ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผมขอนำปรัชญาปารมิตามาให้ทุกท่านศึกษา เพื่อให้รู้ว่โลกนี้ก็คือมายา แม้แต่การเห็นตัวตนของพระพุทธก็คือยึดติดกับมายา การไม่ยึดติดกับตัวตนของพระพุทธก็คือการเห็นพระพุทธ ตามที่พระพุทธได้ตรัสกับพระภิกษุสุภูติในวัชรปรัชญาปารมิตา การที่มองแต่ตัวตนของพระพุทธก็ยังเป็นการยึดติดสิ่งที่เป็นมายา พระสูตรเว่ยหลางบอกว่า สูญตา คือ ใช่สิ่งที่ใช่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่ ใช่สิ่งที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ และบอกว่าความหายนร้มีแต่พระโพธิสัตว์เท่านั้นที่รู้ แต่ผมไม่ใช่ครับ เพราะผมกินหมู แต่พอเข้าใจ คือ สญญาตา คือสภาสะที่ไม่มีการยึดติดทำให้ผู้ที่เข้าถึงมองเห็นสิ่งเป็นมายา และสิ่งใดคือสภาพจริง ไม่มีคำอธิบาย เพราะไม่รู้จะอธิบายอะไรอีก เพราะไม่มีการยึดติดอีกแล้ว ถ้ายึดติดก็ไม่เป็นสูญใช่ไหมครับ คือจะบรรลุสูญตาคือทำยังไงก็ได้ไม่ยึดติด เพราะในวัชรปรัชญาปารมิตาบอกว่า ขนาดสิ่งที่เป็นธรรมยังต้องปล่อยวาง และสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมไม่ยิ่งต้องปล่อยวางหรือ ที่ผมอธิบายมาตั้งแต่ต้นเพื่อให้ทุกท่าน สามารถตั้งจิตรับสภาวะที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ถ้าทุกท่านเข้าใจว่าทุกสิ่งคือมายาเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ยังคงมีสติ เอาไว้มาคุยเรื่องหลักธรรมใหม่ คุยกันนิดคั่นเวลาติดตามสถานะการณ์ครับ เพราะสถานะการณ์เกิดเอง ผมไปทำให้เกิดไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2013
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จาก 10 ความน่าจะเป็นที่จะเกิดภัยพิบัติ ในส่วนของวิกฤตพลังงานไ่ม่ต้องห่วงผมถนัดมาก มีข้อมูลเยอะมากๆ
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ข้อมูลจากเฟสบุ๊ก ดร ก้องภพ วันที่ 18 มิย 2556
    ก้องภพ อยู่เย็น shared a link.
    Yesterday at 5:59pm near Arlington, VA ·
    ในวันที่ 16 มีถุนายน เกิดปฏิกริยาดวงอาทิตย์มากปกติอีกครั้ง และส่งพลังงานออกมาโดยทิศทางหลักออกไปทางด้านตรงข้ามโลกทางทิศตะวันตก และมีบางส่วนมาที่โลก จากการคำนวณพบว่าพลังงานจะเดินทางมาถึงในแนววงโคจรของโลกในวันที่ 19 มิถุนายน เวลา 11 UT +/- 10 ชั่วโมง ในช่วงวันดังกล่าวยังพบปริมาณจุดดับขยายตัวทางทิศใต้ ซึ่งผู้ที่สนใจความสัมพันธ์ของเหตุการณ์นี้กับโลกของเรา สามารถติตตามการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบนโลกได้โดยเฉพาะระหว่างวันที่ 18-20 มิถุนายน ครับ

    ส่วนข้อมูลเพิมเติมของเหตุการณ์ครั้งนี้มีดังนี้
    - ภาพถ่ายดวงอาทิตย์มุมกว้างโดยโลกอยู่ทางด้านซ้ายมือของภาพ http://stereo.gsfc.nasa.gov/browse/2013/06/16/ahead_20130616_cor2_512.mpg
    - ภาพถ่ายจุดดับขยายตัวทางทิศใต้ของดวงอาทิตย์ http://spaceweather.com/images2013/17jun13/southern_anim.gif?PHPSESSID=aqf3bqtud5hnic06il54infjr3
    ESA Daily Sun Spot Number
    - ภาพถ่ายที่ผิวดวงอาทิตย์มุมมองจากโลกโดยเห็นเปลวพลังงานที่ส่งออกมาด้านเดียวกับโลก http://www.solarham.net/pictures/archive/jun17_2013_prom.jpg
    - โมเดลจำลองการแพร่กระจายของอนุภาคจากดวงอาทิตย์ http://iswa.ccmc.gsfc.nasa.gov:8080/IswaSystemWebApp/StreamByDataIdServlet?allDataId=535619964
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผมขอยกข้อมูลเดิม
    ข้อมูลจากเฟสบุ๊ก ก้องภพ อยู่เย็น shared a link. วันที่ 13 มิย 56
    5 hours ago near Arlington, VA ·
    วันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมาปริมาณจุดดับที่ผิวดวงอาทิตย์โดยรวมลดลงอยู่ระดับต่ำสุดและเกิดการขยายตัวของจุดดับเกิดขึ้น นอกจากนั้นยังมีพลังงานแพร่กระจายออกมาเป็นมุมกว้างระดับปานกลาง ทิศทางเดียวกับโลก จากการคำนวณพบว่าพลังงานจะเดินทางมาถึงในแนววงโคจรของโลกในวันที่ 14 มิถุนายน เวลา 15 UT +/- 10 ชั่วโมง ผู้ที่สนใจสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงบนโลกตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 มิย 2556

    เราจะเห็นว่าตั้งแต่วันที่ 15 มิย 2556 มาเกิด แผ่นดินไหว ระดับ 6 ขึ้นหลายครั้ง และฝนตกมากตลอด 3 วันที่อินเดีย ทำให้ดินถล่มจนบ้างพังไป อย่าลืมครับจากการวิจัย พลังจากดวงอาทิตย์ก็มีผลกับการเกิดเมฆ ถ้าสาเหตุเกิดจากการที่โลกรับพลังจากการระเบิดบนดวงอาทิตย์ ผมว่าข้อมูลจาก ดร ก้องภพที่ว่าวันที่ 16 มิย มีการส่งพลังมาถึงโลกบางส่วนและจะมาถึงแนววงโคจรของโลกวันที่ 19 และให้ติดตามดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 18 -20 มิย ส่วนวันที่ 18 มิย 2556 ที่ให้ติดตาม บางท่านอาจสงสัยว่า พลังมาถึงวันที่ 19 มิย 2556 แต่ไปบอกให้ดูวันที่ 18 มิย 2556 เพราะผมว่าดวงอาทิตย์กับโลกมีพลังแม่เหล็กยึดติดกัน ก็คงมีพลังบางอย่างมาตามพลังที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งมาถึงเร็วครับ และมาถึงก่อนพลังที่มาถึงตามปรกติ ประมาณ 1 วัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คุณ muangbarwa ครับ ผมขออนุญาตตอบข้อมูลว่าที่คุณ muangbarwa ได้วางไว้ครับ
    "ปีหนึ่งมี365วัน บอกมีพลังส่งมาแทบจะวันเว้นวัน มีอะไรขึ้นมาจับมาโยงได้หมด แพะกับแกะชนกันจนจำไม่ได้แล้ว อันไหนแพะอันไหนแกะ"

    พลังงานที่อาจารย์ก้องภพบอกว่ามีการส่งออกมาเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือครับ เพราะดวงอาทิตย์ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่สำคัญที่สุดในจักรวาลพิภพ เพราะน้ำมัน ก๊าซ ความร้อน ฯลฯ ซึ่งเป็นพลังงานที่เราใช้อยู่มุกวันนี้ก็มาจากดวงอาทิตย์ครับ แต่เกิดเป็นปรกติครับ เลยไม่มีผลกระทบกับเรามาก และยังเป็นประโยชน์

    แต่แหล่งกำเนิดพลังงานบนดวงอาทิตย์ก่อกำเนิดจากปฎิกริยานิวเคลียร์แบบฟิวชัน ซึ่งจะเกิดเป็นปรกติบนดาวฤกษ์ครับ

    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นที่แกนกลางของดวงอาทิตย์ ในตอนเริ่มต้นที่แกนกลางนี้มีองค์ประกอบเหมือนส่วนอื่น ๆ ของดวงอาทิตย์ คือ ไฮโดรเจน 72% ฮีเลียม 26% และธาตุหนักอื่น ๆ (คาร์บอน,ไนโตรเจน,ออกซิเจน, ...) รวม 2% ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบของดวงอาทิตย์อย่างช้าๆ ซึ่งในปัจจุบันองค์ประกอบที่แกนกลางของดวงอาทิตย์กลายเป็น ไฮโดรเจน 35%, ฮีเลียม 63%, และธาตุอื่น ๆ (คาร์บอน,ไนโตรเจน,ออกซิเจน, ...) 2% โดยมวล

    1.jpg
    รูปแสดงการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน
    แหล่งพลังงาน

    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันภายในดวงอาทิตย์ สามารถเกิดขึ้นได้เพราะที่แกนกลางดวงอาทิตย์นั้นมีอุณหภูมิสูงและมีความหนา แน่นมาก ปกติแล้วนิวเคลียส 2 นิวเคลียสจะผลักกันตามแรงคูลอมบ์ (Coulomb’s force) เนื่องจากมีประจุบวกเหมือนกัน แต่ที่แกนกลางของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิสูงมากพอและมีความหนาแน่นมากจนกระทั่ง นิวเคลียสทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนกระทั่งสามารถเอาชนะแรงคูลอมบ์และเกิดปฏิ กิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันในดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นมากที่สุดคือ ปฏิกิริยาโปรตอน-โปรตอน (p-p reaction) กระบวนการนี้เกิดจากนิวเคลียสของไฮโดรเจนซึ่งก็คือโปรตอน 2 นิวเคลียสรวมกัน ปฏิกิริยานี้ยังให้นิวตริโนออกมาอีกด้วย

    2.jpg
    รูปแสดงการเกิดปฏิกิริยา p-p reaction ภายในแกนของดวงอาทิตย์
    http://fusedweb.pppl.gov/CPEP/Chart_Pages/Images/2.P-PChain.gif

    ซึ่งในแต่ละวินาทีจะมีการเปลี่ยนโปรตอนประมาณ 3.jpg ตัว เป็นฮีเลียม
    และมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาประมาณ 4.3 ล้านตันต่อวินาที หรือ 4.jpg จูลต่อวินาที
    โฟตอนพลังงานสูง (high energy photons) หรือรังสีแกมมา (gamma rays) และรังสีเอ็กซ์ (X-rays) ที่ถูกปลดปล่อยจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันนี้ใช้เวลานานมากกว่าจะเดินทางมาถึงผิวของดวงอาทิตย์ เนื่องจากแต่ละครั้งที่โฟตอนถูกชนจะเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อย ๆ และพลังงานลดลง ทำให้โฟตอนที่ออกจากผิวดวงอาทิตย์จะอยู่ในช่วงแสงที่มนุษย์เราสามารถมองเห็นได้ รังสีแกมมาแต่ละความยาวคลื่นในแกนของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนเป็นโฟตอนของแสงที่ตามนุษย์มองเห็น (visible light) หลายล้านตัว โฟตอนเหล่านี้ผ่านการถ่ายเทหลายชั้นจนถึงชั้น โฟโตสเฟียร์ และในที่สุดก็จะออกมาเป็นแสง

    แกน (Core) : บริเวณที่ผลิตพลังงาน
    แกนกลาง ของดวงอาทิตย์ เป็นบริเวณตั้งแต่ใจกลางของดวงอาทิตย์จนกระทั่งถึงหนึ่งในสี่ของระยะทางสู่ ผิวของดวงอาทิตย์ แกนกลางมีปริมาตรประมาณ 2% ของดวงอาทิตย์ แต่มีมวลถึงประมาณครึ่งหนึ่งของดวงอาทิตย์ อุณหภูมิที่สูงที่สุดมีค่าประมาณ 15 ล้านเคลวิน มีความหนาแน่นประมาณ 150 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร หรือประมาณเกือบ 15 เท่าของความหนาแน่นของตะกั่ว

    สาเหตุ ที่แกนกลางของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิสูงมาก และมีความหนาแน่นสูงมากเป็นเพราะว่าแกนกลางนี้มีความดันสูงมาก ๆ สูงในระดับที่มากกว่าความดันของบรรยากาศโลกประมาณสองแสนล้านเท่าของบรรยากาศ ของโลกที่ระดับน้ำทะเล ความดันที่สูงมากของแกนกลางนี้เองทำให้แก๊สไม่สามารถยุบตัวและดวงอาทิตย์ สามารถคงรูปอยู่ได้

    5.jpg
    รูปแสดงโครงสร้างภายในของดวงอาทิตย์ จากด้านในไปด้านนอก: แกน (core) เขตแผ่รังสี (radiative zone)
    และเขตการพา (convection zone)
    http://solarscience.msfc.nasa.gov/images/cutaway.jpg

    ครับดังนั้นการที่กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ไม่ปรกติ เกิดจุดดับ มีความแปรปรวนเกิดขึ้น ก็ทำให้การเกิดปฎิกริยาฟิวชั่นไม่ปรกติ ก็ทำให้เกิดพลังงานหลุดออกมาได้เรื่อย ๆ ครับ ซึ่งพลังงานที่หลุดออกมาถ้ามายังโลกก็เป็นพลังงานที่ส่งมายังโลก แต่ขอเพิ่มว่ามากกว่าปรกติครับ โลกเลยเขย่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คุณ muangbarwa ครับ
    และไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็โยงหมด เพราะทุกสิ่งบนโลกเกิดจากเหตุ ปัจจัยครับ อย่างกรณีแผ่นดินไหวที่เสฉวนคงจำได้ และทางภาคเหนือของเราเกิดแผ่นดินไหว

    การเกิดแผ่นดินไหวที่เสฉวนเกิดขึ้นเร็วกว่าปรกติมากซึ่งเกิดเมื่อหลายปีก่อนและคาดการณ์ว่ากว่าจะเกิดอีกครั้งน่าจะใช้เวลานาน แต่เพราะรับพลังงานจากพระอาทิตย์ทำให้มีการสะสมพลังงานให้กับแม็กม่าใต้โลก ก็เลยทำให้เขย่าขึ้น แต่ทางเหนือของประเทศไทยไม่ได้รับค่าพลังงานแต่ไหว เพราะเมื่อเสฉวนไหว แนวแผ่นเปลือกโลกก็เกิดการขยับตัว และจากการศึกษาของต่างประเทศก็บอกว่าถ้าแผ่นดินไหวบริเวณนั้นก็จะส่งแรงเฉือนมาที่แผ่นเปลือกโลกบริเวณภาคเหนือประเทศไทยครับ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ข้อมูลจาก เฟสบุก๊ก Piyacheep S.Vatcharobol วันที่ 18 มิย 2556
    6 hours ago.๑๘๐๕๕๖ ภูมิอวกาศวันนี้ (4 photos)
    จุดดับที่น่าจัดตาช่วงนี้คือ 1775 ซึ่งเป็นจุดดับที่ใหญ่ที่สุดเวลานี้ และที่สำคัญนอกจากมีเบต้าแล้ว ยังมีเดลต้าด้วย จากการสังเกตุผมว่า นอกจากจุดดับทั่วไปที่มี อัลฟ่า เบต้า หรือ แรมมาแล้ว จุดดับที่มีการระเบิดออกมาระดับ X Class จะเกิดเดลต้าร่วมอ...ยู่ด้วยเสมอ ส่วนจุดดับที่ 1768 ที่กำลังจะหมุนลับไปด้านหลัง มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก 1775 ที่อาจเกิด โซลาแฟร์ขนาดเล็กได้ก่อนหมุนลับไปด้านหลัง สนามแม่เหล็กจากหลุมดำ CH กำลังหันมาหาโลก น่าจะมีผลกระทบในวันที่ ๑๙-๒๐ พร้อมๆกับพลังงานที่จะเข้ามาจากรายงานของ ดร.ก้องภพ ทำให้ 19-20 UTC หรือ ๑๙-๒๑ มิถุนายนบ้านเรา เป็นช่วงเวลาที่ต้องตามข่าวภัยธรรมชาติอีกระยะหนึ่งนะครับ Updated 06/17/2013 @ 09:50 UTC Solar Update Good morning. Solar activity has been fairly low with minor C-Class activity detected around Sunspots 1772 and 1775. Both of these regions, particularly 1775 continue to show signs of sunspot development. Sunspot 1768 which has quietly transited the southern hemisphere the past 5 days is about to rotate onto the west limb. All other regions remain stable. There will be an increasing chance for an isolated M-Class event today. :Solar_Region_Summary: 2013 Jun 17 # Region Location Sunspot Characteristics # Helio Spot Spot Mag. # Num Lat.,CMD Long. Area Extent class count class 1768 S12W85 355 260 7 DKO 7 B 1770 S14E16 253 80 2 HSX 1 A 1772 S20E15 255 100 9 DAI 17 B 1773 N04E37 232 90 7 DAI 13 B 1774 S18E31 239 80 4 CSO 3 B 1775 S26E48 222 380 7 DKO 9 BDSee More

    2.jpg

    3.jpg

    4.jpg

    5.jpg
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ช่วงนี้ดวงอาทิตย์ประทุระดับ C เยอะครับ
    Capture.JPG
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คุณ muangbarwa ถ้าสงสัยเรื่องฟิวชั่น ถามได้ครับ ผมไม่อยากยกมาก เพราะกระทู้นี้เป็นเรื่องภัยพิบัติ พูดเรื่องอื่นๆ มากไป เกรงใจครับ ถ้ามีคนสงสัยผมจะได้ถือโอกาสคุยเรืาองนิวเคลียร์เลย ไปสัมมนามาหลายครั้งแล้วครับ ตอนนี้พูดเรื่องศาสนาทุกวันก็เกรงใจแย่แล้วครับ
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ดาวหาง ISON 4 พฤษภาคม 2556
    กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลของนาซาได้จับภาพดาวหาง C/2012 S1(ISON) ในวันที่ 10 เมษายน เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าวงโคจรของดาวพฤหัสเล็กน้อยที่ประมาณ 386 ล้านไมล์จากดวงอาทิตย์(ห่างจากโลก 394 ล้านไมล์)




    บน ภาพเร่งความเปรียบต่างจากภาพดาวหาง C/2012 S1(ISON) ของฮับเบิลเพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างย่อยๆ ในโคม่าส่วนในของดาวหาง ล่าง ภาพดาวหางที่ถ่ายโดยปฏิบัติการ Deep Impact เมื่อต้นปี


    แม้ว่าจะอยู่ในระยะทางที่ไกลเช่นนั้น แต่ดาวหางก็มีปฏิกริยาแล้วเมื่อแสงอาทิตย์ได้อุ่นพื้นผิวและเป็นสาเหตุให้สารระเหยเยือกแข็งระเหิดออกมา การวิเคราะห์รายละเอียดโคม่าฝุ่นที่อยู่รอบๆ นิวเคลียสน้ำแข็งเผยให้เห็นไอพ่นรุนแรงลำหนึ่งที่ปะทุอนุภาคฝุ่นออกจากด้านที่เจอแสงอาทิตย์บนนิวเคลียสดาวหาง


    การตรวจสอบคร่าวๆ จากภาพฮับเบิลบอกว่านิวเคลียสของดาวหาง ISON นั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่า 5 ถึง 6.5 กิโลเมตร นี่ถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับระดับกิจกรรมที่สูงที่สำรวจพบในดาวหางมาตลอด นักดาราศาสตร์กำลังใช้ภาพเหล่านี้เพื่อตรวจสอบระดับกิจกรรมของดาวหางนี้และระบุขนาดนิวเคลียสของมัน เพื่อที่จะทำนายกิจกรรมของดาวหางเมื่อมันเข้ามาในระยะทาง 1.1 ล้านกิโลเมตรเหนือพื้นผิวแผดเผาของดวงอาทิตย์ในวันที่ 28 พฤศจิกายน


    โคม่าฝุ่นหรือหัวของดาวหางนั้นมีความกว้างประมาณ 4800 กิโลเมตรหรือประมาณ 1.2 เท่าความกว้างของออสเตรเลีย หางฝุ่นแผ่ออกมายาวกว่า 91,000 กิโลเมตร ยาวเกินกว่ามุมมองภาพของฮับเบิล


    กำลังดำเนินการวิเคราะห์อย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อปรับปรุงการตรวจสอบเหล่านี้และเพื่อทำนายสิ่งที่ออกปะทุออกมาเมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด


    ภาพนี้ถ่ายในช่วงแสงตาเห็นด้วยกล้องมุมกว้าง 3(WFC3) ของฮับเบิล สีเพี้ยนสีฟ้าถูกเพิ่มเข้าไปเพื่อดึงรายละเอียดในโคงสร้างดาวหาง


    ISON ย่อมาจาก International Scientific Optical Network ซึ่งเป็นกลุ่มของหอสังเกตการณ์ในสิบประเทศที่ได้ดำเนินงานตรวจสอบ, เฝ้าติดตามและตามรอยวัตถุในอวกาศ ซึ่งองค์กรจัดการโดย Keldysh Institute of Applied Mathematics ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย


    นักดาราศาสตร์เตรียมพร้อมรับการมาเยือนของดาวหาง ISON ซึ่งอาจจะเป็นดาวหางที่สว่างที่สุดดวงหนึ่งเท่าที่เคยผ่านเข้ามาในระบบสุริยะส่วนใน นาซ่าได้ตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญขนาดเล็กทีมหนึ่ง(CIOC) เพื่อดำเนินการโครงการสำรวจดาวหาง ซึ่งอาจจะส่องสว่างเทียบเท่ากับดวงจันทร์เมื่อมันเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน


    นักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวรัสเซีย Vitali Nevski และ Artyom Novichonok ได้ค้นพบดาวหาง ISON ในวันที่ 21 กันยายน 2012 หลังจากพบดาวหางในภาพที่ถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์ที่ดำเนินงานโดยองค์กร ISON ใกล้กับ Kislovodsk จึงเป็นที่มาของชื่อดาวหาง ดาวหาง ISON นั้นเป็นดาวหางท้าตะวัน(sungrazing) ซึ่งหมายความว่าเส้นทางที่ยาวผ่านอวกาศทำมันเข้าใกล้ดาวฤกษ์ของเราอย่างมาก จริงๆ แล้วคาดว่า ดาวหางจะเข้าไปในระยะทาง 1.1 ล้านกิโลเมตรเหนือพื้นผิวดวงอาทิตย์ ในจุดที่เข้าใกล้มากที่สุดในวันที 28 พฤศจิกายน ซึ่งน่าจะมีโชว์ตระการตาในช่วงเวลานั้น ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าบางทีมันอาจจะสว่างมากมายจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเวลากลางวัน(ดาวหางดวงนี้ไม่มีอันตรายต่อโลก)


    นักดูดาวไม่ได้เป็นคนกลุ่มเดียวที่ตั้งตารอการเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ของนักเดินทางน้ำแข็งนี้ นักดาราศาสตร์เองก็ตื่นเต้นที่การเข้าใกล้ของดาวหางจะให้โอกาสอันหายากในการตรวจสอบองค์ประกอบของดาวหาง Karl Battams นักวิทยาศาสตร์ที่ห้องทดลองวิจัยกองทัพเรือสหรัฐฯ สมาชิกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นักท้าตะวันจะเผชิญหน้ากับความเครียดอุณหภูมิและแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงที่สุดในบรรดาดาวหางใดๆ จะมีการระเหิดของวัสดุสารจำนวนมากซึ่งปกติแล้วจะไม่ระเหิด เมื่อ ISON ผ่านเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เรียบร้อยแล้ว เราก็น่าจะได้เริ่มเห็นองค์ประกอบบางอย่างที่โดยปกติเราจะไม่ได้เห็น


    ดังนั้น Battams จึงเริ่มติดต่อกับหอสังเกตการณ์ภาคพื้นดินหลักๆ เพื่อเตือนการเดินทางผ่านของดาวหาง และขอให้พวกเขาได้สำรวจ ISON การตอบรับเป็นไปอย่างอบอุ่น โดยผู้ดำเนินงานกล้องโทรทรรศน์ปกติก็มักจะต้อนรับโครงงานเช่นนี้อยู่แล้ว ลูกทีม CIOC ยังติดต่อไปถึงทีมปฏิบัติการยานอวกาศบางส่วน เพื่อขอให้เฝ้าดูดาวหางในบางช่วง และก็มีจำนวนหนึ่งที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว


    เวบไซท์ CIOC บอกว่ามีการวางโครงงานของปฏิบัติการยานสุริยะ SOHO, STEREO และ SDO , โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์, จันทรา และฮับเบิล และโดยปฏิบัติการ Deep Impact, JUNO, MESSENGER ที่ดาวพุธ, ปฏิบัติการ Mars Odyssey และ Mars Reconnaissance Orbiter ที่ดาวอังคาร ปฏิบัติการอื่นรอบหรือที่ดาวอังคารก็กำลังเฝ้ารอการสำรวจ ISON เช่นเดียวกับปฏิบัติการดาวเคราะห์อื่นๆ ของนาซ่าด้วย เรายินดีต้อนรับพันธมิตรนานาชาติที่ติดต่อเราและร่วมสนุก


    ในความเป็นจริง ยาน Deep Impact ได้เริ่มงานศึกษา ISON แล้ว ยานของนาซ่าลำนี้ซึ่งก็ได้ศึกษาดาวหางอีกมากมายในอวกาศห้วงลึก ได้ถ่ายภาพดาวหาง ISON ภาพแรกในเดือนมกราคม


    ไม่มีคำยืนยันว่า ISON จะรอดผ่านช่วงลำเค็ญนั้น มันอาจจะแตกสลายก่อนที่จะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดด้วยซ้ำ ดาวหางนั้นมีชื่อเสียด้านการคาดเดาได้ยาก และบางครั้งก็ทำให้ความคาดหวังสูงต้องจบลงอย่างย่อยยับ อย่างดาวหาง Kahoutek ในปี 1973


    Battams บอกว่าความใหม่ของ ISON นั้นเป็นปัจจัยที่สูงมากๆ เมื่อมันไม่เคยผ่านเข้ามาในระบบสุริยะส่วนใน นี่เป็นการเดินทางเที่ยวแรกจากเมฆออร์ตน้ำแข็งอันห่างไกล นักดาราศาสตร์และนักดูดาวอาจจะไม่ได้สังเกตจริงว่าดาวหางจะมีพฤติกรรมอย่างไรจนกว่าจะถึงต้นเดือนสิงหาคม เมื่อน้ำแข็งน่าจะเริ่มระเหิดขึ้น



    rook :รายงาน

    แหล่งที่มา: astronomy.com : Hubble captures comet ISON

    space.com : astronomers gearing up for possible “comet of the century”
     
  11. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัพพะสัมมาสัมพุทธัสสะ

    ทุกๆการชนต้องมีการชน ทุกๆเจตนาย่อมเกิดผลกรรม

    สัมมาศีล สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาภาวนา นำพาพ้นภัย
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แผ่นดินไหวจากดวงอาทิตย์: 2012 แผ่นดินไหวจากนิวตริโน


    ในหนังเรื่อง 2012 มีการอ้างเรื่องนิวตริโนทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ในแกนโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนิวตริโนเป็นอนุภาคที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์ นิวตริโนนั้นเป็นอนุภาคที่ไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ ซึ่งการมีอยู่ของนิวตริโนนั้น ในตอนแรก นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสลายตัวของนิวตรอนให้โปรตอนและอิเลคตรอนออกมา แต่มีพลังงานสูญหายไปส่วนหนึ่ง เลยสมมุติใส่นิวตริโนเข้าไปให้สมการมันสมดุลออกมาได้ [2] นิวตริโนถูกตรวจพบโดยการใช้โปรตอนเป็นตัวรับ ซึ่งมันจะให้โปสิตรอนกับนิวตรอนออกมา ซึ่งกว่าจะยืนยันเป็นผลแน่นอนก็อีกหลายสิบปีให้หลัง





    ผลกระทบของนิวตริโนนั้น แม้โดยทั่วไป มันจะผ่านโลกไปโดยไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ แต่ก็มีกรณีการศึกษาของ Prof. Ephraim Fischbach ที่พบว่าคาบการสลายตัวของตัวอย่าง Cesium ในห้องทดลองมีการสลายตัวที่มีการเบี่ยงเบนจากคาบการสลายตัวตามปรกติเล็กน้อย นำไปสู่การต่อยอดและตั้งข้อสังเกตว่าการสลายตัวของกัมมันตรังสีจะน้อยลงเมื่อได้รับอนุภาคนิวตริโนจากดวงอาทิตย์มากขึ้น การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีจะลดลงในช่วงการเกิด Solar Flare [3] ข้อสังเกตนี้ยังอาจเรียกว่าห่างไกลจากข้อเท็จจริงว่ามันเป็นผลจากนิวตริโน มันอาจเป็นผลจากอนุภาคอื่นๆที่ไม่รู้จากดวงอาทิตย์ก็ได้ แต่ประเด็นก็คือมันเป็นไปในทิศทางตรงข้ามกับหนังเรื่อง 2012 นิวตริโน ถ้ามันจะมีผลกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ มันก็น่าจะมีผลในแง่การลดอุณหภูมิของแกนโลกเสียมากกว่า
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ครับคุณ naproxen นิวรณ์ ๕ บริบูรณ์ ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์
    โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ แต่การบรรลุธรรมสูงสุดคือการไม่บรรลุอะไรเลย เพราะหลักปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ และเป็นปัจจัยหลักแห่งการบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ได้กล่าวว่าทุกสิ่งล้วนคือมายา การก้าวพ้นจากทุกข์ที่แท้จริงคือการก้าวล่วงวิธีแห่งมายา ดังมีในบทว่า พระอวโลกิเตศวรเมื่อเห็นว่าขันธ์ทั้ง 5 ว่างเปล่าจึงก้าวข้ามห้วงสังสารวัฎ ผมเคยอ่านเจอว่าตัดนิวรณ์ 5 ได้คือสำเร็จอรหันต์ เข้าใจปฎิสัมภิทา คือ พระปัจเจก ถ่องแท้ในปรัชญาปารมิตาคือพระพุทธครับ เราจึงควรช่วยกันละเลิกมายา และโปรดสัพชีวิตให้ก้าวพ้นทุกข์ด้วย คาถาว่า คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิสาหา ไป ไปสู่ฝั่ง ไปเป็นผู้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    การวัดกัมมันตภาพรังสีของแกนโลกเป็นครั้งแรก

    กัมมันตภาพรังสีธรรมชาติของโลกได้รับการวัดเป็นครั้งแรก การวัดนี้จะช่วยให้นักธรณีวิทยาทราบถึงการสลายตัวทางนิวเคลียร์ ที่ส่งผลต่อปริมาณความร้ออนที่เกิดขึ้นภายในโลก


    ความร้อนภายในโลกทำให้เหล็กที่หลอมเหลว อยู่ที่ชั้นนอกของแกนโลกเกิดการเคลื่อนที่ ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก มีคำถามว่า ความร้อนนี้มาจากไหน จากการวัดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ของชั้นหินในเหมืองและหลุมเจาะ ทำให้นักธรณีวิทยาสามารถประมาณได้ว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในโลกมีค่าระหว่าง 30-44 terawatts

    ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ บางส่วนมาจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี จากการศึกษาอุกกาบาตรุ่นแรก เช่น carbonaceous chondrites นักธรณีวิทยาคำนวณโดยประมาณได้ว่า ปริมาณธาตุยูเรเนียมและทอเรียม ทำให้เกิดกัมมันตภาพรังสีที่ให้ความร้อนประมาณ 19 terawatts แต่ก็ยังไม่ทราบว่าในโลกมีปริมาณยูเรเนียมที่แน่นอนอยู่เท่าใด Bill McDonough นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ (Maryland in College Park) กล่าวว่า ยังมีความไม่แน่นอนอยู่

    มีทางหนึ่งที่จะลดค่าความไม่แน่นอนนี้ โดยการหาอนุภาค antineutrino อนุภาคเหล่านี้เป็นปฏิอนุภาค (antimatter) กับอนุภาคนิวตริโน (neutrino) ซึ่งไม่มีประจุ และเกือบจะไม่มีมวล มีการปลดปล่อยออกมาในกระบวนการสลายตัวของยูเรเนียมและทอเรีมไปเป็นตะกั่ว ถ้าสามารถวัดแอนตินิวตริโนเกิดขึ้นที่ระดับความลึกลงในภายในโลก เนื่องจากอนุภาคเหล่านี้สามารถเคลื่อนที่ผ่านวัตถุได้เกือบทุกชนิด


    ปัจจุบัน เครื่องวัด KamLAND antineutrino detector ที่ Kamioka ประเทศญี่ปุ่น นับวัดอนุภาคแอนตินิวตริโนได้แล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลแล้วพบว่า มีกระแสอนุภาคแอนตินิวตริโน ประมาณ 16.2 ล้านอนุภาคต่อตารางเซนติเมตรต่อวินาที เคลื่อนที่ออกมาจากแกนกลางของโลก และคำนวณได้ว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่ทำใหเเกิดอนุภาคเหล่านี้ จะให้พลังงาน 60 terawatt แต่ดูเหมือนว่าจะมีความร้อนออกมาเพียง 24 terawatts (Nature, vol 436, p 499) John Learned ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัย KamLAND ที่ University of Hawaii in Manoa กล่าวว่า “เราวัดกัมมันตภาพรังสีของทั้งโลกได้เป็นครั้งแรก McDonough เสริมว่า สิ่งที่กลุ่มนักวิจัย KamLAND ค้นพบ เหมือนกับเป็นการแกะห่อของขวัญวันเกิด”

    การตรวจพบแอนตินิวตริโนที่เพิ่มขึ้นตามเวลา อาจจะทำให้ทีมวิจัย KamLAND สามารถหากัมมันตภาพรังสี ที่ทำให้เกิดความร้อนภายในโลก และกรณีอื่น เช่น การตกผลึกของเหล็กและนิเกิลหลอมเหลว ที่เปลือกของแกนโลก

    จำนวนแอนตินิวตริโนแสดงให้เห็นว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ อาจจะทำให้เกิดความร้อนประมาณ 24 terawatts แก่โลก แอนตินิวตริโนอาจจะเป็นสิ่งที่เปิดเผย สัดส่วนของสารกัมมันตรังสีในผิวโลก (crust) และเปลือกโลก (mantle) ซึ่งจะเป็นร่องรอยที่ทำให้นักธรณีวิทยาทราบว่า มีการเกิดขึ้นเมื่อใดและอย่างไร แต่การจะทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องหาตำแหน่งได้อย่างแน่นอน ว่าแอนตินิวตริโนมาจากไหน ซึ่งต้องพึ่งเครือข่ายของเครื่องวัด ที่ติดตั้งอยู่ทั้งหมด Learned กล่าวว่า “เรากำลังมุ่งไปที่การทำแผนภาพสามมิติของนิวตริโน (neutrino tomography) ของทั้งโลก ตอนนี้ยังเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น”

    ถอดความจาก First measurements of Earth's core radioactivity
    เว็บไซต์ Science news and science jobs from New Scientist - New Scientist

    ภาพขอติดไว้ก่อนครัย
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “แกนโลก” (อาจ) ยังมีชั้นนอกสุดอีก


    http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1750349
    ภาพจำลองเผยให้ชั้นต่างๆ ของโลก โดยแกนโลกชั้นในสุดคือบริเวณสีเหลือง และถัดขึ้นมาคือแกนโลกชั้นนอก ซึ่งนักวิทยาสาสตร์ได้วัดแรงสั่นสะเทือนจากแกนโลกและพบความแตกต่างของความเร็วในชั้นแกนโลก ซึ่งคาดว่าน่าจะนำไปสู่การแบ่งชั้นแกนโลกได้อีกชั้น แต่เฮล์ฟฟริชนักวิจัยผู้ศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวโดยตรงแต่เขาคาดว่าคนอื่นคงจะคิดว่า "ใช่" (ไซน์เดลี /iStockphoto/Baris Simsek)



    ภาพจำลองเผยให้ชั้นต่างๆ ของโลก โดยแกนโลกชั้นในสุดคือบริเวณสีเหลือง และถัดขึ้นมาคือแกนโลกชั้นนอก ซึ่งนักวิทยาสาสตร์ได้วัดแรงสั่นสะเทือนจากแกนโลกและพบความแตกต่างของความเร็วในชั้นแกนโลก ซึ่งคาดว่าน่าจะนำไปสู่การแบ่งชั้นแกนโลกได้อีกชั้น แต่เฮล์ฟฟริชนักวิจัยผู้ศึกษาเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวโดยตรงแต่เขาคาดว่าคนอื่นคงจะคิดว่า "ใช่" (ไซน์เดลี /iStockphoto/Baris Simsek)



    นักธรณีวิทยาพบแกนโลก (อาจ) ยังมีชั้นนอกสุดอีก จากการวัดคลื่นแผ่นดินไหวจากใจกลางโลก เชื่อการค้นครั้งนี้จะช่วยไขความลึกลับของสนามแม่เหล็กโลกที่คงอยู่มากว่า 3,000 ล้านปี

    หลักๆ แล้วแกนโลกประกอบด้วยเหล็กซึ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ แกนกลางที่เป็นแข็งกว้าง 2,440 กิโลเมตร และปกคลุมชั้นของเหลวด้านนอกที่มีความหนา 2,250 กิโลเมตร แม้ว่าความจุส่วนใหญ่ของแกนโลกจะเป็นเหล็ก แต่นักวิจัยทราบอีกว่า แกนโลกยังมีธาตุเบาๆ อย่างออกซิเจนและซัลเฟอร์ด้วย

    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ตลอดเวลาที่แกนโลกตกผลึกนั้นกระบวนการนี้จะบีบให้ธาตุเบาเหล่านี้หนีออกมาสู่ชั้นของเหลวด้านนอก และตอนนี้นักธรณีวิทยาเชื่อว่าได้ตรวจพบความเข้มข้นที่มากขึ้นของธาตุเบาเหล่านี้ทั้งหมดในแกนโลกชั้นนอกแล้ว

    “ตั้งแต่ที่ได้เริ่มศึกษาโครงสร้างของแกนโลก ก็มีเค้าลางของโครงสร้างตั้งแต่นั้น นั่นเป็นเหตุผลที่เราค้นหา” ไลฟ์ไซน์รายงานเรื่องนี้และคำพูดของ จอร์จ เฮล์ฟฟริช (George Helffrich) นักธรณีวิทยาและนักแผ่นดินไหวจากมหาวิทยาลัยบริสตอล (University of Bristol) อังกฤษ

    เพื่อสืบเสาะทำความเข้าใจเกี่ยวกับแกนโลกไลฟ์ไซน์ระบุว่า นักวิจัยต้องเฝ้าดูคลื่นแผ่นดินไหวที่เคลื่อนผ่านชั้นแกนโลกชั้นนอก คลื่นดังกล่าวได้กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวในแอฟริกาใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วได้บันทึกข้อมูลด้วยเครือข่ายเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นและยุโรปตอนเหนือ

    ความเร็ว ณ จุดที่คลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนผ่านแกนโลกด้านนอกที่ความลึกแตกต่างกันนั้น บ่งชี้ว่าองค์ประกอบของแกนโลกแต่ละระดับความลึกนั้นไม่เหมือนกัน โดยชั้นบนสุดที่มีระยะ 300 กิโลเมตรนั้นมีโครงสร้างที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งมีธาตุเบาอยู่ 5% โดยน้ำหนัก

    เฮล์ฟฟริชกล่าวว่า ยากที่จะไม่ยอมรับโครงสร้างแผ่นดินไหวที่พบได้ เพราะสัญญาณจากข้อมูลที่ใช้นั้นชัดเจนมาก แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงการค้นพบครั้งนี้ ว่าเป็นการค้นพบชั้นใหม่อีกชั้นของแกนโลก หากแต่ระบุว่าคนอื่นอาจจะบอกว่า “ใช่” ซึ่งเขาได้เกี่ยวโยงกรณีชั้นใหม่ของแกนโลกที่น่าจะเป็นได้มากนี้กับชั้นของบรรยากาศ

    “ลองคิดถึงชั้นสตราโตสเฟียร์ที่อยู่เหนือหัวเราขึ้นไป มันมีชั้นให้เห็นไหม? มันไม่มีขอบเขตบอกไว้ มีเพียงการเปลี่ยนอุณหภูมิตามระดับความสูง เหมือนกัน กรณีนี้ไม่มีขอบเขตเช่นกันเราอนุมานว่า ภายในชั้นบนของแกนโลกนั้นความเร็วคลื่นค่อยๆ ลดลง และเป็นไปได้ว่าค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อขึ้นสู่พื้นผิว” เฮล์ฟฟริชกล่าว

    การค้นพบสิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาของสนามแม่เหล็กโลกได้ ซึ่งเฮล์ฟฟริชกล่าวว่า ปัญหาหนึ่งที่คงอยู่มานานมากคือ อะไรเป็นพลังงานให้สนามแม่เหล็กโลกคงอยู่มานานกว่า 3,000 ล้านปีได้อย่างไร และดูเหมือนว่ายังคงอยู่ต่อไป ซึ่งการหมุนของแกนโลกนี้เข้าใจว่าเป็นพลังงานที่ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กรอบโลก

    คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดตามที่เฮล์ฟฟริชอธิบาย คือการขับธาตุเบาออกจากแกนโลกชั้นในได้ปลดปล่อยพลังงานศักย์เชิงโน้มถ่วงออกมา ขณะที่ของเหลวพุ่งขึ้นด้านบนก็ทิ้งพลังงานลงด้านล่าง ซึ่งได้ขับให้โลหะไหลอยู่แกนโลกชั้นใน และช่วยให้สนามแม่เหล็กยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับความเร็วของคลื่นแผ่นดินไหวที่พวกเขาค้นพบ

    อนาคตเราอาจทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้ดีขึ้นด้วยการจับตาดูชั้นแกนโลกชั้นนอกนี้ด้วย อีกทั้งเครือข่ายข้อมูลแผ่นดินไหวใหม่ๆ ในจีน อินเดีย หรือในสหรัฐฯ เองจะช่วยให้มีชุดข้อมูลที่มากขึ้น ซึ่งเฮล์ฟฟริชคาดว่าการปรับปรุงหลักๆ ของงานนี้จะช่วยสร้างแบบจำลองแกนโลกที่เป็นของเหลวได้ดีขึ้น และสร้างสมดุลการเติบโตของแกนโลกชั้นในกับองค์ประกอบของชั้นแกนโลก

    สำหรับผลงานของเฮล์ฟฟริชซึ่งร่วมศึกษากับ ซาโตชิ คาเนชิมา (Satoshi Kaneshima) จากมหาวิทยาลัยเคียวชู (University of Kyushu) ญี่ปุ่น ได้เผยแพร่การค้นพบครั้งนี้ลงในวารสารวิชาการเนเจอร์ (Nature)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ฤดูกาลเกิดขึ้นเพราะแกนโลกเอียง ทำให้โลกหมุนรอบตัวเองในลักษณะที่เส้นศูนย์สูตรไม่ตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ ทำให้ในแต่ละวันที่โลกโคจรรอบดวงอาทตย์ได้รับแสงแดดไม่เท่ากัน จึงเกิดฤดูกาลขึ้นมา
    ในอนาคตฤดูกาลอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากว่าแกนโลกเปลี่ยนองศาไปจากปัจจุบัน แต่ต้องใช้เวลานับล้านปี เพราะโลกมีพลังงานสะสมอยู่ในตัวมาก การเคลื่อนย้ายแกนโลกต้องใช้พลังมหาศาลจากนอกโลกมากระทำ เช่นการพุ่งชนของดาวหางหรือดาวเคราะห์ขนาดใหญ่
    หรืออาจเปลี่ยนแนวได้ด้วยตัวโลกเอง เพราะว่าพลังงานที่ทำให้แกนโลกเอียงในครั้งก่อนอาจมีพลังงานหลงเหลืออยู่ แต่การเปลี่ยนแค่หนึ่งองศาก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าล้านปี
    การเปลี่ยนโดยฉับพลันทันที โดยไม่มีแรงจากภายนอกมากระทำไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะโลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงบวกกับน้ำหนักที่มากมายของโลก ย่อมมีแรงเฉื่อยที่ไม่อาจนับได้ด้วยตัวเลข เหมือนรถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงคนขับไม่อาจใช้มือผลักกระจกด้านในให้รถหยุดได้
    การเปลี่ยนฤดูโดยเดือนธค.เป็นฤดูร้อน ไม่เกิดขึ้นใด้ในระยะร้อยล้านปีนี้แน่นอน เพราะว่าปัจุบันแกนโลกเอียงไปทางทิศตะวันออก ทำให้ประเทศไทยได้รับแดดเต็มที่ในช่วงเดือนเมษายน ถ้าจะให้เดือนธค.เป็นหน้าร้อนต้องย้ายแกนโลกให้เอียงไปทางตะวันตก แค่องศาเดียวยังเป็นล้านปี แต่นี่ต้องย้ายถึงสามสิบองศา ต้องมีเวลาเป้นร้อยล้านปีแน่ๆ
     
  17. Poohrich Assawanuwat

    Poohrich Assawanuwat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +341
    ไฟแรงจังครับ อ่านแทบไม่ค่อยทันน่ะ:cool:
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (สันสกฤต वज्रच्छेदिका प्रज्ञापारमितासूत्र, จีน 金剛般若波羅蜜經, อังกฤษ Diamond Sutra)

    พระสูตรสำคัญหมวดปรัชญาปารมิตาของพระพุทธศาสนามหายาน มีชื่อเต็มในภาษาสันสกฤตว่า วัชรัจเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตร หมายถึงพระสูตรว่าด้วยปัญญาญาณอันสมบูรณ์ประดุจเพชรที่จะตัดภาพมายา คืออวิชชาและอุปาทานอันเป็นเครื่องกีดขวางมิให้บุคคลบรรลุถึงความรู้แจ้ง เชื่อกันว่าพระสูตรหมวดปรัชญาปารมิตานี้เป็นพระสูตรมหายานรุ่นแรก ๆ ที่เกิดขึ้น เนื้อหาสาระสำคัญเป็นเรื่องราวการเทศนาสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติซึ่งเป็นพระอรหันตสาวก ที่พระเชตวันมหาวิหาร ว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ จะต้องกระทำด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวง เป็นการอรรถาธิบายถึงหลักศูนยตา ความว่างเปล่าปราศจากแก่นสารของอัตตาตัวตนและสรรพสิ่งทั้งปวง( ไม่มีธรรมเครื่องปรุงแต่งแบบสามภพ )
    ด้วยเช่นเดียวกัน สรรพสิ่งเป็นแต่เพียงสักว่าชื่อเรียกสมมติขึ้นกล่าวขาน หาได้มีแก่นสารแท้จริงอย่างใดไม่ เพราะสิ่งทั้งปวงอาศัยเหตุปัจจัยประชุมพร้อมกันเป็นแดนเกิด หาได้ดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง เช่นนี้สิ่งทั้งปวงจึงเป็นมายา พระโพธิสัตว์เมื่อบำเพ็ญบารมีพึงมองเห็นสรรพสิ่งในลักษณะเช่นนี้ เพื่อมิให้ยึดติดในมายาของโลก ท้ายที่สุด พระพุทธองค์ได้สรุปว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสารพึงยังจิตมิให้บังเกิดความยึดมั่นผูกพันในสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะ

    สังขตธรรม( ธรรมที่ยังต้องอาศัยเครื่องปรุงแต่ง )นั้นเป็นดั่ง.....
    ภาพมายา ดั่งเงา ดั่งความฝัน ดั่งฟองในน้ำ และดั่งสายฟ้าแลบ เกิดจากการอิงอาศัยไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารจีรังยั่งยืน


    แนวคิดเรื่องศูนยตานี้ได้พัฒนาต่อไปโดยท่านคุรุนาคารชุนแห่งนิกายมาธยมิกะ จนกลายเป็นความคิดหลักทางพุทธปรัชญาที่ลึกล้ำและโดดเด่นในโลกจนทุกวันนี้
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    หลับฝันดีครับช่วงดึกๆ ผมชอบอ่านธรรมเลยขอนำมาฝากให้้ทุกคนอ่านด้วยกัน

    ปรัชญาปารมิตามหาฤทัยสูตร

    Mahaprajna Paramita Hridaya Sutra
    (The Heart Sutra)




    Avalokiteshvara Bodhisattva, practicing deep
    prajna paramita,clearly saw that all five
    skandhas are empty, transforming all suffering
    and distress.

    Shariputra, form is no other than emptiness,
    emptiness no other than form.
    Form is exactly emptiness, emptiness exactly
    form.Sensation, thought, impulse,
    consciousness are also like this.

    Shariputra, all things are marked by
    emptiness - not born, not destroyed,
    not stained, not pure,
    without gain, without loss.
    Therefore in emptiness there is no form, no
    sensation, thought, impulse, consciousness.
    No eye, ear, nose, tongue, body, mind.
    No color, sound, smell, taste, touch,
    object of thought.
    No realm of sight to no realm of thought.
    No ignorance and also no ending of ignorance
    to no old age and death and also no ending of
    old age and death.
    No suffering, and also no source of suffering,
    no annihilation, no path.
    No wisdom, also no attainment.
    Having nothing to attain, Bodhisattvas live
    prajna paramita with no hindrance in the mind.
    No hindrance, thus no fear.
    Far beyond delusive thinking, they attain
    complete Nirvana.
    All Buddhas past, present and future live
    prajna paramita and thus attain
    anuttara samyak sambodhi.

    Therefore, know that prajna paramita is the
    great mantra, the wisdom mantra, the
    unsurpassed mantra, the supreme mantra,
    which completely removes all suffering. This is
    truth, not deception. Therefore set forth the
    prajna paramita mantra, set forth this mantra
    and say:

    GATE GATE PARAGATE PARASAMGATE
    BODHI SVAHA


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO



    กาลครั้งนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชกูฏ กรุง
    ราชคฤห์ ท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ และมหาโพธิสัตว์ ในขณะ
    นั้น พระพุทธเจ้าได้เข้าสมาธิปฏิบัติธรรมอันลึกซึ้งสุดยอด

    ที่มีชื่อเรียกว่า“ประกายแห่งปัญญา” และในขณะนั้น
    พระอวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์ หรือพระแม่กวนอิม เมื่อได้
    ปฏิบัติธรรมอันลึกซึ้งชื่อว่า “ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ”
    ได้เพ่ง เห็นธรรมชาติของขันธ์ 5 คือความว่างเปล่า

    ในขณะนั้น ได้บรรลุหนทาง แห่งพระโพธิญาณด้วย
    พุทธบารมี พระอรหันต์สารีบุตรเถระ ได้ทูลถาม พระอวโลกิเต
    ศวรพระโพธิสัตว์

    “ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิก ทั้งปวง จะฝึกฝนตน
    เองเพื่อให้เกิดปัญญาอย่างไร ในพระสูตร “ ปรัชญาปารมิตา ”

    พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้ทรงตอบต่อพระอรหันต์
    สารีบุตรเถระว่า

    เมื่อพระองค์ได้ปฏิบัติซึ้งแล้ว ซึ่ง “ปรัชญาปารมิตา”
    ปัญญาบารมี ได้เพ่งเห็นขันธ์ทั้ง 5 มีความเป็นศูนย์ ศูนย์คือ
    สูญญตา หรืออนัตตา หรือความว่างเปล่า จึงข้ามพ้นสรรพ
    ทุกข์ทั้งปวงได้

    ท่านสารีบุตร “ รูปไม่อื่นไปจากความศูนย์ ความศูนย์
    ไม่อื่นไปจากรูป ” “ รูปก็คือความศูนย์ (ความว่างเปล่า)
    ความศูนย์ก็คือรูปนั่นเอง ” เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ก็ล้วนเป็นความศูนย์เช่นเดียวกัน

    ท่านสารีบุตร ‘ ธรรมทั้งปวงมีความศูนย์เป็นลักษณะ ’
    ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่เพิ่มขึ้น ไม่ลดลง
    เพราะฉะนั้นแหละในความศูนย์จึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา สัญญา
    สังขาร วิญญาณ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นคืออายตนะ
    ภายใน 6 อย่าง ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ
    ธรรมารมณ์ นั่นคืออายตนะภายนอกทั้ง 6 ไม่มีจักษุธาตุ คือ
    ไม่มีจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา
    วิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ จนกระทั่งไม่มี
    มโนธาตุ ไม่มีอวิชชา ปฏิจจสมุปบาทสิบสอง

    ปฏิจจสมุปบาทสิบสอง คือ

    ไม่มีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    ไม่มีสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ

    ไม่มีวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป

    ไม่มีนามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ

    ไม่มีสฬายตนะ คืออายตนะ 6 เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ

    ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา

    ไม่มีเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา

    ไม่มีตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปทาน

    ไม่มีอุปทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ

    ไม่มีภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ

    ไม่มีชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ ความเศร้า
    การแสดงความเศร้า ทุกข์ โสมนัส ความลำบาก
    ความไม่สงบ ชรา มรณะเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชา

    ไม่มีความสิ้นไปแห่งอวิชชา กระทั่งไม่มีความแก่
    ความตาย คือไม่มี การ เกิด แก่ เจ็บตาย
    และก็ไม่มีความสิ้นไปแห่งความตาย

    เมื่อนั้นไม่มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    ไม่มีญาณ หรือปัญญา และก็ไม่มีการได้อะไร
    เพราะไม่มีอะไรจะได้

    พระโพธิสัตว์ ด้วยเหตุดำเนินตามปรัชญาปารมิตา
    จิตย่อมไม่ ขัดข้อง เพราะจิตไม่ขัดข้องจึงไม่มีความสะดุ้ง
    กลัว ละจากความวิปลาสและความเพ้อฝัน มีพระนิพพาน
    เป็นที่สุด

    พระพุทธเจ้าในทศทิศสามกาล แต่ล้วนดำเนินตาม
    ปัญญาปารมิตาจึงได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    ฉะนั้นจงทราบว่า ‘ปรัชญาปารมิตา’ เป็นมหาศักดามนตร์
    เป็นมหาวิทยามนตร์ เป็นอนุตตรมนตร์ และเป็น อสมสม
    มนตร์ สามารถดับสรรพทุกข์ได้ นี้เป็นสัจจะ

    จึงประกาศปัญญาปารมิตามนตร์ดังนี้

    ด้วย ‘รูปคือความศูนย์’ คำว่าศูนย์ในพระสูตรนี้ไม่ใช่
    ความสูญสิ้น ว่างเปล่า ไม่ใช่ความไม่มีอะไร แต่เป็นคำที่
    พระสูตรนี้ใช้แสดงความหมายอย่างหนึ่ง

    ถ้าจะอธิบายคำว่า “ ศูนย์ ” มีความหมาย เป็นอะไร
    นั้นไม่เพียงแต่ไม่ใช่ของง่าย เหตุปัจจัยมีความสำคัญมาก
    ในเรื่องความศูนย์ ถ้าไม่ทราบความหมายของเหตุปัจจัย
    ก็ไม่อาจจะทราบความหมายของความศูนย์ได้

    “ สรรพธรรมเป็นเหตุของปัจจัย ”

    ประโยคนี้เป็นความจริงที่ลึกซึ้ง ยากที่จะอธิบายได้

    มีท่านผู้หนึ่งกล่าวว่า ........

    ‘ เมื่อทราบเหตุปัจจัยก็ทราบพระพุทธธรรม ’

    ยิ่งกว่านั้นเราจะกล่าวว่า เพราะพระพุทธเจ้าทรงเห็นแจ้ง
    ในหลักของปัจจัย จึงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

    พระศาสดาทรงพบ ‘สรรพสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย’ ซึ่งเป็น
    สัจธรรม ที่เหนือธรรมดา เหตุผลของเหตุปัจจัยไม่ใช่คิดขึ้น
    ด้วยพระองค์ แต่ทรงค้นพบเหตุปัจจัย เมื่อทรงเห็นเหตุปัจจัย
    แล้วก็สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าทันที และการนำเอาเรื่องเหตุ
    ปัจจัยมาสั่งสอนแก่มหาชนนั้นก็คือ พระพุทธศาสนา

    ‘เหตุปัจจัย’ ก็คือความสัมพันธ์ในระหว่างเหตุ
    กับปัจจัย และผล

    ‘เหตุ’ คือสาเหตุ เป็นพลังที่ทำให้เกิดผลโดยตรง

    ‘ปัจจัย’ เป็นสิ่งช่วยเหตุ เป็นพลังที่ทำให้เกิดผลโดยทางอ้อม

    ตัวอย่างเช่น เมล็ดข้าวเปลือกเป็นเหตุ ถ้าหากไปวางบน
    โต๊ะจะ นานสักเท่าใดก็ยังเป็นข้าวเปลือก แต่ถ้านำไปปลูกไว้
    ที่ดินประกอบด้วย ฝน น้ำค้าง แสงแดด และปุ๋ยซึ่งเป็นปัจจัย
    เมล็ดข้าวเปลือกก็จะกลาย เป็นรวงข้าว นี้คือความสัมพันธ์
    ระหว่างเหตุปัจจัย และผล

    ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ในโลกนี้ไม่
    มีอะไรที่เป็นนิจ ทุกๆสิ่งทรงอยู่โดยมีการเปลี่ยนแปลง
    ฉะนั้นถ้าจะกล่าวว่าที่มีอยู่ ทรงอยู่นั้น เป็นการยืมมาเป็นครั้ง
    เป็นคราวก็ไม่ผิดอะไร ถือว่าทุกสิ่งที่มีอยู่นั้นเป็นการสมมุติ
    เป็นการมีอยู่ชั่วคราว ที่ว่ามีอยู่อย่างยั่งยืน มีอยู่อย่างเป็น
    นิจนั้นไม่มีเลย

    ดอกซากุระ เต็มไปทั้งต้น แต่ในไม่ช้านานดอกร่วงไป
    ใบก็ร่วงตาม เหมือนกันต้นไม้แห้งต้นหนึ่ง แต่ในไม่ช้านาน
    ดอกก็ผลิออกมาอีก แล้วก็ล่วงไปอีก หมุนเวียนไปเช่นนี้
    ส่วนต้นนั้นก็ยังคงความเป็นต้น ซากุระอยู่

    มีท่านผู้หนึ่งถามท่านอาจารย์ว่า ที่ว่าพระพุทธศาสนานั้น
    ความจริง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใด ? ท่านอาจารย์ตอบว่าอยู่ที่
    หน้าอกนี้เอง ผู้นั้นก็ชักมีดเล็กออกมาตรงเข้าไปหาอาจารย์
    แล้วกล่าวว่า ‘ ขอผมดูหน่อย’

    ท่านอาจารย์ตอบด้วยความสงบว่า .......

    "ดอกซากุระที่ออกอยู่ทุกปี ตอนนี้ท่านลองไปผ่ามันออกมา
    ดูซิว่ามีดอกอยู่หรือเปล่า? "

    ในที่สุดชายผู้นั้นกลับ ยอมแพ้แก่อาจารย์ และมอบตัว
    เป็นศิษย์ของอาจารย์

    เป็นความจริงอย่างยิ่ง ‘ ทุกสิ่งที่เกิดจากเหตุ ปัจจัย ’
    เป็นความศูนย์ อยู่ในสภาพความศูนย์ ผ่าต้นซากุระออกมา
    ดูซิ ว่ามีดอกอยู่หรือเปล่า แม้แต่ในฤดูหนาว ซึ่งเป็นฤดูที่
    ดอกซากุระจะผลิดอก ก็ไม่มีดอก นั้นแหละ ‘รูปคือความศูนย์’
    แต่ถ้าตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ บนยอดกิ่งก็มีรอยยิ้มของดอก
    ซากุระ แล้วนี่คือ ‘ความศูนย์ก็คือรูป’ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม
    ใดที่จะมีอยู่ตลอดไปนั้น เป็นความคิดที่ผิดแน่ แต่จะถือว่า
    ทุกอย่างเป็นศูนย์ ทุกอย่างไม่มีอยู่ ก็ผิดเช่นกัน

    ต้องพูดอย่างปริศนาว่า........

    ‘ เหมือนมีแต่ไม่มี เหมือนไม่มีแต่มี ’

    นี่คือสภาพแท้จริงของโลกเรา นี่ไม่ใช่พูดตามเรื่องแต่ก็ไม่
    ใช่ทฤษฎี ของพุทธศาสนา เป็นสัจธรรมของโลกนั้น
    เป็นข้อเท็จจริงที่เราเห็นอยู่

    *** ความจริง

    ‘ ความมีอยู่นั้นเป็นความมีที่ไม่อื่นไปจากศูนย์
    ความศูนย์นั้นเป็นความศูนย์ที่ไม่อื่นไปจากความมีอยู่ ’

    “ ศูนย์กับมีอยู่ ” คือหน้าและหลังของกระดาษแผ่นหนึ่ง ”

    เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดเป็นสภาพแท้จริงของชีวิตมนุษย์
    เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิดเป็นปรากฏการณ์ของโลก

    อย่างไรก็ตามคนเราเมื่อพูดถึงว่า ‘มี ’ ก็จะยึดอยู่ในความมี
    เมื่อพูดว่า ‘ศูนย์’ ก็มักจะยึดอยู่ในความศูนย์

    *** ฉะนั้นในหลักหฤทัยสูตรจึงต้องกล่าวว่า

    ‘รูปไม่อื่นไปจากศูนย์ ศูนย์ไม่อื่นไปจากรูป’

    *** เพื่อให้ผู้ยึดใน ‘ความศูนย์’ ว่า ศูนย์นั่นแหละมีความ
    มีอยู่แล้ว ก็ให้ผู้ที่ยึดในความ ‘มีอยู่’ นั้นว่า รูปนั้นแหละ
    ไม่อื่นไปจากศูนย์ ความตอนนี้ในพระสูตรนี้ เป็นการแสดง
    ให้เห็นถึงการแสดงออกอย่างชัดแจ้ง คือ สรรพธรรม
    ‘รูปคือความศูนย์ ’ ‘ความศูนย์คือรูป’

    “ สรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งและดับไป ”

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    ปรัชญาปารมิตามหาฤทัยสูตร
    ( พระสูตรว่าด้วยปัญญาอันเป็นหัวใจพาไปถึงฝั่งพระนิพพาน )

    อายาวะโลกิติซัวรา โบดิสัตจัว กรรมบิรัม ปรัชญา
    ปารมิตาจารัม จารา มาโน
    วียาวะโลกิติสมา ปัญจะ สกันดา อะสัตตัสจา ซัวปาวะสูญนิยะ
    ปาสัตติสมา
    อีฮา สารีบุทรา รูปังสูญญะ สูญนิยะตา อีวารูปา
    รูปานา เวทะสูญนิยะตา สูญญา นายะนา เวทะ ซารูปัง
    ยารูปัง สา สูญนิยะตะยา สูญนียะตา ซารูปัง
    อีวา วีดานา สังญาสัง สการา วียานัม
    อีฮา สารีบุทรา ซาวาดามา สูญนิยะตะ ลักษาณา
    อานุภานา อานิรูตา อะมะระ อะวิมะลา อานุนา อาปาริปุนา
    ทัสมาต สารีบุทรา สูญนิยะตายะ นารูปัง นาวิยานา นาสังญา
    นา สังสการานา วียานัม
    นา จักษุ โสตรา กรรณนา ชิวหา กายา มะนา ซานะรูปัง
    สัพพะ กันดา รัสสัส สปัตตะ วียา ดามา
    นาจักษุ ดาตุ ยาวะนา มะโนวีนยะนัม ดาตุ นาวิดียา นาวิดียา
    เจียโย
    ยาวัดนา จาระมา ระนัม นะจาระมา ระนัม เจียโย
    นาตุขา สมุดา นิโรดา มาคา นายะนัม นาประติ
    นาอะบิส สะมะยัง ตัสมาตนะ ปรัตติถา โพธิสัตวะนัม
    ปรัชญา ปารมิตา อาสริดะ วิหะรัชชะ จิตตา อะวะระนา
    จิตตา อะวะระนา จิตตา อะวะระนา นัสติ ตวะนะ ทรัสโส
    วิปาริยะซา อาติกันดา นิสทรา เนียวานัม
    ทรียาวะ เรียววะ สิทธะ สาวา บุดดา ปรัชญา ปารมิตา
    อาสวิชชะ อะนุตตะระ สัมยัก สัมโบดิม อะบิ สัมโบดา
    ทัสมาต เนียทาวียา ปรัชญา ปารมิตา มหามันทรา
    มหาวิทยะ มันทรา อะนุตตะระ มันตรา อสมา สมาธิ มันทรา
    สาวา ตุขา ปรัชสา มานา สังญา อามิ เจียจัว
    ปรัชญา ปารมิตา มุขา มันทรา ตะติติยะ

    "คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โบดิซัวฮา"

    คำแปล ปรัชญาปารมิตามหาฤทัยสูตร

    พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญา
    อันลึกซึ้ง ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้น
    ว่างเปล่า และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจาก
    ความทุกข์ทั้งปวงได้

    "สารีบุตร รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไป
    จากรูป รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง
    เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย

    สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่
    ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่
    ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง

    ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา
    ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มี
    กายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส ไม่มีโผฏฐัพพะ
    หรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ ไม่มีอวิชชา
    และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
    และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความ
    ทุกข์ และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่ง
    ความทุกข์ และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความ
    ทุกข์ ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่
    จะต้องลุถึง

    พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็น
    อิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระ
    จาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วง
    พ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
    พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้ทรงวางใจในโลกุ
    ตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น อันเป็นภาวะ
    ที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง

    ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา
    - เป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์
    - เป็นมนต์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่
    - เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า
    - เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นใดมาเทียบได้

    ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจาก
    ความเท็จทั้งมวล

    ดังนั้น จงท่องมนต์แห่งโลกุตรปัญญา


    คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา

    ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น
    ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง
    ลุถึง การรู้แจ้ง ความเบิกบาน


    อานิสงส์ที่จากการสวดมนต์ภาวนา 心經

    1.เพื่อเพิ่มพูนสติปํญญาให้สามารถเห็นแจ้งในธรรมะ
    2.เพื่อการบรรลุภาวะการเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม
    3.เพื่อการตรัสรู้และการบรรลุนิพพานโลกธาตุในที่สุด

    สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เดินทางเสี่ยงต่ออันตราย หรือ
    เผชิญภาวะฉุกเฉิน และ ต้องการตั้งสติขจัดความตื่นกลัวออก
    ไปโดยเร็ว ควรบริกรรม โดยใช้บทสวดมนต์ย่อว่า


    "คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิสวาหา"

    ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ท่านหลวงจีนเฮียงจั๋ง (พระถังซำจั๋ง)
    ท่านกล่าวว่า ท่านสวดบทนี้เมื่อท่านอยู่ในภาวะคับขันในการ
    เดินทางข้ามทะเลทราย ท่านเชื่อว่าทำให้มีสติตั้งมั่น เกิด
    ปัญญา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
     
  20. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    เรียน อ.สุกิจ
    ปล่อยวาง มิใช่ว่างเปล่า
    ไม่ถือมั่น มิใช่ไม่ถือ
    ไม่ยึดมั่นถือมั่น มิใช่ไม่ยึด

    จะกล่าวปรมัตถธรรมต้องรู้จริงแน่จริง ไปสัมมาภาวนาให้รู้แจ้งก่อนน่าจะดีขึ้น
    ถูกต้องมากขึ้น

    อย่ามาอ้างมั่ว ทำให้พุทธพจน์
    บรมโพธิพระฮุ่ยเหนิง (慧能) หรือ "เว่ยหลาง"
    พระบรมโพธิพระอวโลกิเตศวร ถูกเข้าใจผิด

    ถ้าอยากได้สัพพัญญุตญาณต้องเข้าใจเสียใหม่

    ป.ล.ถ้าอยากเป็นทองแท้อย่ากลัวไฟลน
     

แชร์หน้านี้

Loading...