ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไม้ขีด, 26 เมษายน 2013.

  1. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023

    ?temp_hash=97d26bb8b01616df177edb76dfce2746.jpg


    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่

    โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    แห่ง วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    แสดงธรรมเทศนาที่บ้านลานทอง

    23 ธันวาคม 2540
    โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 14576 โดย : รักษา 05 มิ.ย. 48





    นโมตส ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธส
    นโมตส ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธส
    นโมตส ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธส
    มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ติ

    โอกาสนี้จะได้แสดงพระธรรมเทศนาคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อประดับสติปัญญาบารมี ของพุทธบริษัททั้งหลาย ที่มาประชุมกันในที่นี้ นั่งอยู่ข้างนอกก็คงจะมีเมิ้ง มีไม่ใช่เหรอ เออ เนี่ยะผู้นั่งข้างนอกก็ตั้งจิตตั้งใจ สำรวมใจให้ดี ก็เหมือนกับอยู่ข้างในนั้นแหละ มันสำคัญอยู่ที่เราสำรวมใจ เคารพต่อพระธรรมจริงๆ พระธรรมนี้เป็นนิยานิกธรรม นำผู้ประพฤติปฏิบัติตามให้ พ้นจากทุกข์ภัย ในสงสารไปได้จริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมทั้งหลายนั้นมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ดังพุทธภาษิตที่ยกขึ้นเบื้องต้นนั่นแหละ ให้พากันเข้าใจ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบุญก็ดี เป็นบาปก็ดี ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปก็ดี ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่มันเกิดเองมันนะไม่ใช่ ใจต่างหากล่ะเป็นผู้ดำริขึ้นมา เป็นผู้สร้างขึ้นมา จึงมีได้ ขอให้เข้าใจตรงนี้ ดังนั้นผู้ที่มีปัญญาได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อธรรมเหล่านี้เป็นบาปอกุศล จะนำตนให้ไปสู่ทุกข์ เห็นแจ้งด้วยปัญญา อย่างนี้แล้วก็ไม่ทำมันละ ละเว้นไปเลย อ้าวทำแล้วมันนำไปสู่ทุกข์นี่มีประโยชน์อะไรล่ะ มันก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นนะ ไปเบื้องหน้า หรืออยู่ในปัจจุบันนี่ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เช่นอย่างการเบียดเบียนกันอยู่หมู่นี้ล้วนแต่ไม่มีศีลทั้งนั้นเลย ล้วนแต่ไม่ได้สำรวมในศีล ล้วนแต่ไม่ให้อภัยต่อกันและกัน ถือตัวถือตนถือเราถือเขาว่าเราเก่งอย่างโน้น เราดีอย่างนี้ ไม่ยอนน้อมหัวหากันและกันเลย หมู่นี้นะมันล้วนแต่คนไม่มีศีลทั้งนั้น

    ที่มันทำความทุกข์ให้แก่กันและกัน อยู่ในโลกนี้นะ เหตุที่คนไม่มีศีลก็เพราะไม่รู้จักรักษาจิตตัวเอง ไม่ควบคุมจิตตัวเอง เมื่อปล่อยจิตของตนให้เลื่อนลอยอยู่นั้นตัณหามันก็ได้ช่อง ตัณหาก็เข้าครอบงำ ตัณหามันก็บันดาลให้อยากได้ อะไรต่ออะไรสารพัดในทางที่เป็นบาปบ้าง เป็นบุญบ้าง ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาปบ้าง มันก็อยากไปทั่วเลยมันไม่มีขอบเขตบัดนี้ความเป็นผู้ไม่สามารถจะควบคุมจิตใจตัวเองได้ หรือไม่มองเห็นว่าบุญ บาป คุณโทษนี้เกิดจากจิตนี้มองไม่เห็น นึกว่าเกิดจากที่อื่น มันถึงไม่ควบคุมจิตตัวเอง ถ้าผู้ใดพิจารณาเห็นว่าโอ๊ บาปก็ดี บุญก็ดี คุณก็ดี โทษก็ดี ล้วนแต่เกิดจากจิตดวงนี้ทั้งนั้นเลย ดังนั้นเรามาควบคุมจิตนี่ซะ เรียกว่าตนเองควบคุมตนเองก็ว่าได้ เอาละเราจะไม่ใช้กายวาจาทำ สิ่งที่เป็นบาป และจะไม่พูดสิ่งที่เป็นบาปเป็นโทษ เพราะว่าใช้กายวาจาทำบาป ลงไปแล้วกายวาจาไม่ได้รับผลแห่งบาปนั้น ผู้รับผลแห่งบาปนั้นคือใจ ต้องให้เข้าใจให้มันถูกต้องอย่างนี้ เราภาวนา ทีไรๆ ก็พิจารณา ลงไปให้มันลงสู่จิตนี้นะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันจะปรากฏออกมาได้อยู่ที่เราเห็น เรารู้กันอยู่นี้นะ เพราะอาศัยกริยาของจิตน่ะมันใช้กาย บังคับกายวาจาให้แสดงออกมา เนี่ยถ้าไม่มีจิตดวงนี้ไม่มีใครแสดงอะไรออกมาได้เลย ลำพังมีแต่ร่างกายนี้มันก็เหมือนต้นไม่นั้นเองนะ ต้นไม่มันไม่มีจิตวิญญาณครอง

    เหตุนั้นมันไม่ได้สามารถจะแสดงความดีความชั่วอะไร ออกมาให้คนได้รู้ได้เห็นเลย มันมีแต่เจริญขึ้นแล้วก็วิบัติไปตามกาลตามเวลาของมันเท่านั้นเอง ต้นไม้นั้นมันไม่มีจิตวิญญาณครอง เพราะฉะนั้นมันถึงไม่มีนรกมีสวรรค์อะไรหรอก มันหมดอายุมันแล้วมันก็ตายไปเท่านั้นเองนะ คือว่าคนเราไปแปรรูปทำบ้านทำเรือน อะไรต่ออะไรอยู่

    ส่วนร่างกายคนเราคิดดูให้ดี เมื่อบุญกุศลแต่หนหลังตกแต่งให้ คือว่าเราได้ทำบุญกุศลแต่หนหลังอย่างใดมา มากน้อยเท่าใด บุญนั้นก็นำจิตมาปฏิสนธิในท้องของมารดา อาศัยธาตุของมารดา บิดาอยู่ จิตดวงนี้นะแล้ว บุญกุศลก็มาแต่งธาตุของมารดาบิดานั้นแหละ ให้เป็นตาเป็นหูเป็นจมูก เป็นลิ้น เป็นกาย เป็นมือ เท้า อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ นั่นถ้าหากว่าเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ไม่บกพร่องอะไร ก็หมายความว่าบุญทั้งนั้นเลยแต่ให้ ถ้าร่างกายของใครบกพร่องไป พิกลพิการ ตาบอดหูหนวก หรือว่าแขนด้วนขาด้วน มาแต่กำเนิดนั่นเรียกว่าบาปมันตามมา บาปที่ผู้นั้นมันทำมาแต่ก่อนโน้นน่ะมันตามมา ตบแต่งให้ ผู้นั้นก็เลยได้รับความทุกข์ทนทรมาน เพราะว่าจะหาเลี้ยงตัวเองก็ไม่ได้ อวัยวะร่างกายไม่สมบูรณ์ไม่มีกำลัง พอที่จะทำอะไรต่ออะไรได้ ส่วนมากลูกก็อาศัยพ่อแม่นั่นแหละเลี้ยงไป จนใหญ่จนโตขึ้นมา แล้วก็เลี้ยงกันไปจนตายจากกันนั่นละมั้งผู้หนึ่ง

    พ่อแม่ตายแล้วก็เอ้า พี่น้อง เลี้ยงกันต่อไป คนมีกรรมมีเวรนะ มันไม่ใช่กอดทุกข์ไว้กับตัวคนเดียว มันกอดทุกข์ให้ผู้เกี่ยวข้องมากมาย นี่แหละพิจารณาหาเรื่องพิจารณาให้มัน กว้างขวางให้มันรู้ให้มันเข้าใจ โทษของบาปของกรรมต่างๆ ลงไปอย่างนี้เราจะได้เบื่อ เบื่อแล้วจะไม่ทำบาป จะไม่ลุอำนาจแก่ตัณหาความอยาก อันเป็นไปเพื่อบาปเพื่อโทษนั้นๆ ถ้าหากว่าเราไม่มีอุบาย สอนใจเพียงพอ ใจนี้เมื่อเหตุผลไม่เพียงพอมันก็ไม่เชื่อนะ นั่นแหนะ ผู้ที่หาเหตุผลมาก็คือใจ ใจก็คือปัญญานั่นเองแหละ ใจฉลาดแล้วก็หาเรื่องอุบายมาสอนตน มาพิจารณาเหตุผลใน สิ่งที่ตนกระทำนั้นมันดี หรือไม่ดี มันผิดทางหรือถูกทาง

    อย่างนี้มันก็เป็นหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้นเลย จะให้ผู้อื่นนั้นพยากรณ์ให้หรือบอกให้ ว่ากล่าวให้ อย่างนี้ไม่สมควรนะ แม้คนอื่นเขาว่ากล่าวตักเตือนถ้าหากว่าตนไม่ทำตามแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็เรื่องของตัวเอง ดังนั้นทางที่ดีเราฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็มาฝึกตนให้มัน ชอบแต่กุศลคุณงามความดี อันความชั่วนั้นฝึกสอนเข้าไปไม่ให้มันชอบ ไม่ให้มันพอใจ เพราะโลกนี้มันมีดีกับชั่วเป็นคู่กัน ถ้าหากว่ามีแต่ดีล้วนๆ มันก็ไม่ยากลำบากอะไรแหละ

    มันก็เป็นสุขทุกถ้วนหน้าไปเลยแหละ แต่ถ้ามันมีชั่วล้วนๆ มันก็ไม่มีสุขซักหน่อยโลกนี้ มันก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นแหละถ้ามันมีแต่ชั่วล้วนนะ แต่นี้มันมีดี มีชั่วปนเปกัน เพราะฉะนั้นจึงแบ่งกันไป บางคราว บางคราวก็เป็นสุขบ้าง บางคราวก็เป็นทุกข์ไป เป็นอยู่อย่างนี้นะ แล้วพวกเราไม่เบื่อหน่ายบ้างหรือ อือคิดดูให้ดี เพราะทำทั้งบาปทำทั้งบุญ นี้เองแหละมันเป็นเหตุให้ ได้รับสุขบ้างได้รับทุกข์บ้าง ได้รับความเจริญบ้างได้รับความเสื่อมบ้าง
    ในชีวิตนี้นะ นี่ถ้าหากว่าพิจารณาให้ ละเอียดกว้างขวางออกไปอย่างนี้แล้วจะได้เบื่อหน่ายความชั่วทั้งหลาย จะไม่ปรารถนาจะทำมันแล้ว เราจะทำแต่ความดีเท่านั้น เมื่อเราทำแต่ความดีที่เป็นประโยชน์ตนและผู้อื่นนั้นมันจะอดตายก็ให้มันอดลองดูซิ เราตัดสินใจลงไปอย่างนี้แล้วมันไม่ตายดอก ความจริงนะ เมื่อเราทำในทางที่ถูกต้อง ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมแล้ว อานิสงส์แห่งการทำความดีนั้นนะมันก็ดลบันดาลให้ เรามองเห็นช่องทางทำมาหากิน มันต้องมีอยู่นั่นนะช่องทางมันนะ แต่ว่าเราก็ต้องอดทนทำไปก่อน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เพราะการทำความดีนี่ ทำวันนี้จะให้ได้ผลวันพรุ่งนี้อย่างนี้มันไม่ได้ ดูแต่ปลูกต้นไม้ลงในดินนะ ต้องหลายเดือนกว่ามันจะมีดอกออกผลได้ นี่ดูแต่ธรรมชาตินะ มันก็ยังแสดงให้เห็นแล้วนะ ธรรมชาติทั้งหลายก็ต้องอาศัยกาลเวลาเหมือนกัน กว่ามันจะได้รับผลมัน การกระทำความดีหรือความชั่วของคนเราก็ เป็นเช่นนั้นแหละ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาทำความดีถ้าไม่ถึงกาลเวลาที่มันจะให้ผล มันก็ยังให้ผลไม่ได้ เหมือนกับว่าทำความดีแล้วไม่เห็นมีดอกมีผลอะไรขึ้นมาเลย เหมือนกับไม่มีมรรคไม่มีผลอะไรเลยอย่างนี้นะ เอ่อคนผู้ที่ไม่รู้จักเหตุผลโดยแจ่มแจ้งเป็นเช่นนั้น ผู้มาพิจารเห็นเหตุผลโดยแจ่มแจ้ง ก็ดังกล่าวมาแล้วนั้นนะ มันก็คิดดูเถอะเค้าปลูกต้นไม้ที่มีผลดังนั้นก็ยัง ต้องอาศัยเวลานานพอสมควรนะ กว่าจะได้หมากได้ผลขึ้นมา อันนี้การที่เราทำความดี ละความชั่วก็เหมือนกันอย่างนั้นแหละ กว่าความดีนั้นมันจะได้โอกาสให้ผล ก็ต้องกินเวลานาน ถ้าพูดตามหลักก็หมายความว่า ที่ชีวิตของเราที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นะเราอาศัยบุญเก่าหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อบุญเก่าหล่อเลี้ยงยังให้ผลอยู่อย่างนี้ บุญกุศลที่เราทำขึ้นมาใหม่นี้ยังให้ผลไม่ได้ ขอให้เข้าใจ อันนี้แหละคนไม่ค่อยเข้าใจไปตรงนี้เองนะ

    เมื่อตนต้องการปรารถนาอะไรให้ร่ำให้รวยขึ้นมา จะคิดว่าบุญจะช่วยก็ทำบุญบัดนี้ ทำบุญแล้วอธิษฐานว่า ด้วยอำนาจบุญกุศลนี่ ขอให้ข้าพเจ้าถูกรางวัลที่หนึ่ง หรือถ้าข้าพเจ้าค้าขายได้กำไรงามๆ อะไรอย่างนี้นะ อ่าเมื่ออธิษฐานอย่างนี้ให้ทานไปทำบุญไป เมื่อมันไม่ได้ให้ผลตามเป้าหมายอย่างว่านั้นนะ ก็เอาละไม่เชื่อบุญแล้วบัดนี้นะ เอ๊ทำบุญนี่เสียเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน คนบางพวกบางเหล่าพูดกันมาเป็นอย่างนั้นแหละ ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ทำบุญไม่ได้เสียเปล่าเลย จะเสียเปล่าอย่างไง เราใส่บาตรให้พระอย่างนี้นะ พระท่านก็ได้ฉัน เอ๊ะข้าวเราจะสูญหายไปไหนล่ะ ข้าวอาหารก็เป็นประโยชน์แก่พระผู้รับทาน เป็นอย่างงั้นนิ ทำไม๊จึงว่ามองไม่เห็นผลเลย เอ๊ามองไม่เห็นผลที่ว่า ให้ทานข้าว ข้าวไม่เห็นปรากฏมา ให้ทานเงิน เงินไม่เห็นหลั่งไหลมา บางคนก็คิดอย่างนั้นแหละ ก็อย่างที่ว่ามาแล้วนั้นแหละขอให้เข้าใจ

    เหมือนเราปลูกต้นหมากรากไม้ต่างๆ นั่นแหละ ไปคิดเอาก็แล้วกันแหละ ผู้ใดเมื่อมาคิดรู้อย่างนี้แล้วมันก็ไม่ สงสัยแคลงใจ ว่าเมื่อตนทำบุญทำทานไปแล้ว บุญไม่อำนวยผลให้ตนร่ำรวยเจริญ ตามเป้าหมาย ก็ไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวาย เพราะว่ารู้แล้ว เนี่ยะ บุญกุศลที่ทำนั้นนะ เมื่อมันยังรวมกำลังไม่ได้ ยังไม่ถึงกาลเวลามัน มันก็ให้ผลไม่ได้ เหมือนตนไม้อย่างที่ว่ามาแล้ว เป็นเช่นนั้น บาปก็เหมือนกัน บุคคลทำบาปในโลกนี้ บางทีมันไม่ให้ผลเลย ยังให้อยู่สบายๆ ไปก่อน ต่อเมื่อละโลกนี้ไปแล้วบาปนั้นจึงให้ผล นำไปสู่นรกอบายภูมิ เช่นนี้นะ

    อ้าว บาปที่ทำปัจจุบันนี้ทำไมมันจึงไม่ให้ผลในปัจจุบัน มันไม่ให้ผลเพราะบุญรักษาอยู่ ชีวิตนี้น่ะ บุญที่ผู้นั้นทำมาแต่ชาติก่อนนั้นน่ะ รักษาร่างกายชีวิตนี้อยู่ เพราะฉะนั้นบาปที่ทำในปัจจุบันนี้จึงให้ผลไม่ได้เลย มันก็คอยไปอยู่นั้นนะ บาปกรรมนะ คอยไปจนกว่าว่าบุญเก่าที่ทำมาแต่ชาติก่อนหมดลง มันก็ตาย พอตายจิตออกจากร่างนี้ บาปก็นำไปเท่านั้น นำดวงจิตดวงนี้ ไม่ได้นำกายนะ นำจิตดวงนี้ไป ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายไป ตามกรรมที่เขาทำนั้นๆ เอ่อเป็นอย่างงี้

    เพราะฉะนั้น เราต้องพิจารณาให้เข้าใจมันแจ่มแจ้ง ดังนั้นแหละบาปนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรกลัวนักกลัวหนา อย่าไปกลัวอดกลัวอยาก กลัวอายุจะสั้นถ้าไม่ได้อยู่ดีกินดี ไม่ได้ทำบาปทำกรรม อย่างว่านั้นน่ะ ไม่ควรกลัวไปอย่างนั้น ไอ้ชีวิตนี้มันมีบุญกุศลที่ทำมาแต่ชาติก่อนตามมารักษา หล่อเลี้ยงอยู่ ฉะนั้นเราหาอาหาร ได้โดยทางบริสุทธิ์ไม่ผิดศีลผิดธรรม อย่างไรนั้นเราเอามาเลี้ยงมัน มันก็ไม่ว่าอะไรน่ะ เมื่อบุญกุศลยังมีอยู่กินอะไรก็มีรส อร่อยเหมือนกัน ถ้าหากว่าบุญกุศลที่ทำมาแต่ชาติก่อน นั้นมันน้อยลงๆ แล้ว กินอาหารการบริโภคอะไรก็จืด ก็ชืดไป แล้วก็ไม่ค่อยได้มากเสียด้วย อย่างคนแก่ นี่นะ อย่างนี้ไอ้ตัวเองก็แก่มาพอแรงแล้ว จะว่ามันรู้เรื่องนั่นแหละ ตั้งแต่ยังหนุ่มนะฉันข้าว ว่าข้าวหมดหลาย พออายุมากเข้ามาแล้ว เจ็ดสิบ แปดสิบเข้ามาอย่างนี้ มาคำนวณดูข้าวที่ เอาไว้ในบาตรไว้ฉัน ไม่มากมายอะไร ไม่หมดทัพ แต่ละวันละวัน หมดน้อยเดียวแต่มันก็อยู่ได้ อยู่ได้เพราะอะไร เพราะว่าธาตุไฟมันอ่อนแล้วมันก็ อยู่ไปตามกำลังธาตุนั้นแหละ ถ้าธาตุไฟมันแก่กล้า ถ้าเรารับประทานอาหาร เข้าไปน้อย มันเผาอาหารนั้นหมดแล้วมันไม่มีอะไรจะเผามันก็เผากระเพาะ ลำไส้ให้เจ็บให้ปวดเข้าไป อย่างนี้แหละ มันธาตุไฟแรงคนยังหนุ่มยังแน่น เป็นอย่างนั้น แต่คนแก่แล้วธาตุไฟมันอ่อนลงไปแล้ว ไปรับทานอาหารให้มากเกินกว่ากำลังของาตุไฟ ไม่ไหว เดี๋ยวก็ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดท้อง เข้ามาแล้วก็ อยู่ไม่สบายแล้ว เป็นยังงั้นเพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาให้รู้ ในเรื่องหมู่นี้นะให้รู้ไว้ ก็เพราะร่างกายอันนี้มันบุญกรรมเป็นเครื่องตกแต่ง อย่างว่านั้นแหละ เราจะแต่งเอาให้ได้สมประสงค์ ไม่ได้เลยสุดแล้วแต่บุญกรรม บาปกรรมที่ตนทำมาในชาติก่อนนั้น ติดตามมาตกแต่งอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

    บางคนทำบุญ กุสลให้ทานแต่ของดีๆ ของ สวยๆ งามๆ มา แล้วเป็นผู้มีกริยาวาจา อ่อนโยน พูดจาอ่อนหวาน ไม่พูดกระแทกแดกดันใคร แล้วก็ไม่โกรธ กริ้วใคร มีความอดทนสูง ใครจะ ด่าจะว่า ติเตียน ก็ไม่แสดงอาการ โกรธกริ้ว โกรธา ผู้ใดฝึกตนแบบนี้แล้ว ตายเกิดไปชาติหน้า ก็จะเป็นคนสวย คนงาม มีกิริยามารยาท ละมุนละมัย ใครเห็นเข้าก็ ปรารถนาจะคบค้าสมาคม นี่ไอ้คนเราน่ะมันเป็น ไปด้วยอำนาจแห่งบุญกรรมบาปกรรมอย่างว่า อย่าไปเชื่ออย่างอื่นเลย เห็นคนอื่นเขาสวย เขางาม เขาดี อิจฉาก็มีบางคนน่ะ นั่นแหละ ถ้าผู้ใดมานึกคิดว่าโอ๊ คนผู้นี้ต้องได้ทำบุญกุศล ต้องได้ฝึกตนมาแต่ก่อน เขาเป็นผู้ไม่โกรธ ไม่ด่า ไม่แช่งไม่แสดงกิริยา หยาบคาย ต่อใคร และใครมาแต่ชาติก่อน เขาไม่แสดงหน้าตาบูดบึ้ง ต่อคนทั้งหลาย แม้ใครจะว่ากระทบกระทั่งอะไรเขาก็ยิ้มรับเสมอ คนผู้เช่นนี้แหละ เกิดมาเขาจึงสวย จึงงาม จึงมีคนหุ้มห่อ มีคนนับถือลือหน้า แม้เราก็เหมือนกันถ้าเราฝึกตน ให้ ดีให้งามอย่างว่านี้แล้ว ชาตินี้ถึงจะรูปร่างไม่สวยงาม จะไม่มีคนนับถือลือหน้าแต่ ไปสู่ชาติหน้าโน้นแหละ บุญกุศล ที่เราฝึกตน ที่ว่าอย่างว่าเมื่อกี๊เนี่ยะ มันก็จะมาอำนวยผลให้ เกิดไปในชาติหน้าให้มีรูปสวย รูปงาม ให้เป็นคนใจดีใจเย็น มีกิริยามารยาทอ่อนโยน พูดจาปราศรัยอะไรก็ไพเราะเพราะพริ้ง คนทั้งหลายได้พบได้เห็นได้ฟังแล้ว ก็ชอบใจพอใจอยากคบหาสมาคมเหมือนอย่างเขา

    แต่ว่า การทำบุญทำทานอย่าไปปรารถนาผิดทาง การปรารถนาผิดทางเป็นทุกข์อีกเหมือนกันอย่าง เช่นนาง กัณหาสินานารถ พระราชธิดาของพระเวสสันดร และพระนางมัทรีนั่น เมื่อพระเวสสันดรให้ทานแก่ชุชกไป ชูชกเฆี่ยนตีไป ฝ่าย ท้าวชาลีเป็ผู้ชายมีความอดทน อดเอาทนเอา พราหมณ์ตีก็ยอมให้เขาตีไป แต่ฝ่ายน้องสาวนางกัณหาสินานารถนี่ เมื่อ พราหมณ์ ตีเข้าไปเจ็บปวดมาแล้วก็นึก โอ๊ยพ่อแม่เรานี่ ไม่รักเราไม่เอ็นดูเราเลย ปล่อยให้พราหมณ์ เฆี่ยนตีเรามาทนทุกข์ทนยากลำบากอย่างนี้นะ เอาละต่อจากชาตินี้ไป ขออย่าให้เราได้เกิดร่วมกับพ่อแม่คู่นี้ เลย นางกัณหาก็ปรารถนาลงอย่างนั้นนะ ในที่สุดเมื่อพระเวสสันดร สวรรคตแล้วก็ไปเกิดสวรรค์ชั้น ดุสิต จากสวรรค์ชั้นดุสิตลงไปเกิดเมืองกบิลพัสดุ์ จะได้ออกบวชตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยะ พระนางกัณหานั้น ก็ไม่ได้ไปเกิดกับพระนางพิมพาเลย มีแต่พระราหุล มีแต่ท้าวชาลีตั้งแต่ครั้งเป็น ลูกชายของพระเวสสันดร โน่นแหละ ติดสอยห้อยตามไปเกิดด้วย แต่นางกัณหานั้นน่ะ ในชาติต่อๆ มาเป็นคนมีรูปสวยรูปงาม เพราะเหตุว่าชาติหนึ่งเขาไปเกิดในตระกูลยากจน แล้วบัดนี้ ในคราวครั้งนั้นในเมืองเขาทำ เล่นมหรสพ เล่นนักขัตฤกษ์กัน บัดนี้ผู้ลูกสาวนี่ก็ไปขออ้อน
     
  3. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    วอนขอเครื่องประดับกับแม่ แม่ก็ว่าเราเป็นคนยากคนจน เราจะไปเอาเครื่องประดับที่ไหนมาให้ เออถ้าหากว่าแม่ไม่มีจะให้ลูกจะ ขอลาแม่ไปหารับจ้างเอา ขอให้ได้เครื่องประดับมา แม่ก็อนุญาต นางก็เที่ยวไปบ้านเศรษฐีไปขอรับจ้างเศรษฐี ขอให้ได้ผ้าดอกคำ ซักสองผืน เศรษฐีก็ว่าได้แต่ต้องรับจ้างเราอยู่สามปี ถึงจะได้ เอ้าสามปีก็สาม รับทำงานให้บ้านเศรษฐีอยู่อย่างนั้นแหละ จะรอครบสามปี เศรษฐีก็เลยประทานผ้าให้ สองผืนผ้าสีดอกคำ ผ้านั้นมีสีเหลืองเหมือนทองคำหมายความว่างั้นแหละ บัดนี้คราวนั้นน่ะ ดูเหมือนจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นหรือไงเนี่ยะ ก็มีพระสงฆ์องค์หนึ่งเดินทางมา นางคนนี้ก็นุ่งห่มผ้าดอกคำ เห็นจะนุ่งผ้าธรรมดาแล้วก็เอาผ้าดอกคำนี่ห่มรวมเข้าไป แล้วหาบน้ำลงไปท่าน้ำ ไปตักน้ำ พระนั้นเดินทางมาถูกโจรปล้นเอา ผ้าจีวรสบงไปหมด พระก็เลยเอาใบไม้เย็บนุ่งแทน ผ้าสบงจีวรมา นางคนนี้เห็นเข้าก็เลยถามว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นไงนุ่งใบไม้อย่างนี้ ก็อาตมาเดินตามทางมานี้ โจร น่ะมันแย่งเอา ปล้นเอา ก็เลยสละให้โจรเขาไปหมดเราก็เลย นุ่งใบไม้แทนผ้ามานี่ว่างั้น

    นางเกิดศรัทธาขึ้น ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอถวายผ้า ผืนนี้ให้แก่ท่าน ก็เปลื้องเอาผ้าผืนหนึ่ง ที่ห่มนั้นถวาย พระองค์นั้น พระองค์นั้น ได้แล้วก็ไปบังพุ่มไม้แล้วก็ไปถ่ายใบไม้ออก แล้วก็เอาผ้าดอกคำผืนนั้นนุ่ง เดินออกมานางเห็นเข้าก็โอ๊สวยงามจริงนะ ก็เลยเปลื้องผืนที่สองออกไป แล้วอธิษฐานว่า ด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าให้ทาน ถวายผ้าสีดอกคำนี้ เกิดไปชาติใดขอให้ข้าพเจ้ามีรูป สวยรูงามแล้วก็มีผิวพรรณเหมือนอย่าง ผ้าดอกคำนี้เองว่างั้น ชายใดเห็นแล้วขอให้ตาค้างไปเลย ขอให้หลงละเมอไปเลยว่างั้น ไปปรารถนาอย่างนั้นแหละ พอดีชาติต่อมาบุญกุศลอันนั้น ก็อำนวยผลให้ไปเกิด ในตระกูลอันพอมีพอกินเข้าไป แล้วก็มีรูปสวยรูปงาม ผิวพรรณก็เหมือนอย่างผ้าดอกคำนั้นเอง ชายใดเห็นเข้าก็ตาค้างอย่างที่ว่านั้นหละ ก็ละเมอเพ้อฝันไปทั่ว ตลอดถึงพระราชามหากษัตริย์ เห็นเข้าก็ไม่ไหวอยากจะได้ อยากจะได้เอาเหลือล้นพ้นประมาณจน ว่าเสวยอาหารก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ พวกเสนาอำมาตก็เลยทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น แล้วให้พระราชานี่เบื่อหน่าย ก็จึงได้งดจากการที่ไปผูกพันกับหญิงคนนั้น จนในที่สุดนางกัณหานั้นน่ะ เมื่อมาถึงศาสนาพระพุทธเจ้าของเรานี่ นางก็ไม่ได้ไปเกิดร่วมกับพระองค์แล้ว มีแต่ท้าวชาลีเท่านั้นไปเกิดเป็นราหุล

    บัดนี้ส่วนกัณหานี้มาเกิด ในตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งในเมืองสาวัตถี อ่าเมื่อเกิดมาแล้วรูปร่างผิวพรรณสวยสดงดงาม สีเหมือนดอกบัวดอกทองคำ พ่อแม่ก็เลยตั้งชื่อให้
    ว่าอุบลวรรณา แปลว่าผู้มีผิวพรรณผุดผ่องเหมือนดอกบัว เป็นอย่างนั้น ชาตินั้นก็อู๊ย พวกลูกของเศรษฐี คหบดี ตลอด พระราชามหากษัตริย์ก็มาสู่มาขอ พ่อกับแม่พิจารณาเห็นว่า ถ้าไปยกให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดี๋ยวมันก็จะเกิด สงครามกลางเมือง กันละจะฆ่ากันตายป่นปี้ว่างั้นนะ พ่อก็เลยพูดกับลูกสาวว่าลูก เรื่องมันยุ่งยากเหลือเกิน ในโลกสงสารอันนี้เป็นอย่างนี้แหละ อยากให้ลูกรู้อยู่เนี๊ยะ พ่อว่าลูกควรหนีไปบวชเสียดีกว่า อย่าให้ใครได้เลย มันจะไม่ได้รบราฆ่าฟันกันว่างั้น ลูกก็เลยเห็นดีเห็นชอบด้วย พ่อแม่ก็เลยส่งไปให้สำนักนางภิกษุณี ก็เลยได้บวชเป็นนางภิกษุณี ค่าที่ก็ได้สร้างบุญบารมีตามพระเวสสันดร ตามพระพุทธเจ้ามาแต่ชาติก่อนหนหลัง เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญไปไม่นานท่านก็เลยสำเร็จอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณแตกฉาน ในอรรถในธรรม มีฤทธิ์มีเดชอีกด้วย เป็นอย่างนั้น อันนี้ที่นำมาแสดงสู่ฟังนี่หมายความว่า เมื่อไปตั้งความปรารถนาผิดน่ะ มันทำพิษแก่ชีวิต ท่องเที่ยวไปในสงสาร ได้พบแต่เรื่องรำคาญเรื่องเดือดร้อน ดังนางกัณหาสินารถนั้นแหละให้พากันเข้าใจ ฉะนั้นเรายกไทยทานจบศีรษะแล้วอธิษฐาน ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์พ้นภัยในสงสาร เท่านี้แล้วก็ให้ทานไปเลย อย่างนี้นะมันไม่เป็นเวรอย่างที่ว่า มาแล้วนั้นแหละ

    ถ้าจะมีเงินทองข้าวของอะไรมามันก็ไม่หวงแหน มันก็ยินดีในการบริจาคทาน ถ้าจะมีรูปสวยรูปงามมามันก็ไม่หลงใหลในรูปนั้น มันก็มองเห็นรูปทั้งหลายนั้น สวยงามประณีตอย่างไรมันก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีความเกิดขึ้นแล้วก็ เสื่อมไปสิ้นไปแปรปรวนไป ..... ทำคุณงามความดีไป เพราะถึงจะสวยจะงามอย่างไร มันก็ไม่พ้นจากแตกจากดับไป ก่อนที่มันจะแตกจะดับเรา ใช้มันสร้างบุญสร้างกุศลซะดีกว่า ธรรมดาผู้ตั้งความปรารถนาไว้ถูก บุญมันก็บันดาลให้เกิดปัญญามองเห็นช่องทางพ้นทุกข์ได้ ดังกล่าวมานี้อย่างพวกเรา ที่ได้มาชุมนุมกันในที่นี้ก็ดี ก็ให้ถือว่าเรามีบุญไม่ใช่น้อยนะ ถ้าหากว่าบุญแต่หนหลังเราไม่ได้มีไม่ได้ทำมา คงจะไม่กระตือลือล้นมาฟังเทศน์ฟังธรรมกันอย่างนี้นะ

    เพราะว่าไม่มีบุญกุศลดลบันดาลแล้วมันไม่ได้ดอก มันไม่เกิดศรัทธา มันห่วงการห่วงงานห่วงเล่นห่วงสนุก ห่วงดูโทรทัศน์ สารพัด ตั้งแต่เครื่องล่อตาลวงใจ ในโลกนี้นะ ถ้าบุญกุศลไม่แรงมันทิ้งความห่วงเหล่านั้นไม่ได้ มันทิ้งความสนุกสนานไม่ได้เลย อันนี้พวกเราสละได้อย่างนี้นะ แสดงว่าพวกเรามีบุญมากพอสมควรน๊า ดังนั้นขอให้พากันรักบุญตัวเองให้มาก อย่าไปรักกิเลสตัณหามากกว่าบุญกุศล ให้รักบุญรักความดีที่ตนทำมา

    ตนรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ อย่างนี้นะขอให้รักให้ทนุทนอมไว้ อย่าให้ศีลมันขาด แม้ว่าจะอดอยู่อดกินอยู่บ้างก็ ยอมเสียสละลงไป ไม่เป็นไรหรอกขอให้มีศีล เป็นเครื่องประดับตัวแล้ว แม้เราจะอยู่ในโลกนี้ก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน อานิสงส์ศีล นี่มันก็ดลบันดาลให้มีอยู่มีกินอยู่นั้นแหละ ถ้าผู้ใดไม่ยอมเสียสละความชั่ว เสียก่อนแล้วความดีมันก็ไม่งอกขึ้นมาได้ เป็นอย่างนั้น ดังนั้นเราต้องยอมสละความชั่วเสียก่อน เหมือนอย่างบุคคลจะปลูกต้นไม้ลงในสวน ในดินตรงนี้ แต่มีหญ้ารกอยู่อย่างนี้นะ เราต้องไปดายหญ้านั้นให้เตียนโล่งเสียก่อน อย่าให้หญ้ามันขึ้นมาท่วม ต้นไม้นั้นได้ เช่นนี้ปลูกต้นไม้นั้นลงในดินนั้นมันก็จึงงอกเงย งอกงามเจริญขึ้นมาได้ ให้ลองคิดดูอย่างนั้น ตั้งแต่แผ่นดินมันก็ต้องมีหญ้า เป็นเครื่องประดับอยู่อย่างนั้นแหละ แต่หญ้านั้นไม่ค่อยเป็นประโยชน์ แก่มนุษย์เท่าไหร่นักแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกันแหละ สำหรับวัวควายช้างม้ามันอาศัยกินหญ้านั้นแหละ แต่ว่าหากเป็นศัตรูพืชของมนุษย์ที่ปลูกฝังลงไป ต้องได้ดายทิ้งต้องได้ชำระมันไป อันนี้เรียกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ลองคิดดูให้ดี มีทั้งคุณมีทั้งโทษเหมือนกันหมดเลย ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่ไปรังเกียจเดียดฉัน แม้แต่หมู หมา เป็ด ไก่ ช้าง แมว สุนัข อะไร ต่ออะไรก็ตามแต่ มันก็มีประโยชน์แก่มนุษย์ไม่น้อยเหมือนกันนะ ดังนั้นอย่าไปรังเกียจมัน อย่าไปเฆี่ยน อย่าไปตีมัน ถ้าหากว่าเป็นสุนัข จรจัด เห็นมาสงสารก็เอาข้าวให้มันกินบ้าง ให้มันประทังชีวิตมันไป อย่างนี้นะเราก็ได้บุญไม่น้อยเหมือนกันนา เพราะฉะนั้นก็ขอให้พากันพิจารณาดู

    พุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดังที่ยกขึ้นในเบื้องต้นนั้นว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา แปลว่าธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มโนเสฏฐา มีใจเป็นใหญ่ มโนมยา สำเร็จแล้วด้วยใจ ดังนี้ ถ้าหากว่าใจของเราผ่องใส ใจเบิกบาน ใจดี การกระทำความดี ก็ทำได้ด้วย กาย วาจา ใจ นั้นบุญกุศลก็ย่อมงอกงามเจริญขึ้นได้ เพราะว่าบุญ และบาป ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป มันมีจิตเป็นผู้สร้างขึ้นมาอย่างที่ว่ามาแล้วแต่เบื้องต้นแหละ อย่าไปลืม ฉะนั้นเราไม่ชอบบาป บาปมันก่อทุกข์ให้แก่เราๆ ไม่เอามัน สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามไว้เป็นบาป เราจะไม่ทำเราจะไม่ล่วงเกินเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้ารู้ดีกว่ามนุษย์ และเทวดาทั้งหลายทั้งหมดเลย ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่มีผู้จะเชื่อหรอกในโลกอันนี้แหละ ให้คิดอย่างนั้น ถ้าหากว่าเราสละชีวิตบูชา คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าสอนให้เว้นจากโทษอย่างนั้นๆ ก็เว้นตามเลย เอ้าแม้นจะได้อยู่ได้กิน ไม่สมบูรณ์พูลสุขเท่าไรก็ช่างเถอะ ไอ้โลกนี้มันก็ไม่ยั่งยืนอะไรดอก
     
  4. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    แต่เศรษฐีมันก็ยังตายได้เหมือนกันนา ไม่ใช่ตายแต่คนโรค คนจนนา คิดเข้ามาเทียบเคียงหลายเรื่อง เข้ามาประกอบกันเข้าไปแล้วก็ มันก็ยินดี ยินดีเป็นอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม ไม่ล่วงศีลแม้จะอดอยาก ปากแห้ง อยู่บ้างก็ช่างมันขอให้มี ศีล ประดับอยู่ที่ กายวาจาใจแล้วพอแล้ว ถ้าผู้ใด สละลงได้อย่างนี้แล้ว แน่นอนนะ นับตั้งแต่ชาตินี้ไปขึ้นชื่อว่าความทุกข์ จักไม่มี เพราะว่าผู้ไม่ทำบาป ผู้ไม่มีบาปติดตัวแล้วนะ ไปเกิดที่ไหน ก็เกิดดี เกิดในถิ่นที่มีความสุขความเจริญมีอายุ ยืนยาวนาน มีผิวพรรณผ่องใส สมบูรณ์ด้วยโภคะสมบัตินานาประการ คนมีบุญนะ ถ้าหากว่ามีบาปติดตามไปแล้ว มีเงินทอง มากเมื่อไรโจรมันก็ไปรวมหัวกันจี้เอา ปล้นเอาเผาบ้านเผาเรือน ฉิบหายวายวอด นั่นละเรียกว่าบาปมันตามสนองเอา บุคคลผู้มีบุญวาสนาบารมีอย่างเดียว ไม่มีบาปติดตามมา มีสมบัติโภคะอันใดก็ล้วน แต่เป็นที่รักที่ชอบใจ แล้วก็ให้ความสุขความสบาย ไม่มีโจรขโมยอะไรจะมาจี้มาปล้นมาหลอกลวงเอา เพราะว่าบุญกุศลของผู้นั้นน่ะ ช่วยรักษา ไม่มีภัยอันตรายใดๆ เหมือนอย่างที่จะยกเรื่องราวของ ลูกของนาโสเภณีคนหนึ่ง ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าโน้นแหละ ธรรมดาคนผู้หญิงโสเภณีสมัยนั้นน่ะ เมื่อเขาได้ลูกมาเป็นลูกผู้ชายเขาไม่เลี้ยงนะ เขาว่ามันหากินช่วยแม่ไม่ได้ ถ้าเป็นลูกผู้หญิงมาเขาเลี้ยงไว้ ว่างั้นบัดนี้ โสเภณีคนหนึ่งได้ลูกผู้ชายมา เลยไม่เอาละไม่เลี้ยงเอาใส่หม้อ แล้วก็เอาหม้อนั้นวางบนถาด ถาดนั้นก็เป็นถาดดีน้ำซึมไม่ได้ แล้วก็เอาไปไหลล่องน้ำเลย ไหลล่องน้ำแม่คงคาประเทศอินเดีย

    เอ้าบุญของเปิ้นก็มี น้ำมันพัดเข้าไปลอยอยู่ ท่าน้ำแห่งหนึ่ง บัดนี้มีเศรษฐีคนหนึ่งลงมาอาบน้ำ มาเห็นหม้อลอยอยู่นั้นละก็ แหวกว่ายออกไปเอาหม้อเอาถาดนั้นมาดู อ้าวก็เป็นเด็กน้อย นอนอยู่ในหม้อนั้น ก็เอ็นดูสงสารก็นำไปเลี้ยงไว้ ในบ้าน พอเลี้ยงไว้แล้วมันใหญ่โตขึ้นมา แล้วเศรษฐีก็คิดว่าเอ๊ะ เด็กคนนี้มันต้องเอาไปฝากพระ ให้พระท่านสั่งสอนให้มันรู้ศีลรู้ธรรม เสียก่อนแล้วมันจะดีว่างั้นนะ ก็เลยเอาไปฝากท่านพระมหากัจจายนะเถระเจ้า อ้าวเศรษฐีคนนี้เป็นโยมอุปฐากของท่าน เศรษฐีนั้นก็เลี้ยงไว้ มันก็ใหญ่แล้วนี่เป็นหนุ่มแล้ว เศรษฐีนั้นอยากจะทดลองบุญกุศลของเขาดู ว่าเด็กคนนี้จะมีบุญจริงหรือไม่ ถ้ามีบุญก็จะแต่งงานให้กับลูกสาว ถ้าไม่มีบุญก็จะไม่แต่งงานให้ บ้านนั้นก็ขายของ ตลาดสดพอรุ่งเช้ามาแล้ว ก็เอาของสินค้า ใส่รถเข็นไปวางขาย บัดนี้เมื่อได้ลูกเลี้ยงลูกบุญธรรมมา ก็เลยเอ้าให้ลูกไปนั่งขายของนะว่างั้น พ่อแม่จะไปทำธุระทางบ้าน บัดนี้ลูกชายเลี้ยงนั้นก็นั่งขายของอยู่เลย โอ๋ยบรรดาคนในตลาดมันหลั่งไหลไปซื้อเอา แต่ของเด็กหนุ่มคนนั้นนะ ไม่ทันไรหมดเลยของที่เอาไปวาง กลับไปบ้านด้วยภาชนะเปล่า

    กับเงินเอาให้พ่อให้แม่ เอ้าพ่อแม่ก็ทดลองดูอีกวันที่สอง ให้ขนของไปวางขายตลาดสดอีก คนก็หลั่งไหลมาซื้อเอาจนหมดอีก วันที่สามอีกคนก็หลั่งไหลมาซื้อเอาหมด พ่อกับแม่ก็เลยนึกว่าอ้อไอ้เจ้านี่มีบุญหนักจริง ๆ บุญเขามากจริงๆ ก็เลยสร้างเรือนหอขึ้นหลังหนึ่ง แล้วก็ทำพิธีแต่งงานให้กับลูกสาว

    พอแต่งงานให้แล้ว ไม่ทันไร ภูเขาทองก็โผล่ขึ้นหลังบ้านเลย พร้อมด้วยขวานเพชรเล่มหนึ่ง ขวานเพชรนั้นสำหรับพ่อบ้านเท่านั่นแหละ ไปสับเอาทองคำนั้นได้ แต่ผู้อื่นสับไม่ได้ เพราะมันเป็นบุญวาสนาของคนนั้นโดยตรง บัดนี้อยู่มาพ่อบ้านแม่บ้านนั้นก็เลยได้ ลุกชายสามคน พอได้ลุกชายสามคนแล้ว ผู้พ่อนั้นน่ะ ก็ได้ไปฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าบ๊อยบ่อย ก็อินทรีย์บารมีแก่กล้าขึ้นมาแล้ว ก็เลยนึกว่าจะมอบหมายสมบัติอันนี้ให้แก่ลูก เอ้าคนใดมันได้ทำบุญกุศลร่วมกับพ่อมาแต่ก่อน ให้เขาเสี่ยงเอา เอาขวานเล่มนั้นไปสับทองคำได้สักก้อนหนึ่ง แล้วผู้นั้นก็ชื่อว่าได้ทำบุญร่วมกับพ่อ แม่มาแต่ชาติก่อน เรียกลูกชายสามคนมา บัดนี้พ่อก็แก่ชราแล้ว พ่ออยากจะออกไปบวชแล้วลูก อยากจะมอบสมบัติให้ลูกแต่ว่า พ่อมอบให้แต่บุคคลผู้มีบุญ ที่ได้ทำร่วมกับพ่อ แม่ มาเท่านั้นเอง ถ้าผู้ใดไม่ได้ทำร่วมกับพ่อ กับแม่มา พ่อก็จะไม่มอบให้ ให้ลูกนั้นอธิษฐานเอา วาข้าพเจ้าได้ทำบุญกุศลร่วม กับ บิดา มารดา มาขอให้ข้าพเจ้านี้ตัดก้อนทองคำนี้แตกไปได้ ก้อนหนึ่ง ผู้พี่ชายคนหัวปลีก็ อธิษฐาน อธิษฐานแล้วก็ สับลงไปไม่แตกเลย ไม่ได้สักก้อนเดียว เอ้าน้องคนที่สอง ก็อธิษฐานจิตแล้วเอาสับลงไปมันก็ไม่ได้อีก บัดนี้คนที่สามมาอธิษฐานจิตใจ ว่าข้าพเจ้า ได้ทำบุญกุศลร่วมกับบิดา มารดา มาก็ขอให้ สับทองคำนี้แตกมาได้ก้อนหนึ่ง พออธิษฐานแล้วก็สับลงไปทองคำก็แตกได้ก้อนหนึ่งจริงๆ ผู้พ่อจึงว่าเออไอ้นี่ แกมันได้ทำบุญกุศลร่วมกับพ่อมา แต่ชาติก่อนะนี่นะ เราก็จึงต้องมอบเขาทองคำนี้ให้แก่เธอผู้เดียวเลย แต่ว่าเธออย่าไปทิ้งพี่ชายสองคน ให้ช่วยเหลือดูแล ให้เขามีความสุขตามสมควร ผู้ลูกชายก็ยอมรับว่า ผมจะไม่ทิ้งพี่ชายทั้งสอง จะดูแลไปตลอดโน้นแหละว่างั้น บัดนี้นะผู้พ่อก็เลยหนีไปบวช เท่านั้นแหละ บวชแล้วปฏิบัติไม่นาน ก็สำเร็จอรหันต์

    บัดนี้พระพุทธเจ้าก็ เมื่อมีผู้ไปทูลถาม ว่าทำไมเศรษฐีถึงได้ออกบวช ว่างั้นทำไมเศรษฐีนี้จึง มอบสมบัติให้ลูกคนเดียวเท่านั้น ภูเขาทองคำทั้งลูก แท้ๆ ว่างั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดง ว่าคนเหล่านี้แต่อดีตชาติเขามีความเกี่ยวข้องกันมา อย่างนั้นๆ อย่างที่เล่ามา ว่าตั้งแต่ศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสปนู่น พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานบัดนี้ ชาวเมืองก็พากันสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุของพระองค์ไว้ กราบไหว้บูชา บัดนี้
    ไอ้ ครอบครัวหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้วัด ไม่ไกลเท่าไร เป็นช่างทองนั่งตีทองรูปพรรณขาย บัดนี้วันหนึ่งพระมายืนบิณฑบาตหน้าบ้าน ไอ้ช่างทองผู้เป็นพ่อบ้าน เห็นเข้าแล้วก็ต่อว่าพระบัดนี้ เฮ้ยพระนี่ มีแต่เที่ยวของทานเขาแต่ละวัน เกียจคร้านไม่ทำการทำงานอะไรเลย อย่างนี้นี่ไม่สมควรดอก มาทำอย่างนี้นะ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร แก่คนหมู่มากเลย พระท่านยืนอยู่พอประมาณแล้วท่านก็ ไปบ้านหน้าต่อไป ฝ่ายเมียได้ยินผัว ต่อว่าพระอย่างนั้นก็เลยมา พูดกับผัวว่าเอ๊ะ แล้วทำไมคุณจึงไปด่าไปว่าพระ เสียๆ หายๆ อย่างนั้น พระท่านทำอะไรให้แก่คุณล่ะ ท่านก็มายืนอยู่เฉยๆ เราจะมีศรัทธาใส่ให้ ก็ได้ ไม่มีศรัทธาไม่ใส่ให้แล้วท่านก็ไปที่อื่น ท่านไม่ได้ทำความเดือดร้อนอะไรให้แก่ใครนี่ ชื่อว่าคุณทำบาป ทำแบบนี้ว่างั้น สามีได้ฟังเมียพูดนั้นก็เอ๊อ จริงนะฉันเผลอแล้วฉันพูด ไปด้วยโมโหโทโส ต้องเป็นบาปแน่ว่างั้นแล้วทำยังไงล่ะ ฉันจึงจะพ้นจากบาปนี้ได้ อ้าวคุณต้องได้ดอกไม้ธูปเทียนนะ เข้าไปขอขมาโทษท่านเสีย เมื่อท่านให้อภัยโทษแล้ว โทษนั้นก็จะหมดไปเท่านั้นละว่างั้น พ่อบ้านคนนั้น ก็ได้ดอกไม้ธูปเทียน เข้าไปหาพระองค์นั้น ไปแสดงสารภาพความผิด ที่ได้ว่าคำหยาบคายกับท่าน ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ด้วย พระองค์นั้นเข้าใจว่าท่านคงเป็นนักปราชญ์และเป็นพระอรหันต์ หรือก็ไม่รู้ ท่านก็เลยพูดว่า โยมมาขอขมาโทษแต่เพียงวาจาเฉยๆ เท่านี้ โทษคงจะไม่หมดหรอกว่างั้น อ้าวแล้วจะให้ผมทำยังไง อ้าวโยมเป็นช่างตีทองน่ะ ขอให้โยมตีทองคำเป็นกระถางดอกไม้ทั้งกระถางเลย ตีเสร็จแล้วก็ให้เอาดินเอาปุ๋ยเข้าไปปลูก ต้นไม้ที่มีดอกขึ้นมาบานสะพรั่งแล้วก็เอา กระถางดอกไม้นั้น มาบูชาพระเจดีย์นี้ ขอขมาลาโทษ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กันอย่างนี้แล้วโยมจะพ้นโทษ ว่างั้นนะ

    เออถ้างั้นทำก็ทำ กลับไปบ้านก็เลยเรียกลูกชาย สามคน มาหา แล้วพูดให้ลูกชายฟังว่าพระท่านแนะนำให้พ่อตีกระถางทองคำ ปลูกดอกไม้ไปบูชาพระธาตุของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอให้ลูกทั้งสาม ช่วยพ่อด้วยว่างั้นนะ บัดนี้ลูกชายสองคนนั้นน่ะ บอกว่า อ้าวพ่อทำผิดเอง พ่อก็ทำเองซิ ลูกไม่ได้ทำผิดน่ะ ลูกจะไปทำ ทำไม ว่างั้นนะ ส่วนลูกชายคนที่สามนั้น พ่อชักชวนให้ทำ ตีกระถางทองคำดอกไม้ก็ทำ ช่วยพ่อจนเสร็จ ลงไป แล้วก็จนได้ไปถวายพระ ขอขมาลาโทษอย่างว่านั้นแหละ โทษก็เลยหมดไป

    ทีนี้อานิสงส์ และผลที่เพื่อนได้ตีทองคำ เป็นกระถางดอกไม้บูชา พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ากัสสปะ นั้นน่ะ ก็บันดาลให้ เพื่อนเกิดมาในชาตินั้นก็จึงว่า ภูเขาทองคำโผล่ขึ้นมาหลังบ้านนั้นแหละ เมื่อแต่งงานแล้ว ในที่สุดเมื่อลูกชายสามคนนั้นเจริญวัยใหญ่โต
     
  5. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    มาแล้ว พ่อก็คิดอยากออกบวชจึงว่าได้ ให้ลูกชายสามคนนั้นมาเสี่ยงบารมี เอาภูเขาทองคำลูกนั้น ไอ้สองคนผู้พี่นั้น ไม่ทำงานไม่ตีทอง ไม่ตีกระถางทองคำตั้งแต่ศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสปะโน้นน่ะ ไม่ตีกระถางดอกไม้ช่วยพ่อ มีแต่คนที่สามทำช่วยพ่อ พอผลมาปรากฏในชาติศาสนาพระพุทะเจ้าของเรานี่ จึงว่าผู้พี่ชายสองคนนั้นเอาขวาน ไปสับทองคำนั้นไม่ได้ หน่อยเดียวเลย นี่อย่างนั้นแหละ เรียกว่าการกระทำความดีนั้นใครทำใครได้อย่างว่านั้นแหละ
    ส่วนคนที่สามผู้น้องชายคน ที่สุด อธิษฐานแล้วไปสับมันก็แตกออกซี่ของเขาได้ทำช่วยพ่อ ตั้งแต่ครั้งศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสปะโน้นน่ะ เค้าก็จึงได้เจริญรุ่งเรือง ในชีวิตคนสมัยนั้นอายุยืน ตั้งสองหมื่นปี
    เพราะฉะนั้นแหละพวกเราทั้งหลาย พวกเราทั้งหลายพอเมื่อได้ยินได้ฟัง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ดังอธิบายให้ฟังมานี้แล้วก็สรุปใจความ ว่าธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน อย่างเช่นพวกเราได้ต่างคนต่างคิด จะมาฟังธรรมวันนี้ จิตใจมาถึงบ้านคุณสรศักดิ์ก่อนแล้วแหละ ร่างกายจึงมาทีหลัง แล้วมีใจเป็นใหญ่เมื่อมา ได้เวลาฟังธรรมแล้วก็ตั้งใจฟังจริงๆ ตั้งใจจดจำคำสอนพระพุทธเจ้า ให้ได้จริงๆ นี่เรียกว่าใจเรามันเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเมื่อทำลงไปฟังลงไปแล้ว สิ่งใดที่ท่านสอนให้ละ มันเป็นบาปเป็นโทษ อย่างนี้เราก็ตัดสินใจละมันลงไป จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวมุสาวาท ไม่ดื่มสุราเมรัย กัญชา ยาฝิ่นเฮโรอีน ไม่สูบบุหรี่ให้โรคภัยเบียดเบียนร่างกาย ก็ตัดสินใจลงไปแน่วแน่ เราก็เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เมื่อมีศีลแล้วก็มีธรรม มีเมตตากรุณาอยู่ในใจ ไม่อิจฉาริษยา ไม่เบียดเบียนใคร รู้จักให้อภัยแก่บุคคลผู้ทำผิด ต่อตน เข้าไปใจก็เป็นสมาธิ ตั้งมั่นอยู่ในบุญในคุณแก้วสามประการนี้ อันนี้แหละเป็นหนทางไปสวรรค์ไปสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นพุทธบริษัททั้งหลายก็ขอให้พากันคิด ขอให้พากันตรองให้เข้าใจคำว่าธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบุญเป็นบาปเนี่ยะ ไม่ใช่บุญใช่บาปมีมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจทั้งนั้นเลย ใจเป็นผู้สร้างจึงมีได้ บุญบาปคุณโทษดังกล่าวมานั้นน่ะ ถ้าใจไม่สร้างอันใดแล้วไม่มี ดังนั้นให้พากันรักษาจิตใจของตนเสมอ ไปไหนมาไหนก็ถ้าไม่มี เรื่องอื่นที่จะคิด เราก็บริกรรมพุทโธ นึกพุทโธเอาคุณพระพุทธเจ้า มาตั้งไว้ในใจ ของเราเรื่อยไป พระคุณของพระพุทธเจ้ายังรักษาจิตใจของเรา ไม่ให้ตกไปในที่ต่ำ ไม่ให้เป็นบาปเป็นกรรม เป็นเวร ทำให้ใจสูงไป อยู่ด้วยเมตตากรุณา ดังแสดงมา เอวังก็มีด้วยประการะ ฉะนี้ หลวงปู่ให้พร..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
     

แชร์หน้านี้

Loading...