"ทาน............คือ อะไร"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย magic_storm, 18 ตุลาคม 2007.

  1. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    <CENTER>" ทาน............คือ อะไร"</CENTER>
    <!--detail--><!--images-->
    <CENTER>[​IMG]
    </CENTER>
    <!--images-->ทาน คือ อะไร


    .......ความหมายของ " ทาน " ที่เราทราบโดยทั่วไปนั้น หมายถึง " การให้ " ได้แก่
    การเสียสละสิ่งของต่างๆของตน หรือให้ความรู้ทางโลกและทางธรรม เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น


    ...การให้นั้นจะให้ผลดีเต็มที่ เมื่อผู้ให้สามารถเอาชนะใจตนเอง
    ขจัดความตระหนี่ ออกไปจากใจได้ คือให้ด้วยความ
    บริสุทธิ์ใจไม่หวังผลตอบแทนจากผู้รับ ขอเพียงให้ได้บุญ
    กุศล และความสบายใจเท่านั้น...


    .......นอกจากนี้ยังมีความหมายของทาน ในลักษณะอื่นอีก ได้แก่

    วัตถุทาน หมายถึงวัตถุสิ่งของที่ให้เป็นทาน เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
    ยานพาหนะ ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ เป็นต้น

    เจตนาทาน หมายถึงความคิดความตั้งใจที่เป็นเหตุให้บริจาคทาน
    ทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้แล้ว

    วิรัติทาน หมายถึงการให้ โดยงดเว้นจากการเบียดเบียน
    รังแกกัน หรือหมายถึงการให้ความปลอดภัย ให้อภัย ( อภัยทาน )
    ซึ่งก็คือการให้ที่เป็นผลจากการรักษาศีลนั่นเอง เช่น เมื่อเรารักษาศีลข้อที่ ๑
    งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ย่อมได้ชื่อว่า เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตของสัตว์
    ทั้งหลายเป็นต้น


    .......อนึ่ง มีการให้บางอย่างที่เราพบเห็นโดยทั่วไป คือ การให้
    ที่หวังผลประโยชน์ตอบแทนแก่ตน เช่น ให้ข้าวแก่สุนัข หวังว่า
    มันจะเฝ้าบ้านให้เรา ให้อาหารเลี้ยงวัว หวังจะได้น้ำนมจากมัน หรือ
    ทำผิดกฏหมาย แล้วให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้ตนพ้นผิด ฯลฯ
    การให้ในลักษณะเช่นนี้ ในทางพระพุทธศาสนา ไม่จัดว่าเป็นทาน


    ผู้คนมักจะใช้สำนวน " ทำบุญ ทำทาน " คู่กัน แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริง


    บุญ คือสิ่งที่ทำให้คุณภาพจิตดีขึ้น มีความสบาย สงบ สะอาด สว่าง เป็นสุข ตรงกันข้าม
    กับบาป

    บาป คือสิ่งที่ทำให้คุณภาพจิตเสียไป มีความไม่สบาย เดือดร้อน เศร้าหมอง เป็นทุกข์

    ดังนั้น ทำบุญ จึงหมายถึงการทำคุณภาพของจิตใจให้ดีขึ้น คือการทำความดี มีการให้
    เป็นต้น

    วิธีการทำบุญนั้นมีถึง ๑๐ วิธี (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) คือ



    ๑. ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้

    ๒. สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล

    ๓. ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญสมาธิภาวนา

    ๔. อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อนตน

    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ความช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานที่ถูกที่ควร

    ๖. ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการอุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่ผู้อื่น

    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโทนา (แสดงความยินดี) ในการทำบุญกุศล หรือการทำความดีของผู้อื่น

    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม

    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงธรรม

    ๑๐. ทิฏิฐุชุกัมม์ บุญที่สำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้องดีงาม ตรงตามความเป็นจริง


    หรือสามารถย่อให้ง่ายขึ้น เป็น บุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ
    ทาน ศีล ภาวนา ก็ได้ โดยจัดเป็น

    ทาน ประกอบด้วย ทานมัย ปัตติทานมัย และปัตตานุโมทนามัย

    ศีล ประกอบด้วย สีลมัย อปจายมัย เวยยาวัจจมัย

    ภาวนา ประกอบด้วย ภาวนามัย ธัมมัสสวนมัย และ ธัมมเทสนามัย

    ทิฎฐุชุกัมม์ จัดลงได้ทั้ง ทาน ศีล และภาวนา


    .......ทาน หรือ การให้ เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ จึงนับ
    ว่าเป็นการทำบุญ เพราะ " บุญ " คือการทำความดี การให้จึงเป็น
    หนึ่งในการทำความดี แต่ส่วนมากเราใช้แทนกันจนคุ้นชิน โดยเวลา
    ถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ เรามักจะเรียกกันติดปากว่า " ทำบุญ "
    เพราะจิตใจของผู้ให้ มีความศรัทธา ต้องการบุญกุศล จึงให้เพื่อ
    ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่เมื่อให้ของแก่คนยากจน หรือคนที่มี
    ฐานะต่ำกว่า ด้อยกว่าตน มักจะเรียกว่า " ทำทาน " เพราะจิตใจ
    ของผู้ให้มุ่งสงเคราะห์ อนุเคราะห์แก่คนยากจน


    วัตถุประสงค์ของทาน

    .......แบ่งตามลักษณะของการให้ ที่ประพฤติปฎิบัติกัน มี ๔ อย่างคือ


    ๑. ให้เพื่อชำระกิเลส คือ ความตระหนี่ในใจของผู้ให้
    เรียกว่า บริจาคทาน หมายถึง การให้ด้วยการเสียสละเพื่อกำจัด
    ความขุ่นมัวแห่งจิต โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม การ
    ให้แบบนี้ได้บุญมากที่สุด ยิ่งเรามีใจที่บริสุทธิ์ และให้แก่ผู้ที่
    บริสุทธิ์มาก ยิ่งได้บุญมาก


    ๒. ให้เพื่อตอบแทนคุณความดี เรียกว่า ปฎิการทาน
    หมายถึง การให้เพื่อตอบแทนหรือบูชาคุณความดี แก่ผู้ที่มีคุณธรรม
    สูงกว่า หรือผู้ที่มีอุปการะแก่ตน การให้แบบนี้ผู้ให้อาจจะไม่นึกถึง
    บุญ แต่นึกถึงเฉพาะคุณความดีของท่าน เช่น การให้สิ่งของแด่พ่อแม่
    ครูบาอาจารย์ และบุคคลต่างๆ เป็นต้น แต่ถ้าเราให้เพื่อการบูชา
    คุณความดี และนึกถึงบุญด้วย ย่อมมีผลานิสงส์มาก


    ๓. ให้เพื่อสงเคราะห์ เรียกว่า สังคหทาน หมายถึง
    การให้เพื่อผูกมิตร ยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน ในกลุ่มคนที่มีความเกี่ยว
    ข้องสัมพันธ์กับตน ไม่ว่าจะเป็นโดยส่วนตัว หรือโดยหน้าที่การงาน
    ก็ตาม โดยมุ่งที่จะให้เกิดคุณประโยชน์แก่ผู้รับเป็นสำคัญ


    ๔. ให้เพื่ออนุเคราะห์ เรียกว่า อนุคหทาน หมายถึง
    การให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลแก่คนยากจน ด้วยจิตเมตตาสงสาร
    เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร จะมีความเกี่ยว
    ข้องสัมพันธ์กับตนหรือไม่ก็ตาม ก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือตามกำลัง


    .......องค์ของการให้ หรือเรียกว่า ทานสมบัติ ในทางพุทธศาสนามุ่งสอนในเรื่องของการให้
    เพื่อทำให้ใจของเราบริสุทธิ์สะอาด ยิ่งมีความบริสุทธิ์สะอาดมาก ก็จะได้ผลคือบุญมาก
    ผู้ให้จะต้อง ทำให้ครบด้วยองค์ทั้ง ๓ ที่เรียกว่าทานสมบัติ ๓ ข้อ คือ


    ๑. วัตถุบริสุทธิ์
    ๒. เจตนาบริสุทธิ์
    ๓. บุคคลบริสุทธิ์


    .....ก่อนจะให้ ก็มีใจดี
    กำลังให้ พึ่งทำจิตให้เลื่อมใส
    ครั้นให้แล้วก็เป็นผู้มีใจชื่นบาน .......



    การให้ทานของคนดี ๕ ประการ คือ


    ๑. ให้ทานด้วยศรัทธา

    ๒. ให้ทานโดยเคารพ

    ๓. ให้ทานในกาลอันสมควร

    ๔. มีจิตอนุเคราะห์ให้ทาน

    ๕. ให้ทานที่ไม่กระทบตนและผู้อื่น
     
  2. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    อนุโมทนาครับ...ใจมีสติอยู่กับกายผลลัพท์เท่ากับปกติ(ศีล)
     
  3. HS4OFL

    HS4OFL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +1,382
    อนุโมทนาครับ การให้ทานตามจริงไม่สำเป็นต้องให้กับพระแค่อย่างเดียวก็ได้ เราให้ทานกับคนเค้าไม่มีเราช่วยเหลือเค้า เราก็ได้บุญเช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...