จิตของท่านผู้ไม่หลุดพ้น ...

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิชฌน์55, 24 เมษายน 2016.

  1. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    เห็นคุณ DR-NOTH ยกมาให้อ่านก็น่าสนใจดีครับ ... ส่วนมากตามพระไตรปิฎกเราก็มักจะอ่านในสิ่งที่ท่านพ้น ท่านได้ ท่านเป็น พูดง่าย ๆ ก็คือ ท่านเป็นเจ้าของโค ... ทีนี้ผมจึงอยากทราบและถามท่านทั้งหลายว่า

    1. "จิตของท่านผู้ไม่หลุดพ้น" จะเป็นอย่างไร? พอจะมีอะไรเป็นสิ่งบ่งบอกได้ชัดเจนบ้างมั้ย?
    2. "ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นแค่คนเลี้ยงโค" แล้วจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นคนเลี้ยงโครึป่าว ?


    ผมก็ยังไม่มีมากนะครับ รอดูท่านทั้งหลายจะเสนอให้พิจารณาด้วยเพื่อเพิ่มพูนในสิ่งที่รับรู้มา ... (^_^) สร้างกระทู้สักหน่อย บอร์ดจะได้ไม่เงียบเหงาเนอะ (^_^)
     
  2. ศีลทำ

    ศีลทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2016
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    จิตของสามัญชนที่มิใช่อริยะ
     
  3. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....ตามแนวของผมนะครับ

    ....จิต ของ ท่าน หมายถึง มีนามธรรมสองส่วน คือ จิต กับ เจ้าของจิต ใช่หรือไม่

    ....จิตของตน
    ....ไม่มีตนในขันธ์ห้า ไม่มีขันธ์ห้าในตน เคยได้ยินเช่นนี้หรือไม่

    [๙๖] จิต มนะ มานัส หทัย ธรรมชาติขาวผ่อง อายตนะคือใจ อินทรีย์คือใจ
    วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุ ชื่อว่า ใจ ในอุเทศว่า "มนสานาวิโล สิยา".

    ......จิตพระอรหันต์ คือจิตของท่านผู้หลุดพ้น ไม่มีกิเลสสังโยชน์มาเกาะเกี่ยว ระหว่าง ท่าน กับ จิต

    ......ทำอย่างไรจึงจะบรรลุ

    ......อันนี้ ก็ไม่ง่ายนะครับ
    ......ผมจะว่าไปตามแนวของผมนะครับ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักคำสอนก่อน คือศึกษาอริยสัจ ๔ ด้วยใจธรรมดานี้แหละ ใช้สมอง ไอคิวที่มีอยู่ทั้งหมด ทำความเข้าใจ ให้ถูกต้องนะครับ อย่าเข้าใจมั่ว เมื่อเข้าใจจนถ่องแท้แล้ว เรียกว่า จินตามยปัญญา ให้ดีก็ฟัง พระสุตันตะ สักสามจบ อย่าเพิ่งรีบบรรลุ มันไม่ง่ายอยู่แล้ว

    .......จินตามยปัญญา เรียกว่า รู้ด้วยจิต

    ......ขั้นที่สอง ต่อมาก็มาภาวนา เพื่อให้ตน รู้ เรียกว่ารู้ด้วยญาณ ทำอย่างไร

    .....การภาวนาด้วยวิธีสติปัฏฐานสี่ เพื่อ ให้เกิดญาณ เกิดญาณมารับรู้ อย่างที่จิตมันรับรู้ เรียกว่าเกิดวิปัสสนาญาณ นั้นเอง

    .....คร่าวๆนะครับ
     
  4. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณ คุณ Prasit มากครับ ที่ช่วยอธิบายพอเป็นแนวทางให้ได้ดูครับ
     
  5. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    เคยได้ยินครับ คงเป็นบทที่พระพุทธองค์ตรัสถามภิกษุทั้งหลาย ในทำนองว่า "ตถาคตเป็นขันธ์ ๕ หรือ เข้าใจว่าตถาคตไม่มีขันธ์ ๕" แต่ผมจำข้อความนั้นไม่ได้ทั้งหมด หากมีก็ฝากไว้ให้อ่านด้วยนะครับ ผมเพียงจำได้พอลาง ๆ เท่านั้น
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    พูดถึงตัวจิตนะครับ...ถ้าสุดท้ายแล้วมัน
    ยังไม่เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ได้แล้วนั้น..
    ยังไงมันก็ยังต้องเกิดอยู่ครับ..ไม่ว่าสิ่งที่ยึดเกาะกับตัวจิตนั้น
    จะดีหรือไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นสติ สมาธิ ปัญญา ตบะ ญาน ญาน
    กำลังจิต รัก โลก โกรธ หลง บุญ บาป กุศล อกุศลฯลฯ
    ถ้ายังติดอยู่ ยังไงมันก็ต้องไปเสวยผลของสิ่งที่ติดอยู่ครับ..

    ถ้าเราจะอยู่เหนือจิตได้ นั่นคือต้องรู้ว่าอะไรอยู่ในจิต
    อะไรมันสามารถเข้ามาร่วมกับจิตเราได้ และมันเข้ามาร่วม
    กับตัวจิตได้อย่างไร..กิริยาของจิตที่เกิดเป็นอย่างไร
    กิริยาของจิตที่รวมกับความคิดเป็นอย่างไร
    กิริยาของจิตที่รวมกับขันธ์ ๕ ฝ่ายนามธรรมเป็นอย่างไร..
    ตลอดจนรู้ว่าจิตมันสามารถที่จะทำอะไรพิเศษๆได้

    ตรงนี้เราจึงจำเป็นต้องตัดตัวไปรู้ หรือตัวรู้
    ตัดตัววิญญานที่ออกไปเชื่อมให้ได้ครับ.
    เพราะมันเป็นเสมือนตัวไปดึงเอาสิ่งต่างๆ
    เข้ามาร่วมกับตัวจิต
    เพื่อให้จิตมันกลับสู่ ตัวเดิมแท้ของจิตมันเอง...
    จิตมันถึงจะเริ่มคลายตัวเองได้ และขยายตัวออกไปได้
    และไม่รวมตัวกันเป็นวงกลม จากการที่ตัววิญญานการรับรู้
    มันไปดึงเข้ามาไม่ว่าจะเรื่องอะไรให้มารวมตัวกับตัวจิต
    โดยที่เราอาจคาดไม่ถึงมาก่อนได้ครับ

    การที่เราสามารถระลึกรู้ ระลึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้
    หรือปรุงแต่งไปแล้วนั้น ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง...
    หมายถึงว่า ตัววิญญานการรับรู้ของเรามันไปเชื่อม
    ดึงเข้ามาร่วมกับจิตแล้ว จากตัวไปรู้นั่นหละครับ....

    เพราะฉนั้นการที่เราจะมองเห็นตัวรู้ ตัววิญญานในการรับรู้ได้นั้น
    เนื่องจากพวกนี้เป็นฝ่ายนามธรรม เราจึงต้องจำเป็นที่จะต้องสร้างสติทางธรรม
    เพื่อที่จะเข้าไปเห็นพวกนี้ให้ได้ก่อนครับ ให้ตัวจิตเค้าคลายตัวออกจากความคิด
    ที่ปรุ่งร่วมกับจิต คลายตัวเองจากความคิดที่ปรุ่งร่วมกับสมองและ
    คลายตัวเองออกจากความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ที่มักจะเป็นความคิดที่เป็นอดีต หรือความคิดที่เกิดจาก
    ขันธ์ ๕ ฝ่ายนามธรรม
    (สัญญา วิญญาน สังขาร เวทนา)
    หรือใครจะเรียกวิบากกรรมก็สุดแล้วแต่..ให้ได้ก่อนครับ...

    เมื่อคลายได้แล้วเราก็จะเริ่มที่จะเดินปัญญาได้ เพราะปัญญาทางธรรม
    ที่ได้จากการเดินปัญญานี่หละครับ จะช่วยให้ตัวจิต มันค่อยๆละ
    ค่อยลด ค่อยๆคลาย จากสิ่งยึดเกาะที่ตัวไปรู้ ตัววิญญานเราเมื่อก่อนมันชอบ
    ไปดึงมาร่วมแบบเราคาดไม่ถึง..
    แต่มันจะคลายได้มากน้อยแค่ไหน จนถึงไม่ยึดเลย ก็ขึ้นอยู่กับ สัจจะ ความเพียร
    และระดับปัญญาทางธรรมที่เรามี ซึ่งเป็นไปตามวาระแห่งตน
    ซึ่งพิสูจน์ได้ยากในทางรูปธรรมครับ..แต่ก็ง่ายในทางนามธรรม
    สำหรับผู้ที่พอมีความสามารถพิเศษทางจิต
    แต่เป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะยังไม่แนวทางพุทธศาสนา...

    และต่อมา แม้ว่าบุญหรือบาป ก็ต้องไม่ยึด ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวทุกอย่าง
    ก็จะเป็นเพียงกิริยา แต่ว่าตัวจิตไม่ยึด ต่อไปก็จะไม่มีความคิดเข้ามาร่วม..
    ตัวสติและปัญญาก็จะทำหน้าที่แทน...แต่สุดท้ายแล้วแม้ว่าตัวสติและปัญญา
    ก็ต้องวางนะครับ..

    ส่วนย่อหน้านี้เล่าให้ฟังเฉยๆ...
    ถ้าการอยู่เหนือจิตสำหรับผู้ที่พอมีความสามารถใช้งานทางจิตได้นั้น...
    การจะอยู่เหนือจิตนั้น ทางกิริยาทางด้านนามธรรมก็คือ..
    การที่ทิ้งตัวไปเชื่อมกับตัวจิต ด้วยการตัดตัวรู้ ตัดตัววิญญานไปรู้
    ตัดสิ่งๆต่างๆที่ขึ้นมาจากภายใน และมาจากภายนอก
    รวมทั้งตัดตัวความสามารถทางจิต..
    ก้าวข้ามตรงนี้ เพื่อไม่ให้มีตัวเราเข้าไปใช้จิต ไปเกี่ยวข้องอะไรกับจิต
    แล้วให้จิตเป็นไปตามอัตโนมัต ของมันเอง.
    ให้จิตเป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิต ซึ่งไม่มีตัวเรา
    ไม่มีอะไรเข้าไปกระทำ..
    ให้เป็นไปตามบารมี สุดแล้วแต่ว่าดวงจิตนั้นได้เคยสะสมอะไรมา...
    ไม่ว่าจะด้าน ปัญญา ด้านความสามารถในการแสดงธรรม..
    ด้านฤิทธิเฉพาะทาง หรือด้านอื่นๆก็สุดแล้วแต่ฯลฯ
    แต่ก่อนจะทิ้งจิตได้อย่างที่เล่าให้ฟังนั้น
    จำเป็นที่ตัวจิต จะต้องมีความสามารถใช้งานได้จริงๆก่อนเป็นทุน
    ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองหรือได้จากการฝึกฝนอะไรมา หรือได้จากการ
    วางการคลายตัวเรื่องยึดเกาะต่างๆมา....
    และต้องพอมีกำลังสติทางธรรมที่จะเห็นตัวรู้
    ตัววิญญานและมีปัญญาเพียงพอในการ
    ที่จะตัดตัวรู้ ตัววิญญาน เพื่อที่จะทิ้งจิตให้เข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้
    ของจิตเองได้เช่นกันครับ....

    ปล.ประมาณนี้ครับ...
     
  7. ศีลทำ

    ศีลทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2016
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    จิตไม่มีวันตัดอะไรได้ มันไม่ฟังใคร ธรรมชาติของมันมันก็เป็นของมันอย่างนั้น ภวังคจิต วิถีจิต มโน สังขารปรุงแต่ง มันทำงานตามหน้าที่ของมัน มีแต่เราที่เป็นตัวใส่เกือกไปกับมันเองแล้วยึดว่ากรุเป็นก็แค่นั้น
    ไม่เข้าใจเรื่องของจิตอธิบายเท่าไรก็ผิดเท่านั้น เหตุเพราะเอาความคิดไปอธิบายว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ เรื่องของจิตเป็นขั้นของอนาคามี ที่โลกเค้าเรียกกัน มันสะสมมาจากขั้นต่างๆที่ผ่านมาถึงมีกำล้งแห่งสติปัญญาเข้าไปสอดส่องหาเหตุ
    ปัจจัย แล้วถึงจะเข้าใจระบบการทำงานของม้น ตามเหตุปัจจัยมันก็เหมือนกายนี่แหละใครก็บังคับบังชามันไม่ได้ มันมีระบบการทำงานที่สลับซับซ้อน มีอาการต่างๆที่แสดงออกมาตามแต่การบันทึกของสัญญา ทั้งภวังคจิต ทั้งใจ ทั้งสังขารปรุ่งแต่ง ล้วนเป็นอาการแห่งจิต รวมถึงวิถีจิตอีก อย่าไปรู้เลยเดี่ยวศรีธัญญาจะถามหาถ้ากำลังสติปัญญามีไม่พอ เดียวมันจะเกิดอาการที่เรีนกว่าสติแตกเสียก่อน แล่วจะยุ่งๆๆๆ
     
  8. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมตีความหมายของคำว่าขันธ์5 ฝ่ายนามธรรมของคุณนพ อย่างนี้พอจะเข้าเค้ามั้ยครับ
    สมมุติว่าร่างกายเรา คือรูปขันธ์ เกิดความหิว ด้วยความเคยชิน
    ทุกขเวทนา คือ ขันธ์ตัวที่สอง ก็ทำงาน คือความหิว
    พอหิว มันก็นึกไปถึงอาหารที่เคยกินแล้วอร่อย สัญญาขันธ์ก็ทำงานตอนนี้
    แต่..ถ้าเราเป็นแต่เพียงผู้เฝ้ามองการเกิดดับของวงจรความหิว วิญญาณขันธ์ ที่เป็นตัวเชื่อมสุดท้ายก็จะถูกตัดออกไป ผมเข้าใจถูกต้องมั้ยคับ..
     
  9. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    ลืมสังขารขันธ์ ไปตัวนึง เมื่อสัญญา เกิดแล้วสังขารก็ไปปรุงแต่งให้นึกถึงรสชาติที่มันเคยติดว่าอาหารอันนั้นอันนี้อร่อย แล้วส่งต่อไปให้วิญญาณผัสสะ เป็นตัวสุดท้าย
     
  10. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    เข้าใจถูกครับ ... แต่อาจจะไม่ตรงกันกับที่ผมเข้าใจเท่านั้นเอง อันนี้เฉพาะต่อข้อความที่ยกมานี้เท่านั้น ไม่ได้รวมไปที่ข้อความอื่น
     
  11. ศีลทำ

    ศีลทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2016
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    ขันธ์5มันก็คือขันธ์5ใบที่มาอยุ่ด้วยกัน ต่างก็ทำหน้าที่ของแต่ละใบไป รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใหนอะไรใบไหนที่มันหิว ที่มันอิ่ม ที่มันอยาก ฯ ที่มันทุกข์ ใบไหนลองบอกสิ ? รูปรึ งั้นทำไมคนตายไม่หิว เวทนารึ มันเอาใส่ไว้ตรงไหนมันมีท้องรึ?สัญญารึมันจำได้หมายรู้แล้วเนื้อเสือรสขาติยังไงมันหิวใหมหิวเนื้อเสือมันไม่เคยกินรึเอาอีแร้งก็ได้ อ้อสังขารรึมันหิวยังไงมันปรุงว่าหิวเนื้ออีแร้งเป็นยังไงเมื่อสัญญาไม่มี มันก็คิดนึกเอาตามจิตนาการของมัน แต่มันไม่เคยรู้เลยว่าความจริงมันเป็นยังไง?มันก็ส่งต่อให้วิญญาณยืนยันตามมโนที่นึกคิดเอา ไหนขันธ์ใบไหนหิว ลองตอบสิ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คุณนพลองพิจารณานะครับ


    ตรงนี้คือการพิจารณาเห็น โดยความเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กัน ส่วนจะอยู่เหนือจิตหรือไม่ หรือจะต้องพยายามให้อยู่เหนือจิตให้ได้หรือไม่ ผมมองไปที่เรื่องของความมีตัณหามากกว่า ถูกตัณหาครอบงำให้เหนี่ยวรั้งผลักไสอยู่มั้ย ตรงนี้ต้องอาศัยการมีสติคอยสอดส่องเอาน่ะครับ



    "จำเป็นต้องตัดตัวไปรู้" หรือไม่ ผมว่า เป็นตัวตัณหามากกว่าที่พยายามผลักดันให้ส่งจิตออกเที่ยวหารู้นั่นรู้นี่ จริงๆ แม้ไม่ออกรู้ อยู่กับปกติ การรับรู้ได้ก็ยังมีอยู่เป็นธรรมดา เพราะธรรมชาติของวิญญาณคือการรับรู้ ความหลงมีอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นต่างหาก ทำให้เผลอหลงหยิบจับฉวยเอาปรากฏการณ์เหล่านั้นมาเป็นตัวเป็นตนเป็นของของตนเอง ความสำคัญจึงอยู่ที่ เมื่อไหร่จะเห็นตามความเป็นจริง (เมื่อตากระทบรูป..ใจสัมผัสธรรมารมณ์) ว่าหลงอวิชชาถูกตัณหาอุปาทานครอบงำไปเอง



    ผมว่ามันมีการตั้งธงเอาไว้ในใจก่อนนะ ปฏิบัติไปๆ ก็ไปลากเอาสัญญามาเทียบอยู่เรื่อยๆ ถึงไหนแล้วๆ ไม่เห็นปัจจุบันตามความเป็นจริง แล้วเมื่อไหร่จะรู้ทุกข์เห็นทุกข์ตามความเป็นจริงได้ล่ะครับ มีแต่ทำตามความเชื่อล้วน ๆ อย่างเดียว



    "สร้างสติทางธรรมเพื่อที่จะเข้าไปเห็นพวกนี้" พูดเหมือนกับว่าต้องนั่งฌาน ญาณอะไรเข้าไปเห็นเลย มันไม่ใช่เห็นความเป็นธรรมชาติธรรมดาๆ เช่นนั้นเองเหรอครับ แบบว่าไม่ต้องจงใจจะเอาน่ะครับ ดูอย่างพระอานนท์สิครับ ท่านบรรลุธรรมในท่ากำลังจะเอนตัวลงนอน ไม่ได้เข้าไปไหนเลย อยู่กับความเป็นธรรมชาติธรรมดาในปัจจุบันขณะนั้นเอง
     
  13. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    เอาสั้น ๆ ละกันครับ ต่างกันเพราะว่า ขันธ์ ๕ ที่ผมทราบและเข้าใจมานั้น จะเกิดพร้อมกันดับพร้อมกันและรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าผ่าเสียอีก เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นคนละขันธ์กับคุณไง ... ผมจึงไม่อยากขัดกันเพราะมันไม่เหมือนกันก็บอกว่าไม่เหมือนกันเท่านั้นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  14. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    ผมก็เห็นด้วยครับตรงที่ว่า "เพราะมีตัณหาพาไป" ดังที่คุณว่าก็ชัดเจนดีครับ
    ก็ถ้าใครมีอวิชชา ก็ย่อมหลงไปตามตัณหาอย่างแน่นอน จะบอกว่าไม่หลงตามทั้ง ๆ ที่หลงอยู่ก็จะยังไงอยู่นะว่ามั้ย อะไรเป็นเหตุหล่ะคุณว่า สำหรับผมนะคือ ก็เพราะอยากอ่าน อยากรู้ไปก่อนนั่นเอง ทั้ง ๆ ที่ท่านจารึกไว้นั้นเป็นผลจากที่ท่านผ่านมาแล้วค่อยพิจารณาเห็น แต่ปัจจุบันนี้รู้จากการอ่านการจำไว้ก่อน ก็จะมีสัญญาเหมือนธงปักไว้ดังที่คุณบอกไว้ ในข้อความข้างล่างนี้แหล่ะครับ

    ที่บอกว่า ...
    (ส่วนข้อความนี้ค่อนข้างเห็นด้วยครับผม คล้าย ๆ ว่ารู้ไปก่อนทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ในสภาวะปัจจุบันหรือสภาวะจริง)

    "ผมว่ามันมีการตั้งธงเอาไว้ในใจก่อนนะ ปฏิบัติไปๆ ก็ไปลากเอาสัญญามาเทียบอยู่เรื่อยๆ ถึงไหนแล้วๆ ไม่เห็นปัจจุบันตามความเป็นจริง แล้วเมื่อไหร่จะรู้ทุกข์เห็นทุกข์ตามความเป็นจริงได้ล่ะครับ มีแต่ทำตามความเชื่อล้วน ๆ อย่างเดียว"

    ขอบคุณมากครับที่ฝากความเห็นไว้ให้พิจารณาครับผม
     
  15. ศีลทำ

    ศีลทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2016
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    คนตายมันตายจริงรึ คำว่าตายนัยยะมันคืออะไร ? มันแค่รูปที่ถูกทำลายแล้วอะไรที่มันต้องอาศัยรูปมันยังสามารถอาศัยต่อได้รึไม่ละ? เมื่อมันอาศัยรูปนี้ที่มันถูกทำลายไปไม่ได้มันทำยังไงละ ? นั้นคือคำตอบว่าคนตายมีขันธ์5ใหม?
    ธรรมตามความคิด กับธรรมตามความเป็นจริงที่ผลมันแสดงตัวอยู่อันไหนมันตรงร่องธรรมที่สามารถขยายออกไปไม่สิ้นสุด กับธรรมตามความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นตามความคิดแห่งตนอันไหนมันคือตวามจริง ถีงจะจริงในสมมุติก็ตาม....
     
  16. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    โทษที ผมลบคำถามซะแล้วเพราะไม่อยากให้ตอบหรอก เดี๋ยวมาอ่านดูคำตอบคุณเลยละกันไหน ๆ ก็ตอบมาให้แล้ว
     
  17. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    ก็นี่ไงหล่ะครับ รูปของเรามันคนละแบบกันนั่นเอง ... ยังไงก็ขอบคุณที่ตอบให้ครับ (- -) เราก็เรียนรู้ตามสมมุตินี่แหล่ะ หากไม่เรียนตามสมมุติก็ไม่รู้จะเรียนตามอะไรก็ท่านบัญญัติมาให้แบบนั้นแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเข้าใจตามมั้ยเท่านั้นเอง
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ธรรมะนั้น ไม่ได้ยาก ที่ ยาก เพราะไม่ปฏิบัติ

    อย่างเช่น รู้ได้ว่า พฤติกรรมบางอย่างที่เป็นเพื่อกุศลด้านเดียว บางประการ
    ต้องมี " อยากนำหน้าไปก่อน "

    ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ก็จะ ให้อยากนำหน้าแล้วจูงไปอ่านธรรมะ เสวนา ฮาเฮีย ไปเรื่อย !!!

    ถ้าปฏิบัติธรรม ง่ายนิดเดียว กำหนดรู้ อยากที่มันนำหน้า นั่นแหละ เป็น
    สภาวะธรรม ไม่ต้อง อัปปนง อัปปนา เฮียอะไร เพราะ ตนย่อมรู้ และ
    เห็นทั่วถึง ถึง " ความอยากที่นำหน้าไปก่อน " ตัวนั้นๆ

    กำหนดรู้ว่า มันเกิด

    หากยังไม่หมดเหตุ มันก็ดับไม่ได้

    หากมันหมดเหตุ จะให้มันเกิด จะต้องไป สะกิดมันขึ้นมาอีกไหมว่า เหลืออะไร

    แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น มันจะเกิด มันจะดับ มันไม่ถามเราสักคำ

    วันดีคืนดี ก็ เข้าห้องกระทู้ สองนาที อยากคว้าโทรศัทพ์มาเช็ค ไม่ทันครบ
    นาที ก็ ขอรีเฟรสดูหน่อยสิ มันลากไปเรื่อย ไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ถาม
    เจ้าของ

    วันดีคืนดี มันผลิก มันยุ มันแหย่ ไม่มีหรอก ก็แค่ ทำตามๆกันไป

    วันดีคืนดี เอ หลวงปู่ หลวงตา เขาน้ำตาไหลพราก กราบแล้วกราบเล่า
    ให้เราเห็น เอ๊ะมันยังไง มีหรือไม่มี ก็อยากพิสูจน์

    อยาก มันเกิด มันดับ ไม่ต้อง อัปปนา เฮียอะไร หาก ปฏิบัติธรรมอยู่
    ก็กำหนดรู้มันไปตรงๆ ด้วยภูมิจิตธรรมดาๆ

    จนกกระทั่งเห็น อยากดับ การสดับที่ต้องอ่าน ต้องฟังตามๆกันไป ก็ดับ
    เหลือแต่ การฟัง การสดับ ที่ไม่ต้องอาศัย ผู้ใดเลย แม้นแต่ ตัวตนของตน


    ปล.ลิง : ทั้งหมดนี้ ยังเป็นแค่ เริ่มสติปัฏฐาน แต่ จะแยกออกแล้วว่า ธรรมฉันทะ
    กับ ตัณหานำปฏิบัติ อันไหน เฮีย อันไหน ไม่เฮีย แล้ว พ้นจากการฟัง หรือ เป็น
    การอุปทานหมู่ตามๆกันไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  19. ศีลทำ

    ศีลทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2016
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    เราไม่ได้เรียนตามสมมุติ แต่เราอาศัยสมมุติไปสอดส่องความจริงที่ซ่อนอยู่ในสมมุติ เหมือนเรือเราอยู่ในเรือรึ หรือเราเป็นเรือ เปล่าเลย เราแค่อาศัยเรือข้ามฝั่งเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีเรือเราจะข้ามยังไงละว่ายน้ำข้ามไปรึ?คงตายห้าก่อนถึงฝั่งแน่ แต่ถ้าเราดันยึดเรือต่อให้ถึงฝั่งก็จะไม่ยอมทิ้งเรือก็ตายห้าไปกับเรือเหมือนกัน.. เราอาศัยสมมุติเพื่อข้ามผ่านสมมุติไปเท่านั้น
    แต่เมื่อไรที่ยังมีรูปอยู่เราก็ต้องอยู่กับสมมุติ แล้วจะอยู่ยังไงละ อยู่อย่างรู้แจ้งสมมุติกับอยู่อย่างไม่รู้สมมุติมันต่างกัน พฤติที่แสดงอาจจะเหมือนกันบ้าง อุปมาคนไหว้พระพุทธรูป คนหนึ่งไหว้ด้วยความหลง ขอนู้น นั้น นี่ ด้วยยึดว่าสิ่งนี้จะช่วยตนได้ ทั้งๆที่มันแค่อิฐ หิน ปูน ทราย รวมกันเป็นรูปพระพุทธ ถ้ามันขอได้รูปหมาที่ปั้นออกมาก็ต้องขอได้เหมือนกันสิ ไม่เห็นมีคนยกมือไหว้ขอกันเลย แต่คนที่รู้จักสมมุติ ก็ยกมือไหว้เหมือนกันแต่ต่างกันที่ ไหว้รูปสมมุติพระพุทธเจ้าที่สร้างขึ้นเป็นสมมุติตัวแทนพระองค์ด้วยความสำนึกในพระมหาธิคุณที่ทรงเมตตาสั่งสอนความจริงอันสูงสุดให้หมู่มวลมนุษยชาติได้มีปัญญารู้แจ้งได้ นี่พฤติมันเหมือนกันแต่แตกต่างกันที่จิตอย่างสิ้นเชิง..ใครจะดูออกไหมว่าใครยกมือไหว้ด้วยเหตุปัจจัยในจิตอย่างใด นี่จึงแตกต่างกันและแยกแยะได้ว่าอยู่อย่างรู้จักและเข้าใจสมมุติรึอยู่ในสมมุติที่ยังหลง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  20. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    บังเอิ้น บังเอิญ ..ผมได้คำตอบที่ผมอยากรู้โดยบังเอิญ
    เช้าวันนึง หลวงปู่พระธุดงค์องค์ลึกลับ ท่านฉันจังหันเสร็จ ปรากฎว่าท่านฉันข้าวไม่หมด
    ก็มีพ่อออก คนนึงอายุมากแล้วมาถามท่านว่า
    ''ใครกินข้าวทำไมเหลือเยอะขนาดนี้"
    หลวงปู่ตอบว่า" กองสังขาร กองทุกข์เป็นกินผู้ข้าวนั้น"...
    ความกระจ่างว่า การแยกแยะขันธ์5ฝ่ายนามธรรมก็มีแก่ข้าพเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล..
     

แชร์หน้านี้

Loading...