ทำไมต้องรักตัวเองก่อนที่จะรักคนอื่น

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย MonYP, 11 พฤศจิกายน 2018.

  1. MonYP

    MonYP เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    32
    ค่าพลัง:
    +636
    หลวงพ่อฤาษีท่านได้เมตตาสอนไว้ว่า
    "อันดับแรกก็มาพูดกันถึงว่าการอยากมีสามีอยากมีภรรยา คิดว่ามันมีความสุข อันนี้เป็นอารมณ์คิด คิดว่าการแต่งงานมันมีความสุข ทีนี้ถ้าเรามีพรหมวิหาร ๔ เราก็มานั่งรักตัวเอง สงสารตัวเองเสียก่อน ว่าการมีคู่ครองจริงๆ คนที่เขามีกันอยู่แล้วน่ะ เขามีความสุขหรือว่าเขามีความทุกข์ ไปนั่งพิจารณาหาความจริงให้พบ สัญญา ความจำของเรามี ปัญญา ความรอบรู้ของเรามี เราอย่ายอมให้จิตโง่เกินกว่ากิเลส อย่าให้กิเลสเข้ามาจูงจิตเราเป็นสำคัญ ต้องหักห้ามกำลังใจ อย่างอาศัยที่เจริญสมาธิจิตโดยใช้อานาปานุสสติเป็นกรรมฐาน เป็นตัวนำ นั่นก็หมายความว่าต้องการให้มีกำลังใจเข้มแข็ง

    เรามานั่งดูคู่วิวาห์ที่เขาแต่งงานกัน วันที่จะแต่งงานรู้สึกว่าจะมีความชุ่มชื่นใจมาก มีศักดิ์มีศรี แต่ทว่าก่อนจะแต่ง พอเริ่มรักกันเข้ามาแค่นี้ อารมณ์มันก็เริ่มเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร อันดับแรกจิตเริ่มรัก ยังไม่ได้ตกลงในเรื่งอรักแน่นอน อารมณ์มันก็เริ่มเป็นทุกข์แล้วว่า คิดว่าคนที่เราอยากจะรักเขาน่ะ เขาจะรักเราหรือเปล่า ใจเริ่มไม่สบาย ถ้าเห็นคนที่เราคิดว่าจะรัก หรือกำลังรัก เขาอยู่แต่ยังไม่ตกลงกันเดินไปกับใคร ไปไหนมาไหนกับใคร ดีไม่ดีเขาไปกับพี่กับน้องเขา เราก็คิดเสียว่าบางทีเขาจะไปกับคนอื่นเสียแล้ว เขารักคนอื่นเสียแล้ว อารมณ์มันก็ไม่เป็นสุข

    พอตกลงรักกันขึ้นมาได้ ความระแวงระไวมันก็มากขึ้น เกรงไปว่าความรักของเราจะไม่แน่นอน นี่มันเริ่มทุกข์ใจ ไม่สบายนอนไม่หลับ พอเริ่มแต่งงานกันแล้ว อยู่ด้วยกันภาระหนักมันก็เกิดขึ้น กิจการงานต่างๆ ที่เคยเกียจคร้านได้ ไม่ทำอะไรได้ หนาวก็นอน ร้อนก็นอน มีกินแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องทำต่อไป แต่พอเริ่มแต่งงานเข้ามันต้องขยันมากขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเรามันเป็นคนสองคน นอกจากคนสองคนแล้ว ยังมีญาติทางฝ่ายสามี ญาติฝ่ายภรรยา เพื่อนฝ่ายสามี เพื่อนฝ่ายภรรยา เราก็จะต้องนั่งเอาใจ ฝ่ายละหลายสิบคน นี่เริ่มภาระแห่งความทุกข์เกิดขึ้น นี่ในที่นี้ในเมื่อเป็นคนสองคน คนก็ต้องมีงานหนักมากขึ้น เพราะการจับจ่ายใช้สอยมันก็มากขึ้น และก็ยังต้องเป็นห่วงอารมณ์ซึ่งกันและกัน เกรงว่าจะเป็นที่ขัดเคืองซึ่งกันและกัน ต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้น นี่ความทุกข์มันรัดตัวเข้ามามากทุกที

    ต่อมาพอมีบุตรธิดาเกิดขึ้น ตอนนี้สิ ดีไม่ดีกำลังนอนหลับสบายๆ ในยามดึก พ่อเจ้าประคุณร้องขึ้นมาในเวลาดึก ทั้งพ่อทั้งแม่ก็ต้องลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่นอนยังไม่เต็มตื่น อาการทางร่างกายจะเปลี้ยเพลียเพียงใดก็ตามที เพราะอาศัยความรักลูกสงสารลูก ก็ต้องทำทุกอย่าง ถ้าลูกเกิดป่วยไข้ไม่สบายขึ้นมายามใดก็ดี ก็ต้องรีบไปหาหมอ การไปหาหมอน่ะ ดีไม่ดีไปกลางค่ำกลางคืนถูกฆ่าตายเมื่อไรก็ได้ และกว่าจะเลี้ยงลูกโตขึ้นมาแต่ละคนต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังทรัพย์เท่าไร ถ้าลูกเป็นคนดีก็รู้สึกว่าจะเป็นที่พอใจ ถ้าลูกเป็นเด็กร้ายอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อคุณแม่ มันจะมีสุขหรือมีทุกข์

    และก็หวนกลับไปอีกที ความรักระหว่างคนที่จะแต่งงานกัน มักจะเพ่งกันอยู่เฉพาะในวัยที่มีความผ่องใส แข็งแรงกระปรี้กระเปร่า แต่ว่าสภาพของคู่แต่งงานทั้งคู่ จะทรงสภาพอยู่อย่างนั้นเป็นปกติหรือว่าเสื่อมลงไป สิ่งที่เรามองเห็นได้ง่าย คนที่เขาแต่งงานมาก่อน อย่างบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ของเราน่ะท่านก็เป็นหนุ่มสาวกันมาก่อน แล้วเวลาที่เราจะเริ่มมีสภาวะพอจะแต่งงานกับเขาได้นี่ ท่านทั้งหลายเหล่านั้น หนุ่มสาวแล้วหรือยัง หรือว่าแก่ไปเสียแล้ว บางรายเราก็เห็นหง่อม ต้องเอาวิสัยของ พระเรวัต มาใช้"

    ขอบคุณที่มา http://www.manomayitthi.com/articles/42028664/หลวงพ่อสอน เมตตาตัวเราเอง.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...