เรื่องเด่น ดูจิตอย่างไร ให้ดำรงอยู่ในสมาธิ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 16 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    ดูจิตอย่างไร ให้ดำรงอยู่ในสมาธิ

    3f4sqiums6k-mikael-kristenson-696x368.jpg


    คำถาม คือ มีวิธีดูจิตขณะเดินจงกรมอย่างไรให้ได้ตลอดโดยที่จิตไม่ไปไกล

    พระอาจารย์มานพ อุปสโม พระอาจารย์ผู้ไขปัญหา อธิบายว่า

    “มองไปในตัว จิตก็ไม่ไปที่อื่นแล้วอย่าทิ้งการมองดูตัวเราเอง มองดูตัวเองจิตก็อยู่ในตัวหยุดมองดูตัวเองจิตก็ไปข้างนอกแล้วเราก็ห้ามไม่ได้แต่เราสามารถสกัดได้โดยการเข้ามามองภายในก็จะเริ่มเห็นความเป็นจริงก็ให้ตั้งใจดูแล้วจิตก็จะไม่เตลิดไปไกลในขณะเดินจงกรมให้เราเดินไปด้วยดูความรู้สึกไปด้วย ฝึกดูความคิดบ่อย ๆ จิตก็จะไม่ส่งออกไม่ทุรนทุรายไม่ซัดส่าย”



    แล้วถ้า ขณะที่นั่งสมาธิดูลมหายใจไปสักพัก ลมหายใจก็หายไป มีแต่ความว่างเปล่าอาการเช่นนี้คืออะไร

    พระอาจารย์มานพ ตอบว่า ขณะที่พิจารณาลมหายใจแรก ๆ ลมหายใจของเรายังหยาบอยู่ จึงปรากฏชัด เมื่อพิจารณาไปเรื่อย ๆ ลมหายใจก็ละเอียดขึ้น จนเราตามดูไม่ทัน แต่จริง ๆ ยังมีอยู่ ถ้าปฏิบัติถึงขั้นนี้ให้เรามองดูบริเวณที่ลมหายใจเคยกระทบตั้งใจและใส่ใจดู เราก็จะมองเห็นลมหายใจ นั่นคือการที่จิตเริ่มเป็นสมาธินั่นเอง



    ขณะไปปฏิบัติธรรม หลายแห่งมีกฎกำหนดให้ให้ปิดวาจา อยากทราบความหมายของคำว่าปิดวาจา หลายคนเข้าใจว่า เพื่อไม่ให้ผู้ปฎิบัติพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ เข้าใจถูกหรือไม่

    พระอาจารย์มานพ ตอบว่า ปิดก็คือไม่เปิด ปิดวาจาก็คืองดพูดเพราะว่าพูดแล้วอาจเกิดปัญหา คนเราเวลาพูดกันไม่ได้คุยกันแต่เรื่องของสองคน มักจะพาดพิงถึงคนอื่น เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ถือเป็นการส่งจิตออกทำให้จิตว้าวุ่น ขณะเดียวกันคนสองคนคุยกันก็มีปัญหาได้ คือชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้างการคุยกันจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อการกระทำความเพียร จึงควรงดคุยคนสองคนก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน

    แต่จริง ๆแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สรรเสริญการงดพูดโดยเด็ดขาด สมัยที่พระพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ มีพระสงฆ์ไปจำพรรษาร่วมกันหลายรูปในป่าโดยตั้งกติกาไม่คุยกัน ยกเว้นกรณีที่อุบาสกอุบาสิกาถาม เมื่อไปบิณฑบาตพระจะอมน้ำ ถ้าโยมไม่ถามก็จะอมอยู่อย่างนั้นถ้าโยมถามก็กลืนน้ำแล้วตอบ เมื่อถึงวันพระพระก็จะมาพบกันครั้งหนึ่ง แต่ผลคือมีพระรูปหนึ่งหาย ก็สอบถามกันว่าไปไหนได้คำตอบว่าพระรูปนั้นถูกเสือกิน แต่ตั้งกติกาปิดวาจา จึงไม่ได้บอกกันดังนั้นการจำพรรษาด้วยกันแล้วไม่พูดกัน บางครั้งก็ทำให้เกิดโทษได้ จึงต้องพิจารณาให้ดีว่าควรพูดเวลาใด



    คำถามต่อว่า ในขณะเดินจงกรมมักรู้สึกง่วงแต่เมื่อเราเห็น มันก็จะหายไปแต่เวลานั่งสมาธิ ความง่วงเกิดขึ้นมักมองไม่เห็น ทำให้เคลิ้มหลับไปเลย มีวิธีแก้ไขอย่างไร

    พระอาจารย์มานพ ตอบว่า ต้องใส่ใจให้ชัดเจน ดูด้วยจิตที่มีกำลังตั้งใจมองเข้าไปในความรู้สึกง่วง ความง่วงคือความรู้สึกท้อถอย จิตถดถอยต่อการรับรู้อารมณ์ การดูความง่วงจึงต้องออกกำลังมากเหมือนการจะกระโดดข้ามท้องร่อง หากยืนที่ปากท้องร่องแล้วกระโดดข้ามก็ข้ามไม่ได้ ถ้าจะข้ามให้ได้ต้องถอยหลังก่อน เช่นกัน การขจัดความง่วงต้องตั้งสติเพิ่มขึ้นไปอีกสองเท่าและมองบ่อย ๆ ก็จะทันความรู้สึก

    อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ ขณะที่นั่งสมาธิดูลมหายใจไปสักพัก ลมหายใจก็หายไป มีแต่ความว่างเปล่าอาการเช่นนี้คืออะไรหรือคะ

    พระอาจารย์มานพ ตอบว่า ขณะที่พิจารณาลมหายใจแรก ๆ ลมหายใจของเรายังหยาบอยู่ จึงปรากฏชัด เมื่อพิจารณาไปเรื่อย ๆ ลมหายใจก็ละเอียดขึ้น จนเราตามดูไม่ทัน แต่จริง ๆ ยังมีอยู่ ถ้าปฏิบัติถึงขั้นนี้ให้เรามองดูบริเวณที่ลมหายใจเคยกระทบตั้งใจและใส่ใจดู เราก็จะมองเห็นลมหายใจ นั่นคือการที่จิตเริ่มเป็นสมาธินั่นเอง

    QA หากผู้อ่านมีปัญหาหนักใจ ต้องการคำแนะนำ แฝงด้วยแนวคิดทางธรรม สามารถส่งคำถามมาได้ ที่นิตยสาร ซีเคร็ต คอลัมน์ Dhamma Daily หรือ dhammadaily2015@gmail.com


    --------------
    ที่มา
    http://www.goodlifeupdate.com/47785/uncategorized/dhamma-daily-1522016-mwditation/
     

แชร์หน้านี้

Loading...