ทำบุญ ทำทาน ต้องอธิษฐานหรือไม่...?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย คนมีกิเลส, 22 เมษายน 2008.

  1. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    หลวงพ่อตอบปัญหา



    [​IMG]


    โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)

    เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

    คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อครับ ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า บางคนคิดว่า การทำบุญนั้นไม่ต้องอธิษฐาน เพราะถ้าอธิษฐานแล้วเชื่อว่า เป็นการโลภ หรือเป็นการหวังผลตอบแทนครั ไม่ทราบว่า จะแก้ความเข้าใจผิดตรงนี้ได้อย่างไรครับ

    คำตอบ: หลวงพ่อก็เคยได้ยินอย่างนี้มานานแล้วเมื่อตอนเด็กๆ เขาว่า ทำบุญแล้วอธิษฐานรู้สึกว่า เป็นความโลภชนิดหนึ่ง เพราะหวังผลตอบแทน ตอนนั้น หลวงพ่อก็เชื่อเขานะ เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่พูด

    จนกระทั่ง มาเข้าวัดเต็มตัว โดยเฉพาะมาเจอคุณยายอาจารย์ของเรา คุณยายอาจารย์ตอบปัญหาเรื่องนี้ให้กับหลวงพ่อชัดเจนว่า ในทางโลกนั้น เวลาเขาจะสร้างบ้าน ยิ่งบ้านใหญ่เท่าไหร่ล่ะก็ ต้องมีพิมพ์เขียวนะ ถ้าไม่มีพิมพ์เขียวล่ะก็ ถึงเวลาไปสร้าง ประเดี๋ยวเถอะ สร้างไปรื้อไปทุบไปกว่าจะสร้างเสร็จยุ่งเลย แต่ว่าถ้ามีพิมพ์เขียวเสร็จเรียบร้อย จะสร้างบ้านรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ กว้างยาวเท่านั้นเท่านี้ มีกี่ห้องมีห้องน้ำห้องนอนเท่าไหร่ ว่าไป กำหนดไว้ชัดเจน ถึงเวลาก็สร้างตามนั้น โอกาสผิดพลาดยาก แต่ว่าโอกาสจะได้ผลดี และประหยัดเยอะ

    สร้างบ้านต้องมีแผนฉันใด การทำบุญต้องมีแผนฉันนั้นเหมือนกัน ทำไม...ก็เพราะว่า เมื่อเราทำบุญแล้ว บุญนั้นย่อมเกิดแน่นอน แต่ว่า เมื่อบุญเกิดแล้ว เมื่อบุญจะส่งผล ถ้าไม่กำหนดทิศทางให้ดี อาจเป็นอันตรายกับตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น เราทำทานไป ผลแห่งการทำทานนั้น จะทำให้ผู้ที่ทำทานนั้น วันใดวันหนึ่งก็จะรวยขึ้นมาได้ เมื่อรวยขึ้นมาแล้ว แต่ไม่ได้ตั้งผังไว้ให้ดี ว่ารวยแล้วจะใช้ทรัพย์ไปทำอะไร เพราะฉะนั้นบางคนถ้าพอรวยแล้วตกอยู่ในความประมาท เอาทรัพย์นั้นไปใช้ในทางที่ผิด เช่น เอาไปเล่นพนันฟุตบอล อย่างนี้เรียกว่า หาบุญได้ ใช้บุญไม่เป็น ใช้บุญไปหานรกเสียด้วย ตรงนี้ต้องระวัง

    แต่ว่า เมื่อเราทำบุญทำทาน เรารู้แล้วว่า วันหนึ่งจะรวย ตั้งผังไว้เลยว่า ถ้าเรารวยเมื่อไหร่ ขอให้เรานั้นสามารถใช้ทรัพย์ในทางที่ถูกที่ควร ตั้งแต่เอาทรัพย์นั้นไปใช้สร้างฐานะให้ยิ่งขึ้นไป เอาทรัพย์นั้นไปบำรุงพระศาสนา เอาทรัพย์นั้นไปตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ เลี้ยงดูท่านให้ดี หรือเอาทรัพย์นั้นไปทำในสิ่งที่ถูกที่ควรอย่างไรต่อไปอีก

    พูดง่ายๆ คือ เอาคำอธิษฐานนั้นเป็นแผนงานระยะยาว ที่จะประกอบความดีต่อไป เอาบุญที่ทำได้นั้นมาเป็นงบประมาณ เมื่อมีทั้งแผน มีทั้งงบประมาณ โอกาสจะพลาดมันยากเสียแล้ว เมื่อเราทำบุญเราอธิษฐานเป็นเรื่องของการสร้าง Project (โครงการ) ไว้รอข้างหน้าแล้ว ตอนนั้น ใจกำลังเป็นบุญ Project นี้ดีแน่นอนเลย ให้อธิษฐานเข้าไป อย่ากลัว ไม่พลาดแน่

    แต่มีหรือไม่ที่เขาอธิษฐานกันผิดๆ จะเล่าตัวอย่างให้ฟัง กล่าวคือ มีผู้หญิงคนหนึ่ง ได้อธิษฐานผิดๆ ทำบุญทำทานกี่ครั้งๆ ก็อธิษฐานว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2008
  2. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    ขออนุโมทนาสำหรับบทความดีๆครับ

    การอธิษฐานสำคัญมากครับ เสียเวลาเพิ่ม 5 วิ ก็ไม่น่าจะลืมครับ
    อธิษฐานไปเลยว่า

    "ผลบุญกุศลที่ทำครั้งนี้ขอให้ขาพเจ้าเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญ"

    ทำแบบนี้บ่อยๆครับ จิตจะเกาะกับพระนิพพานครับ ไปได้ก็ดี ไปไม่ได้ก็ลองใหม่ ทำไปเรื่อยๆครับ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนครับ แล้วแรงใจที่เราส่งไปพร้อมการอธิษฐานนั้น ย่อมส่งผลในอนาคตครับ

    ขออนุโมทนา
     
  3. jerajajen

    jerajajen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +267
    ไม่อธิฐานก็ไม่เป็นไร เเพราะในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่า บุคคลใดก็ตามที่ทำบุญ โดยที่ตนเองนั้นถึงแม้ว่าไม่เชื่อเรื่องบุญ บาป ก็ตาม เค้าเหล่านั้นก็ย่อมได้ครับ
     
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    ขอเพิ่มเติมให้ครับ

    ถ้าไม่อธิษฐานก็ได้บุญอยู่ครับ แต่สู้อธิษฐานไม่ได้ครับ
    ขนาดพระพุทธเจ้าตอนเป็นพระโพธิสัตว์ท่านยังอธิษฐานขอบรรลุพระโพธิญาณเลยครับ ลองหาชาดกอ่านดูครับ แล้วจะเห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐานครับ

    ไปถวายสังฆทานก็ยังมีคำถวายครับ (เป็นการอธิษฐานแบบหนึ่ง)

    ส่วนใครจะอธิษฐานหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสบายใจของแต่ละท่านครับ ยึดทางไหนก็ได้ครับ
     
  5. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    การอธิษฐานบารมี เป็น 1 ในบารมี 10
     
  6. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    <DIV>
    ทศชาติชาดก
    <!--<div--></DIV>

    เรื่อง เนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี ตอนที่ 1

    เราได้ศึกษาประวัติการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติที่สำคัญๆ มา 3 พระชาติแล้วคือ ชาติที่ทรงเกิดเป็นพระเตมียราช ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ที่ท่านระลึกชาติได้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย รู้ว่าทรงเคยตกอุสสุทนรกมายาวนาน จึงทรงแกล้งทำเป็นใบ้เพื่อให้ได้ออกบวช


    [​IMG]

    ชาติที่ทรงเกิดเป็นพระมหาชนกราช ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ที่ท่านขนสินค้าขึ้นเรือเพื่อไปค้าขายทางทะเล เมื่อเรือล่มท่านต้องว่ายน้ำอยู่ในทะเลถึง 7 วัน ในที่สุดก็ได้ครองราชย์ และได้ข้อคิดจากต้นมะม่วงสองต้นกระทั่งได้ทรงออกผนวชในตอนสุดท้าย

    [​IMG]

    และชาติที่เกิดเป็นสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ที่ท่านมีบิดามารดาเป็นฤษีและฤษิณี ในชาตินี้ท่านเจริญเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งหลาย แม้จะถูกพระเจ้าปิลยักขราชยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษก็ไม่โกรธเคือง และได้ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาผู้ตาบอดทั้งสองท่านอยู่ในป่าจนตลอดชีวิต

    [​IMG]

    วันนี้เรามาศึกษาประวัติการสร้างบารมี ในพระชาติที่สำคัญอีกชาติหนึ่ง ที่ท่านทรงสร้างบารมีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ในชาติที่ทรงเกิดเป็นพระเจ้าเนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี

    อธิษฐานบารมีนั้น คือการตั้งใจมั่นอย่างแน่วแน่ในการทำความดี อันมีผลสุดท้ายคือการกำจัดทุกข์ของตนเองและผู้อื่น แม้เป้าหมายจะยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อได้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะทำ ก็ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ จะไม่เลิกรา และไม่ลดเป้าหมายลงอย่างเด็ดขาด


    [​IMG]
    ถ้าจะเปรียบภาพของ อธิษฐานบารมี ให้เห็นชัดก็คือ เป็นการตั้งใจที่ไม่หวั่นไหว เหมือนภูเขาหินที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวด้วยแรงพายุ การสร้างอธิษฐานบารมีนี้จึงมีลักษณะว่า “ยอมตาย ไม่ยอมเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาด” ดังเรื่องของพระเจ้าเนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมีที่จะนำมาเล่าดังต่อไปนี้

    ครั้งหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล เวลาเย็นวันหนึ่ง พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระอานนทเถระ และเหล่าภิกษุเป็นจำนวนมากประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงแห่งหนึ่ง ซึ่งอดีตเคยเป็นพระราชอุทยานอัมพวัน ของพระเจ้ามฆเทวราช กษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ


    พระองค์ทรงเห็นสถานที่อันน่ารื่นรมย์นั้นแล้ว จึงทรงระลึกถึงเรื่องราวในอดีตว่าสถานที่แห่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร ด้วยพุทธญาณอันหาที่สุดมิได้ พระพุทธองค์ก็ทรงทราบเรื่องราวที่ผ่านมาเนิ่นนานโดยตลอด


    จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ แสงดวงตะวันในยามเย็นได้ส่องกระทบพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธองค์ ทำให้เกิดแสงสว่างวาบขึ้น


    [​IMG]
    แสงนั้นคือเกลียวรัศมีสี่สายที่เกิดขึ้นจากพระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ เมื่อต้องแสงตะวันก็ทอประกายแปลบปลาบประดุจสายฟ้าพวยพุ่งออกมาจากพระโอษฐ์ แสงนั้นได้เวียนขวารอบพระเศียรของพระพุทธองค์ ๓ รอบ แล้วจึงอันตรธานไป

    พระอานนทเถระผู้เป็นปัจฉาสมณะ ตามเสด็จมาเบื้องหลังได้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ด้วยสัญญาณแห่งแสงสว่างนั้น จึงกราบทูลถามถึงเหตุแห่งการทรงแย้มพระโอษฐ์


    พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงมีพระพุทธดำรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ เราเคยอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ เพื่อเจริญฌานในสมัยที่เราเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช”


    ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลอาราธนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลก่อนที่พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นท้าวมฆเทวาราช ได้เคยเจริญฌานในที่นี้นั้นมีเรื่องราวเป็นมาอย่างไรหรือพระเจ้าข้า”


    ด้วยพระมหากรุณาที่จะทรงทำบุพจริยาของพระองค์ให้แจ่มแจ้งแก่ภิกษุเหล่านั้น จึงทรงนำพระชาติในอดีตมาตรัสเล่า ซึ่งมีเรื่องราวดังต่อไปนี้


    [​IMG]
    ในอดีตกาลไกลโพ้น มนุษย์มีอายุยืนมาก เนื่องเพราะความประมาทในความที่ตนมีอายุยืนนี่เอง จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเป็นจำนวนหนึ่งเกิดความประมาทมัวเมา ใช้ชีวิตให้สิ้นไปวันๆ ด้วยการกิน ดื่ม เที่ยว ประดุจว่าเขาจะไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย

    แต่ถึงกระนั้น ก็มีคนบางเหล่าที่เป็นบัณฑิตมีความเป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาท ใช้ลมหายใจและไออุ่นแห่งชีวิตให้เป็นไปเพื่อการสั่งสมบุญบารมี โดยมิได้คำนึงว่าเวลาแห่งชีวิตของตนจะมากหรือน้อย เพราะมีปัญญามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตว่า แม้จะมีอายุยืนยาวเพียงไร แต่ในความเป็นจริงนั้นเราแก่ลงไปทุกวัน และจะตายลงวันไหนก็ไม่รู้ มองเห็นว่ายังมีภัยร้ายแรงที่คุกคามชีวิตอยู่ตลอดเวลา


    ดังเช่นท้าวมฆเทวราช มหากษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ พระองค์ทรงถือกำเนิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย ๔ แสนปี ทรงเล่นอย่างสนุกสนานในความเป็นพระราชกุมารอยู่ถึง ๘๔,๐๐๐ ปี ทรงครองราชย์สมบัติอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี และเป็นพระมหาราชาผู้ยิ่งใหญ่อยู่ต่อมาอีก ๘๔,๐๐๐ ปี ตลอดระยะกาลที่ผ่านมานี้ พระองค์ได้ทรงอธิษฐานจิตมั่นว่า “หากเส้นผมของเราแม้เพียงเส้นเดียวเกิดหงอกขึ้นคราวใด คราวนั้นเราจะออกบวชดาบสในทันที”


    [​IMG]
    ความที่พระองค์ทรงมั่นอยู่ในคำอธิษฐานนี้ ได้แสดงให้ปรากฏด้วยการทรงมีรับสั่งกับนายภูษามาลาว่า “ เมื่อเจ้าเห็นผมหงอกบนศีรษะของเราเมื่อไร ก็จงรีบบอกเราให้ทราบในทันที ”



    จำเนียรกาลผ่านไปอีกหลายร้อยปี วันหนึ่ง ขณะที่นายภูษามาลาถวายงานแต่งพระเกศาอยู่นั้น เขาได้เห็นเส้นพระเกศาของพระเจ้ามฆเทวราช เส้นหนึ่งเกิดหงอกขาว จึงได้กราบทูลพระองค์ให้ทรงทราบ
    [​IMG]
    พระเจ้ามฆเทวราชจึงทรงมีรับสั่งให้ถอนพระเกศาเส้นนั้นด้วยแหนบทองคำ แล้วให้วางไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงพิจารณาผมนั้นเหมือนเห็นความตายที่มาปรากฏตัวยืนอยู่เบื้องหน้า ก็ทรงเบื่อระอาในความไม่เที่ยงของสังขาร หมดความยินดีที่จะเสวยพระราชสมบัติอีกต่อไป ด้วยทรงเห็นว่า “ความร่าเริงยินดีตามแบบของชาวโลก เราก็ได้รับมาพอแล้ว บัดนี้ร่างกายของเราได้ย่างเข้าสู่วัยชรา สมควรที่เราจะได้ออกบวชตามคำที่เราได้อธิษฐานเอาไว้ เพื่อชำระหนทางแห่งสวรรค์ให้บริสุทธิ์”
    จึงทรงพระราชทานบ้านส่วยหนึ่งตำบล ซึ่งมีเงินภาษีเกิดขึ้นให้ได้ใช้เลี้ยงชีพไปตลอดชีวิตแก่นายภูษามาลา และได้ตรัสบอกเหตุแก่พระโอรสว่า “ผมหงอกบนศีรษะของพ่อนี้ บอกให้พ่อทราบว่า ความเป็นหนุ่มของพ่อได้สิ้นไปแล้ว เทวทูตแห่งความตายปรากฏแล้ว คราวนี้เป็นคราวที่พ่อจะออกบวช”


    จากนั้นจึงทรงอภิเษกพระราชโอรสพระองค์โตไว้ในราชสมบัติ พร้อมทั้งพระราชทานพระโอวาทว่า “ถึงตัวลูกเองก็จงครองราชย์สมบัติโดยธรรม จงดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท และเมื่อผมหงอกปรากฏบนศีรษะของลูกเมื่อไร ลูกก็จงบวชเหมือนกับพ่อนี้ ”


    [​IMG]
    การที่พระเจ้ามฆเทวราชทรงสอนพระองค์เองได้ เพราะทรงเป็นผู้มีปัญญาที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้ว ลำพังคนธรรมดาทั่วไป แม้จะมีอายุขัยเพียงแค่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี อย่างกับมนุษย์ในยุคนี้ ก็มิได้สอนตนเองได้เหมือนพระเจ้ามฆเทวราช

    เพราะความสั้นหรือยาวของอายุมิได้เป็นเครื่องชี้ชัดเสมอไปว่า เมื่อคนมีอายุน้อยลง แล้วจะสามารถสอนตนเองได้ แต่อยู่ที่การได้คบบัณฑิต ได้ฟังธรรมของบัณฑิต และได้ประพฤติธรรมของบัณฑิต ดังนั้น บุคคลเมื่อได้คบกับบัณฑิต ชีวิตก็ย่อมจะเจริญสูงขึ้นไป ส่วนวงศ์กษัตริย์ของพระเจ้ามฆเทวราชจะดำเนินไปอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป


    โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

     
  7. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    <DIV>
    ทศชาติชาดก
    <!--<div--></DIV>

    เรื่อง เนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี ตอนที่ 2


    จากตอนที่แล้ว ได้เกริ่นนำเข้าสู่เรื่องของพระเจ้าเนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี โดยได้เปรียบภาพของ อธิษฐานบารมี ให้เห็นชัดว่า เป็นการตั้งใจมั่น เหมือนภูเขาหินที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวด้วยแรงพายุ อธิษฐานบารมีนี้จึงมีลักษณะว่า “ยอมตาย ไม่ยอมเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาด”


    ครั้งหนึ่ง พระบรมศาสดาได้เสด็จดำเนินอยู่ในพระราชอุทยานอัมพวัน สวนมะม่วงของพระเจ้ามฆเทวราช โดยมีพระอานนทเถระ และเหล่าภิกษุติดตามเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงระลึกถึงเรื่องราวในอดีตของสถานที่แห่งนั้นจึงทรงแย้มพระโอษฐ์ ทำให้เกิดแสงสว่างวาบขึ้น


    พระอานนทเถระ ตามเสด็จมาเบื้องหลังได้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ด้วยแสงสว่างนั้น จึงกราบทูลถามถึงสาเหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงมีพระพุทธดำรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ เราเคยอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ เพื่อเจริญฌานในสมัยที่เราเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช”


    [​IMG]
    จากนั้นจึงได้ตรัสเล่าเรื่องในอดีตว่า ณ สถานที่เดียวกันนี้ ในกาลนั้นพระองค์ทรงเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช มหากษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา ในยุคนั้นมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย ๔ แสนปี ได้ทรงเป็นพระราชกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ปี ครองราชย์อยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี และเป็นพระมหาราชอีก ๘๔,๐๐๐ ปี

    วันหนึ่ง พระเจ้ามฆเทวราชทรงเห็นเส้นพระเกศาของพระองค์หงอกเพียงเส้นเดียว ก็ทรงมีดำริที่จะออกบวช จึงได้ตรัสบอกพระโอรสว่า “ความเป็นหนุ่มของพ่อสิ้นไปแล้ว บัดนี้เป็นคราวที่พ่อจะออกบวช” แล้วก็ทรงอภิเษกพระราชโอรสพระองค์โตไว้ในราชสมบัติ พร้อมทั้งพระราชทานโอวาทว่า เมื่อผมบนศีรษะของลูกเริ่มหงอกเมื่อไร ลูกก็จงบวชเหมือนกับพ่อนี้


    จากนั้น พระองค์ก็ได้อธิษฐานจิตมั่นว่า “ขอให้วงศ์กษัตริย์ของเราสืบต่อเชื้อสายแห่งวงศ์บรรพชิตเช่นนี้ตลอดไป” แล้วจึงเสด็จออกจากพระนครทรงผนวชเป็นฤษี เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี


    ทรงได้บรรลุฌาน และอภิญญาสมาบัติ ละจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก


    [​IMG]
    แม้พระราชโอรสองค์โต ผู้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเจ้ามฆเทวราช ก็ได้ดำเนินตามมรรคาของพระองค์ โดยถือนิมิตผมหงอกเป็นจุดนำทางให้จำต้องสละราชบัลลังก์ ออกบวชเป็นฤษี แล้วก็มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    วงศ์กษัตริย์ของพระเจ้ามฆเทวราชได้สืบลำดับต่อเนื่องกันมาโดยทำนองนี้นับได้ประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระองค์


    ครั้งหนึ่ง ท้าวมฆเทวราชผู้บังเกิดและดำรงอยู่ในพรหมโลกก่อนกว่ากษัตริย์ทั้งหมด ทรงตรวจดูพระวงศ์ของพระองค์ ทุกพระองค์ยังคงรักษาประเพณีอันดีงามกันดีอยู่หรือไม่


    เมื่อตรวจตราไปก็ได้เห็นว่า วงศ์กษัตริย์ของพระองค์ได้สืบต่อการออกบวชเรื่อยมาไม่ขาดสายเลย เป็นจำนวนกษัตริย์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีปีติล้นทับทวี


    จึงทรงพิจารณาต่อไปว่า ต่อจากนี้ไป วงศ์กษัตริย์ของเราจะสามารถสืบต่อประเพณีนี้ไปได้อีกหรือไม่ ก็ทรงเห็นด้วยฌานสมาบัติว่า กษัตริย์พระองค์ต่อไปจะไม่สามารถรักษาประเพณีอันดีนี้ไว้ได้


    จึงมีพระดำริว่า เราเองนี่แหละ จักสืบต่อพระวงศ์ของเราเอง จึงอธิษฐานจิตจุติจากพรหมโลกลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา


    ครบ ๑๐ เดือน ก็ได้ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา ในวันขนานพระนาม พระราชาตรัสเรียกพราหมณ์มาทำนายลักษณะ


    [​IMG]
    พราหมณ์เมื่อตรวจดูพระลักษณะแล้วก็กราบทูลว่า พระราชกุมารพระองค์นี้เป็นผู้ที่จะมาสืบต่อพระวงศ์ของพระองค์ เพราะพระวงศ์ของพระองค์เป็นวงศ์บรรพชิต

    หลังจากพระราชกุมารพระองค์นี้ไป ก็จักไม่มีพระราชาพระองค์ใดได้เสด็จออกผนวชอีกเลย


    พระราชาสดับดังนั้น ทรงมีปีติเป็นยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า ลูกเรามาเกิดเพื่อสืบต่อวงศ์ของเราโดยแท้ เปรียบเหมือนล้อรถที่หมุนตามกันมา ฉะนั้น


    เหตุนี้เองพระองค์จึงทรงขนานพระนามของพระราชโอรสว่า เนมิราชกุมาร ซึ่งแปลว่า กุมารผู้เป็นเหมือนล้อรถ ที่หมุนเวียนมาเพื่อตามรักษาประเพณีอันดีงามของวงศ์ตระกูลให้สืบต่อไป


    เนมิราชกุมารนั้น รักในการบำเพ็ญบุญกุศล ให้ทาน รักษาศีล ๕ และอุโบสถศีล ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์


    เมื่อทรงเจริญวัยวัฒนา พระองค์ก็มิได้ทรงยินดีในเบญจกามคุณที่รายล้อมอยู่รอบพระวรกาย


    ถึงกาลที่พระราชาผู้เป็นพระชนกดำรงอยู่ในราชสมบัติได้ ๘๔,๐๐๐ ปี พระชนกของพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเส้นพระเกศาหงอก ทรงเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความตายได้คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ


    [​IMG]
    ทรงรำพึงว่า สังขารไม่เที่ยงหนอ วัยของเราแก่หง่อมแล้วหนอ ถึงเวลาแล้วที่เราจะประพฤติธรรม ออกผนวชเป็นดาบสตามพระวงศ์ที่ได้ประพฤติรักษาประเพณีอันดีงามสืบต่อกันมา

    จากนั้น ก็ได้พระราชทานบ้านส่วยแก่นายภูษามาลา แล้วทรงมอบราชสมบัติแก่พระเนมิกุมารผู้เป็นราชโอรส


    แล้วพระองค์เองออกผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันนั่นเอง และทรงเจริญภาวนาตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี


    เมื่อทรงละโลกไปแล้วก็มีพรหมโลกเป็นที่ไป เหมือนกษัตริย์องค์ก่อนๆ


    [​IMG]
    การที่กษัตริย์แต่ละพระองค์ได้ทรงออกบวชตามๆ กันทุกพระองค์เช่นนี้ ก็ด้วยการอธิษฐานจิตของพระเจ้ามฆเทวราช ผู้เป็นองค์ต้นแห่งกษัตริย์วงศ์นี้ และวาสนาบารมีที่แต่ละพระองค์ได้สั่งสมมาในทางเดียวกัน วงศ์ของพระเจ้ามฆเทวราชนี้จึงได้ชื่อว่า “วงศ์บรรพชิต” ตามที่กล่าวแล้ว

    แต่ตลอดกาลที่ผ่านไปเนิ่นนานเห็นปานนี้ ก็มิได้มีกษัตริย์พระองค์ใดได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สดับพระธรรมเทศนา และได้ทรงออกผนวชในพระพุทธศาสนาแม้เพียงพระองค์เดียว ได้แต่เพียงทรงออกผนวชเป็นดาบสเจริญฌานสมาบัติ แล้วไปเกิดในพรหมโลกวนเวียนอยู่เช่นนี้


    จะเห็นว่า ระยะกาลที่พระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สั้นนัก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่โลกว่างจากพระสัทธรรม เปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งฟ้าแลบขึ้นแปลบเดียวตลอดคืนอันมืดมิด


    ดังนั้น ท่านทั้งหลายซึ่งได้มาถึงคำสอนอันสูงส่งเช่นนี้แล้ว หากมีโอกาสบวชก็จงฉวยโอกาสนั้นไว้ แล้วออกบวชเถิด จะได้คุ้มค่าที่ได้มาพบคำสอนของพระบรมศาสดา ส่วนเรื่องของพระเจ้าเนมิราชจะดำเนินไปอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป

    พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
     
  8. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    <DIV>
    ทศชาติชาดก
    <!--<div--></DIV>

    เรื่อง เนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี ตอนที่ 3


    [​IMG]
    จากตอนที่แล้ว พระเจ้ามฆเทวราชได้เสด็จออกจากพระนคร แล้วทรงผนวชเป็นดาบส เจริญพรหมวิหาร ๔ ทรงได้บรรลุฌานสมาบัติ ละจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ท้าวมฆเทวราชผู้ดำรงอยู่ในพรหมโลกนั้น ได้ทรงตรวจตราดูวงศ์กษัตริย์ของพระองค์มาโดยตลอด ได้เห็นว่า วงศ์กษัตริย์ของพระองค์ได้สืบต่อการออกบวชเรื่อยมาไม่ขาดสายเลย เป็นจำนวนกษัตริย์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีปีติเป็นทวีคูณ


    แต่เมื่อทรงตรวจดูต่อไป ก็ได้เห็นว่า กษัตริย์พระองค์ต่อไปจะไม่สามารถรักษาประเพณีนี้ไว้ได้ จึงมีพระดำริว่า เรานี่แหละ จะสืบต่อวงศ์กษัตริย์ของเราเอง จึงอธิษฐานจิตจุติจากพรหมโลกลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา

    ในวันขนานพระนาม พราหมณ์ได้ตรวจดูพระลักษณะแล้วกราบทูลพระราชาว่า พระราชกุมารเป็นผู้ที่จะมาสืบต่อวงศ์กษัตริย์ของพระองค์เอง เพราะเหตุนี้ พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนามพระราชโอรสว่า เนมิราชกุมาร ซึ่งแปลว่า กุมารผู้เป็นเหมือนล้อรถที่หมุนเวียนมาตามรอยเดิม


    เมื่อทรงเจริญวัยวัฒนา พระราชาผู้เป็นพระชนกทรงมีเส้นพระเกศาหงอกแล้ว ก็ทรงมอบราชสมบัติให้แก่พระเนมิราชกุมารสืบต่อไป แล้วพระองค์เองก็ออกผนวชในพระราชอุทยานอัมพวัน ได้ทรงเจริญภาวนาตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อทรงละโลกแล้วก็ได้ไปสู่พรหมโลก


    [​IMG]
    มาถึงตอนนี้ ใคร่จะขอชี้แจงให้กระจ่างขึ้นสักหน่อยหนึ่งว่า โดยปกติทั่วไปแล้ว การทำอธิมุตกาลกิริยา (อะ-ธิ-มุต-ตะ-กา-ละ-กิ-ริ-ยา) คือการอธิษฐานจิตดับชีพของตนลงมาเกิดสร้างบารมีในโลกมนุษย์นี้ จะทำได้ก็เฉพาะพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตเท่านั้น

    ส่วนมหาพรหมเนมิราชนี้ ทรงเป็นนิยตโพธิสัตว์ที่มีอธิษฐานบารมีแก่กล้า เพราะทรงสร้างบารมีมายาวนาน ใกล้จะเต็มเปี่ยมแล้ว จึงสามารถอธิษฐานจิตจุติลงมาเช่นนี้ได้


    พระเจ้าเนมิราชพระองค์นี้ เมื่อทรงเจริญวัยได้ครองราชย์สมบัติต่อจากพระราชบิดาแล้ว ก็ทรงโปรดให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ทิศ ทิศละ ๑ แห่ง และที่ท่ามกลางพระนครอีก ๑ แห่ง ทั้งได้พระราชทานทรัพย์เพื่อเป็นค่าเสื้อผ้าและอาหารที่โรงทานแห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะทุกวัน รวมแล้วในแต่ละวันพระองค์จะทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ไม่เคยขาดเลย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรักษาศีล ๕ เป็นปกติ และสมาทานองค์อุโบสถศีลทุกวันพระที่มีพระจันทร์เต็มดวง และวันที่พระจันทร์ดับ ทั้งยังทรงชักชวนมหาชนให้สั่งสมบุญบารมี มีการให้ทานเป็นต้นอยู่เนืองนิตย์ ทั้งยังทรงสั่งสอนมหาชนให้รู้จักหนทางแห่งสวรรค์ และให้ห่างไกลจากโทษภัยในอบายภูมิ


    [​IMG]
    ประชาชนของพระองค์ส่วนมากได้ตั้งอยู่ในพระราโชวาท พร้อมใจกันสั่งสมบุญกุศลอย่างเต็มที่ ละจากอัตภาพนั้นแล้วก็บังเกิดในเทวโลก จนสวรรค์ชั้นต่างๆ เนืองแน่นด้วยเทวดา ส่วนประชาชนในยุคของพระองค์ ผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาทก่อบาปอกุศลนั้นมีน้อย จึงทำให้นรกกลับว่างเปล่าเหมือนห้องโถงที่ร้างว่างจากการใช้งาน ฉะนั้น

    การที่พระองค์ได้ทำหน้าที่ชักชวนให้ประชาชนตั้งอยู่ในหนทางแห่งสวรรค์นี้ ทำให้พระเกียรติยศชื่อเสียงได้แผ่ขจรขจายไปทั่วชมพูทวีป ประชุมชนทุกหมู่เหล่าต่างเกิดความเคารพเลื่อมใส เมื่อมีการกล่าวพระนามของพระองค์ขึ้นเมื่อใด ต่างก็จะประนมมือขึ้นไหว้ กล่าวสรรเสริญการกระทำของพระองค์ จนพระนามของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งการทำความดี และการชักชวนคนทำแต่ความดี บ้านเมืองไร้คนภัยพาล ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเรื่อยมา


    การสั่งสมกุศลธรรมของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ยิ่งกว่าพระราชาพระองค์ใดๆ ในพระวงศ์ตระกูลที่สืบต่อกันมาทั้งหมด และจากการที่มหาชนประพฤติศีล ๕ กันเป็นปกติ และการกล่าวสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระองค์ไม่ขาดสายเหล่านี้ แผ่ขยายสูงขึ้นไปจนถึงสวรรค์ภูมิแห่งเทวดาทุกหมู่เหล่า


    [​IMG]
    แม้เทวดาในดาวดึงส์พิภพผู้ประชุมกันอยู่ ณ สุธรรมมาเทวสภา ก็ล้วนเป็นเทวดาที่เคยได้สั่งสมบุญโดยการชี้ชวนและชักนำของพระเจ้าเนมิราช ต่างก็สนทนาปราศรัยกันอยู่ว่า พระเจ้าเนมิราชสอนอะไรแก่ท่านเล่า วิมานของท่านถึงได้สว่างไสวถึงเพียงนี้ จากนั้น ก็ผลัดกันเล่ากุศลกรรมของตนเอง และจบท้ายด้วยการกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นอาจารย์ ที่เป็นต้นบุญชี้ทางสว่างให้ได้มาเสวยทิพยสมบัติอันมากมายสุดจะคณานับ

    การกล่าวสรรเสริญคุณของผู้มีคุณ นี้เป็นปกติของเทวดาทั้งหลาย ประดุจเหล่าสตุลลปกายิกาเทพบุตร (สะ-ตุล-ละ-ปะ-กา-ยิ-กา) ผู้ตั้งอยู่ในคณะเทพบุตรผู้ยกย่องความดี ซึ่งในอดีตชาติตอนเป็นมนุษย์ได้รับศีล ๕ จากอุบาสกผู้เป็นอาจารย์ เมื่อเรืออับปางหลังจากที่ได้รับศีลแล้ว ก็ได้มาบังเกิดอยู่ในสโมสรแห่งเทพบุตร ด้วยอานิสงส์แห่งศีลนั้น เมื่อระลึกถึงคุณของอาจารย์ ต้องการจะสรรเสริญพระคุณนั้น จึงมายังพระเชตวันมหาวิหาร ถวายบังคมพระบรมศาสดา กราบทูลยกย่องคุณความดีของอาจารย์อย่างนั้น


    [​IMG]
    ครั้งหนึ่ง พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ โดยพระองค์ทรงเปลื้องพระราชาภรณ์ทุกอย่าง ทรงสวมชุดขาวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์บรรทมอยู่บนพระแท่นอันมีสิริ เสวยสุขจากนิทรารมณ์ตลอด ๒ ยาม จากนั้นจึงทรงตื่นบรรทมในเวลาปัจฉิมยาม นั่งสมาธิคู้บัลลังก์ แล้วทรงดำริว่า ผลแห่งการให้ทานไม่มีประมาณโดยตัดขาดจากใจและไม่เสียดายในทานที่เราให้แก่ทุกคน กับการรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์ของเรา อย่างไหน จะมีผลานิสงส์มากกว่ากันหนอ

    จากพระดำรินี้เอง ทำให้พระองค์ไม่สามารถขจัดความสงสัยไปได้ และนั่นเองจึงเป็นเหตุให้พิภพดาวดึงส์อันเป็นที่สถิตของท้าวสักกะจอมเทพเกิดเร่าร้อนขึ้นมา พระผู้เป็นใหญ่แห่งดาวดึงส์พิภพจึงได้ทรงสอดส่องทิพยเนตรดู ก็ทรงเห็นพระเจ้าเนมิราชกำลังวิตกกับปัญหาที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นมาเอง แต่ยังไม่สามารถจะขจัดปัญหาที่ตนเองตั้งขึ้นได้ ส่วนว่า ท้าวสักกเทวราช เมื่อทรงเห็นต้นตอแห่งปัญหาแล้ว จะเสด็จลงมาช่วยแก้ไข และแนะนำพระเจ้าเนมิราชอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป


    พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
     
  9. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    <DIV>
    ทศชาติชาดก
    <!--<div--></DIV>

    เรื่อง เนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี ตอนที่ 17


    จากตอนที่แล้ว เหล่าทวยเทพในเทวสมาคมซึ่งรอคอยอยู่ เมื่อเห็นเวชยันตรถเริ่มปรากฏที่ซุ้มประตูจิตกูฏ ต่างก็ร่าเริงยินดีส่งเสียงสาธุการ ถือเครื่องหอมและดอกไม้ทิพย์ ไปยืนรอรับเสด็จพระเจ้าเนมิราช นำเสด็จเข้าสู่สุธรรมาเทวสภา

    ต่างกล่าวสรรเสริญชื่นชมพระเจ้าเนมิราช ที่ได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรคอยชี้แนะทางสวรรค์ ห้ามขาดจากอกุศลกรรมทุกชนิด จึงได้มาเสวยทิพยสมบัติอย่างโอฬารถึงปานนี้ แล้วก็อัญเชิญให้เสด็จขึ้นประทับนั่งบนทิพอาสน์ใกล้กับท้าวสักกะเทวราช และกระทำสักการบูชา


    [​IMG] ท้าวสักกะจอมเทพทรงสดับเทพบริษัทของพระองค์กล่าวสรรเสริญพระเจ้าเนมิราช ก็ยิ่งเลื่อมใสในท้าวเธอ ได้ตรัสเชื้อเชิญให้ทรงอยู่เสวยกามคุณอันเป็นทิพย์ในเทวโลก โดยจะทรงแบ่งสมบัติทิพย์ให้

    แต่พระเจ้าเนมิราชก็มิได้ทรงปรารถนา จึงมีพระดำรัสห้ามว่า “สิ่งใดที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้นเปรียบเหมือนทรัพย์ที่ยืมเขามา หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลย บุญที่หม่อมฉันทำเอง ย่อมเป็นทรัพย์อันประเสริฐที่จะติดตามตนไป หม่อมฉันจักกลับไปทำกุศลให้มากในหมู่มนุษย์”


    หลังจากทรงแสดงธรรมจบลงแล้ว พระเจ้าเนมิราชบรมโพธิสัตว์ ก็ได้ตรัสอำลาท้าวสักกเทวราช ท้าวเธอจึงมีเทวโองการสั่งให้มาตลีเทพบุตรจัดเตรียมทิพยาน แล้วมาตลีเทพสารถีก็ได้นำเทวรถส่งเสด็จพระเจ้าเนมิราชกลับถึงกรุงมิถิลานคร มหาชนเห็นเทวรถมาแต่ไกลก็เกิดโกลาหลอีกครั้ง


    เมื่อเทวรถปรากฏเข้ามาใกล้ ต่างก็แซ่ซ้องสาธุการว่า “ใช่แล้ว พระราชาของเราเสด็จกลับมาแล้ว” มาตลีเทพสารถีได้ขับทิพยานเวียนขวารอบกรุงมิถิลา ๓ รอบ และส่งเสด็จพระเจ้าเนมิราชที่สีหบัญชรเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่มารับเสด็จ


    [​IMG] เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว มาตลีเทพสารถีก็ทูลลาพระเจ้าเนมิราชกลับไปสู่ดาวดึงส์เทวโลกที่อยู่ของตนดังเดิม

    ฝ่ายมหาชนนั้นเล่า ต่างมีความเบิกบานภาคภูมิใจในพระเจ้าเนมิราชบรมโพธิสัตว์ ผู้เป็นพระราชาของตนยิ่งนัก มาชุมนุมกันกราบทูลขอให้พระเจ้าเนมิราชาตรัสเล่าถึงการไปเที่ยวชมเทวโลก


    พระเจ้าเนมิราชทรงดำริว่า สมควรที่จะเล่าถึงนรกอันร้ายกาจ เพื่อให้ประชาราษฎร์เกรงกลัวภัยในอบายภูมิเสียก่อน จึงเล่าถึงสมบัติของเหล่าเทวดาในภายหลัง จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจฟังให้ดี นรก สวรรค์ นั้นมีจริง เราได้ไปเห็นมาด้วยนัยน์ตาของเราแล้ว”


    [​IMG] ตรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงเริ่มเล่าเรื่องราวในนรกที่พระองค์ไปประสบมาแต่ต้น เริ่มตั้งแต่ แม่น้ำเวตรณีของอุสสุทนรกขุมที่ ๑ ซึ่งเต็มไปด้วยเถาวัลย์ที่มีหนามเหล็กยื่นยาวเหมือนคมหอก ที่รอต้อนรับสัตว์นรกที่หลุดออกมาจากสัญชีวมหานรก ให้ลงมาแหวกว่ายถูกหนามเหล็กเชือดเฉือน ได้รับความทุกข์ทรมาน ตายเกิด ตายเกิดอยู่ในมหาทนีอันหฤโหดแห่งนั้นยาวนาน เพราะบาปกรรมครั้งที่เป็นมนุษย์ได้เคยเบียดเบียนทำร้ายผู้ที่ด้อยกำลังกว่า ทั้งทรมานเข่นฆ่าสัตว์ทั้งเล็กและใหญ่ จึงต้องมารับทุกข์โทษอยู่ ณ อุสสุทนรกขุมนี้

    มาจบลงที่อุสสุทนรกขุมมิจฉาทิฐิ ที่เหล่าสัตว์นรกนั้น เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปไม่เชื่อว่าปรโลกจะมีจริงๆ จึงก่อบาปอกุศลโดยมิได้เกรงกลัว และชักชวนให้ผู้อื่นหลงผิดไปกับตนด้วย จึงได้ไปเกิดอยู่ในอุสสุทนรกนั้น


    [​IMG] มหาชนได้ฟังพระราชาตรัสเล่าเรื่องราวของสัตว์นรก และบาปกรรมที่ทำให้ต้องไปตกนรกเช่นนั้น ก็เกิดความหวาดกลัวบาปกรรม ต่างรับปากกับพระเจ้าเนมิราชว่า จะไม่ทำบาปอกุศลอย่างนั้นอีกต่อไป แล้วก็ทูลถามถึงทิพยสมบัติของพวกเทวดาว่า ที่ทรงเห็นมานั้นเป็นอย่างไรบ้าง

    พระเจ้าเนมิราชก็ตรัสเล่า เริ่มตั้งแต่ได้ทอดพระเนตรวิมานอันประดิษฐานอยู่ในอากาศของเทพธิดาวรุณี ซึ่งมี ๕ ยอด สูง ๑๒ โยชน์ ประดับประดาอย่างโอฬาร อีกทั้งอุทยาน และสระโบกขรณีก็สะพรั่งด้วยดอกบัวหลายหลากสี มีต้นกัลปพฤกษ์ล้อมรอบสระ


    ส่วนเทพธิดาเจ้าของวิมานนั้น ครั้งเป็นมนุษย์ได้เกิดเป็นลูกของนางทาส อาศัยอยู่ในบ้านของพราหมณ์คนหนึ่ง นางได้ช่วยจัดข้าวยาคู ของขบเคี้ยว และภัตตาหารถวายแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๘ รูป พร้อมทั้งได้ถวายของเล็กๆ น้อยๆ ของตนด้วยความปลื้มใจ


    แล้วได้ตรัสเล่าถึงทิพยสมบัติอันโอฬารของท้าวสักกเทวราช และที่ทรงได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากท้าวเธอและเทพบริวาร ว่าทรงได้รับการเชื้อเชิญจากท้าวเธอให้อยู่เสวยกามสมบัติอันเป็นทิพย์ แต่ก็มิได้ปรารถนาจึงได้กลับมาเล่าเรื่องราวให้พวกท่านได้ฟังอยู่ในขณะนี้


    [​IMG] แล้วก็ได้ตรัสสอนชาวประชาทั้งหลายว่า ในอดีตเทวดาเหล่านั้นต่างก็ได้ทำบุญให้ทาน เว้นจากบาปกรรมทั้งหลาย จึงได้บังเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติมากมาย ตรัสเตือนให้เหล่าพสกนิกรของพระองค์อย่าได้ประมาท ให้ตั้งใจทำบุญให้เต็มที่ ให้ตั้งตนอยู่ในศีล ๕ อย่าให้ขาดได้

    พสกนิกรของพระเจ้าเนมิราชนั้น ทั้งทราบซึ้งและเลื่อมใสในท้าวเธอ ได้ตั้งอยู่ในพระบรมราโชวาทจนตลอดชีวิต หลังจากละจากโลกมนุษย์แล้ว ล้วนบังเกิดในเทวโลกเป็นสหายเทวดากันทุกคน


    ครั้นกาลผ่านไปอีกเนิ่นนาน วันหนึ่งนายภูษามาลาได้เห็นพระเกศาเส้นหนึ่งบนพระเศียรของพระเจ้าเนมิราชได้หงอกขาวแล้ว จึงกราบทูลพระองค์ให้ทรงทราบ ท้าวเธอจึงทรงมีรับสั่งให้นายภูษามาลาถอนพระเกศาเส้นนั้น ด้วยพระแหนบทองคำวางไว้ในพระหัตถ์


    [​IMG] ทรงทอดพระเนตรผมหงอกนั้นแล้วก็ทรงสลดพระหฤทัย ดำริว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องบวชแล้ว จึงพระราชทานบ้านส่วยแก่นายภูษามาลา แล้วรับสั่งให้พระราชโอรสเข้าเฝ้า ตรัสมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส พระโอรสได้ทูลถามว่า “ เพราะเหตุไร พระองค์ถึงจะเสด็จออกผนวชเสียล่ะ พระเจ้าข้า”

    พระเจ้าเนมิราชได้ตรัสบอกเหตุแก่พระโอรสว่า “ลูกรัก ผมหงอกที่งอกขึ้นบนศีรษะของพ่อนี้ ได้บอกพ่อว่า วัยหนุ่มของพ่อได้ผ่านไปแล้ว ทูตแห่งมรณะได้ปรากฏแล้ว เป็นเวลาอันสมควรที่พ่อจะออกบวช”


    ประเพณีอันดีงามเช่นนี้ก็เหมือนกับพระราชาพระองค์ก่อนๆ ที่ได้เคยถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน พระเจ้าเนมิราชนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้ผนวชแล้วก็ประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานอัมพวัน สวนมะม่วงนั้นนั่นเอง ทรงเจริญพรหมวิหาร ๔ จนเชี่ยวชาญในอภิญญาสมาบัติ


    ทรงไม่เสื่อมถอยจากฌานนั้น เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกเฉกเช่นพระราชาต้นพระวงศ์องค์ก่อนๆ ที่สืบต่อมาอย่างเคร่งครัด


    [​IMG] ฝ่ายพระโอรสของพระเจ้าเนมิราชซึ่งมีพระนามว่า กาลารัชชกะ ได้ทรงตัดพระวงศ์อันดีงามนี้เสียคือ เมื่อถึงคราวที่มีพระเกศาหงอกแล้ว ก็ไม่ได้เสด็จออกผนวชเหมือนกับต้นวงศ์ตระกูลที่ผ่านๆ มา

    พระบรมศาสดาครั้นทรงนำอดีตชาติของพระองค์มาตรัสแล้ว ทรงสรุปชาดกว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในกาลบัดนี้เท่านั้นที่เราออกบวช ถึงแม้ในกาลก่อนตถาคตก็ออกบวชเช่นเดียวกัน”


    จากนั้นก็ทรงประชุมชาดกว่า “ท้าวสักกะเทวราช ในครั้งนั้น มาเกิดเป็นพระอนุรุทธเถระในบัดนี้ มาตลีเทพสารถีได้มาเป็นพระอานนท์ กษัตริย์ ๘๔, ๐๐๐ พระองค์ เป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าเนมิราช คือเราตถาคตนี้เอง”


    เรื่องพระเจ้าเนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมีนี้ เป็นเรื่องที่ยืนยันว่า นรก สวรรค์มีจริง ซึ่งตรัสเล่าโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ซึ่งต่อมาพระอรหันตเถระทั้งหลายก็ได้ร้อยกรองสรุปย่อไว้ในพระไตรปิฎก พระอรรถกถาจารย์ในชั้นหลังได้นำมาอธิบายขยายความให้กระจ่างขึ้น


    [​IMG] เป็นเรื่องอัศจรรย์ดุจเดียวกับเรื่องทั้งหลายที่เล่าผ่านมา เพราะเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับบุคคลอัศจรรย์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อนำมาเล่าก็ย่อมเป็นที่น่าอัศจรรย์ พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายจึงได้บันทึกไว้ ให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้ศึกษา จะได้ทำได้ถูกต้องตามพุทธประสงค์

    เราจะเห็นได้ว่าพระบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีอย่างยิ่งยวด โดยทรงทำพระองค์ให้เป็นแบบอย่างก่อน แล้วก็อธิษฐานจิต
    พร้อมทั้งสั่งเอาไว้ว่า กษัตริย์ทุกๆ พระองค์ที่จะครองราชย์ต่อไป เมื่อเห็นเส้นผมหงอกบนศีรษะแล้วก็จงออกบวชเหมือนกับเรานี้ และด้วยแรงอธิษฐานนั้น จึงทำให้เป็นไปตามนั้นตลอดกาลนาน

    เราทั้งหลายจึงควรเร่งสั่งสมบุญบารมีร่วมกันในชาตินี้ให้เต็มที่เช่นเดียวกับท่าน ด้วยการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้ครบถ้วนทุกวัน แล้วอธิษฐานจิตให้รอบคอบ ชีวิตของเราก็จะมีแต่ความสุขความเจริญไปทุกภพทุกชาติตราบวันเข้าถึงที่สุดแห่งธรรม
     
  10. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    <TABLE class=tborder id=post7537 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">31-10-2004, 11:58 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>มงคล<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_7537", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: 24-11-2004 07:21 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2004
    ข้อความ: 62 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 476 ครั้ง ใน 60 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 94 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_7537 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ทำบุญจะต้องอธิษฐานไหม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาทำบุญนี่จำเป็นไหม.... เราต้องอธิษฐาน?


    หลวงพ่อ : จำเป็นหรือไม่จำเป็น ฉันถือว่าจำเป็น มันตรงทางดี ถ้าไม่อธิษฐานนี่มันไม่ตรงทางนะ อย่างสมมุติว่า ชาตินี้เรามีโอกาสจะเป็นพระอริยะเจ้าได้ แต่เราขาดอธิษฐานบารมี กรรมอื่นมันตีเป๋ได้ ตัวอย่าง อาฬวีเศรษฐี นี่ภายหลังมาเป็น ขอทาน พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า "ถ้าสมัยอาฬวีเศรษฐียังเป็นเศรษฐี ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าก็จะเป็นพระอริยะเจ้าได้ แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีเป็น ขอทาน พระพุทธเจ้าเทศน์เท่าไรก็ไม่มีผล เพราะขาด "อธิษฐานบารมี"


    ผู้ถาม : และถ้าอธิษฐานขอไปพระนิพพานนี่ มากเกินไป สำหรับคนธรรมดาทั่วไปไหมคะ?


    หลวงพ่อ : ไม่มีมาก..... นิพพานนี่ไม่มีมาก ที่ว่างมากเหลือเกิน โลกมนุษย์เราหนึ่งโลก ไม่เท่ามุมหนึ่งของพระจุฬามณี จะเทียบกับดางดึงส์ก็ไม่ได้ ดาวดึงส์โตมากใช่ไหม... พระจุฬามณีน่ะเป็นจุดหนึ่งของดาวดึงส์ เป็นที่ตั้งของเจดีย์ และโลกเรานี่เล็กกว่ามุมหนึ่ง นิพพานนี่กว้างใหญ่กว่า ฉันว่าทั้งคนทั้งมด ทั้งปลาทั้งปลวก อะไรทั้งหมด ไปนิพพานนี่ยังำม่เต็ม ที่ยังว่างมาก
    ถ้าหากว่าบังเอิญที่มันน้อย ฉันจะจับจองไว้ก่อนจะขาย ที่นี่มากเกินไปจับจองไม่ไหว..... (หัวเราะ) กลุ่มคนที่ถึงพระนิพพานแล้วกับบริเวณน่ะ ยังไม่รู้เทียบกี่แสนเท่า ยังมากอยู่ อากาศนี่ไม่มีขอบเขตนะ






    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 9

    http://www.praruttanatri.com/member/htm/tbatt.html
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    ขออนุโมทนากับขุนกิ๊กด้วยครับ ยกตัวอย่างได้ละเอียดและชัดเจนมากครับ

    สาธุ
     
  12. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    อธิษฐาน
    1. ในทางพระวินัย แปลว่า การตั้งเอาไว้หรือตั้งใจกำหนดเอาไว้ คือ ตั้งเอาไว้เป็นของนั้นๆ หรือตั้งใจกำหนดเอาไว้ว่าจะใช้เป็นของประจำตัวชนิดนั้นๆ
    เช่น ได้ผ้ามาผืนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะใช้เป็นอะไร คือจะเป็นสังฆาฏิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ก็อธิษฐานเป็นอย่างนั้นๆ เมื่ออธิษฐานแล้ว ของนั้นเรียกว่าเป็นของอธิษฐาน เช่น เป็นสังฆาฏิอธิษฐาน จีวรอธิษฐาน (นิยมเรียกกันว่า จีวรครอง) ตลอดจนบาตรอธิษฐาน
    ส่วนของชนิดนั้น ที่ได้เพิ่มมาอีกหรือเกินจากนั้นไปก็เป็นอติเรก เช่น เป็นอติเรกจีวร อติเรกบาตร,
    คำอธิษฐาน เช่น “อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺฐามิ”
    (ถ้าอธิษฐานของอื่น ก็เปลี่ยนไปตามชื่อของนั้น เช่น เป็น อุตฺตราสงฺคํ, อนฺตรวาสกํ เป็นต้น)
    2. ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว, ความมั่นคง เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ในทางดำเนินและจุดมุ่งหมายของตน (ข้อ ๘ ในบารมี ๑๐),
    ในภาษาไทยมักใช้ในความหมายว่า ความตั้งใจมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง, ความตั้งจิตปรารถนา

    สาระธรรมจาก http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อธิษฐาน
     
  13. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    อธิษฐานธรรม = ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ,
    ธรรมเป็นที่มั่น มี ๔ อย่าง คือ
    ๑. ปัญญา
    ๒. สัจจะ
    ๓. จาคะ
    ๔. อุปสมะ (รู้จักหาความสงบใจ)

    สาระธรรมจาก http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อธิษฐาน<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...