ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แปลกน่ะครับเพิ่งจะเคยเห็น solarham มาลงเรื่องจุดดับใดจุดดับหนึงโดยเฉพาะ และการที่จุดดับนี้ปล่อย cme แล้วก็น่าจะเบาลง แต่ยังมาเน้าว่าจุดดับนี้มีศักยภาพ และกำลังหมุนมายังด้านเดียวกับโลกอีก แปลกมีอะไรหรือเปล่าน่ะ รอดู
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ไหนๆ solarham ก็ให้ข้อมูลที่น่าคิดแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดอะไรกับเราภัยพิบัติมักเกิดจากบาปกรรมที่เราทำขึ้นผมว่าถ้าเราประพฤติดียังไงงก็รอด ผมเลยขอนำนีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี มนต์สลายบาปอันสุดประเสริฐมาให้ร่วมกันสวดจะได้รอดพ้นจากภัยพิบัติกันครับ
    1.jpg
    นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี (มหากรุณาธารณี ๑,๐๐๐ พระคาถา)
    จาก นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี (มหากรุณาธารณี ๑,๐๐๐ พระคาถา)


    เพื่อเป็นการรักษาพระศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบไป ในปีพ.ศ. ๑๑๔๘ พระอาจารย์ฮุ่ยซือ สังฆปรินายกองค์ที่ ๒ แห่งพุทธศาสนามหายานนิกายเทียนไถ ได้ริเริ่มให้มีการจำหลักพระไตรปิฎก, พระคัมภีร์ และพระสูตรต่างๆ ไว้บนผนังหิน โดยงานนี้ถือเป็นภารธุระที่สำคัญของนิกายเทียนไถ ที่สืบทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนมาสำเร็จเสร็จสิ้นในตอนต้นของราชวงศ์ชิง เป็นระยะเวลาพันกว่าปี การแกะสลักนี้เป็นการแกะบนแผ่นหินในถ้ำใต้ดินทั้ง ๙ ถ้ำของวัดอวิ๋นจวีซื่อที่ปักกิ่ง โดยแกะบนแผ่นหินจำนวน ๑๔,๒๗๘ แผ่น เป็นคัมภีร์ทั้งสิ้น ๑,๑๒๒ เล่ม นับได้ ๓,๔๐๐ กว่าผูก

    โดยในผนังถ้ำดังกล่าวนั้น นอกจากจะพบพระไตรปิฎกชี่ตัน ซึ่งเคยเชื่อกันว่าหายสาบสูญไปแล้ว ยังมีการพบพระสูตรชื่อ "อารยาวโลกิเตศวรปุณฑริกสมาธินีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณีสูตร" หรือที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า "นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณีสูตร"
    "อารยาวโลกิเตศวรปุณฑริกสมาธินีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณีสูตร" หรือ "นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณีสูตร" นี้เป็นพระสูตรสายวัชรยานแห่งราชวงศ์ถัง ซึ่งสายนี้ต่อมาได้เสื่อมโทรมไปจากประเทศจีนและได้ไปรุ่งเรืองที่ประเทศญี่ปุ่น พระสูตรนี้มีทั้งสิ้น ๙๒๔ พระคาถา ซึ่งต่อท้ายด้วยสหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรมหาไวปุลยมหากรุณาหฤทัยธารณีสูตร ซึ่งมีทั้งสิ้น ๗๖ พระคาถา (หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามว่า "มหากรุณาธารณีสูตร" ๘๔ พระคาถา) รวมแล้วได้ ๑,๐๐๐ พระคาถา ด้วยเหตุนี้จึงมีการขนานนามว่า "พระมหากรุณาธารณีสูตร ๑,๐๐๐ พระคาถา"
    "อารยาวโลกิเตศวรปุณฑริกสมาธินีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" หรือ "นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" นี้อาจถือได้ว่า เป็นธารณีที่ยาวที่สุดในสายวัชรยานแห่งราชวงศ์ถังเลยก็ว่าได้ ธารณีนี้วิเศษนัก อานุภาพพ้นประมาณ สามารถระงับภัยร้าย, โรคร้าย, โรคระบาด, ทุกข์ แห่งสรรพชีวิตทั้งปวงได้ทุกชนิด
    เมื่อจะเรียน "อารยาวโลกิเตศวรปุณฑริกสมาธินีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" หรือ "นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" นี้ ให้อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด บูชาพระรัตนตรัยและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย กระทำการสำนึกบาปที่ได้กระทำมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และที่อาจจะมีต่อไปในอนาคต จากนั้นเจริญรำลึกถึงคุณพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์

    แล้วเจริญ "พระคาถาพระอวโลกิเตศวรสลายบาปมนตรา" ดังนี้
    ៙ โอม อโล รุจิ ซอพอเฮอ ๚ะ๛ (๓ - ๗ จบ)
    จากนั้นสมาทานศีล แล้วรำลึกถึงคุณพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ แล้วเจริญ
    "อารยาวโลกิเตศวรปุณฑริกสมาธินีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" หรือ "นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" ดังนี้

    นะโม รัตนะ ตรายายะ
    นะมะฮ์ อารยา วโลกิเต ศวะรายะ โพธิสัตวายะ มหาสัตวายะ มหาการุณิกายะ
    นะมะฮ์ สะรวะ ภะวะ สมุทระ อุจโฉษะณะ กะรายะ
    นะมะฮ์ สะรวะ สัตวะ หิตานุ กัมปินะ
    นะมะฮ์ สะรวะ วยาสนะ โมกษะณะ กะรายะ
    นะมะฮ์ สะรวะ พันธนะ จเฉทะนะ กะรายะ
    นะมัส ตริ นะยะนายะ
    นะมัส ตริ ศูลา ธะรายะ
    นะมะฮ์ ปัทมะ หัสตายะ
    นะมะฮ์ สังขะ หัสตะ นิ โพธะนายะ
    นะโม ละกุฏะ ธะรายะ
    นะมะฮ์ ศิติ กัณฐายะ
    นะโม วราหะ มุขายะ
    นะมะฮ์ สิงหะ รูปะ ธะรายะ
    นะโม นารายะณายะ
    นะโม นารายะณายะ พะละ ปะรา กรามายะ
    ตะทยธา หิริ หิริ กะลิลิ มิลิ มิลิ มิ มิลิ
    ปัทเม ปัทมา วตี จิริ จิริ จิมิลิ
    อัจเฉ ทัจเฉ วัจเฉ กันเต นิรมุกเต
    วิมะเล มังคะเล นิรมะเล อักเห วักเห วิ มุเข
    โสเม โสมะ วะติ หะระ หะระ พันธุมะติ
    กิลิ กิลิ กิ กิลิ กเษเม กเษมา วะติ
    ภิเม ภิมะ วะเล มุกเต วิ มุกเต สาเร สาเร วีเร
    นาศานิ วิ นาศานิ โสเม โสเม ระตะเน ระตะนา วะติ
    โสเม โสมา มุเข นิลิ นิลิ นิ นิลิ สะระ สะระ
    กิริ กิริ ติริ ติริ ติ ติริ กุรุ กุรุ สะระ สะระ
    สิริ สิริ สุรุ หะนะ หะนะ ทะหะ ทะหะ
    ปะจะ ปะจะ ระระ ระระ ระณุ ระณุ ฆะณุ ฆะณุ
    ขุณุ ขุณุ
    กัณฑะเล ประสะเร ปุนะเร สิกะ สาคริ
    มะจะเล จิลินิ สาเร วิ สาเร จะเล วาจาลิ กะเร กิสะริ
    ศะเม ศะมินิ อุตเข มุตเข จิลิ จิลิ จ จิลิ
    ศานเต ศานตะ มานะสิ ทุรุ ทุรุ มาลิ มาลินิ
    ทุรุ ทุรุ ทุ ทุรุ ขิริ ขิริ ขิริเร
    สมะระ สมะระ วะราหะ มุขะ สะระ สะระ
    สิงหะ มุขะ สะรวะ พันธนะ ประ โมจะกะ
    กะฏะ กะฏะ กะฏินิ มุกษะเณ โมจะเน
    หะเร หะเร ระเห
    กุรุ กุรุ กุรุ กุรุ กุรุ กุรุกุรุ กุรุ กุรุ กุรุ
    ชะวะ ชวะ วิ ชะวะ หะนิ มินิเร เหหิ
    โมกษะณิ สะระ สะระ สิริ สิริ สุรุ
    หะเต วิหะเต นิ หะเต กิริ กิริ กุรุ ชะเว ชะวินิ
    ชวาเล ชวาลินิ หะหะ หิหิ หุหุ เหเห
    มะมะ มะมะ มะติ มะติ มะเต มะติเต
    นีลิ ติ นีละ ปะติ กะฏะ กะฏินิ มิริ มิริ มิ มิริ
    ติริ วิริ วิ ติริ หุจุ หัจฉุ จฉุ
    สะระ มะละ มะลินิ ขะขะ ขิขิ ขุขุ
    วะรเค ตะรเค กุฏิ กุนะฏิ กาลิ กาลิ กะ กาลิ
    จะละ มะละ มิเล ตะระ ติริ วีเร กะระ กะกะเร
    กะฏะ กะฏิเล จุลุ จุลุ นาเฏ กุเล กุ กุเล
    วีเร วีเร วีระ วะติ อิเร มิมิเร
    ธะนะ ธะนะ ธันธะเร ขิลิ ขุรุ
    ตะระ ตะราวะ ตะระเณ ธะวิ ธะวิฑิ หิริ หิริ
    หุรุ ปิญคะเล พันธะ พันธะนิ สะนิ สาธะนิ
    วิธะมะนิ จุเกสิ ทุจะเฏ
    ฏุรุ ฏุรุ ฏุรุ ฏุรุ ภิเม ภิมะ วะเล
    อะสิ มะสิ กะสิ อุผุรุ ผุรุ ผุ ผุรุ
    จะเล จะลิเน มะมะเล อิลา มะยิเล
    อุต ปะละวะติ ธะเน ธะตเย มังคละเย หุเร หุ หุเร
    ชาเย ยาวะเล มะเน มะนิเร จุเล จุ จุเล
    จุรุ จุรุ มุรุ จุรุ สุรุ อิลิ มิสิริ
    สมะระ สมะระ
    ภะคะวัน นารายณะ พะละ ปะรา กระมะ
    ขุรุ ขุรุ ขุ ขุรุ ธะเน ธะตเย
    มังคะลเย จุรุ จุรุ ซุรุ ซุรุ
    อิระ มะติ วะระ มะติ ขุลุ จุลุ อุขุรุ วะระ วะระ
    ปะระ ปะระ สะระ เหเห กาลานุ สาริน
    จะระ จะระ ภุ ภุรุ จะจะ จิจิ จุจุ
    วิกรตะ มุขะ พะละ พะละ มหา พะละ ปะรา กระมะ
    หะละ หิลิ หุลุ หะหะ หิหิ หุหุ ตะเล ตะเล ตะวะเล
    ธะเล ธะเล มหาะเล ติลิ ติลิ มะหาติลิ
    กุเล กุเล กุ กุเล นาเค นาคา วะติ ตะฏะ ตะฏะ
    ติฏิ ติฏิ ตุฏุ ตุฏุ หะเร หะเร มะหา หะเร
    จะเล จะลา วะติ ขุเม ขุเม ขุ ขุเม จะละ จะละ .
    ละกะเษ ธิลิ ธิลิ มะหา ธิธิลิ จุลุ กุลุ สุลุ
    เวเก เวกา วาหินี กะเร กุเร กุกุเร
    ตะเร วิเร วิรา วะติ จะละ จิลิ จุลุ
    เหเห ภะคะวัน ศิติ กัณฐะ
    วะระ วะระ วิริ วิริ วุรุ
    ภะคะวัน วราหะ มุขะ
    กะละ กะละ กิลิ กิลิ กุลุ กุลุ กาละ ราตริ จะระ
    กะระ กะระ กิริ กิริ กุรุ กุรุ
    วามะ เทศะ สถิตะ สิงหะ มุขะ ตะระ ตะระ
    มะหา วาตะระเณ ธิลิ ธิลิ มะหา หฤทะยะ คามินิ
    เตเช เตชา วะติ อุขิ มุขิ ภัทะระ มุเข
    ชะเส ชะสิเร ตังเค ตะรังเค อะเร วีเร
    สิทเธ สิทธิเล ชะเล ชะลิเน ชะละ วะติ
    โสเม โสมะ วะเต สะรวะ สัตวะ หิตะอิษิเณ
    กะเล กะลิเณ ชะเล ชะละเต อิฏิ มิฏิ กิฏิ
    มะหา เวคะ วะติ จักเร จักรา
    วากิมิเล มินิเล พระหเม พระหมะ สวะเร
    เวเค เวคา วะติ จักเร จักรา มุเข นิลิ นิลิ
    ปูเตเน อัคเร ปาคเร ตะระเค
    เอกันตะ นิรมาถะเน ศาเม ศามิเน ศานตะ มานะสิ
    มิเล มิเล มิลิเน โพธยังคา วะติ
    กะเร กะเร กะรา วะติ พันธะ นาคา โรหะณิ พันธะริ
    โคโร หิเต อัณฑะเร ปัณฑะเร กะระเณ สิทธิเล
    กุเฏ กุเฏ ทะเม ทะมิเน ศานเต ศานตะ มานะสิ
    กะเฏ กะฏะ กะฏิ อินเท อินทะ กาศิเร หุเล หุลุเน
    สา มะละเน กะระ กะระ กะกะวิ จันทเร จันทรา ปาเท
    อะภะเย วิ ราเช วะระเท จะเร จะ กุนทะระ มะเร
    หิลี คิลิลี วสุ มะติ จุลุเฏ ระสาคระ วะติ
    กุเณ กุณฑะละ
    เอเร เปเร เจเร จะกุเร กุ กุระ วะติ
    เหเม เอเม จะเม จะมิเน กุรุ กุรุ
    กุลา วะติ ผุเร ผุเร ผุผุเร
    พันธะ พันธะริ โคโร หิเต อะเช อัญชุ รุเฑ
    กุเร กุ กุเร เหเห มะโน ระธะ
    ปริ ปูราเณ ติษเย ปุษเย ศิศิละ สุระ ศิเล อะวะเฑ
    นังนุเร นุวะเร ธะเร ธะเร ธะเร ธะเร วะเร
    จุลเล จุลเล จุลละ ตะฑิ อุปะติ ขุ ปติ
    อุรุปติ ขุรุปติ ขุรุ ขุรุ มติ ขุระ มะติ
    จุ มะติ จุรุ มะติ จุจุ มะติ
    จุรุ จุรุ มติ อิเร วิเร วิ วีเร ฏะเก ฏะกะเณ
    กะฏะ กะฏะ กะฏะณิ กะฏะ จะระเณ
    กะฏะ วะรันเต พิเล มิเล เขลา ขิขิเล วะระเณ
    มะหุเร มะหุเณ วะรัสเต พุพุ เลเล
    ละละ ลิลิลิ อินทริ มินทริ รินทริ วิวิ รินทริ
    ธักเก มุกเก พุพุกเก ชะเว ชะมิลิ ชิลิ ชิชิเล
    วิมะเล นาฑินี อกุเล กุเล ชังกุเล อะเทคุ ทะธิ
    กะเล กะ กะเล อะเช วะเฏ มิณฑุ มิณฑุ ปติ
    อะภิ ชารุกะ พันธะริ
    ฏักเก ฏันกเก ฏะกะ เจกะเจ
    กะระ กะเร กะปิเล กะปิลา มะเล
    ธาเร พุตาเร ธาเร ธิธิเร กะเจ กุกุเจ
    กุกุ กุเจ กุนะเฏ กุนะฏิ
    จุ นะเฏ จุละ นะเฏ
    หะรี ฏักกี วะรี ฏักกี ภะรี ฏักกี
    โฆริ คานธารี คุษฏะ นาณิ
    กาลิ กาลิ กา กาลิ อชิเต ชะเย ชะยันติ
    อะปราติหะเต พะละ วะติ อะเชเต อภะเย วะระเต โมริณิ
    วาละ วามินิ เกศา วาพุ ตริเก วางคะ วาสินิ
    วาหะสินิ วะระเต เวโรจะเน
    อมฤตะ ราเส วาราง คะเณ พุวะเณ
    สะรวะ ระสาคระ หาริณิ อะมิภะ มินิ
    จุเฏ จุฏุเก กะฏา กะฏินิ อะกะเฏ วิกะเฏ
    นิกะฏะ สกะฏะนิ กุฏะ กุฏุเฏ นิหิ นิหิ
    นุหุ นุหุ ศุนุ ศุนุ ศุ ศุนุ
    ทุเร ทุ วะเฑ จัณฑิ จัณฑินิ รูหิ อรูหิ
    รูหิ รูหะณี มาตังคะ กุมารีเก อิฏิ มิฏิ อิงคิริ
    กษุระ ธารี ลัมเพ ปรา ลัมเพ
    กะละ ปะเศ กะละ โศธะริ ปูรเณ ปูรณา
    มะโน ระเถ ตะเค ตะคะเร มิเล จิเล อิลิ ลิเล
    ธะมิ ธะมิ ธะมิเต
    วะระ ผุรุ ผุเร ตะทา ตุเร ระจุ จะเร หุหุ
    กุกุ รุณิ กษิระเส ขะระเส กุมภะ สมันทะเน
    ภรามิ ภรามิ ภรามิเต ประ สะเร เกฆูเร
    สะมันตะ ภะทเร พุทธิ พุทธิ
    โพธะยะ โพธิ มารคะ อนุคะเต กะเส กะเส กะ กะเส
    สะมันเต สะมะเน มะหา สะมะเน
    สุ มุเข วิ มุเข จะเต เจเต
    จเฉทะเน วิ จเฉทะเน หะเต วิ หะเต นิ หะเต
    หิลิ หิลิ มิ หิลิ ปัทเม ปัทมา ปะเท
    หุกเก ผุกเก ผุรุกเก นิมิเร นิระ มิระ
    ทันทิ ทันทิ มุขิ
    หุ จเจ พุ จเจ จุจุ จเจ
    จันทเร จันทรา กราเม
    สูรยะ กัณเฐ สูรยะ รัศมิ สะ ทฤเศ
    สะระ สะระ กระมะ กระมะ ปุระ ปุระ
    หาหา หีหี หุหุ หิเล หิลิเล กุลุ
    พระหเม พระหมะ กุมารีเก หุรุเร หุเร หุเร
    โฑมเพ โฑมพะ ปะติ ภฤเณ ภฤณะ ปะติ
    สะรา สะริเร วีเร วิ วีเร วีรา อนุคะเต จะระ จะระ
    สัญจะระ สัญจะระ มิลิ มิลิ
    สมันตะ กุนะเล ประภา สวะเร ธะรา ธะรา
    มังคะลเย ตุรุ ตุรุ ประ โมทะนิ
    ประเภ สุ ประเภ
    โสมา วะติ สุเม กุสุเม กุสุมา วะติ
    ตะระ ตะระณิ วะระ วะระณิ หะระ หะระ
    ประ ปัญจะนะ มุเข คุเณ คุ คุเณ ธุฏุ ธุฏุ
    ธัรมมะ ระชะ สุสัง ปูรเณ
    ขุรุ ขุรุ ปุเต ฏะวะเฏ
    ฏัณฏัณเฏ ฏะฏะ ฏิฏิ ฏุฏุ
    หะละ หะละ หิลิ หิลิ จะฏะ จะฏะ จิฏิ จิฏิ จุฏุ จุฏุ
    พระหเม พระหมะ วะเร อิทเร อินทระ กระเม
    โสเม โสมะ ปะติ หุรุ หุรุ มุรุ
    ทยุติ เทวิ สิทเธ วีเร วีรา ภัทระ นมัส กฤเต
    หะละ หะละ หิลิ หิลิ หุลุ หุลุ
    วิมะเล พะละ ป(ร)ะกฤษเต จิฏิ จิฏิ จุฏุ ธิลิ มิลิ
    มะลา ฑะลินิ จุฏุ จุฏุ ภิมะ วาสินิ
    สะระ สะระ สิริ สิริ สุรุ สุรุ จันฑิ จันฑิ มุเข
    อัคนิ ศิเข ประภา สวะเร นะละ นะละ นิลิ นิลิ
    นุลุ นุลุ จะนะเฏ จะนะเฏ
    อิละ มะติ ขุ มะติ วะระ มะติ สะละ สะละ
    รุ มะติ วะระ สผุรุ สผุรุ
    วิวะริเณ วีระเณ กะณายิ อะกิศะระ ลายิ จัณฑาลิ
    ปัณฑะเร กะระเฑ ธิมิ ธิมิ ธิ ธิมิ
    โพธิ มารคะ สัม ประสถิเต หะระ หะระ พันธุ มติ
    หิริ หิริ คิลิเร ศะเม ศะมิเน ศานเต ศานตะ
    มานะสิ อุกเต มุกเต วิ มุกเต มุรกะเส ปุปุเร
    ปัทมะ มุเข สุทะรศิ สุกัณเฐ กะลิ กะลิ
    กุลุ กุลุ อประติหะเต วะละ วะติ
    อินทโร ราชา
    โสโม ราชา
    วะรุโณ ราชา
    มะนัสวี วาสุกี วิชะโย
    ยาโม จักระ วิชะโย
    ชะยันโต ธฤตะ รัษฏระ
    กุเวโร
    วิรูฒโก
    วิรูปักโษ ราชา
    ทัณฑะกี ราชา
    พุทโธ ภะคะวาน ธัรมมะ สวามี ธัรมมะ ราชา
    รักษัง กุรวะตุ มะมะ สยะ สะรวะ สัตวานัง
    ปะริ ตะราง ปะริ คระหัง ปะริ ปาละนัง จะ กุรวะตุ
    สัมยยะถิทัง ธิริ ธิริ ภิริ ภิริ
    ถิทัง ถิทัง ธินัง
    สะมันตะ ภิริ ธะเก ธะระเก วะเก ชะละ ชะละ
    กุรุ กุรุ สุรุ สุรุ มุรุ มุรุ
    กะระ ปะตเร กะระ รุเห รุเห อารุเห
    อธวะเน วิ ธุเน รุรุรุ ธะราระ วีระ วะรา
    กะลิ กะลิ ภูติ วิ ภูติ อภิ ภูติ
    จฉะ จฉะ ปะติ หุเจ เจระเณ ปะราเฑ อฑะเร
    อะจุวะเร อะจุฑะเร ระวะเร กะระ กะระ กิริ กิริ
    กุรุ กุรุ หะหะ หิหิ
    หุหุ ธะธะ ธิธิ เธเธ เธเธ
    หะนะ หะนะ
    สะรวะภูตาน กุมภาณฑัน ยักษัน รากษะสัน
    ประเรตาน ปิศาจาน ปูตะนาน กะฏะ ปูตะนาน
    อปะสมาราน ชวะราน เอกาหิกัง ทเวติยะกัง
    ตริตียะกัง จตุรถะกัง จฉันทโย ตีสารัง
    โลหะ ลิงคะ วิจะรจะกัง วิษูจิกา
    ศีรษา โรโค มุขะ โรคะ กะรณะ โรโค
    รวิ โรคะ
    หัสตะ ศูลัง ปาทะ ศูลัง ปฤษฐิ ศูลัง
    กฏิ ศูลัง วัสติ ศูลัง คะละ กระหัง
    มูตระ กฤจฉรัง วัสติ กุณฑะลัง อานาหะ
    นาสา โรโค หิงกา ศวาสกา
    สะ ชะโลทะโร กุลมะห์ ปัณฑะ โรโค
    ปะลัง
    กิฏิภะ
    ภะคันทะรา
    ภัณฑะ วิละห์
    กุษฐัง หะนะ วาตะ
    ปิตตัง รักตัง
    ศเลษมานัง
    หะนะ หะนะ ภะคะวาน
    สัน นิปาตะ จาตรูคัง ๚ะ๛
    "อารยาวโลกิเตศวรปุณฑริกสมาธินีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" หรือ "นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี" นี้วิเศษนัก จงอย่าดูเบา ชนผู้ปฏิบัติจริง จึงจะเห็นและสัมผัสผลได้จริง

    ******************************
    นีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณี อานิสงส์อันใดที่ข้าพเจ้าได้นำนีลกัณฐ์มหากรุณาหฤทัยธารณีมาเผยแพร่ขอถวายให้แด่พระพุทธ ขอให้ข้าพเจ้าหมดสิ้นอาสวกิเลส บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ด้วยเทอญ สาธุ
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ข้อมูลจากเฟสบุ๊ก Piyacheep S.Vatcharobol วันที่ 17 มิย 2556
    2 hours ago near Bangkok.

    อย่าแปลกใจที่ NASA ส่งเสริมให้นักเรียนอเมริกันสร้างบอลลูนสำรวจภูมิอากาศและภูมิอวกาศ หลังจากที่ส่งเสริมให้นักเรียนสร้าง SID เองและขยายไปเรื่อยๆ

    สอกคล้องกับ Google ทดลองปล่อยบอลลูนสื่อสาร เพื่เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต และการสื่อสารในระยะเวลาไร่เรี่ยกัน



    ทั้ง ๒ โครงการเป็นโครงการรับมือมหาพิบัติภัย เมื่อเกิดมหาพายุสุริยะ หรือ พลังงานอะไร? จากไหน? ก็แล้วแต่ที่จะมาปะทะโลก ทำให้ดาวเทียมถูกทำลาย การสื่...อสารขัดข้อง ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ ไม่สามารถตรวจสภาพภูมิอากาศและภูมิอวกาสได้

    บอลลูนเหล่านี้ก็จะถูกปล่อยไปทดแทนดาวเทียม เพื่อภาระกิจการสื่อสารและสำรวจสภาพอากาศและอวกาศ

    เหตุที่ต้องสอนในระดับโรงเรียน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้นักเรียน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศมีความสามารถสร้าง ซ่อม อุปกรณ์เหล่านั้นได้ จะได้ช่วยภาครัฐ และช่วยเหลืออเมริกันชนด้วยกันเอง

    Google Balloons: Latest News, Videos, Photos | Times of India
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ภาพจุดดับครับ
    regions.jpg

    jun15_2013_se2.jpg
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    พบอักษรชาวมายาชี้ “วันสิ้นสุด” ของปฏิทินมายามีอยู่จริง และเป็นเอกสารฉบับที่สองที่เราพบว่าระบุวันดังกล่าว แต่นักวิจัยชี้แจงว่า ความเชื่อของชาวมายาโบราณต่างจากความเชื่อของคนยุคนี้ เพราะวันดังกล่าวไม่ได้ชี้ถึงวันสิ้นสุดของโลก

    “อักษรเหล่านี้บอกเล่าเรื่งราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองโบราณมากกว่าจะเป็นเรื่องคำพยากรณ์ หลักฐานใหม่นี้ชี้ว่า วันของรอบที่ 13 บักตุน (13 bak'tun) นั้นเป็นเหตุการณ์ในรอบปฏิทินที่สำคัญ ซึ่งชาวมายาโบราณจะฉลองวันดังกล่าว ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สร้างคำพยากรณ์ถึงหายนะเมื่อถึงวันดังกล่าวแต่อย่างใด” มาร์เซลโล คานูโต (Marcello Canuto) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยอเมริกากลาง (Middle America Research Institute) ของมหาวิทยาลัยทูเลน (Tulane University) แถลง

    ทั้งนี้ ไลฟ์ไซน์อธิบายไว้ว่าปฏิทินรอบยาว (Long Count calendar) ของชาวมายานั้นแบ่งเป็นบักตุน (bak'tuns) หรือรอบ 144,000 วัน ที่เริ่มจากวันสร้างโลก (creation date) ของชาวมายา และวันเหมายัน (winter solstice) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ของปี 2012 คือวันของรอบบักตุนที่ 13 ซึ่งชาวมายากำหนดให้เป็นการครบรอบการสร้างโลก

    หากแต่คนยุคใหม่กลับเชื่อว่าวันดังกล่าวคือวันสิ้นโลก ทั้งที่มีหลักฐานอ้างอิงทางโบราณคดีเพียงชิ้นเดียวที่ระบุถึงปี 2012 นี้ นั่นคือข้อความที่จารึกบนอนุสาวรีย์ ณ เมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero) เม็กซิโก ที่มีอายุย้อนไปประมาณปีคริสตศักราช 669

    ล่าสุดนักวิจัยเพิ่งขุดพบหลักฐานชิ้นที่สองจากการสำรวจซากปรักหักพังในเมืองลา โคโรนา (La Corona) ของกัวเตมาลา ซึ่งบนก้อนหินบันไดทางเดินที่มีการแกะสลักอักขระโบราณนั้น นักโบราณคดีได้เห็นภาพการฉลองถึงการเสด็จมาเยือนของกษัตริย์ ยักนูม ยิชแอก คาห์ก (Yuknoom Yich'aak K'ahk) แห่งเมืองกาลักมุล (Calakmul) ซึ่งเป็นผู้ปกครองของชาวมายาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนั้น

    พระองค์ยังทรงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า “จากัวร์ พาว์” (Jaguar Paw) และนักประวัติศาสตร์มีข้อสันนิษฐานมานานแล้วว่ากษัตริย์จากัวร์ พาว์นั้นสิ้นพระชนม์หรือทรงถูกจับในการสู้รบจากการโจมตีของอาณาจักรทิกอล (Kingdom of Tikal) ปีคริสตศักราช 695 แต่อักขระที่จารึกไว้นั้นชี้ว่าพวกเขาสันนิษฐานผิด

    ในความเป็นจริงพระองค์เสด็จเยือนลาโคโรนาในปีคริสตศักราช 696 ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นความพยายามในการพยุงความจงรักภักดีของหมู่ประชากรที่รับรู้ความพ่ายแพ้ของพระองค์ในการสู้รบก่อนหน้านั้น 4 ปี และในช่วงหนึ่งของการประพาสต้นพระองค์ทรงเรียกขานพระองค์เองว่า “พระเจ้ากาตุนที่ 13” (13 k'atun lord) ดังปรากฎในอักขระที่เพิ่งค้นพบ

    กาตุนยังเป็นหน่วยย่อยของปฏิทินมายาซึ่งมีรอบเวลา 7,200 วันหรือประมาณ 20 ปี ซึ่งกษัตริย์จากัวร์ พาว์ทรงครองตำแหน่งถึงปลายกาตุนที่ 13 ในปีคริสตศักราช 692 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ที่กำลังจะมาถึง และเพื่อผูกโยงพระองค์และรัชสมัยของพระองค์สู่อนาคต พระองค์จึงทรงเชื่อมโยงรัชสมัยของพระองค์กับรอบบักตุนที่ 13 รอบถัดไป ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธ.ค. 2012 นั่นเอง

    “สิ่งที่อักขระนี้บอกแก่เราคือช่วงเวลาแห่งวิกฤต ซึ่งชาวมายาโบราณใช้ปฏิทินของพวกเขาเพื่อสานความต่อเนื่องและความยั่งยืนมากกว่าจะเป็นการทำนายวันโลกาวินาศ” คานูโตกล่าว

    ที่เมืองลา โคโรนานั้นเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ถูกลักลอบขโมยของมากที่แห่งหนึ่ง และเพิ่งได้รับการสำรวจโดยทีมนักโบราณคดียุคใหม่ได้ประมาณ 15 ปีเท่านั้น โดยคานูโตยังมี โทมัส บาร์เรนทอส คิว (Tomas Barrientos Q.) จากมหาวิทยาลัย เดล วาลล์ เดอ กัวเตมาลา (Universidad del Valle de Guatemala) ร่วมทีมขุดสำรวจ

    ทีมวิจัยได้ขุดพบหินบันไดขั้นแรกเมื่อปี 2010 ใกล้ๆ กับสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายอย่างหนักจากนักขโมยโบราณวัตถุ หัวขโมยพลาดบันได12 ขั้นนี้ไป แต่ก็เหลือตัวอย่างหินในปราสาทดั้งเดิมไว้เพียงเล็กน้อย ทีมวิจัยยังพบหินอีก 10 ก้อนจากขั้นบันไดที่ถูกหัวขโมยเคลื่อนย้ายแต่ถูกทิ้งไว้ โดยสรุปทีมวิจัยพบหิน 22 ก้อนที่มีอักขระโบราณ 264 ตัว ซึ่งบ่งชี้ถึงประวัติศาสตร์ด้านการเมืองของลา โคโรนา และส่งผลให้โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นอักษรมายาโบราณที่ยาวที่สุดในกัวเตมาลา
     
  6. nimnong

    nimnong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +13
    NASA ส่งเสริมให้นักเรียนอเมริกันสร้างบอลลูนสำรวจภูมิอากาศและภูมิอวกาศ เป็นโครงการรับมือมหาพิบัติภัย

    บอลลูนเหล่านี้ก็จะถูกปล่อยไปทดแทนดาวเทียม เพื่อภาระกิจการสื่อสารและสำรวจสภาพอากาศและอวกาศ


    (f)พูดเกินจริงไปค่ะ แล้วบอลลูนจะถูกปล่อยไปทดแทนดาวเทียมก็เป็นไปไม่ได้ค่ะ ตรวจสอบด้วยนะคะ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ประวัติปฏิทินมายา
    ประวัติปฏิทินมายา ทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่ ข้อมูลโดย teen.mthai
    อ้างอิง djingmarket.com,dmc.tv,manager.com,blogspot.com
    ประวัติปฏิทินมายา
    • ปฏิทินของอารยาธรรมอเมริกากลาง หรือที่เรียกกันว่า ปฏิทินชาวมายา เริ่มต้นมีมาตั้งแต่ประมาณ 2300 ปีก่อศริสตกาล โดยลักษณะของปฏิทินประกอบด้วยวงรอบภายในวงรอบซ้อนกันหลายชั้น เชื่อว่าจุดมุ่งหมายหลักๆของปฏิทินในยุคแรกๆน่าจะใช้ในการทำนายทายทัก วันดี-วันร้าย มากกว่าใช้เพื่อบอกวัน-เวลา
    • ตั้งแต่ 2300 ก่อนศริสตกาลเป็นต้นมา ชาวมายาใช้ระบบ 260 วัน ปฏิทินในยุคนั้นใช้ระบบที่เรียกว่า โซลคิน (Tzolkin) ซึ่งเป็นระบบที่ผสมระหว่างตัวเลขและชื่อวัน โดยตัวเลขวันมี 13 เลข และชื่อวันมี 20 ชื่อ เมื่อนำมารวมกันจะได้เป็นวงรอบที่ประกอบเป็น 260 วัน

    1.jpg

    ปฏิทินมายา : ชื่อวัน 20 ชื่อ
    ปฏิทินมายา วิธีการใช้งาน
    • คือ เรียกทั้งเลขวันและชื่อวันเรียงกันไปอย่างอิสระ เช่น 1-imix , 2-ik , 3-Akbal เรียงกันไปเรื่อยๆ (เหมือนที่เราเรียก 1-อาทิตย์ , 2-จันทร์ , 3-อังคาร)
    • แต่เนื่องจากจำนวนวันในหนึ่งปีมีมากกว่า 260 วัน (ก็คือ 365 วันในปัจจุบันนั่นแหละ) ปฏิทินที่มีเพียงแค่ 260 วัน จึงใช้อะไรไม่ได้มากกว่า การทำนาย ทายทักวันดี-วันไม่ดี
    • หลังจาก 1492 ปีก่อนศริสตกาล ชาวมายาใช้ปฏิทินอีกระบบหนึ่งที่สอดคล้องกับฤดูกาลมากกว่า คือ ปฏิทินระบบ ฮาบ (Haab) โดยที่หนึ่งรอบวงจะมี 360 วัน ถึงแม้ปฏิทินระบบจะใช้ เลขวัน-ชื่อเดือน คล้ายกับปฏิทินระบบ โซลคิน แต่จะใช้วิธีนับที่แตกต่างกัน

    2.jpg

    การนับของ ปฏิทินมายา ระบบ โซลคิน (Tzolkin) : ตัวเลขวันมี 13 เลข และชื่อวันมี 20 ชื่อ
    ปฏิทินระบบฮาบ (Haab) คืออะไร?
    • คือ ปฏิทินระบบ ฮาบ (Haab) นั้นจะประกอบไปด้วยเลขวัน 20 เลข และชื่อเดือน 18 ชื่อ แต่เนื่องจาก 1 ปีมี 365 วัน ชาวโอเมค (Olmec) จึงเพิ่มเดือนพิเศษอีกหนึ่งเดือนที่มีเพียงแค่ 5 วัน โดยถือเป็นช่วงวันสิ้นปี โดยชื่อเดือนทั้ง 19 ชื่อมีดังนี้

    3.jpg


    • วิธีการนับวันจะนับเลขเรียงกันไปเรื่อยๆ พอถึงเลข 18 ก็ขึ้นเดือนใหม่ (เช่นเดียวกับที่เรานับ 29 พ.ค. , 30 พ.ค. , 31 พ.ค. , 1 มิ.ย.)
    • อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบโซลคินถูกใช้มานานเป็นพันปี จึงมีความจำเป็นต้องใช้ต่อไป โดยใช้เป็นหลักทำนายทายทัก และเมื่อนำมารวมกับระบบฮาบที่ใช้บอกฤดูกาล ก็จะเขียนเป็นรูปปฏิทินได้ภาพข้างล่างดังนี้ ซึ่งปฏิทินในระบบโซลคิน – ฮาบ นี้จะสามารถใช้ได้ถึง 13 ปี โดยที่
    ไม่มีวันที่ ตัวเลข และชื่อซ้ำกันเลย

    4.jpg


    กำหนดใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องเป็นครั้งแรก ใช้ระบบ วัน – เดือน – ปี
    • ในปี 747 ก่อนศริสตกาล ชาวโอเมค ได้กำหนดใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องเป็นครั้งแรก โดยใช้ระบบ วัน (Kin) , เดือน (Uinal) , ปี (Tun) , รอบยี่สิบปี (Katun) และรอบสี่ร้อยปี (Baktun) และกำหนดให้วันหนึ่งของปีนั้นเท่ากับ 6.0.0.0.0 (6 Baktun,0 Katun,0 Tun,0 Uinal,0 Kin) โดยจะตกวงที่ 11-Ahau 8-Uo
    • ซึ่งปฏิทินแบบนับต่อเนื่องนี้จะไม่รวมวันสิ้นปีเข้าไปด้วย และถ้าคำนวณย้อนกลับมา วันที่ 0 (เริ่มต้นปฏิทิน) จะตกในปี 3114 ก่อนศริสตกาล เมื่อเกิดระบบนับวันต่อเนื่อง ก็จะมีการผูกเรื่องราวต่างๆในบันทึก เข้ากับระบบนับวันแบบใหม่นี้
    • ชาวมายาถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนวันเริ่มยุค (ปี 3114 BC) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้านี้ และสิ้นสุดลงในวันที่ 13.0.0.0.0 หรือวันสุดท้ายของยุคที่สอง ตามตำนานบันทึกการสร้างโลก (Popol vuh) และชาวมายาถือว่าปัจจุบันนี้อยู่ในยุคที่สาม
    • ชาวมายาถือว่า 1 ยุค มี 13 Baktun คาดว่าเนื่องจากระบบปฏิทินโซลคิน -ฮาบ จะมีการตั้งชื่อ Baktun ตามวันสุดท้ายของปีก่อนหน้าจามระบบโซลคิน ดังนั้นใน 1 ยุค จะมี Baktun ที่มีชื่อไม่ซ้ำกันได้เพียง 13 ชื่อเท่านั้น เมื่อสิ้นสุด 13 Baktun กลุ่มที่ยังคงใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องในอเมริกากลางไม่ได้คิดว่าเป็น วันสิ้นสุดของโลก เช่นเดียวกับปี 3114 BC ไม่ใช่เป็นวันสร้างโลก แต่เป็นวันที่ขึ้นยุคใหม่
    • สำหรับผู้ที่ศึกษาอารยธรรมมายา ก็กำลังตกลงกันว่าหลังจากหมดหน่วย Baktun แล้วจะนับวันต่ออย่างไร? อาจจะขึ้นปฏิทินใหม่แล้วเพิ่มหน่วย Piktun อีกหนึ่งหน่วยเป็น 1.0.0.0.0.0
    • ถ้าใช้หน่วย Piktun หมดแล้ว ก็ยังมีหน่วยรองรับอีก คือ Kalabtun , Kinchiltun และ Alautun
    โดยสรุปแล้ว ปฏิทินมายา ก็ยังไม่ได้เป็นการทำนายว่า เป็นวันสิ้นโลก แต่!! เป็นแค่การเริ่มนับวงรอบใหม่ เช่นเดียวกับการขึ้นศตวรรษใหม่ปี 2000 ที่ไม่มีเหตุการณ์โลกแตกเกิดขึ้นแต่อย่างใด

    เราต้องมาทำความเข้าใจตัวอักษรและวิธีการนับวันเวลาของชาวมายากันก่อน

    5.jpg


    วันครบรอบปฏิทิน
    ปฏิทินของชาวเมโสอเมริกัน ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียกว่าปฏิทินมายันตามที่คนส่วนใหญ่รู้จักจะได้ไม่สับสน วันแรกที่เขียนปฏิทินคือวันที่ 0 เดือน 0 ปี 0 ซึ่งตรงกับวันที่ 11 สิงหาคม ปี 3114 ก่อนคริสตกาล แต่การนับรอบเดือนและปีบนปฏิทินมายันไม่เหมือนปฏิทินปัจจุบัน เช่น ปฏิทินปัจจุบัน 30 วัน = 1 เดือน 12 เดือน = 1 ปี 12 ปี = 1 รอบนักษัตร ฯลฯ ในขณะที่ปฏิทินมายันใช้มาตรการนับเวลาที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะขอเขียนทับศัพท์เพราะกลัวจะอ่านผิดดังนี้
    1 วัน = 1 kin
    20 kin = 1 winal
    18 winal = 1 tun
    20 tun = 1 katun
    20 katun = 1 baktun
    13 baktun = 1 รอบปฏิทินมายัน

    หากเปรียบเทียบกับปฏิทินปัจจุบัน หนึ่งเดือนบนปฏิทินมายัน = 20 วัน หนึ่งปี = 18 เดือน ต่อจากนั้นก็จะเป็นรอบตามหน่วยดังที่เห็นข้างบนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง 13 baktun ก็ครบรอบปฏิทินกลับมาตั้งต้นที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
    หากคำนวณเป็น วัน 1 รอบปฏิทินมายัน = 1,872,000 วัน หรือ 5,126 ปีตามวิธีการนับเวลาของปฏิทินปัจจุบัน (นำปีอธิกสุรทินมาคำนวณด้วย) หรือหากเขียนแบบชาวมายาคือวันที่ 12 baktun 19 katun 19 tun 17 winal 19 kin ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปฏิทิน และหากนับเป็นวันโดยเริ่มนับศูนย์ในวันที่ 11 สิงหาคม ปี3114 ก่อนคริสตกาลไปเรื่อยจนถึงวันสุดท้ายของปฏิทิน จะตรงกับวันที่ 20 ธันวาคม 2012

    คำทำนาย ปฏิทินมายา
    • ปฏิทินของชาวมายานั้น มีผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ
    • การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่ บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่รายการเดียว
    • ดังรายละเอียดบาง อย่างของปฏิทินของชาวมายาที่เอามาลงเพื่อให้ผู้อ่านสนใจจะได้พิจารณา และอาจติดตามต่อไปจากเอกสารอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้
    • ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์วิ่ง รอบดวงอาทิตย์ ที่ชาวมายารู้แต่แรกว่าเป็นแกนกลางของระบบสุริยะ ระบบที่เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของแขน (arm) หนึ่งของกาแล็กซีที่ชาว มายาบอกว่ามีแกนที่เป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์)
    • ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้
    • หรือบันทึกว่าโลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน
    • ปฏิทินมายายังระบุว่า ระบบสุริยะมีวัฏจักรของการเคลื่อนที่ไออยู่ใน ระนาบเดียวกัน (ecliptic) กับระนาบของแกนของแขนกาแล็กซีที่กล่าวมา ข้างต้นในทุกๆ 26,000 ปี โดยมีครึ่งหนึ่งของวัฏจักร จะมีวันที่เรียกว่า อะควิน็อกซ์ หรือวันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืนเปลี่ยนไป (เช่นวันที่23 กันยายน คือวันอะควิน็อกซ์ของฤดูใบไม้ผลิของปฏิทินของปัจจุบัน) ระบบสุริยะ (รวมทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลาย) จะเข้าสู่ระนาบเช่นนั้นใน เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้
    • นอกจากนี้ ชาวมายา ยังได้ทำนายว่า หลังจากปี 2012 มีสี่ประการที่จะเกิดขึ้นคือ..
    o 1.มนุษยชาติจะก้าวล่วงเทคโนโลยีที่เราใช้และรู้จักในขณะนี้ แทบทั้งหมด
    2.มนุษยชาติจะก้าวล่วงรูปแบบของเวลาและเงินในรูปที่ใช้กัน ในขณะนี้
    3.เราจะผ่านเข้าสู่มิติที่ห้าอันเป็นมิติจิตวิญญาณ – จากมิติที่สี่ – วิกฤติที่เจ็บปวด
    4.ระนาบของระบบสุริยะจะอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบของ กาแล็กซี

    6.jpg


    ภาพแกะสลักบนก้อนหินของชาวมายาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและการเมือง
    (ไลฟ์ไซน์/David Stuart – ค้นพบ ปฏิทินมายา )
    การค้นพบ ปฏิทินมายา
    นักวิจัยพบอักษรชาวมายาที่ชี้ “วันสิ้นสุด” ของปฏิทินมายามีอยู่จริง แต่นักวิจัยชี้แจงว่า ความเชื่อของชาวมายาโบราณต่างจากความเชื่อของคนยุคนี้ เพราะวันดังกล่าวไม่ได้ชี้ถึงวันสิ้นสุดของโลก
    • มาร์เซลโล คานูโต (Marcello Canuto) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยอเมริกากลาง (Middle America Research Institute) ของมหาวิทยาลัยทูเลน (Tulane University) ได้กล่าวว่า
    • “อักษรเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองโบราณมากกว่าจะเป็นเรื่องคำพยากรณ์ หลักฐานใหม่นี้ชี้ว่า วันของรอบที่ 13 บักตุน (13 bak’tun) นั้นเป็นเหตุการณ์ในรอบปฏิทินที่สำคัญ ซึ่งชาวมายาโบราณจะฉลองวันดังกล่าว ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สร้างคำพยากรณ์ถึงหายนะเมื่อถึงวันดังกล่าวแต่อย่างใด”
    • ทั้งนี้ ไลฟ์ไซน์ (ค้นพบ ปฏิทินมายา ) อธิบายไว้ว่า ปฏิทินรอบยาว (Long Count calendar) ของชาวมายานั้นแบ่งเป็นบักตุน (bak’tuns) หรือรอบ 144,000 วัน ที่เริ่มจากวันสร้างโลก (creation date) ของชาวมายา และวันเหมายัน (winter solstice) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ของปี 2012 คือวันของรอบบักตุนที่ 13 ซึ่งชาวมายากำหนดให้เป็นการครบรอบการสร้างโลก
    • หากแต่คนยุคใหม่กลับเชื่อว่าวันดังกล่าวคือวันสิ้นโลก ทั้งที่มีหลักฐานอ้างอิงทางโบราณคดีเพียงชิ้นเดียวที่ระบุถึงปี 2012 นี้ นั่นคือข้อความที่จารึกบนอนุสาวรีย์ ณ เมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero) เม็กซิโก ที่มีอายุย้อนไปประมาณปีคริสตศักราช 669

    7.jpg


    รายละเอียดในหินบันไดขั้นที่ 5 ที่บอกเล่าเรื่องราวทางการเมืองของชาวมายาโบราณ
    นักวิจัยขุดพบบันไดที่มีการสลักเรื่องราวของชาวมายาโบราณ
    นักวิจัยขุดพบหลักฐานจากการสำรวจซากปรักหักพังในเมืองลา โคโรนา (La Corona) ของกัวเตมาลา ซึ่งบนก้อนหินบันไดทางเดินที่มีการแกะสลักอักขระโบราณนั้น นักโบราณคดีได้เห็นภาพการฉลองถึงการเสด็จมาเยือนของกษัตริย์ ยักนูม ยิชแอก คาห์ก (Yuknoom Yich’aak K’ahk) แห่งเมืองกาลักมุล (Calakmul) ซึ่งเป็นผู้ปกครองของชาวมายาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนั้น
    • กษัตริย์ ยักนูม ยังทรงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า “จากัวร์ พาว์” (Jaguar Paw) และนักประวัติศาสตร์มีข้อสันนิษฐานมานานแล้วว่ากษัตริย์จากัวร์ พาว์นั้นสิ้นพระชนม์หรือทรงถูกจับในการสู้รบจากการโจมตีของอาณาจักรทิกอล (Kingdom of Tikal) ปีคริสตศักราช 695 แต่อักขระที่จารึกไว้นั้นชี้ว่าพวกเขาสันนิษฐานผิด
    • ในความเป็นจริงพระองค์เสด็จเยือนลาโคโรนาในปีคริสตศักราช 696 ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นความพยายามในการพยุงความจงรักภักดีของหมู่ประชากรที่รับรู้ความพ่ายแพ้ของพระองค์ในการสู้รบก่อนหน้านั้น 4 ปี และในช่วงหนึ่งของการประพาสต้นพระองค์ทรงเรียกขานพระองค์เองว่า “พระเจ้ากาตุนที่ 13” (13 k’atun lord) ดังปรากฎในอักขระที่เพิ่งค้นพบ
    • กาตุนยังเป็นหน่วยย่อยของปฏิทินมายาซึ่งมีรอบเวลา 7,200 วันหรือประมาณ 20 ปี ซึ่งกษัตริย์จากัวร์ พาว์ทรงครองตำแหน่งถึงปลายกาตุนที่ 13 ในปีคริสตศักราช 692 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ที่กำลังจะมาถึง และเพื่อผูกโยงพระองค์และรัชสมัยของพระองค์สู่อนาคต พระองค์จึงทรงเชื่อมโยงรัชสมัยของพระองค์กับรอบบักตุนที่ 13 รอบถัดไป ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธ.ค. 2012 นั่นเอง

    • คานูโต (ทีมขุดสำรวจ-ทีมนักโบราณคดียุคใหม่) กล่าว “สิ่งที่อักขระนี้บอกแก่เราคือช่วงเวลาแห่งวิกฤต ซึ่งชาวมายาโบราณใช้ปฏิทินของพวกเขาเพื่อสานความต่อเนื่องและความยั่งยืนมากกว่าจะเป็นการทำนายวันโลกาวินาศ”
    • ที่เมืองลา โคโรนานั้นเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ถูกลักลอบขโมยของมากที่แห่งหนึ่ง และเพิ่งได้รับการสำรวจโดยทีมนักโบราณคดียุคใหม่ได้ประมาณ 15 ปีเท่านั้น โดยคานูโตยังมี โทมัส บาร์เรนทอส คิว (Tomas Barrientos Q.) จากมหาวิทยาลัย เดล วาลล์ เดอ กัวเตมาลา (Universidad del Valle de Guatemala) ร่วมทีมขุดสำรวจ
    • ทีมวิจัยได้ขุดพบหินบันไดขั้นแรกเมื่อปี 2010 ใกล้ๆ กับสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายอย่างหนักจากนักขโมยโบราณวัตถุ หัวขโมยพลาดบันได12 ขั้นนี้ไป แต่ก็เหลือตัวอย่างหินในปราสาทดั้งเดิมไว้เพียงเล็กน้อย ทีมวิจัยยังพบหินอีก 10 ก้อนจากขั้นบันไดที่ถูกหัวขโมยเคลื่อนย้ายแต่ถูกทิ้งไว้ โดยสรุปทีมวิจัยพบหิน 22 ก้อนที่มีอักขระโบราณ 264 ตัว ซึ่งบ่งชี้ถึงประวัติศาสตร์ด้านการเมืองของลา โคโรนา และส่งผลให้โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นอักษรมายาโบราณที่ยาวที่สุดในกัวเตมาลา

    8.jpg

    คำทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่?
    เนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทำให้ยืนยันได้ว่า ปฏิทินมายา ก็ยังไม่ได้เป็นการทำนายว่า เป็นวันสิ้นโลก แต่!! เป็นแค่การเริ่มนับวงรอบใหม่ หรือหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น ซึ่งเคยมี นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี ได้ออกมาบอกเช่นเดียวกันว่า ชาวตะวันตกถอดความปฏิทินชนเผ่ามายาผิด
    • ที่เคยมีข่าวว่า ข้อความจารึกที่วัดของชนเผ่ามายา ในทอร์ทูกัวโร ซึ่งเคยถูกตีความไว้ว่า 2012 จะเป็นปีที่โลกถึงวันดับสูญ จากมหาภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ หลุมดำดูดกลืน ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์พุ่งชน น้ำท่วมโลก หรือะไรก็ตาม
    • แต่ สเวน โกรเนเมเยอร์ นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี จากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในออสเตรเลีย เผยว่า “มีความเป็นไปได้สูงว่า การถอดความนั้นมีความคลาดเคลื่อน อาจจะไม่ใช่คำทำนายวันโลกาวินาศ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่” ส่วนการถอดความวันสิ้นโลก เป็นการแปลความหมายแบบผิดๆ ของชาวตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นกลัวกันไปเอง

    9.jpg

    นอกจากนี้ ยังมีคำทำนาย ตาม ทฤษฎี ต่างๆอีกมากมาย
    1. ทฤษฎีดาวนิบิรุชนโลก
    • เนื่องด้วยเรื่องราวของดาวนิบิรุ ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกค้นพบเมื่อปี 2002 โดยนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) เชื่อว่า ดาวนิบิรุจะพุ่งเข้าชนโลก
    • เนื่องจากว่า ดาวนิบิรุมีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่ ซึ่งความจริงแล้วเส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นวงโคจรเดียวกับโลกพอดี ทำให้ดาวนิบิรุมีสิทธิ์เข้าชนโลกได้ หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตรายได้ เพราะว่าแกนของดาวนิบิรุ ก็มีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งเมื่อเข้ามาใกล้โลกสนามแม่เหล็กจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก จนทำให้เกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ขึ้นในโลก
    • อาทิ เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกะทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่าง ๆ และอื่น ๆ นับไม่ถ้วน ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2012 ดาวนิบิรุ จะเข้าใกล้โลกของเรามากที่สุด
    2. ทฤษฎีแม่เหล็กโลกกลับขั้ว
    • สนามแม่เหล็กของเราจะมีอยู่ 2 ขั้ว โดยขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และอีกขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดยขั้วแม่เหล็กทั้ง 2 ขั้ว จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และเป็นอิสระจากกัน ทั้งทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก
    • แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 นาซ่า (nasa) ได้ออกมาระบุเพิ่มเติมว่า อีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือ ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มาก
    • คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก อันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย อาทิ ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่า เกิดจากแม่เหล็กโลกกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเปลือกโลกเคลื่อนตัว จนเกิดแผ่นดินไหว ก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิตามมา
    • อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า นอกจากการที่โลกและดวงอาทิตย์ทำการแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง ซึ่งก็คือทุก ๆ 11 ปีนั่นเอง
    • และเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดปรากฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ต้องสาบสูญไปในช่วงเวลานั้น
    • ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติไปมากมาย จนเป็นเหตุให้โลกเสียสมดุล อย่างกรณีโลกร้อน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือการเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่รุนแรงขึ้น ฯลฯ กระทั่งทำให้แกนโลกเกิดการเบี่ยงเบนไป จนนำไปสู่การกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง
    3. ทฤษฎีชนเผ่ามายัน
    • ชนเผ่ามายัน ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคิดค้นปฏิทินและการคำนวณบางประการได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยแบบเรา โดยปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายา คือ วันที่ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งในวันนี้เองที่เป็นมาของความเชื่อที่ว่า เป็นวันสิ้นโลก
    • โดยเชื่อกันว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดปรากฎการณ์ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ทำให้พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถม และเกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลก อาจทำให้เกิดซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปี ที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง
    • โดยสัญญาณเตือนภัย ก็คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ได้เกิดคลื่นสึนามิซัดถล่มประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจกำลังใกล้เข้ามาแล้วก็ได้
    4. ทฤษฎีน้ำท่วมโลก
    • ด้วยสภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง
    • โดยผลกระทบที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ที่ทำให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดทฤษฎีน้ำท่วมโลกขึ้น
    • โดยเชื่อกันว่า หากเราไม่สามารถแก้ไข สภาวะโลกร้อนได้ ในปี 2012 โลกจะเกิดหายนะจากอุทกภัยน้ำท่วมโลก จากการละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับผลสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์เมื่อปี 2003 ที่ระบุว่า ขณะนี้อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือและใต้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การละลายตัวของน้ำแข็งในแต่ละวันมีปริมาณสูงถึงวันละ 1 ล้านตัน และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกิน 5-7 ปี น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและใต้จะละลายหมด ซึ่งก็คือ ปี 2012 นั่นเอง
    ทฤษฎีต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น สามารถเกิดขึ้นได้ หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ไม่ว่า อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น การเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เอื้อต่อธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าการมานั่งวิตกกังวลว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่? ^^
    ข้อมูลโดย teen.mthai
    อ้างอิง djingmarket.com,dmc.tv,manager.com,blogspot.com
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    หัวข้อ: ชนเผ่า มายา !!!!
    เริ่มหัวข้อโดย: army ที่ พฤษภาคม 06, 2011, 09:03:25 PM
    --------------------------------------------------------------------------------

    ชนเผ่ามายา
    (http://www.hatyaizones.com/forums/i...3bc805&action=dlattach;topic=38.0;attach=1474)


    ชาว มายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล นับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักวิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมาก
    กล่าวคือ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์

    สิ่ง ที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเราเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ.2554 (ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง ก่อนพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจกับระบบตัวเลขและแนวคิดของชาวมายากันนิดนึงก่อน เริ่มกันที่เลข 20 อันเป็นเลขที่ชาวมายาเค้าถือกันว่าเป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ คนโบราณพวกนี้มีแนวคิดทางตัวเลขที่น่าสนใจมาก กล่าวคือ มนุษย์ในปัจจุบันนิยมใช้เลขฐานสิบเป็นหลัก โดยยืนพื้นอยู่บนนิ้วมือทั้งสิบ แต่ชาวมายากลับแตกต่างกันไปเพราะพวกเขารวมนิ้วเท้าอีกสิบเข้าไปด้วยเป็นเลข ฐาน 20 พอดิบพอดี ลองมาดูสัญลักษณ์ของชาวมายาที่นับจาก 0-20 กันดีไหม? เลขศูนย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์วงกลม เลขหนึ่งด้วยหนึ่งจุด เลขสองแทนด้วยจุดตามแนวนอน เลขสามด้วยจุดสามจุด เลขห้าแทนด้วยเส้นแนวขวาง เลขหกแทนด้วยจุดหนึ่งจุดเหนือเส้นแนวขวางและเป็นแบบนั้นไปตามลำดับ เลขสิบเก้าแทนด้วยจุดสี่เหลี่ยมเหนือเส้นแนวขวางสามเส้นที่ซ้อนกันขึ้นไป เลขยี่สิบแทนด้วยสัญลักษณ์คล้ายวงกลมที่มีจุดจุดหนึ่งอยู่ด้านบน ดังภาพ



    ความสัมพันธ์อีกประการของปฏิทินของชาวมายาก็คือ หนึ่งอุยนัลหรือเดือนของพวกเขามีอยู่ 20 คิน หรือ 20วัน

    อาณาจักร มายาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแต่ครั้งโบราณ ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ประเทศกัวเตมาลา ครั้งหนึ่งอาณาจักรนี้เคยคึกคักรุ่งเรืองเป็นที่สุด เมืองใหญ่ๆเช่น ติกัลหรือพาเลงกอมีประชากรร่วมแสน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเป็นเมืองที่มีอิทธิพลทางการค้าเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลกลใดหาใครทราบ เมืองยุคแรกของชาวมายาเช่นติกัลก็ได้เริ่มเสื่อมสลายทีละน้อยในช่วง ค.ศ. 200-900 นักโบราณคดีรู้สึก ประหลาดใจมากกับหลักฐานที่ว่า ด้วยเหตุผลบางประการชาวมายาได้ละทิ้งเมืองอันรุ่งเรืองของพวกเขาในช่วงเวลา นั้น หยุดชะงักอารยธรรมที่กำลังเติบโตทั้งหลายทั้งมวลคล้ายๆกับว่าจู่ๆพวกเขาหมด กำลังใจในชีวิตกันไปแล้ว

    บาง คนอาจนึกถึงการเข้ามาของชาวยุโรปว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมมายาล่มสลาย ไป มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ เพราะชาวยุโรปเข้ามายังโลกใหม่เมื่อราวๆศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นอารยธรรมมายาเสื่อมสลายลงเกือบหมดแล้วเหลือเพียงชนพื้นเมืองกลุ่ม เล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วคาบสมุทรยูคาทานกับเม็กซิโกตอนใต้เท่านั้น

    มี อะไรบางอย่างที่ทำให้ชาวมายาหยุดความก้าวหน้าทางอารยธรรมลง เหมือนชนชาติที่เสียแรงกระตุ้น เพราะจู่ๆพวกเขาก็หยุดชะงักเอาเฉยๆหลังจากรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมอันน่าพิศวง สุดขีดมาหลายศตวรรษ อะไรที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น?



    เนื่อง จากเป็นเคสที่น่าสนใจจึงมีทฤษฎีว่าด้วยการล่มสลายของอารยธรรมมายาขึ้นมา เพียบ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเกิดจากการที่ทาสกับประชาชนลุกขึ้นมาโค่นล้มชนชั้น ปกครองผู้เผด็จการ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ครับ เพราะอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดนั้น สังคมที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไม่น่าจะมาพังพาบง่ายๆกับอีเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่นี้ แถมไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดเอาเสียเลยว่ามีการแข็งข้อแข็งเมืองเกิดขึ้นใน นครรัฐของชาวมายา การจะเข้าใจอารยธรรมมายาได้อย่างถ่องแถ้นั้นเราต้องเอาใจเราเข้าไปจับใจของ ชาวมายาเสียก่อน
    เลิกคิดแบบมนุษย์ปัจจุบัน เลิกยึดติดกับความรุ่งเรืองทางวัตถุแบบ อารยธรรมตะวันตก

    ใน สายตาของมนุษย์สมัยใหม่ชาวมายาไม่ได้ต่างอะไรไปเลยจากมนุษย์ถ้ำสมัยหิน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างปิระมิดด้วยศิลาอย่างไร้เหตุผล ไม่มีเทคโนโลยีด้านสกัดแร่หรือถลุงโลหะ ไม่มีอาวุธมากกว่ามีดและหอก

    นักวิชาการหลายคนมองชาวมายาเป็นอัจฉริยะผู้ไร้สติ คือทั้งๆที่พวกเขาวชาญด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และสถาปัตยกรรมอันไร้เทียมทาน
    แต่กลับไม่ได้นำมาสร้างสรรค์หรือแผ่ขยายอารยธรรมแต่ประการใดเลย
    นัก วิชาการไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอารยธรรมที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาจนรุ่งเรืองได้ ขนาดนั้นจู่ๆกลับเสื่อมสลายลง อัจฉริยะทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชาวมายาหายหัวไปไหนหมด

    พวก เขาส่งผ่านมรดกอะไรให้แก่ชนรุ่นหลังบ้าง ทำไมจึงทิ้งเมืองใหญ่อันโอฬารอย่าง ติกัล อักซมัล พาเลงกอ และชิตเซนอิซาเอาไว้ หลงเหลือแต่เพียงซากปรักหักพังอยู่กลางป่าดงดิบในกัวเตมาลา แล้วก็วาดภาพแกะสลัก ทำเส้นสายด้วยรหัสภาษาที่ไม่มีใครอ่านออกเอาไว้ ทิ้งให้นักโบราณคดีรุ่นหลังตีอกชกหัวกุมขมับปิ้มจะบ้าทำไม...

    เรา คงตอบคำถามนี้ไม่ได้ตราบใดที่ไม่ขจัดปัญหาบางประการออกไปเสียก่อน ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวมายา แต่อยู่ที่ทฤษฎีของพวกเรา อยู่ที่วิธีวัดความสำเร็จที่มนุษย์ปัจจุบันใช้กับชาวมายานั่นแหละ หลายศตวรรษที่ผ่านมาจนถึทุกวันนี้

    พวก เราวัดความรุ่งเรืองทางอารยธรรมของมนุษยชาติด้วยไม้บรรทัดที่ถือมาตั้งแต่ สมัยเรเนอซองส์ ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีทางวัตถุ นวัตกรรมใหม่ๆอันจะนำเอาความเจริญทางวัตถุมาให้มนุษย์

    ตั้งแต่ ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงกระสวยอวกาศ ตั้งแต่ยุคหัวธนูจนถึงขีปนาวุธนิวเคลียร์ ตั้งแต่ยุคหลอดสูญญากาศจนถึงซิลิกอนชิป ชาวมายาล้าหลังจริงๆหากจะมองในแง่นั้น ทฤษฎีต่อไปนี้อาจจะบ้าหลุดโลกสำหรับพวกคุณ แต่ปฏิทินของชาวมายาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เวลาและตัวเลข ภาพด้านล่างเป็นตัวแทนวันในแต่ละเดือนของพวกเขา ซึ่งในบางครั้งจะถูกผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ที่เรียกว่าโซลคินอันเป็นแกนตัวเลข 13 ตัว ถูกออกแบบให้อยู่ในลักษณะของแกนสอดประสาน เพื่อให้ได้มาซึ่งการประสานกันระหว่างจิตใจและแกแล็คซี่



    แกน ตัวเลขสอดประสานเพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานกันของแกแล็คซี่ นักวิชาการน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องนี้ และผู้ที่เข้าใจก็ยากที่จะทำใจรับมันได้เนื่องจากค่อนข้างหลุดโลกเอาการอยู่

    แนว คิดนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ปรากฏการณ์ทางกายภาพ ที่นักโบราณคดีงงเป็นไก่ตาแตกกับอารยธรรมมายาเนื่องจากว่าพวกเขายากที่จะทำ ใจมองข้ามแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์
    หัน ไปมองแนวคิดทางจิตใจแบบชาวมายาได้ เพราะการมองแต่หลักฐานทางวัตถุนี่แหละ จึงทำให้นักโบราณคดีหลายคนไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า ทำไมชาวมายาจึงพัฒนานครรัฐได้อย่างยิ่งใหญ่ สร้างสถาปัตยกรรมโอฬาริกได้มากมาย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพวกเขาจะประยุกต์นำความรู้นี้ไปใช้ และพัฒนาอารยธรรมของพวกเขาไปในรูปแบบอารยธรรมของชาวตะวันตกอย่างที่ควรจะทำ เช่น การยกระดับความเป็นอยู่ พัฒนาเรื่องการขนส่ง การสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์

    ซึ่ง แน่นอนว่า ด้วยความก้าวหน้าขนาดคำนวณปฏิทินได้เป็นล้านๆปี รอบรู้เรื่องวงโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆจนถึงขั้นคำนวณปฏิทินของดาวศุกร์ และดวงจันทร์ได้อย่างชาวมายานั้น การจะสร้างอารยธรรมให้ก้าวทันปัจจุบันเห็นจะไม่ใช่เรื่องยาก เพียงกินเวลาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นดีไม่ดีชาวมายาอาจครองยุโรปและเอเชีย จนถึงขั้นมีนครรัฐมายาแทนสหรัฐอเมริกาจอมเกเรอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ เป็นไปได้ลองย้อนดูอารยธรรมของเราสิ เมื่อ 400 ปีก่อนเรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีการสื่อสารแค่ขี้ปะติ๋วเท่านั้น แล้วดูตอนนี้สิ สี่ศตวรรษหรือหนึ่งแบ็กทันต่อมา เราพัฒนามาถึงไหนกันแล้วครับ เมื่อร้อยปีก่อนเรายังเคาะโทรเลขก๊อกแก๊กกันอยู่ แต่ตอนนี้เราถึงขั้นสื่อสารแบบไร้สายได้มีโอกาสมา "เธอวางก่อนดิ... ดิ ดิ ดิ..." อย่างง่ายๆราวปาฏิหารย์

    พวก เราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในรอบ 100 ปีได้มากกว่าที่เคยทำได้ในรอบ 1000 ปีเสียด้วยซ้ำ แล้วชาวมายาล่ะครับเขาทำอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรกับความรู้อันสูงส่งของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

    พวก เขาเป็นต้นแบบของนักการเมืองไทยในการถอยหลังลงคลอง ชาวมายาย้อนกลับไปสู่สังคมแบบพริมิทีฟเอามากๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.83 ชาวมายาก็ได้เจริญลงๆ จนกระทั่งถึง ค.ศ. 900 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่ 10
    อารยธรรมอันมหัศจรรย์สมชื่อมายานี้ก็ได้ถึงการเสื่อมสลายลงอย่างสมบูรณ์ คิดแล้วก็น่าเศร้า? แบ็กทันคืออะไรอย่างนั้น?

    แบ็ก ทันเป็นมาตรวัดเวลาของชาวมายา กินเวลาราว 395 ปีของมนุษย์ปัจจุบัน แนวคิดนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่เชื่อว่าชาว Myth น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่

    แนวคิดนี้มีอยู่ว่า ชาวมายามีวัตถุประสงค์ในการอยู่บนโลกที่แตกต่างออกไป
    พูด ง่ายๆคือมีหลักฐานมากพอที่จะชี้ให้เห็นว่าชาวมายามีหน้าที่วางตำแหน่งโลกและ ระบบสุริยะ ให้สอดคล้องกับประชาคมแกแล็กซี่ที่ใหญ่กว่า โดยได้รับบัญชาจากเทพเจ้าของพวกเขาซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนักบินอวกาศ แห่งโบราณยุค พูดง่ายๆก็คืออาคันตุกะจากดาวดวงอื่นนั่นล่ะ

    ภารกิจ หลักของชาวมายามีอะไรบ้างนั้นพวกเรายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เดาได้เพียงแต่ว่าเมื่อถึงประมาณ ค.ศ.830 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่เก้าชาวมายาก็ได้จากไป บางคนยังหลงเหลือทายาทไว้ที่นี่ในฐานะผู้พิทักษ์หรือการ์เดี้ยน
    ทิ้งรหัสของพวกเขาเอาไว้อันได้แก่โซลคินแกนตัวเลขประสานของชาวมายา
    เพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานแห่งห้วงจักรวาล



    เนื่อง จากนี่เป็นเพียงข้อสมมติฐานของนักเขียนบางคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามนะ อันว่าสิ่งที่ชาวมายาทิ้งไว้นั้นเป็นเรื่องท้าทายวงการวิทยาศาสตร์อย่างหนัก เราจำเป็นต้องวางแนวคิดยึดติดวัตถุในรูปแบบเดิมเอาไว้เสียก่อน แล้วลองมามองจักรวาลอย่างที่ชาวมายาเขามองกัน ยกตัวอย่างปฏิทินของชาวมายากันสักเล็กน้อย เช่นเดียวกับพวกเราครับ ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...

    แต่ ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน

    ส่วน ปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20

    ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี

    จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116

    ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830

    ดัง นั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงน่าจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไร
    และนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ

    1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
    2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
    3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
    4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
    5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
    6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า
    7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
    8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
    9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
    10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
    11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
    12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
    13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่

    ... เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้ว โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทินของมนุษย์ยุคใหม่เรา
    ส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวมายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้

    แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน
    คิน = 1 วัน
    อุยนัล = 20 คิน
    ทัน = 360 คิน
    คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)
    แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)

    จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆ

    แล้ว เอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลก พิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆ
    มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ?

    หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม

    คำ ว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง

    ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู

    ตาม แผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง



    เพ่งรูปนี้กันดีๆ ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
    อาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคการปกครองของเขา
    ปา กาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว

    ...อ่าน แล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชาวมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวาล

    ในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่
    แม้ แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามายา ในภาษา อียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไก่และเป็นน้องคนสุดท้อง ก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส



    บทความนี้ เป็นข้อมูลเก่าแก่ที่ถูกทิ้งไว้นับพันๆ ปีโดยไม่ มีคนสนใจ ข้อมูลที่มีส่วนหนึ่งพ้องจองกับความเห็นและการคาดการณ์ทาง ด้านวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ที่กล่าวมาข้างบนนั้นอย่างน่าแปลกใจ แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นประเด็นทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะการเปลี่ยนย้าย กระบวนทัศน์ของมนุษยชาติและสังคมอย่างน่าสนใจ แม้ว่าอีกส่วนใหญ่ของ ข้อมูลเก่าแก่ที่ว่านี้จะเป็นคำทำนาย (กินเวลายาวนานถึง 64 ล้านปีของอ นาคต) ที่อยู่นอกความรู้ความเข้าใจจนเกินไป จนเป็นเหตุให้ข้อมูลถูกโยน ทิ้งหรือเก็บไว้จนหลงลืมกันไปทั้งหมด กระทั่งมีการรื้อฟื้นนำมาศึกษาติดตาม กันใหม่เมื่อทศวรรษที่แล้วๆ มานี้เอง

    ข้อมูลส่วนหนึ่งที่น่าสนใจดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่นักศึกษาด้าน ความสัมพันธ์ของวิชาความรู้ต่างสาขาน่าจะลองอ่านดู จริงๆ แล้วข้อมูลทั้ง หมดที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นกรณีศึกษาของโครงการรายวิชาของสถาบัน ความสัมพันธ์ทางความรู้ที่คณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California Insitute of Integral Studies) และกำลังเป็นประเด็นร้อนที่พูด กันมากในประเทศตะวันตกในเวลานี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เรียกกันว่ากลุ่ม นิวเอจ (newagers) และกลุ่มวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Cultural Creatives or CC) ด้วย นั่นคือสภาพของความสะท้านสะเทือนระดับโลกที่จะเกิดขึ้น ในปี 2012 และหลังจากนั้น (the shock of 2012) ซึ่งก็เป็นช่วงเวลา เดียวกับช่วงเวลาของการเดินทางของจิตวิญญาณ สู่มิติของธรรมจิตธรรม วิญญาณ (spiritual dimension)

    ข้อมูลดังกล่าว ได้มีการบันทึกเอาไว้ในปฏิทินของชาวเผ่า มายาแห่งอเมริกากลาง (Maya Calendar) มาตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของคริสตกาล ชาวมายาเป็นชนเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่บริเวณพื้นที่ของกัวเตมาลา และบริเวณที่ เผ่าเซียปาสของเม็กซิโกอาศัยในปัจจุบัน แต่ไม่มีใครรู้ที่มาของชาวมายาว่า มาจากไหน เพราะเป็นชนผิวขาวร่างสูงและจมูกโด่ง มีริมฝีปากบางที่เป็น ตรงกันข้ามกับเผ่าโอลเม็คที่เป็นชนเผ่าเก่าแก่ที่สุดของอเมริกากลาง เป็นตรง กันข้ามในทุกกรณีดังภาพวาดภาพปั้นที่หลงเหลือมาตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนคริสต กาล (อารยธรรม La Venta อาจย้อนหลังไปถึง 800 ปีก่อนคริสตกาล) นักมนุษยศาสตร์และนักโบราณคดีบางคนคิดว่า ชาวมายามีที่มาจากชาวกรี กหรืออียิปต์ในยุคหลังๆ (Jonarthan Leonard ; Ancient America, Time- Life Book, 1968) และที่น่าแปลกอีกก็คือ อยู่ๆ ชาวมายาทั้งเผ่าพันธุ์ก็ สลายหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยหรือหลักฐานทางวิชาการใดๆ หลงเหลือให้นัก โบราณคดีสืบเสาะได้เลย

    ปฏิทินของชาวมายานั้นเป็นผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่ บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) ที่มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่รายการเดียว ดังรายละเอียดบาง อย่างของปฏิทินของชาวมายาที่เอามาลงเพื่อให้ผู้อ่านสนใจจะได้พิจารณา และอาจติดตามต่อไปจากเอกสารอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้

    ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์วิ่ง รอบดวงอาทิตย์ ที่ชาวมายารู้แต่แรกว่าเป็นแกนกลางของระบบสุริยะ ระบบที่เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของแขน (arm) หนึ่งของกาแล็กซีที่ชาว มายาบอกว่ามีแกนที่เป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์) ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้ หรือบันทึกว่าโลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน ปฏิทินของชาวมายายังระบุว่า ระบบสุริยะมีวัฏจักรของการเคลื่อนที่ไออยู่ใน ระนาบเดียวกัน (ecliptic) กับระนาบของแกนของแขนกาแล็กซีที่กล่าวมา ข้างต้นในทุกๆ 26,000 ปี โดยมีครึ่งหนึ่งของวัฏจักร จะมีวันที่เรียกว่า อะควิน็อกซ์ หรือวันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืนเปลี่ยนไป (เช่นวันที่ 23 กันยายน คือวันอะควิน็อกซ์ของฤดูใบไม้ผลิของปฏิทินของปัจจุบัน) ระบบสุริยะ (รวมทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลาย) จะเข้าสู่ระนาบเช่นนั้นใน เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้

    หลังจากปี 2012 มีสี่ประการที่จะเกิดขึ้นคือ..

    1.มนุษยชาติจะก้าวล่วงเทคโนโลยีที่เราใช้และรู้จักในขณะนี้ แทบทั้งหมด
    2.มนุษยชาติจะก้าวล่วงรูปแบบของเวลาและเงินในรูปที่ใช้กัน ในขณะนี้
    3.เราจะผ่านเข้าสู่มิติที่ห้าอันเป็นมิติจิตวิญญาณ - จากมิติที่สี่ - วิกฤติที่เจ็บปวด
    4.ระนาบของระบบสุริยะจะอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบของ กาแล็กซี

    ปฏิทินมายาบอกด้วยว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 1987 กระทั่งถึงช่วงปี 2012 เป็นช่วงเวลาระหว่างกลางของมิติที่ 4 สู่มิติที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงอันตราย เพราะเป็นช่วงที่จะมีความล่มสลายในทางธรรมชาติ และจิตวิญญาณของชาวโลกส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีการเปลี่ยน แปลงทางจิตวิญญาณของคนอีกส่วนหนึ่ง (apocalypse แปลว่าการเปิดเผยที่ หมายถึงวิวัฒนาการทางจิตอีกด้วย) น่าแปลกที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของ เวลาจะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของกระแสแม่เหล็กโลก ที่สะท้อนออกมาตามการหมุนรอบตัวเองของโลก (Schumann Resonance ที่เคยคงที่ที่ความถี่ 7.8 เฮิรตซ์ หรือรอบต่อวินาทีทุกวันนี้ได้สูงขึ้นเป็น 11.8 รอบต่อวินาที)
    โดยปฏิทินของชาวมายา มิติที่ 5 หรือหลังปี 2012 คือช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่วนหนึ่ง จะมีวิวัฒนาการสู่แสงใสกระจ่าง (แปลกอีกที่ใช้คำว่า clear light เช่นเดียวกับในคัมภีร์พีระมิดของอียิปต์ และคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต ที่มีความหมายสู่จิตวิญญาณบริสุทธิ์) (Erich Von Danikens, Chariots of the Gods, 1970 ; Jonathan Leonard ; Ancient America, 1968 ; Handbook of Atmospheric Electro-dynamics, 1995 ; 2012 Unlimited.





    เว็บบอร์ด - Board.PostJung.com
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ตอนแรกผมนึกว่ามีแต่จุดดับกลับมา ตอนนี้ยังมี corona hole หลุมใหญ่แถมมาอีก
    12.jpg

    ความรู้ประกอบการเรียนรู้ครับ
    ในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง สิ่งที่เราเห็นเป็นเส้นรัศมีสว่างอยู่ล้อมรอบวงกลมสีดำนั้นคือบรรยากาศของดวงอาทิตย์ เรียกว่า คอโรนา (corona) คอโรนาเป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ แม้ว่าคอโรนาที่เรามองเห็นขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงจะมีรัศมีประมาณไล่เลี่ยกับรัศมีของดวงอาทิตย์ แต่แท้จริงแล้วคอโรนามีรัศมีกว้างไกลกว่านั้นมาก จากการศึกษาสเปกตรัมของคอโรนาพบว่าคอโรนามีอุณหภูมิสูงนับล้านองศาเซลเซียส พลังงานความร้อนที่สูงมากทำให้คอโรนาขยายตัวออกเรื่อย ๆ จนในที่สุดอนุภาคจะหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และหนีออกจากดวงอาทิตย์ไปทุกทิศทุกทาง จนกระทั่งห่อหุ้มและครอบคลุมระบบสุริยะทั้งหมด เราเรียกกระแสธารของอนุภาคที่พัดออกมาจากดวงอาทิตย์ว่า ลมสุริยะ (solar wind)

    ลมสุริยะที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้จะมีความเร็วต่างกันตามละติจูดที่เกิด กล่าวคือ ลมสุริยุที่ขึ้นบริเวณขั้วเหนือและใต้ของดวงอาทิตย์จะมีความเร็วสูงมาก ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าบริเวณขั้วเหนือและใต้มักมี โพรงคอโรนา (coronal hole) ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ ซึ่งโพรงคอโรนาเป็นที่ ๆ มีลมสุริยะความเร็วสูงและรุนแรงพัดออกมาจากดวงอาทิตย์ในบริเวณนั้น ในขณะที่ลมสุริยะที่เกิดขึ้นบริเวณแนวใกล้ศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์จะมีความเร็วต่ำ ลมสุริยะที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของคอโรนาในแนวศูนย์สูตรดวงอาทิตย์นี้มีความเร็วเริ่มต้นโดยเฉลี่ยประมาณ 450 กิโลเมตรต่อวินาที หลังจากนั้นจะเร่งความเร็วจนถึงราว 800 กิโลเมตรต่อวินาที

    การเร่งความเร็วของลมสุริยะนี้ เป็นอีกหนึ่งในปริศนาของดวงอาทิตย์ เพราะนักดาราศาสตร์ได้ตั้งข้อสงสัยมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่เริ่มรู้จักลมสุริยะแล้วว่า เพราะเหตุใดลมสุริยะจึงเร่งความเร็วขึ้นมาได้ จนเมื่อปี 2541 นี้เอง ยานโซโฮและดาวเทียมสปาร์ตันได้พบว่าสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์มีการกระเพื่อมตลอดเวลา ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลมสุริยะมีการเร่งความเร็วขึ้นก็ได้

    แม้ลมสุริยะที่กล่าวมานี้จะมีความเร็วถึงเกือบพันกิโลเมตรต่อวินาที ใช้เวลาประมาณ 26 ชั่วโมงในการเดินทางผ่านอวกาศเป็นระยะทางราว 150 ล้านกิโลเมตรมาถึงโลก ถึงกระนั้นก็ยังจัดว่ามีความเร็วและความรุนแรงต่ำ และไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์และผลกระทบต่าง ๆ บนโลก ลมสุริยะที่มีความรุนแรงผันผวนและมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมากจะเกิดจากปรากฏการณ์อย่างอื่นที่มีความรุนแรงเกรี้ยวกราดมากกว่ามาก นั่นคือ แฟลร์ และ คอโรนัลแมสอีเจกชัน
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ตาราง Solar terrestrail data meaning จากเว็บภัยพิบัติ Solar terrestrail data meaning | เว็บภัยพิบัติ Paipibat.com ผมเห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาลงให้อ่าน เอาไว้ผมมีเวลาจะมาแปลให้อ่านกันน่ะครับ

    Item : SFI
    Element : Solar Flux Index
    Description : DRAO Penticton reported value from 62.5 to 300. Intensity of solar radiation measured at 2800MHz (10.7cm). Good indication of the F layer ionization (layer that gives us most of our DX on HF). The higher the number, the greater the level of ionization is, and the higher the frequency. Measured three times daily, and the last received value is reported.

    Item : SN
    Element : Sunspot Number
    Description : NOAA reported value from 0 to 250. Daily Sunspot Number provided by NOAA is computed using a formula [R=k (10g+s)] by Rudolph Wolf in 1848, where R is the sunspot number; g is the number of sunspot groups on the solar disk; s is the total number of individual spots in all the groups; and k is a variable scaling factor (usually <1) that accounts for observing conditions and the type of observing device. SN does loosely correlate to SFI. Updated once daily.

    Item : A
    Element : Planetary A Index
    Description : NOAA reported value from 0 to 400. Provides a daily average level for geomagnetic activity. Uses the average of eight 3 hour K-Index values (magnetic value measured in nanotesla or nT) to provide the level of instability in the earth’s geomagnetic field. When used with K-Index: Both high indicates geomagnetic field is unstable, and HF signals are prone to sudden fades, and some paths may close while others open up abruptly and with little warning. High K index/Low A indicates a sudden, abrupt disturbance in the geomagnetic field, which can cause an intense but brief disruption in HF propagation, but can cause an auroral event. Updated once daily.

    Item : K
    Element : Planetary K Index
    Description : NOAA reported value from 0 to 9. Measures disturbances in the horizontal component of earth’s magnetic field. Value in nT is measured using a magnetometer during a three-hour interval, and then converted to a factor. Use with A-Index – sees above to determine HF conditions. Updated eight times daily.

    Item : X-Ray or XRY
    Element : Hard X-Rays
    Description : NOAA reported value from A0.0 to X9.9. Intensity of hard x-rays hitting the earth’s ionosphere. Impacts primarily the D-layer (HF absorption). The letter indicates the order of magnitude of the X-rays (A, B, C, M and X), where A is the lowest. The number further defines the level of radiation. Updated eight times daily.

    Item : 304A
    Element : 304 Angstroms
    Description : NOAA reported value from 0 to unknown. Relative strength of total solar radiation at a wavelength of 304 angstroms (or 30.4 nm), emitted primarily by ionized helium in the sun’s photosphere. Two measurements are available for this parameter, one measured by the Solar Dynamics Observatory, using the EVE instrument, and the other, using data from the SOHO satellite, using its SEM instrument. Responsible for about half of all the ionization of the F layer in the ionosphere. 304A does loosely correlate to SFI. Updated hourly.

    Item : Pnt Flx or PF
    Element : Proton Flux
    Description : NOAA reported value from 0 to unknown. Density of charged protons in the solar wind. The higher the numbers, the more the impact the ionosphere. Primarily impacts the E-Layer of the ionosphere. Updated hourly.


    Item : Elc Flx or EF
    Element : Electron Flux
    Description : NOAA reported value from 0 to unknown. Density of charged electrons in the solar wind. The higher the numbers (>1000), the more the impact the ionosphere. Primarily impacts the E-Layer of the ionosphere. Updated hourly.

    Item : Aur
    Element : Aurora
    Description : NOAA reported value from 0 to 10++. Indicates how strong the F-Layer ionization is in the polar regions. Higher values cause auroral events (including northern/southern lights) to move to lower latitude. Updated hourly.

    Item : n
    Element : Normalization
    Description : NOAA reported value from 0 to 5. When <2.0, high confidence in Aurora measurement. When >2, low confidence. Updated hourly.


    Item : Bz
    Element : Bz Component
    Description : NOAA reported value from +50 to -50. Strength and direction of the interplanetary magnetic field as impacted by solar activity. Positive is same direction as the earth’s magnetic field, and negative is the opposite magnetic polarity. Cancels out earth’s magnetic field when negative, which increases the impact of solar particles in the ionosphere. Updated hourly.


    Item : SW
    Element : Solar Wind
    Description : NOAA reported value from 0 to 1000. Speed (kilometers per second) of the charged particles as they pass earth. The higher the speed, the greater the pressure is exerted on the ionosphere. Values greater than 500 km/sec have impact on HF communications. Updated hourly.







    Item : Aur Lat
    Element : Aurora Latitude
    Description : Calculated value from 67.5 to <45.0. Calculation from NOAA utilizes the current Aurora measurement. Used to estimate the lowest latitude impacted by the auroral event. Updated hourly.


    Item : Aur
    Element : Aurora
    Description : DX-Robot reported event (used with permission). Reports Band Closed for No/Low Auroral activity, High LAT AUR for Auroral activity >60°N, or MID LAT AUR for Auroral activity from 60° to 30°N. Updated every ½ hour.




    Item : EsEU
    Element : Sporadic E Europe
    Description : DX-Robot reported event (used with permission). Reports Band Closed, High MUF when 2M only is open, or 50/70/144MHz ES when the respective band is reported open. Updated every ½ hour.


    Item : EsNA
    Element : Sporadic E North America
    Description : DX-Robot reported event (used with permission). Reports Band Closed, High MUF when conditions support Es, and 144MHz ES when the band is reported open. Updated every ½ hour.


    Item : EME Deg
    Element : Earth-Moon-Earth Degradation
    Description : Make More Miles reported value (used with permission). Reports EME path attenuation as Very Poor (>5.5dB), Poor (4dB), Moderate (2.5dB), Good (1.5dB), Very Good (1dB), Excellent (<1dB). Updated every ½ hour.


    Item : MUF
    Element : Maximum Usable Frequency
    Description : Make More Miles reported value (used with permission). Provides the Maximum Usable Frequency in a colored bar. Gray indicates No Sporadic E (ES) activity , blue indicates ES reported @ 6M, green indicates ES reported @ 4M, yellow indicates conditions support 2M ES, and red indicates reported @ 2M. Updated every ½ hour.




    Item : MS
    Element : Meteor Scatter
    Description : Make More Miles reported value (used with permission). Provides the Meteor Scatter activity, blue (low), green, yellow, orange, to red (high) activity in a colored bar. Updated every ½ hour.

    Item : GeoMag Fld
    Element : Geomagnetic Field
    Description : Calculated value. Indicates how quiet or active the earth’s magnetic field is based on the K-Index value. Reports as Inactive, Very Quite, Quiet, Unsettled, Active, Minor Storm, Major Storm, Severe Storm, or Extreme Storm. Higher indications can cause HF blackouts and auroral events. Updated every three hours.


    Item : Sig Noise Lvl
    Element : Signal Noise Level
    Description : Calculated value. Indicates how much noise (in S-units) is being generated by interaction between the solar wind and the geomagnetic activity. A more active and disturbed solar wind, the greater the noise. Updated every ½ hour.


    Item : MUF
    Element : Maximum Usable Frequency
    Description : NOAA reported value from 0 to 100MHz. Provides the maximum usable frequency in MHz at one of 11 locations worldwide. Updated every 15 minutes.


    Item: CME
    Element : Coronal Mass Ejection
    Description : NOAA/SWPC predicted date and time (in UTC). Provides the date and time of a predicted earth bound CME event. Color coded for severity, where green is minor, yellow is moderate, and red is severe. Updated when predictions are received from NOAA/SWPC.
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อย่าลืมนำบทสวดสลายบาปไปสวดเพื่อช่วยโลกกันด้วยน่ะครับ ซุปเปอร์แมน ยอดมนุษย์มีแต่ในนิยาย การเอาตัวรอดคือต้องทำความดีกันเท่านั้น
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    NASA ส่งเสริมให้นักเรียนอเมริกันสร้างบอลลูนสำรวจภูมิอากาศและภูมิอวกาศ เป็นโครงการรับมือมหาพิบัติภัย

    บอลลูนเหล่านี้ก็จะถูกปล่อยไปทดแทนดาวเทียม เพื่อภาระกิจการสื่อสารและสำรวจสภาพอากาศและอวกาศ


    พูดเกินจริงไปค่ะ แล้วบอลลูนจะถูกปล่อยไปทดแทนดาวเทียมก็เป็นไปไม่ได้ค่ะ ตรวจสอบด้วยนะคะ

    คุณ nimnong ครับผมตรวจสอบให้แล้วครับ

    นักวิทยาศาสตร์รู้ได้อย่างไรว่าสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับอดีต ???
    นักวิทยาศาสตร์มีวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจสภาพภูมิอากาศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหลายวิธี ดังนี้
    สถานีตรวจอากาศ (Weather Stations) ช่วยให้เราทราบถึงอุณหภูมิบนพื้นผิวโลก โดยสถานีตรวจวัดอากาศแต่ละแห่งจะมีเครื่องวัดอุณหภูมิ (เทอร์โมมิเตอร์) เครื่องมือวัดความเร็วลม เครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝน หรือเครื่องมือวัดความเข้มข้นของโอโซน และก๊าซต่างๆ

    บอลลูนตรวจอากาศ (Weather balloons) นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ประโยชน์จากบอลลูนในการตรวจวัดสภาพอากาศ โดยปล่อยบอลลูนที่ติดตั้งเครื่องมือพิเศษที่สามารถส่งข้อมูลสภาพอากาศบนชั้นบรรยากาศ กลับมายังสถานีรับสัญญาณภาคพื้นดินได้

    ทุ่นลอยน้ำ (Ocean Buoys) ทุ่นลอยน้ำที่ติดตั้งในมหาสมุทรส่วนใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเตือนเรือเดินสมุทรให้ทราบถึงจุดที่เป็นอันตรายในท้องทะเลหรือแม่น้ำ ซึ่งทุ่นลอยน้ำบางลูกได้ตืดตั้งอุปกรณ์พิเศษในการบอกอุณหภูมิ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศในบริเวณนั้นด้วย

    ดาวเทียมตรวจอากาศ (Weather Satellites) มนุษย์ส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลก ซึ่งดาวเทียมดังกล่าวจะส่งข้อมูลเกี่ยวกับสภาพลมฟ้าอากาศ และอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกกลับมาให้นักวิทยาศาสตร์บนพื้นโลก

    แกนน้ำแข็ง (Ice Cores) นักวิทยาศาสตร์สามารถทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้จากร่องรอยของธารน้ำแข้ง โดยจะทำการขุดเจาะชั้นน้ำแข็งจากธารน้ำแข็งออกมาเป็นแท่ง เพื่อศึกษาฟองอากาศที่อยู่ภายในแท่งน้ำแข็งนั้น ฟองอากาศนี้สามารถบอกสภาพอากาศไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ และความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกย้อนหลังได้ถึง 160,000 ปี

    การวิเคราะห์ชั้นตะกอน (Sediment Analyses) ชั้นตะกอน คือ ชั้นของดินและหินที่ทับถมกันเป็นระยะเวลานาน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาสภาพอากาศในอดีตจากสิ่งที่พบในชั้นตะกอน เช่น การทราบถึงที่ตั้งของธารน้ำแข็งในอดีต ทิศทางการไหลขอลกระแสน้ำในมหาสมุทร หรือการพบละอองเรณูในชั้นตะกอน ทำให้ทราบถึงชนิด และลักษณะของพืชพันธุ์ที่เกิดขึ้นในยุคต่างๆ ซึ่งสามารถนำมาเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์สภาพอากาศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ด้วย
    การศึกษาวงปีของเนื้อไม้ (Tree Rings) เมื่อเราตัดต้นไม้ตามแนวขวางจะพบว่าในเนื้อไม้จะมีวงปี ซึ่งสามารถใช้ในการคำนวณอายุของต้นไม้ได้ด้วย การนับจำนวนวงปี เพราะในทุกๆ ปีที่พืชเจริญเติบโตขึ้นมันจะขยายความกว้างของลำต้น นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาวงปีของไม้ เพื่อบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนในอดีตได้

    จะเห็นได้ว่า วิธีการสำรวจสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน สามารถใช้สถานีตรวจวัดอากาศ บอลลูนตรวจอากาศ และการใช้ทุ่นลอยในมหาสมุทร ส่วนวิธีการตรวจสภาพภูมิอากาศในอดีตนั้น สามารถศึกษาได้จากแกนน้ำแข็งชั้นตะกอน และการศึกษาจากวงปีไม้ ซึ่งหลักฐานทั้งหมดนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    บอลลูนตรวจอากาศสามารถทำหน้าที่แทนดาวเทียมตรวจอากาศ ได้แค่ระดับหรึ่วครับ
    เพราะว่าประโยชน์คือด่วเทียมสามารถถ่ายภาพยรรยากาศโลกจากมุมมองที่สูงขึ้นกว่าบอลลูล ทำให้มองเห็นภูมิทัศน์ด้านล่างในระดับที่สูงขึ้น
    มองเห็นการก่อตัวของกลุ่มเทฆ และวัดค่าความกดอากาศไเ้อย่างต่อเนื่องได้ดีกว่าบอลลูนครับ และถ่ายภาพภูมิลักษณะเพื่อนำมาวิเคราะห์ทางโมเดลโดยใช้วิชาเฉพาะที่เรียกว่า image processing ซึ่งผู้ที่ศึกษาทางภูมิศาสตร์บางสาขาต้องเรียนครับ แต่บอลลูนทำได้แต่ตรวจวัดสภาพอากาศเช่น ความเร็วลม อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ เท่านั้นครับ และนำค่าเหล่านั้นมาเข้าโมเดลเพื่อทำนายผล ส่วนโมเดลจะแน่แค่ไหนก็คฃขึ้นกับความสามารถของคนนั้นๆ ว่าสำนีกไหนวิจัยดีกว่าครับ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คณ nimnong ครับส่วนใหญ่ข้อมูลของอาจารย์ปิยะชีพจะให้ข้อมูลแบบกว้าง ๆ ครับ ท่านอยากพูดจุดไหนท่านก็พูดเลยบางครั้งข้อมูลท่านขาดความสัมพันธ์กัน ซึ่งเป็นลักษณะปรกติของผู้รู้ครับ เพราะรู้มากจนลืมไปว่าผู้อ่านไม่เข้าใจ ต้องขยายความในข้อมูลให้ระเอียดขึ้น เรียกว่าปรับระดับความคิดให้เข้าใจตรงกัน
     
  14. mai321

    mai321 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +817
    ขอบคุณนะครับ ที่รวบรวมข้อมูลให้ติดตาม อย่าพึ่งถ้อปิดหนีนะครับเสียดาย
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ไม่ปิดหรอกครับ ผมตั้งใจจะสร้างความดี เพราะผมเบื่อหน่ายห้วงสังสารวัตรที่แสนเจ็บปวด ผมจึงจะจำเพียงหวังว่าผลบุญนี้จะช่วยใก้คำอธิษฐานที่ตั้งใจสำเร็จ เพื่อจะได้หลุดพ้น และจะยังให้ผู้อื่นหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผมขอบอกก่อนน่ะครับว่าไม่มีการจัดพาไปทำบุญ ไม่เรี่ยไร เพราะการทำบุญที่ไหนก็ได่ ตามใจศรัทธาแต่ต้องจริงใจ ไม่ขออะไร ขอหวย ขอความร่ำรวย ความสำเร็จก็ไม่ควร สิ่งใดจะได้มาก็ให้แล้วแต่วาสนาพาไปก็พอครับ
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ถ้ามีใครถามว่ากองทุกข์ไหนยิ่งใหญ่ที่สุด ตอบเลยว่ากองทุกข์ในห้วงสังสารวัฎนี้ใหญุ่สุด แะเพิ่มมีขึ้นอย่างไม่รู้จบ ขนาดพระอวโลกิเตศวร ผู้ฟังเสียงโลกยอมลงสู้ก้นบึ้วแห่งนรกเพื่อโปรดสัตว์ แต่นรกนั้นก็ยังเต็มไปด้วยผู้ทนทุกข์ไม่จบสิ้น เพราะเมื่อโปรดสัตว์ไล่ขึ้นมาในแต่ละชั้น พีะองค์ก็ยังพบว่ามีสัตว์ได้ตกลงสู่เบื้องล่างจำนวนมหาศาลอย่างไม่รู้จบสิ้น
     
  17. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    ขอบคุณครับ ท่านสุกิจฯ
    ผมตามข้อมูลท่านครั้งที่ท่าน Update
    และจะเป็นกำลังใจให้ท่านครับ
    :cool:
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    10 ทฤษฎีความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิด โลกาวินาศ ข้อมูลจาก 10 ทฤษฎี ความเป็นไปได้ ที่ทำให้เกิด โลกาวินาศ
    เว็บไซต์ เทเลกราฟ ประเทศอังกฤษ รายงาน 10ทฤษฎี ความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิดโลกาวินาศ โดยยกหลักฐาน พร้อมให้คะแนนความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ทีมงานเลยขอนำเสนอแก่แฟนๆครับเชิญชมได้ ณ บัดนี้

    10. การล่มสลายของสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต

    การ เปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน นำไปสู่หายนะโลกาวิบัติในไม่ช้า เห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ผ่านมา เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น มนุษย์ ซึ่งต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบโดยตรง หลักฐาน อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆปี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คะแนนความเป็นไปได้ 7 เต็ม 10



    9. ปรากฏการณ์ Colony Collapse Disorder (CCD) การล่มสลายของผึ้ง

    ปรากฏการณ์ รังผึ้งล่มสลาย (colony collapse disorder: CCD) คือปรากฏการณ์การหายไปของผึ้งตัวเต็มวัยเกือบทั้งรัง ทิ้งผึ้งราชินีและผึ้งที่ยังไม่โตเต็มวัยที่ต้องการอาหารและการดูแลไว้เพียง ลำพัง ความผิดปกตินี้ถูกพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. ๒๐๐๖ ในสหรัฐอเมริกา และผึ้งมากกว่า ๒ ใน ๓ ของสหรัฐอเมริกาก็หายไปภายใน ๒ ปี นอกจากนี้ยังพบปรากฏการณ์นี้ในยุโรปตะวันตกและไต้หวันอีกด้วย ผึ้งเป็นผู้ถ่ายละอองเรณู (pollinator) ที่สำคัญซึ่งจะช่วยถ่ายละอองเรณู และทำให้ผลไม้ต่างๆ ติดผล ผึ้งมีส่วนสำคัญในระบบเกษตรกรรมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง ๑๔ พันล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ ล่าสุด นักวิจัยด้านกีฏวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสาร “Proceedings of the National Academy of Sciences” (PNAS) ซึ่งเปิดเผยสาเหตุของ CCD จากการศึกษาชีววิทยาระดับโมเลกุลของผึ้ง ผลการศึกษาชี้ชัดว่า ผึ้งที่ตายจาก CCD มีไรโบโซม (ribosome) ที่ผิดปกติไปจากผึ้งปกติ นักวิจัยได้ใช้เทคนิคไมโครแอเรย์ (microarray) ที่สามารถเปรียบเทียบการแสดงออกของยีนได้คราวละมากๆ เปรียบเทียบการแสดงออกของยีนทั้งจีโนม (genome) ซึ่งสกัดจากเซลล์บริเวณทางเดินอาหารระหว่างผึ้งปกติและผึ้งที่ตายจาก CCD ไม่พบการแสดงออกของยีนที่ตอบสนองต่อยาฆ่าแมลงและยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบ ภูมิคุ้มกัน แต่กลับพบว่า ไรโบโซมของผึ้งที่ตายจาก CCD แตกหักเสียหายมากกว่าผึ้งปกติอย่างมีนัยสำคัญ ไรโบโซมเป็นสารชีวโมเลกุลที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสังเคราะห์โปรตีน ภายในเซลล์ ผึ้งที่ไรโบโซมเสียหายและใช้งานไม่ได้ จะไม่สามารถสังเคราะห์โปรตีนเพื่อตอบสนองเพื่อต่อต้านยาฆ่าแมลง การติดเชื้อจุลชีพต่างๆ ภาวะขาดอาหาร และความเครียดอื่นๆ จนนำไปสู่การตายในที่สุด สาเหตุของการแตกหักของไรโบโซมดังกล่าว คือไวรัสที่มีชื่อว่า Picorna-like Virus (ชื่อตั้งมาจากคำว่า “pico-” ซึ่งหมายถึง “เล็กๆ” กับคำว่า RNA ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ได้จากการถอดรหัสสารพันธุกรรม) ซึ่งจะขโมยไรโบโซมและสารชีวโมเลกุลอื่นๆ ของเจ้าบ้าน (host) ไปใช้ในการผลิตโปรตีนสำหรับการจำลองและแพร่กระจายพันธุ์ของตัวเอง และถ้าผึ้งตัวใดติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ไรโบโซมของมันจะทำหน้าที่ไม่ไหว และแตกหักเสียหายในที่สุด อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่สามารถหาสาเหตุของการติดเชื้อไวรัสได้



    8. วิกฤติน้ำมัน

    ไม่ว่าจะใช้ความพยายามเท่าใด ปริมาณน้ำมันที่ได้จากการสำรวจขุดเจาะ ก็จะลดลง แนวคิดนี้มาจากการสังเกตปริมาณน้ำมันของแต่ละบ่อที่ขุดเจาะ และเมื่อรวมถึงผลผลิตน้ำมันโดยรวม เมื่อถึงจุดที่สามารถผลิตน้ำมันที่ได้จากแหล่งปิโตรเลียมสูงสุดแล้ว หลังจากนั้น ปริมาณน้ำมันที่สำรวจขุดเจาะได้จากธรรมชาติจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้พลังงานก็จะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น เข้าลักษณะอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน ไปถึงจุด Peak Oil นั่นคือ”จุดที่ไม่มีน้ำมันเหลืออยู่” กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมทั่วโลก หลักฐาน จุดวิกฤติน้ำมัน เริ่มใกล้เข้ามาทุกที แต่ยังมีคำถามอยู่ว่า 1.มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 2.โลกจะพัฒนาให้มีเชื้อเพลิงใช้เป็นทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ คะแนนความเป็นไปได้ 4 เต็ม 10



    7. โลกาวินาศจากเหตุก่อการร้าย

    ตั้งแต่การโจม ตีก่อการร้าย ในกรุงนิวยอร์ค และวอชิงตัน สหรัฐ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่า 3 พันคน กลุ่มก่อการร้ายอัลเคดาห์ และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ มีบทบาทสร้างความหวาดกลัวแก่มวลมนุษยชาติ ทั้งการสะสมอาวุธสงคราม การทำลายล้างสิ่งก่อสร้าง การปล่อยสารเคมี และการโจมตีทางชีวภาพ ทั้งอังกฤษ และสหรัฐถูกตั้งเป้าเป็นแหล่งโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย หลักฐาน บิน ลาดิน ผู้ก่อตั้งขบวนการอิสลามแนวหน้านานาชาติเพื่อสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านชาว ยิว และพวกคริสเตียน (Interna-tional Isalamic Front for Jihad Against the Jews and Crusaders) ได้ให้สัมภาษณ์โจมตีอย่างรุนแรงถึงรัฐบาลอเมริกัน ว่าเป็นพวกโหดเหี้ยม ทำร้ายรวมถึงเข้าครอบครองพื้นที่มุสลิม โดยสนับสนุนอิสราเอล และประกาศจะให้บทเรียนที่สาสม ในวัน “ดำมืด” แก่สหรัฐอเมริกา รวมถึงพลเมืองที่ต้องรับผิดด้วย ทั้งนี้ เชื่อกันว่า กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ มีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์จ้องสังหารอยู่ คะแนนความเป็นไปได้ 2 เต็ม 10



    6. สงครามโลกครั้งที่สาม

    การขัดประโยชน์กัน เอง นำไปสู่ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือของเหล่ามวลมนุษย์ ทุกชีวิตจะล้มตาย ส่วนที่เหลือ จะได้รับความลำบากทุกข์ยาก ขาดแคลนทั้งเสบียง อาหาร น้ำดื่ม มนุษย์จะฆ่ากันเอง พื้นที่หลายส่วนจะถูกลบทิ้งออกจากแผนที่โลก บางแห่งอาจจะหายไปทั้งประชากรและแผ่นดิน สิ่งที่ไม่น่าเกิดก็จะเกิดขึ้น รวมถึงภัยพิบัติต่างๆตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่ผ่านมามีการแข่งขันด้านระเบิดนิวเคลียร์จากทั้งฝ่ายตะวันตก และตะวันออก มีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องตลอดปี 1970 และ 1980 หลักฐาน สงครามระหว่างประเทศเพิ่มระดับความขัดแย้งเป็นระดับโลก อาทิ สงครามเกาหลีเหนือ-ใต้ การเตรียมความพร้อมระเบิดนิวเคลียร์ในจีน มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ คะแนนความเป็นไปได้ 1.5 เต็ม 10



    5. การระเบิดภูเขาไฟครั้งร้ายแรงที่สุด

    การ ปะทุของวันสิ้นโลก เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า แมกม่าขนาดใหญ่จะขยายตัวภายในเปลือกโลก จนกระทั่งปะทุออกมา ผลก็คือ พื้นที่โลกมหาศาลถูกทำลายล้าง หลักฐาน หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมของผิวโลกพบว่า มีการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนไหวของหินหลอมละลาย 10 ไมล์ ใต้ผิวโลก คะแนนความเป็นไปได้ 1 เต็ม 10



    4. การเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก

    สนาม แม่เหล็กหลักที่ถูกสร้างขึ้นโดยกระแสการไหลอันรุนแรงของเหล็กที่หลอมเหลวของ แกนรอบนอกของโลกนั้น บางครั้งจะกลับทิศทางของมัน ด้วยเหตุนี้เข็มของเข็มทิศจะชี้ไปทางใต้แทนที่จะชี้ไปทางเหนือ การกลับหัวของขั้วเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นนับร้อยครั้งที่ช่วงระยะเวลาไม่แน่นอนในประวัติศาสตร์ของโลก ครั้งล่าสุดก็ประมาณ 780,000 ปีก่อน แต่นักวิทยาศาสตร์นั้นก็ยังพยายามที่จะศึกษาว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมมันถึงได้เกิดขึ้น เหตุนี้เองเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ถูกเชื่อว่า จะเป็นสาเหตุให้การหมุนของโลกปั่นป่วน เกิดความหายนะตามมา หลักฐาน นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Princeton และ Paul Sabatier ประเทศฝรั่งเศส ชี้ให้เห็นว่า โลกของเรามีการหมุนตัวกลับทิศด้วยตัวมันเองมานานกว่า 800 ล้านปี นอกจากนี้ยังมุ่งความสนใจไปยังหินที่บรรจุหลักฐานของจำนวนครั้งที่สนามแม่ เหล็กหลัก เหนือใต้นั้นได้อ่อนกำลังลง ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าขั้วแม่เหล็กนั้นอาจจะกลับทิศทาง คะแนนความเป็นไปได้ 1 เต็ม 10

    3. ภัยพิบัติจากดวงอาทิตย์
    ตามปฏิทินของ ชาวมายัน โดยอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าดวงอาทิตย์จะนำโลกไปสู่หายนะในปี 2012 การขับแก๊ส และการปะทุของดวงไฟขนาดใหญ่ สร้างความเสียหายแก่มวลมนุษย์ และระบบนิเวศในโลกจนสิ้น หลักฐาน ปฏิทินของชาวมายัน อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้ เนื่องจากมีการสังเกตวงโคจรของดวงอาทิตย์กว่า 11 ปี แม้หลักฐานค่อนข้างอ่อน แต่แสงจากดวงอาทิตย์ ก็สามารถสร้างปัญหาให้กับมนุษย์ได้ เช่น ระบบดาวเทียม การเดินทางของนักบินอวกาศ หากในอนาคต ดวงอาทิตย์หมดเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน นักวิทยาศาตร์ต่างเชื่อว่า ดวงอาทิตย์จะขยายตัวเป็นเชื้อเพลิงสีแดงขนาดใหญ่ เขมือบโลกจนวินาศ คะแนนความเป็นไปได้ 0.3 เต็ม 10

    2. ดาวปริศนา Nibiru (Planet X)
    ยังคงเป็นที่ ถกเถียงและหาทางพิสูจน์กันอยู่ว่า ดาวลึกลับในตำนาน มีอยู่จริงหรือไม่? และถ้ามี ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน? ดาวดังกล่าวถูกเชื่อมโยงถึงเรื่องปรากฏการณ์วันสิ้นโลก อยู่ในกาแลกซี่เดียวกับโลกของเรา มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru) เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ มีความเป็นไปได้ที่มันจะโคจรมาทับเส้นเดียวกับวงโคจรของโลก นั่นแสดงว่า มันมีสิทธิชนโลกได้ คาดว่าในปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ เพราะมันโคจรใกล้กับโลกของเราเต็มที หลักฐาน องค์การนาซ่า (NASA)ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในปี ค.ศ.2005 แต่ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวมีการเปิดเผยน้อยมาก และยังไม่แน่นพอ คะแนนความเป็นไปได้ 0.2 เต็ม 10

    1. การบุกรุกจากมนุษย์ต่างดาว และการยึดครองจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    เรื่อง ราวของมนุษย์ต่างดาว เป็นเรื่องที่ยังคงถกเถียงกันมาเป็นเวลานาน ยังไมีใครสามารถยืนยันได้ว่า นนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้อ้างว่า พบเห็นมนุษต่างดาว ยานอวกาศ อย่างต่อเนื่อง การบุกรุกจากมนุษย์ต่างดาวเคยเป็นเรื่องราวในนวนิยาย ไม่ว่าจะเป็นจากดาวอังคาร และดาวดวงอื่นๆ แต่ทว่า มนุษย์ก็ยังคงหวาดกลัวว่า เหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจริงขึ้นมาก็ได้ อีกทั้งหลักฐานต่างๆที่พบ ยิ่งสนับสนุนทฤษฎีนี้ หลักฐาน ภาพถ่าย วีดิโอ การเคลื่อนไหวของรัฐบาลจากประเทศต่างๆที่มีการเตรียมพร้อมรับมือ และตรวจสอบยานอวกาศนานกว่า 50 ปี คะแนนความเป็นไปได้ 0.1 เต็ม 10
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    10 ทฤษฎีความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิด โลกาวินาศ เป็นการตรวจสอบความนิยมน่ะครับว่าคนส่วนใหญ่คิดยังไง ส่วนใหญ่ก็มีการให้ตัวเลือกนำร่องแล้ว เพียงแต่ไปสำรวจเพื่อให้น้ำหนัก ดังนั้นอันดับ 1-10 เป็นแค่จัดลำดับความนิยมเท่านั้นครับ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,814
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปรัชญาปารมิตา
    จาก http://www.phuketvegetarian.com/borad/data/10/0062-1.html

    观自在菩萨 (พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร) ,行深般若波罗蜜多时 (เมื่อกาลที่พิจารณาด้วยพระปัญญาบารมีอยู่นั้น) ,照见五蕴皆空(รู้แจ้งชัดว่าปัญจขันธ์ล้วนว่างเปล่า),度一切苦厄 (ข้ามพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง)。舍利子(สารีบุตร),色不异空 (รูปไม่ต่างจากความว่าง),空不异色 (ความว่างไม่ต่างจากรูป),色即是空 (รูปคือความว่าง) ,空即是色 (ความว่างก็คือรูป),受想行识 (เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ),亦复如是(ก็เฉกเช่นเดียวกัน)。舍利子 (สารีบุตร),是诸法空相(ธรรมทั้งปวงล้วนว่างเปล่า),不生不灭 (ไม่เกิด,ไม่ดับ),不垢不净(ไม่สกปรก, ไม่สะอาด),不增不减(ไม่เพิ่ม,ไม่ลด)。是故空中无色(ในความว่างนั้นไม่มีรูป),无受想行识 (ไม่มีเวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ),无眼耳鼻舌身意 (ไม่มีตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ),无色声香味触法 (ไม่มีรูป, เสียงกลิ่น, รส, สัมผัส และธรรมารมณ์),无眼界 (ไม่มีจักขุทวาร),乃至无意识界 (จนกระทั่งถึงไม่มีมโนทวาร)。无无明 (ไม่มีอวิชชา),亦无无明尽 (เมื่อไม่มีอวิชชา),乃至无老死 (ย่อมไม่มีความแก่, ความตาย),亦无老死尽 (เมื่อไม่มีความแก่, ความตาย)。无苦集灭道 (จึงไม่มี ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค),无智亦无得 (ย่อมไม่มีซึ่งการรู้แจ้งและไม่รู้แจ้ง)。以无所得故 (ด้วยเหตุนี้),菩提萨埵 (โพธิสัตว์),依般若波罗蜜多故 (อาศัยปัญญาบารมีนี้),心无挂碍 (ใจจึงพ้นแล้วจากความกังวล),无挂碍故 (ด้วยเหตุที่พ้นจากความกังวลนี้),无有恐怖 (จึงไม่มีความกลัว),远离颠倒梦想 (พ้นแล้วจากอุปาทาน),究竟涅盘 (เข้าถึงพระนิพพาน)。三世诸佛 (พระพุทธเจ้าในตรีกาล),依般若波罗蜜多故 (อาศัยปัญญาบารมีนี้),得阿耨多罗三藐三菩提 (บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)。故知般若波罗蜜多 (เหตุเพื่อให้แจ้งในปัญญาบารมี),是大神咒 (มีมหามนต์),是大明咒 (เป็นมนต์แห่งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่),是无上咒 (ไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า),是无等等咒 (ไม่มีมนต์อื่นใดอีก),能除一切苦 (ที่จะสามารถขจัดเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง),真实不虚 (จริงแท้มิแปรผัน)。故说般若波罗蜜多咒 (จักแสดงมนต์แห่งปัญญาบารมี),即说咒曰 (ดังนี้):揭谛揭谛波罗揭谛波罗僧揭谛菩提萨婆诃 (เจียตีเจียตี ปอลอเจียตี ปอลอเซิงเจียตี ผู่ที ซาพอเฮอ)。

    อรรถว่า “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” นั้นเป็นภาษาสันสกฤต โดยในส่วนของคำว่า “ปรัชญา” ในภาษาสันสกฤตตรงกับคำว่า “ปัญญา” ในภาษาบาลี คำว่า “ปารมิตา” ตรงกับว่า “ปารมี” (คนไทยออกเสียงว่า “บารมี”) และคำว่า “หฤทัย” ตรงกับคำว่า “หทัย” เมื่อรวมกันแล้วคำว่า “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” จึงตรงกับภาษาบาลีว่า “ปัญญาปารมีหทัยสูตร” ซึ่งแปลว่า “พระสูตรที่ว่าด้วยหัวใจแห่งปัญญาบารมี” ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร《般若波罗蜜多心经》เป็นพระสูตรที่เน้นยํ้าถึงแนวคิดสุญญตา อันเป็นแนวคิดที่สำคัญของพระพุทธศาสนา


    เหตุใดฤาจึงได้นามว่า “อวโลกิเตศวร” 《观自在》(ผู้เป็นใหญ่แห่งการเฝ้ามองอันไร้ประมาณ) เพราะอรรถว่าไร้แล้วซึ่งอัตตา สู่ความเป็นอิสระธรรม《自在》จึงได้ขนานนามนี้

    เมื่อกาลที่พระอวโลกิเตศวรทรงตรึกในหฤทัยด้วยพระปัญญาบารมีอันเกษม โดย “กาละ” นั้น หมายเอากาละทั้ง 3 (ตรีกาล)《三世》กล่าวคือ อดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ธรรมดาแห่งพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีพระปัญญาธิคุณ, พระเมตตาคุณ, และพระมหากรุณาธิคุณ บริบูรณ์ไปในกาละทั้ง 3 เหตุนี้แลจึงกล่าวว่า观自在菩萨 (พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร) ,行深般若波罗蜜多时 (เมื่อกาลที่พิจารณาด้วยพระปัญญาบารมีอยู่นั้น)

    ข้อบทว่า是诸法空相 (ธรรมทั้งปวงล้วนว่างเปล่า) นั้นแสดงโดยอรรถว่าธรรมทั้งปวง เป็นสุญญตา (ความว่าง) ความว่างในที่นี้หาใช่ไม่มีสิ่งใดก็หาไม่ ใช่มีสิ่งใดก็หาไม่ เพราะทางทั้ง 2 ดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นมิจฉาทิฐิ ( นัตถิตาและอัตถิตา) หากแต่เป็นสภาวะอันปราศแล้วด้วยอัตตวาทุปาทาน เหตุนี้แลจึงชื่อว่า “สุญญตา” (ความว่าง)

    อุปมาดังแสงสุรีย์เมื่อฉายขึ้นสู่ท้องนภา จักยังให้ความมืดปลาสนาการไปฉันใด จิตเมื่อกอปรด้วยปัญญาบารมี อัตตวาทุปาทาน(อุปาทานคือความสำคัญผิดว่ามีตัวตน) ย่อมอันตรทานสิ้นไปฉันนั้น เมื่อนั้นย่อมจักประจักษ์ชัดว่า ธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตา อุปมาดังฉายาแห่งศศิบนผืนนที หรือดั่งความฝัน เสมือนมีแต่หาได้มีอยู่ไม่ เมื่อเป็นสุญญะแล้วไซร้ย่อมไร้ซึ่งอุบัติ (เกิด) และภังคะ (ดับสลาย) เหตุนี้แลจึงแสดงว่า是诸法空相(ธรรมทั้งปวงล้วนว่างเปล่า),不生不灭 (ไม่เกิด,ไม่ดับ)

    เมื่อสิ้นอัตตวาทุปาทานแล้วไซร้ ย่อมจักไร้แล้วซึ่งการวิภัชชะ (การจำแนกแยกแยะ) แห่งธรรมด้วยประการต่างๆ เช่น ช้า-เร็ว, ยาว-สั้น, สกปรก-สะอาด, ละเอียด-ประณีต, สูง-ตํ่า ฯลฯ เหตุนี้แลจึงแสดงว่า 不垢不净(ไม่สกปรก, ไม่สะอาด),不增不减(ไม่เพิ่ม,ไม่ลด)。

    เหตุที่ธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตา ย่อมจักไร้แล้วซึ่งรูป ( มหาภูตะและอุปาทายะ) และไร้แล้วซึ่งนาม (เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ) ยิ่งย่อมจักไร้แล้วซึ่ง อายตนะภายใน (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป, สี, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ, ธรรมารมณ์) ไม่มีแม้ปัญจทวาร( จักขุทวาร, โสตทวาร, ฆานทวาร, ชิวหาทวาร,กายทวาร) และยิ่งจักไร้แล้วซึ่งมโนทวาร เหตุนี้แลจึงแสดงว่า是故空中无色(ในความว่างนั้นไม่มีรูป),无受想行识 (ไม่มีเวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ),无眼耳鼻舌身意 (ไม่มีตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ),无色声香味触法 (ไม่มีรูป, เสียงกลิ่น, รส, สัมผัส และธรรมารมณ์),无眼界 (ไม่มีจักขุทวาร),乃至无意识界 (จนกระทั่งถึงไม่มีมโนทวาร)。

    ด้วยนัยอันกล่าวมาแต่บัดต้น จึงประชุมลงในบัดนี้ว่า ย่อมจักไม่มีอวิชชา เมื่อไร้แล้วซึ่งอวิชชา ย่อมจักไม่มีชราและมรณะ (ดำเนินความตามปฏิจจสมุปบาท) เช่นนี้แล้วจะหาทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค มาแต่หนใด จะป่วยการไปใยที่จักกล่าวถึง การรู้แจ้งและการไม่รู้แจ้ง อุปมาดั่งเมื่อไม่มีแม่โคย่อมไร้แล้วซึ่งลูกโคฉะนั้น ด้วยเหตุนี้จึงแสดงว่า无无明 (ไม่มีอวิชชา),亦无无明尽 (เมื่อไม่มีอวิชชา),乃至无老死 (ย่อมไม่มีความแก่, ความตาย),亦无老死尽 (เมื่อไม่มีความแก่, ความตาย)。无苦集灭道 (จึงไม่มี ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค),无智亦无得 (ย่อมไม่มีซึ่งการรู้แจ้งและไม่รู้แจ้ง)。

    สภาวะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือไร้แล้วซึ่งอัตตา (ตัวตน, บุคคล, สัตว์ ฯลฯ) ดังที่วัชรสูตร ตติยวรรค 《金刚经第三品》แสดงไว้ว่า “ไร้ซึ่งอัตตา , ไร้ซึ่งมนุษย์, ไร้ซึ่งสรรพชีวิต, ไร้ซึ่งอาวุโส (ผู้มีอายุ) 《无我相、无人相、无众生相、无寿者相》 เมื่อไร้ซึ่งอัตตาแล้วไซร้ ไหนเลยที่มนุษย์ตลอดจนถึงสรรพชีวิตจักมีปรากฏ และเมื่อไร้แล้วซึ่งอัตตา อัตตนียาก็จักหามีไม่ เช่นนั้นแล้วย่อมไร้ซึ่งทุกข์และสุข, ไร้ซึ่งอารยะและอนารยะ, ไร้ซึ่งโลกียะและโลกุตระ ตลอดจนถึงไร้ซึ่งวัฏฏะสงสารแลนิพพาน เมื่อธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตา ย่อมไม่มีการบรรลุธรรม และเมื่อไร้ซึ่งสรรพชีวิต ไหนเลยจักมีซึ่งสัตว์ที่บรรลุธรรม เพราะทุกสิ่งที่แสดงมาเบื้องตนนี้ อาศัยอัตตวาทุปาทาน (อุปาทานคือความสำคัญผิดว่ามีตัวตน) แบ่งแยกขึ้น บัณฑิตจึงพิจารณาโดยแยบคายก็จักไถ่ถอนอัตวาทุปาทานทั้งปวงได้โดยพลัน

    ในบทอวสานแห่งพระปรัชญาปารมิตาสูตร ได้แสดงมหามนต์ ตามนัยแห่ง “คุยหยาน” (ยานอันลับ) มนต์นี้จักยังให้ผู้สาธยาย ไถ่ถอนซึ่งอัตตวาทุปาทาน แลด้วยเหตุแห่งคุยหะ(ลับ) นั้น ย่อมจักไม่ต้องแปล เมื่อแปลย่อมจักไม่ใช่คุหยกะอีกต่อไป มนต์ดังกล่าวมาจากภาษาสันสกฤตดังนี้ “คเต คเต ปรคเต ปรสํคเต โพธิ สวาหะ”

    ขอให้ข้าพเจ้าหมดสิ้นอาสวกิเลส บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...