จิตเดิม มีอยู่จริงหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 29 สิงหาคม 2013.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับ อยากขอความเห็นแก่เพื่อนพี่สมาชิกครับว่า จิตเดิมนั้นเรารู้มาว่า เป็นจิตที่บริสุทธ์ สะอาดสว่างไสว ประภัสสร นั้นเป็นสภาวะของนิพพานหรือไม่
    สิ่งที่เราต้องการนั้นคือนิพพาน คือการรู้ด้วยปัญญา ฉนั้นสิ่งที่เรากระทำนั้นเพื่อเข้าไปสู่จิตเดิม หรือไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม
     
  2. wechza

    wechza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +246
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    สังเกตไหม เวลาถาม หา จิตเดิม มันเดิมมาแต่ไหน

    พอถามแล้ว ก็จะถามอีกว่า จิตจะสิ้นสุดที่ใด

    การถามหา จุดกำเหนิด มันก็จะ พาให้ งง แล้วต้องถาม จุดปลาย เสมอ

    แต่ถ้า

    เอาใหม่ ถามว่า " จิตมีเหตุเกิดอย่างไร " หาก เห็นเหตุเกิดของจิต
    จะต้องถามไหมว่า แล้ว จิตมันจะสิ้นสุดอย่างไร

    ยิ่งหากเราเห็นว่า "เหตุ" ทีทำให้จิตเกิด มันเป็นเรื่อง ผัสสะ การ
    กระทบรู้ บวกกับตัณหานิดหน่อย จิตก็เกิด

    แล้วบังเอิญ คุณใส่ใจละสมุทัย ละตัณหา แล้ว เหตุมันก็ดับ จะต้อง
    ถามอีกหรือเปล่าว่า จิตมันจะสิ้นสุดอย่างไร

    อย่าไปสนใจว่า มันมีมาแต่ไหน แล้ว มันจะจบอย่างไร

    แต่ มาดู เหตุ และ ดูการดับไปของเหตุ นั้น มันส์กว่า นะ

    ไม่ต้องไปไหนไกลเลย เห็น เฉพาะหน้านี่แหละ
     
  4. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    จิตประภัสสรหรืออาภัสราพรหมไม่ใช่สภาวะนิพพาน ถ้าเป็นนิพพานก็คงลงมากินมูลดินไม่ได้ ส่วนนิพพานไปแล้วไปเลยไม่สามารถลงมาดราม่าอีก
     
  5. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    หลวงปู่สาวกโลกอุดรสอนว่า "จิตมีเกิดและดับไปทุกๆขณะ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน เช้ายันค่ำ คืนยันรุ่ง ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไปอย่างหาที่สุดไม่ได้"
    จิตเดิมหรือจิตแท้มันจึงไม่มี การจะถึงซึ่งนิพพานหาได้เข้าถึงจิตเดิมหรือจิตแท้ แต่เป็นการดับจิตต่างหาก ก็จิตนี้ละเป็นสมุทัย เป็นเหตุแห่งทุกข์ คำว่าจิต หรือใจ หรือวิญญาณ หรือความคิด ถึงเรียกต่างกัน แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวกันทั้งนั้น จะเรียกว่าดับจิต ดับใจ ดับวิญญาณ หรือดับความคิดก็ได้ทั้งนั้น ก็นิพพานเช่นกัน
    เจริญในธรรมครับ
     
  6. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    คุณ Duchess ใช้คคำว่า. ดราม่า. ชัด ม๊าก. catt3
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    การใช้คำว่า drama นับว่า ชัดเจนมาก

    เพราะสถานะของดวงจิตปุถุชน ก็เหมือนคนที่อยู่ในจอละคร เป็นผู้เล่น ผู้แสดง เล่นไปเรื่อยๆ ตามบทบาทของกรรมกำหนด แล้วระหว่างที่เล่น ก็ผูกกรรมใหม่ เขียนบทใหม่ในอนาคตเตรียมไว้เรื่อยๆ

    เล่นละครมาไม่หยุด ยาวนานหลายอสงไขย เนื้อหามันก็เนื้อหาเดิมๆ เกิด แก่ เจ็บ ตาย รัก โลภ โกรธ หลง เพียงแต่เปลี่ยนฉากแสดง กับเปลี่ยนผู้ร่วมแสดงไปเรื่อยๆ

    ผู้ที่เริ่มเบื่อ ก็เริ่มเสาะแสวงหาทาง ละเลิกจากงานแสดงละคร ที่ตนเองต้องเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมโศกกับมัน
    ก็อาศัยได้ด้วยสติ มีสติในการกำหนดรู้ตามความเป็นจริงเมื่อไหร่ ก็เหมือนเดินออกจากจอละครชั่วคราว ออกมาเห็นขันธ์ของตน แสดงละครไปเรื่อยๆ เสียคราวนึง เมื่อสติหลุดเมื่อไหร่ก็ เดินกลับเข้าไปแสดงละครต่อ
    เพียรพยายามสร้างสมเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ หวังว่าสุดท้ายเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม จะได้พ้นจากทั้งการเป็นผู้แสดงละครเอง และผู้ที่ยังต้องดูขันธ์มันแสดงละครให้ดู เป็นผู้เดินออกจากโรงไปเสียที
     
  8. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    จิตเดิม ปภัสสร นั้นเป็นอย่างไร จะขออธิบายดังนี้

    จิตเดิม นั้นก่อนจะมีกิเลสเข้ามาเกาะจิตให้เศร้าหมองนั้น มีสภาพผ่องใส พร้อมรู้ ไร้สภาพอารมณ์ใดๆ
    เปรียบเหมือนตามองเห็นภาพ แต่ปราศจากความรู้สึก แต่จิตเดิมนั้นก็มีอวิชชามาพร้อมกันนั้นด้วยแต่ไหนแต่ไร ซึ่งอวิชชานี้เป็นอาสวะกิเลสที่นอนอยู่ไม่ทำงาน จิตเดิมแท้จึงรู้เห็นสิ่งต่างๆ เสมือนว่าไม่ปรากฎว่าติดว่าข้อง สภาวะของจิตเดิมแท้จึงดูแล้วปภัสสร สภาวะจิตเดิมแท้นั้นจะปรากฏแก่ผู้มีวิปัสสนาญาณ เมื่อดับสมมุติไป
    แต่อย่างที่บอกคือ สภาวะจิตเดิมแท้นั้นจะอยู่ได้ไม่นานและจะเศร้าหมองในที่สุดเมื่ออวิชชาในจิตนั้นทำงาน
    คำถามที่ว่า จิตเดิมแท้นั้น เหมือนกันกับนิพพานหรือไม่ จึงตอบว่า ไม่เหมือน จิตเดิมแท้นั้นอยู่กับผู้รู้ ยังมีอวิชชา
    แต่นิพพานนั้นเป็นธรรมธาตุ ไม่ติดไม่ข้องกับสิ่งใดและสภาวะใด หมดสิ้นซึ่งอวิชชา อธิบายไปมากก็ไม่ได้เพราะผู้อธิบายนี้ก็มิได้แจ้งหมดจรดเพียงพอที่จะอธิบายได้พิสดาร เพราะสภาวะนิพพานนั้น คือ การสิ้นกิเลสทั้งหมด ซึ่งนักปฏิบัติที่มีหลักมีเกณฑ์แล้วตั้งแต่ พระโสดาบันไปจนถึงพระอนาคามีนั้นจะเห็นได้ก็เพียงชั่วเอื้อม แว็บมาแว็บไป แต่บุคคลเหล่านั้นย่อมมีทัสนะในพระนิพพานนั้นกระจ่าง เพราะทราบถึงการดับไปของกิเลสตั้งแต่ปัญญารู้เห็นใน นิโรธ คือดับกิเลสได้เป็นส่วนๆก็ ย่อมเข้าใจได้ในการดับไปทั้งหมด จนที่สุดพระนิพพานจะแจ้งที่สุดคือ พระอรหัตตผลเท่านั้น จึงเรียกว่า สอุปทิเสสนิพพาน สภาวะนั้นแยกสมมติออกจากใจอย่างสิ้นเชิงจะรู้ด้วยตนเองทันทีว่า จบกิจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2013
  9. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณครับสำหรับความคิดเห็นตอนนี้ก็แสดงได้ว่า คำว่าจิตเดิมอาจจะไม่ใช่พุทธพจน์อย่างแท้จริงอาจเป็นสิ่งที่นำเข้ามาหรือแต่งเพิ่มภายหลัง หรือเป็นของอีกนิกาย เพราะผมเคยอ่านผ่านมาประมาณว่าเราต้องปฏิบัติไปสู่แห่งจิตเดิม ถ้าคำว่า ไปสู่จิตเดิม นั้นแสดงให้เห็นความเป็นมีอยู่ของรูปนามอยู่ ถ้าสิ่งนี้คือพุทธวัจนะจริงอีกส่วนที่เป็นไปได้คือ ท่านอาจตรัสถึง เดิมของการตั้งอยู่ของจิตของภัทรกัปป์นี้เป็นจิตของอาภัสราพรหม เป็นปฐมแห่งการเกิดมนุษย์ ไม่ใช่เดิมของการเกิดปฐมแห่งจิต ส่วนคำว่านิพพานไม่มีที่ตั้ง ถ้ามีก็แสดงว่ายังไม่ถาวรเที่ยงแท้แน่นอน ถ้ามีก็แสดงว่าเที่ยงสำหรับการไม่เกิด ที่อวิชชาไม่สามารถเข้าถึงได้
    ถ้าเปรียบเดิมของจิต ตัวอย่างเปรียบได้กับการที่เราเกิดออกมาจากท้องแม่ เราจะกำหนดบ้านหลังนั้นว่าเดิม เดิมเกิดที่ตรงนั้นตรงนี้ ไม่ได้บอกด้วยว่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เรา เกิดมาจากที่ตรงไหน เป็นเดิมที่เราอยู่ โตขึ้นมา มาทำงานไกลบ้าน เราก็จะบอกว่าเดิมเราเกิดที่ตรงนั้น ไม่ได้สักเรียงไปว่า เริ่มแรกวงครอบครัวญาติเราเกิดที่ใด เป็นเดิมที่ตั้งอยู่มาแต่ก่อน คงไม่ใช่เดิมของการจุติปฐมแห่งจิต ผมยังไม่เคยเห็นหรืออ่านผ่านหูผ่านตามาว่า เดิมปฐมแห่งจิตนั้นมาจากที่ใด หรือว่าต้นเดิมปฐมแห่งจิตนั้นมาจากอาภัสราพรหม
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    .....ในความคิดของผม...ส่วนนี้จะเป็นอจินไตย์ ของ ปุถุชนเสียแล้ว.....เพราะอะไร?เพราะเราเอาโมหะ อวิชชา ความไม่รู้มาตั้งคำถาม เพราะเราคิดว่าทุกข์อริยสัจจ์(ขันธิ์5)นี้เทียง เป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา จึงคิดว่ามีเราเกิด มีเรา ตาย(ทำใจยากแฮะ....แต่มันเป็นปฎิจสมุปบาท).....ถ้าสมมุตินะครับ สมมุติ สมมุุติว่า มีพระอรหันต์รูปหนึ่งนั่งเคี้ยวหมากหยับหยับ อยู่....เราจะคิดว่า แล้ว ส่วนใดของท่าน กันละที่หลุดพ้น ...อะไรหละ... ในเมื่อตัวของท่านก็นั่งเคี้ยวหมาก ยัง พูดได้อยู่...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกกันว่า อวิชชา อวิชชาดังนี้นั้น เป็นอย่างไร และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลชื่อว่า เป้นผู้ถึงซึ่งอวิชชา พระเจ้าข้า............ภิกษุในกรณีนี้ ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ไม่รู้ชัดแจ้งตามที่เป้นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน อันมีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา ดังนี้ไม่รู้ชัดแจ้งซึ่งงตามเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน อันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ดังนี้ ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน อันมีทั้งความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป้นธรรมดา ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย ความไม่รู้นี้เราเรียกว่า อวิชชา และ บุคคลชื่อว่าเป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา ย่อมมีได้ด้วย้หตุประมาณเท่านี้แล---ขนธ.สํ.17/209/320...
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้ทั่วถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจสี่อย่าง เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฎ ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้ ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจสี่อย่างใหนเล่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้ถึงไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจคือทุกข์ อริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์ อริยสัจความดับไม่เหลือของทุกข์ และอริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฎ ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้.......ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออริยสัจคือทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับไม่เหลือของทุกข์ และทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นความจริงที่เราและพวกเธอทั้งหลาย รุ้ถึงและแทงตลอดแล้ว ตัณหาในภพ ก้ถูกถอนขึ้นขาด ตัณหาที่จะนำไสู่ภพ ก็สิ้นหมดไป บัดนนี้ความต้องเกิดขึ้นอีก มิได้มี ดังนี้......มหาวาร.สํ.19/541/1698..
     
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล มหาชนชาวพันธุมตีราชธานี จำนวนแปดหมื่นสี่พันคน ออกจากเมือง เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า วิปัสสี ถึงที่ประทับ...ณ เขมมิคทายวัน ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาควิปัสสี ได้ตรัส อนุปพพิกถา แก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น กล่าวคือ ทานกถา สิลกถา สัคคกถา ทรงประกาสโทษอันเศร้าหมองต่ำทรามของกามทั้งหลาย และ อานิสงค์ในการออกจากกาม..........ครั้นทรงทราบว่า ชนเหล่านั้น มีจิตเหมาะสม อ่อนโยน ปราศจากนิวรณื ร่าเริง แจ่มใสแล้ว ก็ได้ตรัส ะรรมเทศนาซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงเอง กล่าวคือ เรื่องทุกข์ เรื่องสมุทัย เรื่องนิโรธ และเรื่องมรรค เปรียบเสมือนผ้าอันสะอาด ปราศจากสิ่งแปดเปื้อน ย่อมรับเอาซึ่งน้ำย้อมได้อย่างดั ฉันใด ธรรมจักษุ ปราศจากธุลึ ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่มหาชน แปดหมื่น สี่พันเหล่านั้น ณ ที่นั่งนั้นเองว่า "สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา" ดังนี้ฉันนั้นเหมือนกัน ชนเหล่านั้นมีธรรมอันเห็นแล้ว บรรลุแล้ว รู้แจ้งแล้ว หยั่งเอาได้ครบถ้วนแล้ว หมดความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความกล้าหาญ ไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่นในคำสอนแห่งศาสดาตน ได้กราบทูลกับพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสีว่า"ไพเราะนัก พระเจ้าข้า ไพเราะนัก พระเจ้าข้า เปรียบเหมือนการหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดอยู่ บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือว่า จุดประทีปไว้ในที่มืด เพื่อว่าคนมีตาจักได้เห็นรูป ฉันใดก็ฉันนั้น ดังนี้---มหา.ที.10/49/49..
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย อวิชชาภิกษุละได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ในกาลใด ในกาลนั้น ภิกษุนั้น เพราะความสำรอกออกโดยไม่เหลือแห่งอวิชชา เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา เธอย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่งอภิสังขารอันเป็นบุญ ไม่ปรุงแต่งซึ่งอภิสังขารอันมิใช่บุญ ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่งอภิสังขารอันเป้นอเนญชา เมื่อไม่ปรุงแต่งอยู่ เมื่อไม่มุ่งมาดอยู่ เธอย่อมไม่ถือมั่น สิ่งไรไรในโลก เมื่อไม่ถือมั่นอยู่ เธอย่อมไม่สดุ้งหวดเสียว เมื่อไม่สดุ้งหวาดเสียวอยู่ เธอย่อมปรินิพพานเฉพาะตนนั้นเทียว เธอ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรห์มจรรรยือันเราอยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดังนี้................ภิกษุนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา ก็รู้ประจักษ์ว่า เวทนานั้น ไม่เที่ยง อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้วดังนี้ ถ้าเสวยทุกข์เวทนา ก็รู้ประจักษษืว่า เวทนานั้นไม่เที่ยงอันเราไม่สยบมัวเมาแล้วอันเราไมาเพลิดเพลินเแพาะแล้วดังนี้ ภิกาุนั้น ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก้รู้ประจักษ์ว่า เวทนานั้นไม่เที่ยงอันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้วดังนี้ ภิกษุนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา ก็เป้นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น ถ้าเสวยทุกข์เวทนาก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสเตรื่องร้อยรัดแล้วเสวยเวทนานั้น ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราสจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น................ภิกษุนั้น เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า เราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบดังนี้ เมื่อเธอนั้น เสวยเวทนาอันมีชืวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป้นที่สุดรอบดังนี้ ภิกาุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ว่า เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของเย็น ในอัตตภาพนี้เอง สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้................ภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือน บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผาห้มอ วางไว้ที่ผืนดินอันเรียบ ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงระงับหายไป ในที่นั้นเอง กระเบื้องทั้งหลายก็เหลืออยู่นี้ฉันใด....ภิกษุทั้งหลายภิกาุในกรณีนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กล่าวคือเมื่อเสวยเวทนากายอันมีที่สุดรอบ ดังนี้ เมื่อเธอนั้น เสวยเวทนาอันมีชีวิตเป้นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ดังนี้ ภิกษุนั้นย่อมประจักษ์ว่า เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้วจักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้เอง สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่ จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกายดังนี้...........
     
  15. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับสำหรับสำหรับคำแนะนำ ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้วครับสิ่งที่ผมตั้งกระทู้ขึ้นมาเพียงเพื่อต้องการความรู้ ความคิดเห็นสำหรับเพื่อนสมาชิกที่มีความคิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันหรือแตกต่างบ้าง มันก็เป็นแนวความคิดแบบปถุชน เพราะเพียงมองว่าสิ่งนี้เป็นจุดเล็กๆที่มองว่ามันเป็นอจิณไตร สิ่งนี้จะนำมาซึ่งความดับคลายหายสงสัยได้ เมื่อคนหรือบุคคลเข้าใจเข้าไปรู้ซึ่งแห่งความมี ความเกิด ของสภาวะจิตที่เกิดขึ้นมา มันเป็นรูปแบบของความคิดที่มองว่ามันพร่ำเพ้อฟุ้งซ่าน เป็นความรู้ที่เราอยากจะรู้เพียงเพื่อตอบสนองของจิตที่มันไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะบางคนเพียงคิดว่าความรู้ที่ได้ยินได้ฟังมานั้นการที่จะดับมันได้ต้องกระทำแบบนี้ การกระทำอย่างนี้เป็นเพียงการดับแบบชั่วคราว จะดับได้ตรงที่ระลึกนึกได้เพียงเท่านั้น เพราะผมมองว่าคำถามนี้ยังมีอีกหลายท่านที่ยังสงสัยยังต้องการหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ แต่เหตุของความสงสัยมันก็รู้กันอยู่ว่ามันเกิดมาจากตัว อวิชชา ที่ปรุงแต่งความมีตัวตนกันขึ้นมา เมื่อคนบุคคลมองว่าสิ่งนี้เป็นการมองหรือไปหาเหตุของผลหาตัวตนต้นตอยิ่งมองหรือหาคำตอบก็ไม่ได้คำตอบที่ไม่มีวันจบสิ้นแน่นอน เมื่อถ้ามองคิดด้วยการพิจรณาแล้วสิ่งนี้อาจจะนำพาเราไปสู่จุดหมายที่เที่ยงแท้แน่นอน ซึ่งผมคิดว่าผมได้คำตอบจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ว่าเราจะหยุดสิ่งเหล่านี้ด้วยคำกล่าวใด อย่ามองว่าผมอวดตนอะไรเลยน่ะครับ มันเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวที่ยังคงปรุงแต่งมีกิเลสอยู่ เปรียบได้กับว่าเวลาเราจะรู้ให้ที่สุดนั้นเราเริ่มจะรู้แบบว่า
    1.รู้ว่ามันปรุงแต่งขึ้นมา แล้วทำการระลึกอยู่หยุดนิ่ง ปล่อยวาง
    เพื่อความเป็นไปถึงที่สุด
    หรือ
    2.รู้ว่ามันปรุงแต่งขึ้นมา แล้วกระทำการหาเหตุของที่มาหรือเกิดให้รู้และเข้าถึง
    ปล่อยวาง เพื่อความเป็นไปแห่งที่สุด
    บางคนอาจจะใช้ข้อที่1 ส่วนตัวผมจะใช้แบบที่2ครับ ผมยอมรับครับว่ามีความฟุ้งซ่านของจิตเกิดขึ้นในแต่ล่ะวันมาก แต่ผมจะมองว่ามันเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครับ สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องแล้วครับไม่มีสิ่งใดแย้งหรอกครับเพียงบางทีคนเราก็มีความคิดที่มันแตกต่างบ้าง ซึ่งผมหรือใครบางคนก็รู้ดีว่ามันนอกลู่นอกทาง แต่สิ่งนี้ผมมองว่ามันเป็นสีสรรค์แต่งเติมเพิ่มพูนความรู้ความคิดเห็นในมุมมองของแต่ล่ะบุคคลในการสนทนาธรรมหรือองค์ความรู้ที่มีอยู่ในคำสอนขององค็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรา ในบางครั้งเราก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งไหนเป็นอะไรอย่างไร แต่เราก็มานำเสนอในความคิดที่แตกต่างบ้างเป็นวาระแต่งเติมสีสรรให้กับบอร์ดของพวกเราได้มีอะไรใหม่ๆได้ทำการเสี้ยมหรือเหลาความเป็นคนที่มีหรือสะสมปัญญาของพวกเรา แต่สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงหรือสิ่งที่มีอยู่ที่ถูกที่ควรเป็นแบบอย่างการดำเนินไปตามแบบนั้น เพราะบางท่านที่มีความรู้ยิ่งไปกว่านี้ รู้ดีแล้ว มากแล้ว พอแล้ว เต็มแล้ว ท่านอาจจะมองว่าสิ่งเหล่านี้มันรั่วเพ้อเจ้อหรือเหลวไหล เพราะท่านเหล่านั้นอาจจะลืมหรือมองไปว่าสิ่งเหล่านี้มันมาจากพื้นฐานของมนุษย์ที่มีภูมิธรรมที่ต่ำอยู่ มันเป็นพื้นฐานในด้านของความเชื่อความศรัทธา ที่ส่วนหนึ่งมันมาจากจินตนาการหรือความคิดที่เห็นเป็นส่วนตัวมันเป็นธรรมบันเทิง แต่สักวันบุคคลเหล่านี้จะได้เรียนรู้และเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติให้เข้าถึงอย่างถ่องแท้แน่นอน ซึ่งผมก็ได้คำตอบในส่วนนี้แล้วเดี๋ยวจะนำมาเล่าสู่กันฟังทีหลังครับ ว่าเราไปหยุดอยู่กับสิ่งใดหรือเข้าใจอะไรที่จะไม่ขอปรุงแต่งต่อซึ่งก็มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎกครับที่พุทธองค์ท่านได้สอนเอาไว้แล้วเพียงแค่ผมไปสะดุดหรือสุดจบที่ตรงนี้ เพียงแค่ว่ายังไม่นำมาปฏิบัติอย่างแท้จริง สักวันวันนั้นคงจะมาถึงเมื่อความพร้อมสิ่างที่มุ่งหวังบรรลุเป้าหมายแล้ว ขอดูความคิดเห็นท่านอื่นก่อนครับ

    เพราะผมคิดว่าผู้ที่เข้ามาหรือสมัครเว็ปแห่งนี้คงมีส่วนนี้เป็นกันจำนวนมากแล้วครับ กับคำกล่าวนี้ซึ่งผมชอบมากและจะระลึกถึงมันไว้
    การพยายามหาตัวหาตนของจิต หรือไล่จับจิตหรือวิญญาณ จึงเป็นการพลัดหลงสู่วังวนของความคิด หรือมายาของจิต
    จึงอุปมาได้ดั่งการพยายามวิ่งไล่จับเงา อันย่อมไม่มีวันประสบผลสำเร็จ มันเป็นการก่อภพต่อชาติอย่างไม่มีวันจบสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร คือ ภิกษุผู้ขึณาสพ พึงปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร หรือว่าพึงปรุงแต่งอปุญญาภิสังขาร หรือว่าพึงปรุงแต่งอเนญชาภิสังขาร บ้างหรือหนอ..........ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า...................เมื่อสังขารไม่มี เพราะความดับแห่งสังขาร โดยประการทั้งปวง วิญญานพึงปรากฎมีบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า..............เมื่อวิญญานไม่มี เพราะความดับแห่งวิญญานดดยประการทั้งปวง นามรูป พึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่อนามรูปไม่มี เพราะความดับแห่งนามรูปโดยประการทั้งปวง สฬายตนะพึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่อสฬายตนะไม่มีเพราะความดับแห่งสฬายตนะโดยประการทั้งปวง ผัสสะพึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่อผัสสะไม่มี เพราะความดับแห่งผัสสะโดยประการ เวทนาพึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่อเวทนาไม่มี เพราะความดับแห่งเวทนาทั้งปวง ตัณหาพึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่อตัณหาไม่มี เพราะความดับแห่งตัณหา โดยประการทั้งปวง อุปาทานพึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่ออุปาทานไม่มี เพราะความดับแห่งอุปาทาน โดยประการทั้งปวง ภพพึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่อภพไม่มี เพราะความดับแห่งภพ โดยประการทั้งปวง ชาติพึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า เมื่อชาติไม่มีเพราะความดับแห่งชาติโดยประการทั้งปวง ชรา มรณะ พึงปรากฎบ้างหรือหนอ ข้อนั้นหามิได้พระจ้าข้า .............ภิกษุทั้งหลาย ถูกแล้วถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงทำความสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อนั้น ไว้อย่างนั้นเถิด ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงปลงซึ่งความเชื่อ ในข้อนั้นอย่างนั้นเถิด จงเป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนั้นเถิด นั้นแหละ ที่สุดแห่งทุกข์ ละ ดังนี้แล---นิทาน.สํ.16/99-101/192-195..
     
  17. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    อืม นอนดึกเหมือนกันน่ะครับ นี่แหละธรรมะยามดึกของจริง ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้เป็นการย้ำในส่วนของคำสอนให้มันได้ผ่านหูผ่านตาเพื่อเป็นการย้ำความรู้ความทรงจำคำกล่าว ที่จะได้นำไปปฏิบัติบอกกล่าวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไปครับ
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ...........ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร....อันที่จริงพระสูตรที่ว่า จิตเดิมประภัสสร แต่ เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา นั้น มีอยู่ (ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก) แต่ในความเห็นของผมนั้น...ไม่ได้หมายถึงจิตเดิมนั้นคือนิพพาน...ส่วนใหญ่พระท่านสอน ให้เห็นปฎิจสมุปบาท คำสอนส่วนใหญ่ คือ อริยสัจสี่ และ ปฎิจสมุปบาท สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ก็ คือ ไม่มีอะไรเที่ยง เป็นอนัตตา ต่างหากครับที่ส่วนใหญ่พระท่านจะสอน....ถ้าไปดูความหมายของ นิพพาน คือความสิ้นไปแห่ง ราคะ ความสิ้นไปแห่ง โทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ..ราคะ โทสะเราพอเข้าใจ แต่สิ้นไปแห่งโมหะนี่ครอบคลุมปัญญาอันยิ่งเลยเชียว(ทำลายความหลง) ถามว่าหลงอะไร...ก็ย้อนกลับไปที่ปัญจุปาทานักขันธิ์ขันธิ์5ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา....ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน...อันที่จริงมันไม่เที่ยง เป็นอนัตตามันจึงไม่ใช่ของเราได้....ทีนี้ลองมาดูสัญญา ถ้าเราหมายมั่นว่า สัญญาเที่ยง เช่น มีจิตเดิมแท้เป็นของเรา(คิดว่ามันเที่ยง) หรือว่า ชีวิตวัยเด็กของฉัน นาย "โซ"ตอน6ขวบแอบชอบเด้กหญิงคนนึง สมมุติชื่อ เปิ้ล หรือ แอน หรือ ยุ้ย ก็ได้....แท้จริงสัญญาความหมายมั่นัั้นมี แต่มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันอาสัยปัจจัยทาง อายตนะก็ตาม ปัจจัยจากสังขารปรุงแต่งก็ตาม มันจึงไม่น่ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา..............ผมว่าประมาณ นี้แหละครับ เบื้องต้น ส่วน พระอริยะท่านจะเข้าใจข้อนี้ว่าอย่างไร ลองถามพระอริยะในบอร์ดนี้ก็มีอยู่หลายท่าน เช่น ท่าน นิวแอเมส ซิ่ง หรือ ท่านจริงนะ หรือ ท่านโกมีนัมดู อาจจะได้ข้อคิดอะไรดีดีก็ได้....แต่ผมว่าท่านภาวนาจนบรรลุไปเลย คงสิ้นสงสัยเอง.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  19. ฉลาดน้อย

    ฉลาดน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อน

    จิตเดิมแท้ที่ครูบาอาจารย์พระป่ากล่าว กับจิตเดิมแท้ที่คนจีนเข้าทรงสอน คนละอย่างกัน
     
  20. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    คำว่า "จิตเดิม"ที่คุณกล่าวมานั้น ไม่ทราบว่า คุณหมายถึงอะไร ถ้าคุณหมายถึง จิตเดิมที่ได้รับจากบิดามารดา หรือ จิตเดิมที่ก่อเกิดจากการผสมรวมของจิตแห่งบิดามารดา แล้วละก้อ ไม่ใช่สภาวะของนิพพาน
    เพราะจิตเดิมที่คุณกล่าวถึงนั้น คือสิ่งที่คุณได้รับการถ่ายทอดจากบิดามารดา ในด้าน รูปร่างสรีระร่างกาย
    อุปนิสัยใจคอ สมองสติปัญญา ซึ่งอาจจะเกี่ยวโยงไปถึง ปู่ย่าตายาย ปู่ทวดย่าทวด ตาทวด ยายทวด โน่นเลยก็ได้
    แล้วใครกันที่เป็นผู้บัญญัติขึ้นมาว่า จิดเดิม เป็นจิตที่บริสุทธิ์ สะอาดสว่างไสว เพ้อเจ้อมากกว่า คงคิดไปว่า จิตของเด็กบริสุทธิ์ไม่คิดอะไร ไร้เดียงสา ละซิ มันเป็นความคิดที่อ่อนมากๆ เพราะในวัยเด็กนั้น จิตของเด็กอันหมายรวมถึงสมองของเด็ก ยังพัฒนาน้อย มีความรู้น้อย จึงทำให้ไม่สามารถคิดพิจารณาหรือแสดงออกในด้าน กาย วาจา ใจ ได้เหมือนผู้ใหญ่ อย่างมากก็แค่ หิว ก็ร้อง ได้กินอิ่มก็นอนหลับ หัวเราะบ้าง ยิ้มบ้าง หาใช่ควมบริสุทธิ์ สะอาด ส่ว่างไสว ประภัสสร อะไรทำนองนั้น
    แต่ถ้า บุคคล ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้รับการขัดเกลาทางสังคมในด้านต่างๆแล้ว จิตของเขาก็จะประกอบไปด้วยหลายส่วน มีทั้ง บริสุทธิ์ มีทั้ง ความโลภ โกรธ หลง ตามที่ได้รับการขัดเกลามา
    เมื่อ บุคคล นั้นๆ ได้รับความรู้ ความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติ ในด้าน การศาสนาที่ถูกต้อง บุคคลนั้นๆ ก็จะสามารถทำจิตให้สะอาด บริสุทธิ์ สว่างไสว ประภัสสร ได้ ไม่เกี่ยวกับ จิตเดิมอะไร ที่เพ้อเจ้อดอกขอรับ
    และคำว่า จิตสะอาด บริสุทธิ์ สว่างไสว ประภัสสร จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีขั้นตอนในการเรียนรู้ ทำความเข้าใจและปฏิบัติ เป็นขั้นๆไป เช่น ชั้นแรกของความมีจิตสะอาด ฯลฯ ก็ต้องปฏิบัติสมาธิ เพื่อให้รู้จักควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด การระลึกนึกถึง หรือจะกล่าวแบบสั้นๆ ก็คือ ฝึกสมาธิ เพื่อทำให้เกิดมี สติ สัมปชัญญะ ตลอดเวลา อย่างนี้เป็นต้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...