ถามเกี่ยวกับอาการจากการทำสมาธิค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Junejuly, 5 กันยายน 2011.

  1. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ดิฉันเคยนั่งจนมีอาการที่พอถึงจุดๆ ที่มันสงบมาก มองอะไรก็ไม่เห็นเพราะมืดมาก แต่สามารถได้ยินเสียงตัวเองพูดกับตัวเองในจิต เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นก็จิตหลุดออกมาเลยค่ะ (ไม่น่าเลยเรา)....แต่หลังจากออกจากนั่งสมาธิแล้วรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย สดชื่นมากๆ เลยค่ะ

    นอกจากนี้ตอนนอนทำสมาธิ (ไม่ได้หลับเน้อ) ดิฉันภาวนาไปเรื่อยๆ จนรู้สึกตัวอีกทีว่าคำภาวนาหายไปแต่จิตมันยังตื่นอยู่นะคะ รู้ตัวว่ากายมันหลับ รู้ตัวว่าจิตของดิฉันไม่มีตัวตน แต่รู้ว่ามันเฝ้ารู้ เฝ้าสังเกตอยู่ แต่จิตที่มันตื่นอยู่ภายในนี่สามารถรับรู้ด้วยค่ะว่ามือขยับขึ้นแล้วตกลงที่เดิม (มันขยับเอง ไม่ได้บังคับเลยค่ะ เหมือนมันเป็นการเคลื่อนไหวของกายที่หลับอยู่) ในความเงียบสงบนั้น ดิฉันได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของตัวเองด้วยค่ะ แต่ดิฉันรู้สึกว่าตัวดิฉันก็คือจิตที่รู้ ที่ดูอาการต่างๆ เหล่านี้อยู่ภายใน เหมือนจิตกับกายเป็นคนละส่วนของกันและกัน แต่จิตไม่ได้ออกไปไหน ยังอยู่ในร่างนี้

    บางทีจิตรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ จิตก็สังเกตความฝันที่เกิดขึ้น ความรู้สึกของจิตตอนนั้นคือเฉยๆ แค่เฝ้าดูการปรุงแต่งของความฝันที่สังเกตอยู่ แปลกดีค่ะที่รู้สึกเหมือนกับตัวความฝันกับจิตของเรามันแยกจากกันแต่จิตกำลังสังเกตความฝันนั้นอยู่ (ขอโทษค่ะดิฉันอธิบายไม่เก่ง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจอย่างที่ดิฉันประสบมา) ไม่รู้ว่านี่คืออาการอะไร

    ขอโทษค่ะที่อธิบายซะยืดยาว...ดิฉันขอถามสั้นๆ นะคะว่า มันคืออาการสมาธิแบบไหนคะ มันคืออาการอะไร (ดิฉันมีอาการแบบนี้บ่อยๆ เวลาทำสมาธิค่ะ) แต่ดิฉันไม่ได้ยึดติดกับอาการเหล่านี้นะคะ แค่จำได้ว่ามันเกิดอะไร รู้สึกอะไร จากการสังเกตของจิตตอนนั้น อยากทราบแค่เพื่อเป็นความรู้เฉยๆ ค่ะ

    ในการทำสมาธิทุกครั้งดิฉันไม่เคยมีความอยากที่จะเห็นนิมิตหรือเห็นอะไรเลยค่ะ ดิฉันฝึกทำสมาธิเพื่อพัฒนาจิตให้เข้มแข็ง กำจัดความฟุ้งซ่านและอกุศลจิตเท่านั้นจริงๆ ค่ะ ไม่ปรารถนาสิ่งเหนือธรรมชาติเลย

    ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยเถิดค่ะจะเป็นพระคุณอย่างสูง ขอบคุณที่กรุณาค่ะ
     
  2. twn

    twn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    ตอบ : ถามเกียวกับอาการจากสมาธิ

    อันนี้ เป็น อำนาจของธรรมที่เกิดจากการ พิจารณา หรือ เกิดจากการบริกรรม
    คำภาวนา เมื่อบริกรรมจนถึงขั้นละเอียดแล้วท่านก็จะทราบเรื่อง ของปัจจัจตัง
    คื่อ ความไม่ เที่ยง เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป คือ กฏของไตรลักษณ์

    สิ่งที่ท่านเห็นนั้น คือ ดังนี้ : กายสักแต่ว่า กาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา

    จิต สักแต่ว่า จิต กายเป็น เครื่องอาศัย ของจิต

    สิ่งที่ท่านเห็น นั้น คือ อาการของจิต ที่ละเอียด จนสามารถแยกได้ ว่า กายสักแต่ว่า กาย

    ตอนนี้ ท่านให้เข้าใจว่า กายสักแต่ว่า กาย ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา กายเรา ก็เพียงแค่ เกิดมาตั้งอยู่ แล้วดับไป

    ถ้า พิจารณา กรรมฐานได้ ให้ท่านเริ่ม ได้เลย

    หากสงสัย ติดต่อ เรา
    E-mail twn96@hotmail.com

    เจริญธรรม
     
  3. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอขอบคุณคุณtwn มากๆ ที่มาให้ความกระจ่างแก่ดิฉัน ด้วยใจจริงค่ะ เมื่อถึงอาการนี้อีกดิฉันจะลองพิจารณาตามที่คุณtwn แนะนำมาค่ะ แต่ดิฉันไม่ต้องเริ่มกล่าวคำภาวนาใดๆ ใช่ไหมคะ แค่พิจารณาสังขารนี้ไปเรื่อยๆ? แล้วเมื่อไรจึงสิ้นสุดถึงเวลาถอนสมาธิออกมาคะ หรือให้มันหลับไปเองเลย(ถ้านอนทำสมาธิ)

    ดิฉันแปลกใจค่ะว่าทำไมจิตเราสามารถรับรู้ถึงการขยับกับอาการของกายที่หลับอยู่ได้คะ ตอนแรกนึกว่าดิฉันฝันไปเหรอ แต่จิตมันรู้ว่าไม่ใช่อ่ะค่ะ เพราะรู้ว่ามีสติครบทุกอย่างตอนนั้น ดิฉันจึงจดจำอาการและความรับรู้นี้มาถามผู้รู้ค่ะ

    ขอโทษค่ะดิฉันยังมือใหม่ในการนั่งสมาธิค่ะ เพิ่งเริ่มฝึกมาได้ไม่กี่เดือนเองค่ะ เลยมีคำถามและสงสัยเยอะไปหน่อย ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กรุณามาให้ความรู้ ความกระจ่างแกดิฉัน
     
  4. ทศมาร

    ทศมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +237
    อ.ท่านเล่าให้ฟังว่าความฝันก็คือความคิดอย่างหนึ่ง

    การที่คุณรู้ว่าจิตกำลังฝันหรือกำลังคิดเป็นผู้เฝ้าดูก็แสดงว่่าคุณแยกธาตุแยกขันธ์ออกมาเองได้แล้ว เป็นการเจริญปัญญาอย่างหนึ่ง สมาธิแบบแยกขันธ์เป็นส่วนๆนี่เป็นตัวสัมมาสมาธิจริงๆ ไม่ใช่ฌานที่มุ่งเอาความสงบอย่างเดียว
    การพิจารณาต่อไปไม่มีอะไร ก็ทำอย่างที่ทำต่อไปแหล่ะครับ ดีแล้ว ทำให้บ่อยๆจนจิตเข้าใจจิตว่าปรุงแต่งไม่หยุด ไม่เที่ยง ทุกขัง อนัตตา
     
  5. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    นั่นคือการแยกขันธ์ออกมาหรือคะ ดิฉันไม่ทราบเลยจริงๆ ดิฉันคิดว่าแยกขันธ์คือการถอดจิตออกจากกายเนื้อแล้วไปนู่นไปนี่อย่างที่ใครๆกล่าวเสียอีก แต่จิตดิฉันยังอยู่ภายในกายเนื้อเพียงแต่มีสติ รู้สิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง ดิฉันไม่มีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นนอกจากมุ่งพัฒนาความสงบของจิตจริงๆนะคะ มันเกิดแบบนี้ขึ้นเอง ตอนที่ดิฉันฝึกนั่ง/ นอนทำสมาธิ ดิฉันแค่ท่องพุท โธไปเรื่อยๆ จนมันถึงจุดๆหนึ่งที่เกิดสิ่งต่างๆนี้ขึ้นมาเองหลายครั้ง ตอนแรกก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น หลังๆมาเริ่มมีสติบ้าง เลยเฝ้าดู เฝ้ารู้อย่างเดียว ดิฉันควรจะทำอย่างไรคะถึงจะปฏิบัติเพื่อความสงบอย่างเดียวโดยไม่ต้องเห็นหรือมีอาการแบบนี้อีก
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ดีแล้วครับ ทรงอารมณ์นี้ไว้ครับ อาการที่กล่าวมาเป็นลักษณะเหมือนตอนหลับ

    เป็นการทรงฌาณ เวลาที่เข้าฌาณจะเป็นลักษณะนี้ครับ และ ที่ควรจะทำต่อคือ

    การทรงอารมณ์นี้ในขณะลืมตาด้วยครับ แล้วจะเห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมครับ

    หากคุณไม่อยากเห็นก็จะไม่เห็นครับ แต่ถ้าตรึกนึกถึงอะไรก็แล้วแต่ในอารมณ์ขณะที่เป็นเช่นที่กล่าว

    จะเห็น และ เป็นสิ่งที่เป็นจริง แต่อย่าเข้าไปยึดมั่นครับ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงโดยแท้ครับ
     
  7. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ค่ะคุณOatthidet ส่วนใหญ่จะเป็นตอนดิฉันฝึกในท่านอน ท่านั่งไม่ค่อยเป็นแบบนี้ ส่วนมากท่านั่งจะรู้สึกแค่ไม่รู้สึกถึงเท้าที่สัมผัสกับพื้นมือที่สัมผัสกันบนตัก รู้สึกแค่ว่าจิตเรามันรวมกันอยู่ในส่วนของศรีษะ จากศรีษะลงไปไม่มีความรู้สึกถึงกายเลยแต่ยังคงได้ยินเสียงรอบข้างอยู่

    ในตอนที่เป็นการนอนในฌาณนี่ให้เฝ้ารู้อย่างเดียวจนมันหลับไปเองใช่ไหมคะ แต่ส่วนใหญ่ดิฉันจะมีอาการแบบนี้จนถึงเช้าเลยค่ะ รู้สึกเหมือน(จิต)ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน กายหลับแต่ใจตื่น พอตอนเช้ากายตื่นมาก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเหมือนเป็นยามเลยค่ะเพราะจิตตื่นทั้งคืน -__-"

    ที่คุณบอกว่าดิฉันควรทำต่อคือทรงอารมณ์นี้ในขณะลืมตา นี่คือให้นั่ง/นอนทำสมาธิแบบลืมตาหรือคะ ฟังดูยากจัง เพราะเวลาลืมตามันจะยังเห็นสิ่งรอบข้างทำให้เกิดสมาธิยาก(สำหรับดิฉัน) ผู้น้อยยังหัดฝึกเองมาได้ไม่นานเลยค่ะ( 3 เดือนกว่าๆเอง) คงอีกนานค่ะกว่าจะทำขั้นนั้นได้ pity_pig
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กันยายน 2011
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ Stillness ครับ ถึงจิตคุณจะตื่นทั้งคืน ก็ไม่รู้สึกง่วง หรือ เหนื่อยครับ

    เพราะการปฎิบัติสมาธิกรรมฐาน เป็นการพักจิตที่ดีที่สุดแล้วครับ

    ที่ผมบอกให้ทรงอารมณ์ในขณะลืมตา หมายถึง ในชีวิตประจำวันครับ

    ไม่ใช่ในเวลาปฎิบัติครับ การทรงอารมณ์ สามารถทรงอารมณ์ได้ทั้งวันครับ

    และจะทำให้อารมณ์มีความหนักแน่นขึ้นครับ ไม่ว่าจะความโกรธ โมโห หรือ อารมณ์อื่นๆ

    ก็จะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆครับ จะกลายเป็นคนใจเย็นไปเลยครับ

    ต้องลองฝึกดูครับ อาจจะยากในช่วงแรกครับ แต่หากทำได้แล้วครั้งหนึ่ง ก็จะทำได้อยู่เรื่อยๆครับ
     
  9. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    ช่วงไหนล่ะนี้
    1.ขณิก
    2.อุปจาระ
    3.อัปนา

    เห็นบอกว่าไม่รู้สึกกับกายแล้วอาจจะอัปนาก็ได้นะครับ ขอให้โชคดีนะครับ ^^
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  11. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณามาแนะนำดิฉันนะคะ ดิฉันจะพยายามฝึกต่อไปค่ะ หากมีอะไรที่ดิฉันสงสัยและติดขัด ดิฉันขออนุญาติรบกวนถามอีกนะคะ ^-^

    คุณOatthidetคะ อาการฌาณที่เกิดขึ้นกับดิฉันนี่มันเกิดขึ้นเอง เหมือนเป็นแบบฟลุ๊คๆ ทุกครั้งที่ปฏิบัติ...จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นดิฉันกำหนดหรือบังคับมันไม่ได้เลย นี่เป็นปกติสำหรับผู้ปฏิบัติทั่วไปหรือเปล่าคะ แล้วท่านที่เก่งๆที่สามารถควบคุมการเข้าฌาณเองได้ทุกครั้งเขาทำอย่างไรคะ

    คุณTor-- ดิฉันไม่รู้เหมือนกันค่ะ ได้แต่ฝึกเอง ลองผิดลองถูกเองไปเรื่อยอ่ะค่ะ

    ขอบคุณค่ะคุณjinny95 ดิฉันจะลองเข้าไปอ่านดูค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กันยายน 2011
  12. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมจะยกตัวอย่างให้คุณคิดนะครับ

    ตัวอย่าง คนที่ขี่จักรยานเป็นใหม่ๆ จะบังคับให้ได้ดั่งใจก็ทำได้ยาก

    จนกว่าจะขี่มาเป็นเวลานานพอสมควร จึงจะบังคับได้ดั่งใจ

    บางคนสามารถทำได้มากกว่าแค่บังคับทิศทาง

    การปฎิบัติก็เหมือนกันครับ ไม่เกี่ยวว่าต้องปฎิบัติมานานจึงจะเข้าฌาณได้

    บางท่านนั่งแค่ไม่ถึงเดือน ก็เข้าฌาณได้ก็มี เหตุเพราะเคยทำไว้แต่ชาติปางก่อนครับ

    สิ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก คือ การจดจำอารมณ์นั้นที่เกิดขึ้น

    ในขณะที่คุณเข้าฌาณครับ เพราะภายในจิต ทางเดินเปรียบเป็นอารมณ์ครับ

    เมื่อจดจำได้เป็นอย่างดี ก็จะทำให้เข้าฌาณได้ง่ายขึ้น

    ฉนั้นผมจึงบอกให้ทรงอารมณ์ในขณะลืมตาครับ เพื่อเป็นการจดจำอารมณ์ให้แม่นยำครับ

    หลังจากนี้ หากเกิดการเข้าฌาณอีก ให้จดจำอารมณ์นั้นไว้ครับ

    แล้วจึงจะบังคับได้ง่ายขึ้นครับ แต่จะให้ผมกำหมดเวลาให้ คงทำไม่ได้ครับ

    เหตุเพราะอยู่ที่ตัวผู้ปฎิบัติเองครับ แต่ฟังแล้วก็ให้ทำตามปกตินะครับ

    หากมีความอยากจะยิ่งทำให้ช้าลงไปอีกครับ ผมคงบอกกล่าวได้เพียงเท่านี้ครับ

    เพราะต่อไปจากนี้เป็นการขับเคลื่อนของจิตครับ ต้องอธิบายบ่อยๆครับ
     
  13. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ที่คุณเล่ามาทั้งหมด ผมบอกจริงๆนะ ผมก็เคยเป็นแบบคุณ

    คุยแลกเปลี่ยนนะครับ

    ผมเป็นทุกอย่างแบบที่ท่าน จขกท เล่ามา เป็นเหมือนกัน

    ถ้าคุยกันก็คือจิตคุณเริ่มมีสมาธิดีในระดับหนึ่งแล้ว หรือจิตเริ่มเข้าสู่อารมณ์ฌาณ

    เพราะอารมณ์ฌาณที่สูงๆ จิตจะริ่มแยกออกจากาย จะเริ่มเห็นชัดว่า จิตกับกาย นั้น

    คนละส่วนกัน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่อาศัยว่า ตัวเราเกิดจากความเคยชิน

    เพราะอาศัยอยู่ในกายมานาน สภาวะของจิตก็เลยทึกทักเอาเลยว่ากายนี้แหละ

    คือเรา มันเป็นของๆของเรา (เพราะไม่เคยพิจรณา ขาดปัญญา)

    เราเดินผ่านร้านมือถือ เห็นคนทำมือถือตกหล่นอย่างแรง เ ราก็เฉยๆได้นะ สบาย

    แต่พอเราซื้อมาจากร้านมาแล้วสิ พอมาเป็นของเรา พอนึกว่าเป็นของเราแล้ว

    อุปทานเกิดขึ้นทันที คราวนี้ เจ็บนะ ตกก็เจ็บ

    หน้าจอมีฝุ่นก็ไม่ชอบใจ โทรศัพท์เกิดมีรอยตำหนิ ก็ไม่ชอบใจ เพราะอุปทาน

    ของจิต เขาไปเกาะยึดทันที ว่ามันเป็นของของเรา ถ้าตัดอุปทาน ความยึดมั่น

    ถือมั่นได้ ความสบายใจก็เกิดขึ้น

    เหมือนกันนะ จิตเข้าไปยึดอย่างเต็มกำลัง ว่ากายนี้เป็ยของเรา ความแก่

    ความชรา ความป่วยไข้ มาเยือน ทุกข์ทั้งนั้น จิตเข้าไปยึดมั่น ถือมั่น ถ้าจิต

    ปล่อยได้ ความสบายใจ ความเบาใจก็เกิดขึ้น

    ศีล สมาธิ และปัญญา มาพร้อมกันเสมอ แต่มาอย่างมีขั้นตอน

    ศีลขั้นที่หนึ่ง สมาธิขั้นที่สอง อย่างของคุณ เข้าขั้นตอนที่สองแล้ว

    กำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนที่สาม ก็คือ เริ่มเกิดปัญญา

    แจ่มชัดขึ้น ก็คือ การรู้สึก การรับรู้อย่างที่คุณเป็นในขณะหลับ ตอนนี้แหละ

    ประโยชน์ของสมาธิมีตอนนี้แหละ ทำไห้ปัญญาเกิดอย่างที่คุณเริ่มที่จะแยกได้

    จริงๆ ว่ากายเนื้อไม่ไช่เรา

    ยิ่งถ้าคุณ เอามาพิจรณาในขณะนั้นไช้เป็นอารมณ์ วิปัสสนา ก็จะเห็นชัดเลยว่า

    กายไม่มีในเรา เราไม่มีกาย ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ อย่างแท้จริง

    พูดถึงเรื่องฌาณ กำลังสมาธิของคุณ ยังไม่ถึงที่สุดนะ ถ้าสมาธิสูงกว่านี้

    และมีความมั่นคงแนบแน่นมากว่านี้ การแยกออกจากกายเนื้อจะชัดกว่านี้

    กายใจ หรือตัวคุณจริงๆ จะออก นอกร่างกายเลยนะ

    จะแยกออกจากกันเด็ดขาด แล้วเห็นกายไหม่ ที่มีความรู้สึกนึกคิด เป็นกายใจ

    เป็นตัวเราทั้งหมดอย่างแท้จริง ไม่ไช่ อยู่ๆเห็นผมหงอกมาหนึ่งเส้นกลางศรีษะ แต่ไม่รู้

    ว่ามันเกิดขึ้น มีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าแบบนี้มันไม่ไช่ของเราแล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น

    ถ้าสมาธิ ทรงอารมณ์มีกำลังน้อย เวลาออกจากร่างกาย คุณก็จะอยู่

    แถวๆนั้นแหละ เดินวนไป วนมา อยู่ใกล้ๆกับกายเนื้อนั้นแหละ พอกำลังสมาธิ

    อ่อนตัวลง คุณก็กลับเข้าร่างตามเดิม

    ถ้าจิตมีกำลัง และมีสมาธิทรงตัวได้นาน คุณก็จะไปได้ไกลขึ้นไปอีก

    ถ้าท่าน จขกท เจริญสมาธิ อย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนก็จะเป็นอย่างที่ผมบอกนี้

    แหละ ขอไห้มีความก้าวหน้าในธรรมครับ






     
  14. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณพรานทะเลที่อธิบายให้ดิฉันเข้าใจมากขึ้น ดิฉันจำอารมณ์ตอนที่จิตตื่นภายในกายที่หลับอยู่ได้ค่ะ

    หลังจากปฏิบัติ ตอนนี้ดิฉันรู้สึกเห็นถึงความแตกต่างของจิตบ้างแล้วค่ะ รู้สึกสงบขึ้น ความฟุ้งซ่านน้อยลงมาก รู้สึกนิ่งขึ้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว ถึงแม้จะยังไม่เข้มแข็งเต็มกำลัง ดิฉันก็จะหมั่นฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆค่ะ ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จะฝึกไปเรื่อยๆค่ะ
     
  15. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    แหะๆๆ...:d...ขอถามอีกข้อนึงค่ะ(ลืมถาม) ทำไมเวลาอยู่ในอาการสมาธิหรือฌาณนี่ พออยู่ไปสักพักดิฉันถึงได้ยินคลื่นเสียงอะไรบางอย่างที่ไม่ชัดเข้ามาในจิตคะ ไม่ใช่เสียงจากความนึกคิดของจิตดิฉันนะคะ เสียงของใครไม่รู้ ได้ยินเป็นคำบ้าง ฟังไม่ออกบ้างเหมือนมันไม่ tune ดีอ่ะค่ะ ได้ยินทั้งเสียงของผู้หญิงและผู้ชาย แต่ฟังไม่ออก แต่จิตตอนนั้นแค่งงๆ ว่าเสียงใคร ทำไม อะไร แต่ไม่ได้ตกใจกลัวมาก แค่แปลกใจอ่ะค่ะ ไม่รู้คืออะไร สักพักมันก็หายไปเอง
     
  16. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ขอตอบว่าไม่ต้องสนใจครับ เสียงที่เข้ามาให้ผ่านไปครับ ไม่ใช่สิ่งที่ควรเจริญครับ
     
  17. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ดิฉันควรจะทำอย่างไรไม่ให้เสียงเหล่านี้มากวนดิฉันได้บ้างคะ ควรจะท่องพุท โธตอนนี้ไหมคะ แล้วเขามากกวนดิฉันทำไมก็ไม่รู้ แปลกจัง ดิฉันควรจะแผ่เมตตาให้เขาดีไหมคะ

    ขอโทษค่ะ ดิฉันเป็นหนูจำไมอีกแล้ว ถามไม่สิ้นไม่สุด...:eek:

    .....เฮ้ออ....ถ้าดิฉันตัดกิเลสทางโลกได้ก็คงจะทุ่มให้การปฏิบัติได้ดีกว่านี้ ตอนนี้คงยังทำไม่ได้เพราะยังมีภาระทางโลกที่จะต้องรับผิดชอบ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กันยายน 2011
  18. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ควรทำแบบนี้ครับ ตามขีดเส้นใต้

    เวลาเสียงมาแล้ว ใจยินดี ก็ให้ทำสติตามรู้ใจตัวเองว่า ยินดี
    เวลาเสียงมาแล้ว ใจยินร้าย ก็ให้ทำสติรู้ใจตัวเองว่ายินร้าย
    เวลาเสียงมาแล้วใจเฉยๆ ก็ให้ทำสติรู้ว่าใจตัวเองเฉยๆ

    ทำแบบนี้ บ่อยๆ เนืองๆ ให้ชำนาญ
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ในขณะที่อยู่ภายในฌาณ มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว สามารถแผ่กุศลได้มากกว่าบุคคลทั่วไป

    ขณะนั้นคุณจะต้องมุ่งมั่น จะภาวนาต่อก็ไม่เสียหายครับ เพราะคุณจะต้องหยุดให้นิ่งขึ้นอีก

    ที่คุณสัมผัสเป็นอาการเริ่มต้นครับ หากเสียงนั้นยังรบกวน ก็แผ่เมตตาให้เขา

    ครั้งแรกเขาอาจจะไม่รับ แต่หากทำบ่อยๆเขาจะรับเองครับ และ ให้นึกว่า"มารไม่มีบารมีไม่เกิด"ครับ

    ส่วนภาระก็เป็นภาระ เป็นปกติของการใช้ชีวิตครับ ผมก็มีภาระที่ต้องรับผิดชอบครับ

    ส่วนการปฎิบัติสามารถทำได้ทั้งวันครับ แรกๆอาจจะได้เป็นบางครั้งบางเวลา

    แต่หากปฎิบัติบ่อยๆก็จะสามารถทำได้ทั้งวันครับ ทำให้เป็นความเคยชินเลยยิ่งดีครับ

    ปัญหา ภาระ มีไว้ให้แก้ไข มีไว้ให้แบกรับ เพื่อก้าวเดินในชีวิต คนทุกคนต้องประสบพบเจอครับ

    ปฎิบัติตรงนี้ให้คล่องก่อนครับ เพราะเมื่อปฎิบัติบ่อยๆแล้ว การเข้าฌาณจะทำได้ง่ายครับ
     
  20. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณ Oatthidet ที่มีเมตตาต่อดิฉันเสมอ ขอโทษที่ดิฉันถามไม่หยุดไม่สิ้นเลย แหะๆ ดิฉันเกรงใจจัง

    เมื่อคืนนอนทำสมาธิ จิตดิฉันไม่สงบเลย พยายามแล้วพยายามอีก พอเริ่มจะเกิดความสงบขึ้นมันก็แป๊บเดียวแล้วดับไป สุดท้ายรบกับจิตจนเช้าเลย ไปไม่ถึงไหนเลย ได้ความเพลียเป็นของขวัญ :z1

    แต่ในระหว่างที่พอจะสงบนั้นเห็นภาพน้ำท่วมที่เมืองไทย(ดิฉันทำงานอยู่ตปท.ค่ะ) มันกำลังจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นชาวบ้านเดือดร้อนหนีตายกันใหญ่....อาจเป็นความฝันแต่ก็น่ากลัวจริงๆค่ะ :(
     

แชร์หน้านี้

Loading...