหวั่นไหว

    ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงาน ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม จากนั้นก็เป็นปัญญาที่จะมาเป็นกำลัง

    เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ จะทำการธรรมก็สำเร็จ

    พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่งสอนอบรมให้เกิดให้มีขึ้นมาเบื้องต้นตั้งแต่ศีล

    ศีลเป็นที่ตั้งของสมาธิ สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา ไม่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา

    เป็นทางมาแห่งวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยกัน


    โอวาทธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย


     

แชร์หน้านี้

Loading...