//// จะชักชวนผู้อื่นมาสนใจธรรมะได้อย่างไร ////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 5 ธันวาคม 2013.

  1. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    จะชักชวนผู้อื่นมาสนใจธรรมะได้อย่างไรครับ


    " ธรรมะ "คำนี้บุคคลที่ยังไม่ได้สนใจได้ยินคำนี้แลัว
    ล้วนเมินหน้าหนี หรือ ทำหูทวนลม
    ผู้ที่เราต้องการโปรด อยากให้เค้าพบสิ่งนี้ที่เค้าได้มีโอกาส
    เกิดเป็นมนุษย์แล้วและได้พบพระพุทธศาสนา จะมีวิธีอย่างไร



    ตัวผมเอง
    เมื่อผมได้ศึกษาปฏิืบัติ และ เห็นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้
    เป็นสิ่งที่พามนุษย์ได้พ้นทุกข์ได้จริง ก็อยากให้แม่ผม ได้หันมา
    ศึกษา และ ปฏิบัติบ้าง แต่จิตของแม่ไม่ยอมเปิดรับเลย
    ผมขับรถไปก็เปิดธรรมะให้ฟัง แต่แม่ก็บอกไม่เอา จะฟังเพลง
    เป็นอย่างนี้ตลอด ครั้นพูดธรรมะให้ฟังก็ พยายามเปลี่ยนเรื่อง
    คุยเรื่องอื่นอยู่ตลอด

    จิตของแม่ไม่ยอมเปิด สรุปได้ว่า หากจิตของผู้นั้น วาสนาไม่มีพอ
    เค้าจะไม่มาสน ไม่ใส่ใจที่จะรู้ แม้แต่นิดเดียว


    แล้วโอกาสก็มาถึง
    ที่สุดผมก็คิดวิธีนึงได้ ชวนแม่เข้ากรุงเทพฯ ปกติแม่ผมเป็นคนชอบ
    นั่งรถเที่ยว ก็เลยชวนแม่ไปฟังธรรมะในกรุงเทพฯ ตอนแรกแม่ได้ยิน
    ว่าไปฟังธรรมะ แ่ม่ปฎิเสธเลย แต่สุดท้ายแม่ก็ยอมมาทั้งที่ไม่ค่อย
    เต็มใจนัก แต่ก็เป็นห่วงกลัวเข้ากรุงเทพฯ คนเดียว

    วันนั้นพาแม่ไปฟังธรรมะที่ชมรมกัลยาณธรรมจัด มี หลวงพ่อเอี๊ยน
    อ.สุภี ดร.สนอง และ อ.ประเสริฐ มาแสดงธรรม ส่วนตัวผมเอง
    อยากให้แม่ได้ฟังธรรมจาก อ.ประเสริฐ ที่สุด เพราะเข้าใจง่าย
    แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาด แม่สนใจ และตั้งใจฟังธรรมะ วันนั้นแม่ได้เห็น
    คนไปฟังธรรมมากคงแปลกใจ สุดท้ายตอนกำลังจะกลับบ้าน ผมเริ่ม
    เห็นแม่ มีจิตอ่อนลง เป็นอันเรียบร้อย การที่ผมชวนแม่มาฟังธรรมะ
    ผมไม่ได้หวังให้แม่เข้าใจในธรรมะที่อาจารย์บรรยายหรอก
    (เพราะธรรมะที่ท่านอาจารย์แสดง เป็นธรรมะชั้นลึก แม่ฟังคงยังไม่เข้าใจ)
    แต่ผมเพียงอยากให้จิตของแม่เปิดพร้อม รับธรรมะต่อจากนี้ ที่ผมจะบรรยาย
    ให้แม่ฟังต่างหาก ระหว่าทางขับรถกลับบ้านจาก กรุงเทพ ถึง ชลบุรี
    ผมบรรยายธรรมให้แม่ฟัง และแม่ก็ ถามถึงธรรมะด้วยความอยากรู้จริงๆ
    อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เราถาม-ตอบ กันตลอดทาง ผมเริ่มบรรยาย
    ธรรมตามลำดับ ดังนี้



    1. ผมบรรยายถึงพระปัญญาของพระพุทธเจ้า โดยอ้างอิงกับโลกปัจจุบัน
    เช่น เรื่องที่พระุพุทธเจ้าตรัส ว่า โลกนี้กลม เหมือนผลมะขามป้อม ซึ่ง
    นักวิทยาศาสตร์ พึ่งจะมาค้นพบว่าโลกกลม จากนั้นเมื่อแม่ผมเริ่ม มีศรัทธา
    ในพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นอันว่าจิตแม่ยอมรับ ธรรมะที่ผมจะบอกต่อไป ซึ่ง
    เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งต้องคอยย้ำอยู่ตลอดว่า "ธรรมะที่ผมบอก
    อยู่นี้ เป็นคำของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผมคิดขึ้นเอง เพราะหากเป็นตัวผมเอง
    จิตแม่อาจปิดเนื่องจาก แม่กับผม ใกล้ชิดกันมาก ซึ่งมนุษย์เรามักไม่สนใจ
    และมักไม่เชื่อคนใกล้ตัว

    2 เมื่อแม่ผมยอมฟังคำพระพุทธเจ้า ผมก็ บรรยายถึงความน่ากลัวของ
    วัฏสงสารนี้ และ การได้โอกาสที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นของยากแค่ไหน
    สังเกตุว่า ตอนนี้มีสนใจมาก เพราะว่าใกล้ตัว ผมหยิบเอาพุทธพจน์ของ
    พระพุทธเจ้ามาพูดทั้งหมด ซึ่งท่านเปรียบไว้ดีแล้ว ขั้นตอนนี้ ผมต้อง
    ให้แม่เห็นภัยในวัฎสงสาร จึงจะทำให้แม่อยาก ออกจากวัฏสาร และเปลี่ยน
    ความคิดว่าตายไม่ไม่เกิดให้ได้ ผมบรรยายมาถึงตอนนี้แม่เริ่มสลด และ
    มีคำถามสวนขึ้นมาตลอด

    3. เมื่อแม่เห็นภัยในวัฏสงสารนี้และ เปลี่ยนความคิดให้เป็นสัมมาทิฐิ ผมก็
    ต่อด้วยวิธีออกจาสังสารวัฎนี้ ผมแนะนำไปตั้งแต่การ ทำบุญ ซึ่งแม่ไม่ค่อย
    ได้ทำบุญเท่าไหร่ และได้บอกกับแม่ไปประยุกต์กับสิ่งที่แม่ทำอยู่ตลอด คือ
    ถวายข้าวพระพุทธรูป ในวัน พระ ผมก็แนะนำให้แม่ถวายทุกวัน แม่จะได้
    เจริญพุทธานุสติ คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้บ่อย ตามคำแนะนำของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    และได้แนะนำแม่ถึงการปฎิบัติธรรม ว่าที่เห็น คนใส่ชุดขาว นั่งสมาธิ เดินจงกรม
    เค้าทำกันทำไม การบรรยายธรรมให้แม่ครั้งนี้แม้ว่าแม่ จะยังไม่พาตัวเองเข้า
    ปฏิบัติ แต่หลังจากวันนั้น แม่ก็เป็นคนเอ่ยปากชวนผมไปทำบุญ และทำบุญบ่อยขึ้น
    แม้การทำบุญนั้นจะเป็นเพียงขั้นต้น ของการออกจากวัฏสงสารนี้ก็ตาม แต่ก็เป็น
    การเริ่มต้นที่ดี ปรับความคิดให้เป็น สัมมาทิฐิ ได้ แม้แม่อาจจะไม่ได้นิพพานสมบัติ
    ก็อาจทำให้แม่ได้สวรรค์สมบัติก็ยังดี




    สรุปผมใช้การชักชวนให้มาสนใจธรรมะได้ดังนี้

    1.สร้างความศรัทธาในพระพุทธเจ้าให้มีแ่ก่คนนั้น
    2.ชี้ภัยในวัฏสงสาร และอธิบายความยากที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และได้โอกาสนี้
    3.แนะนำทางออกจากวัฏสงสาร ทาน ศีล ภาวนา ให้ตรงกับนิสัยในปัจจุบันของคนนั้น




    แล้วท่านอื่นมีวิธีอย่างไรกันบ้าง .......................



    .....................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2013
  2. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    จขกท อยู่ชลบุรี ลองไปกราบหลวงพ่อปราโมทย์ดูสิ พาแม่ไปด้วยยิ่งดี ใกล้บ้านกว่ามากรุงเทพ ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งเลยทีเดียว

    ท่านเคยสอนไว้ว่า การที่จะชวนคนอื่นให้มาสนใจธรรมะได้นั้น ตัวผู้ชวนเองจะต้อง
    ปฏิยัติให้ได้ผลในระดับหนึ่งก่อน และเมื่อคนรอบข้างเห็นว่าผู้ชวนนั้น มีสีหน้าบุคลิกท่าทางที่เป็นสุขมากกว่าแต่ก่อน หรือมีนิสัยที่เปลี่ยนไปจากไม่ดีกลายเป็นดี อะไรที่แย่ๆก็ลดลง โดยที่ไม่ได้แสร้งทำ ก็จะทำให้เขาสนใจ และเข้ามาถามเราเอง โดยที่เราแทบจะไม่ต้องเหนื่อยไปชวนเลย

    ลองเข้าไปดูทางไปวัดและกำหนดการแสดงธรรมของวัดได้ที่ ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว
    ถ้าใครมีเพื่อนชาวต่างชาติที่อ่านภาษาอังกฤษออกก็ไปที่
    Dhamma | A guide to mindfulness and Vipassana meditation as taught by Luangpor Pramote
    เพื่อศึกษาธรรมะในรูปแบบภาษาอังกฤษได้
     
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เห็นยังไม่มีคนมาตอบก็อยากตอบให้ แต่พอดีดิฉันเป็น Antheist ไม่ได้นับถือพุทธ แต่มีความสนใจเรื่อง spiritual จิตวิญญาณ และการเวียนวายตายเกิด และการใช้ศาสนาเป็นเครื่องจรรโลงใจทางจิตวิทยาให้คนหาทางออกแก้ปัญหาได้ เวลาที่พบปัญหากระทบกระเทือนด้านจิตใจ ก็อยากจะบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนานึงที่ดีมาก ในด้านจิตวิทยา

    ทุกวันนี้ดิฉันก็ได้ตอบแทนผู้มีพระคุณที่ตปท ซึ่งส่งดิฉันให้ไปสอนงาน handmade และ ใช้จิตวิทยาทางศาสนา ศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ แนวคิดในการพัฒนาจิตใจ นักโทษชายอาชญากรข้ามชาติในประเทศนึงในยุโรป ซึ่งดิฉันทำงานนี้โดยไม่เอาเงินสักบาท และคิดว่าเวปนี้ก็ให้ความรู้ดิฉันหลายอย่างด้านความเชื่อ และศาสนาที่พอจะไปพูดให้คนเหล่านั้นเข้าใจ และเปลี่ยนแปลงตัวเอง ขำๆ ดิฉันชอบงานนี้มันท้าทายดีที่คนที่เขาขอดิฉันให้ไปสอน อาชญากรชายข้ามชาติในคุก เขาบอก เราบู้ดี และนิสัยติดดิน แต่มีอำนาจในขณะเดียวกัน แต่ดิฉันดำเนินรอยตามเพื่อนชายที่เสียไป แม้เราไม่นับถือศาสนาแต่ก็เป็นคนดีได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2013
  4. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    เป็นกุศลจิตที่ดี สำหรับผมต้องเอาตัวเราเป็นแบบก่อน จะสอนใคร บอกใคร ตัวเราต้องเข้าใจโดยสามารถตอบข้อสงสัยของผู้สอบถามได้ และต้องปฏิบัติในสิ่งที่สอนหือแนะนำนั้นให้ได้ในระดับหนึ่งก่อน
    ผมมีข้อคิดว่า "พระพุทธเจ้าก็ยังไม่สามารถสอนใครได้ทุกคน" ดังนั้นเมื่อผมได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำแล้วเป็นผลหรือไม่เป็นผล ก็ตามนั้นครับ มีโอกาศก็ทำไปเรื่อยๆครับ
     
  5. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    สาธุครับ ผมจะได้เอาไปใช้บ้าง คิดแบบเป็นระบบ วางแผนระยะยาว สร้างเหตุให้เกิดผลที่ดี
     
  6. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    ผมเองตอน 2-3 ปีที่แล้ว ผมเคยได้ยินข่าวเสียหายของหลวงพ่อปราโมทย์
    ในตอนนั้นมีคนมาถามผมว่า ข่าวหลวงพ่อปราโมทย์เป็นอย่างไร ผมก็ตอบ
    คนที่ถามไปว่า "ท่านสอนผิด" ทั้งๆที่ผมไม่เคยฟังธรรมะของท่านเลย

    จนช่วงปีนี้ผมได้มาฟังธรรมะที่ลองโหลดมาฟัง ของหลวงพ่อปราโมทย์
    ธรรมะที่ท่านแสดง ก็เข้าใจและทราบว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ภูมิจิตของท่าน
    เป็นพระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ อันนี้ไม่ทราบ แต่ภูมิจิตท่านสูงกว่า
    พระโสดาบัน และพระสกทาคามีแน่

    ผมเลยตั้งใจไปขออโหสิกรรมกับท่าน เลยขับรถไปที่สถานปฎิบัติธรรม
    แต่ไปถึงหน้าประตู แต่ไม่ได้เข้าไปครับเพราะประตูปิด เห็นประตูเหล็กปิด
    มองไม่เห็นข้างใน ใจก็ไม่กล้าไปเลื่อนประตูเค้า ก็เลยขับรถกลับ
     
  7. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    บางทีการนำศาสนาโดยตรงไปสอนชาวต่างชาติที่ไม่มีพื้นฐานเลยก็ยาก หรือบางครั้งไม่เหมาะ ยิ่งในกรณีพวกที่นับถือพระเจ้าอยู่เดิม เวลาพูดเรื่องกลับชาติมาเกิด, หรือ ผี สาง เปรต, นั่งสมาธิรักษามะเร็ง ยาพระ ฯลฯ เขาจะต่อต้านไม่พอ เราอาจกลายเป็นทำให้คนอื่นปรามาศไปแบบไม่ตั้งใจ ดังนั้นดิฉันก็จะดูพื้นฐานคนที่เราจะบอกด้วยว่า อยู่ตรงจุดไหน

    อย่าง Antheist จะสอนได้ง่ายกว่าพวกที่มีศาสนาอยู่เดิมแล้ว พวกนั้นดิฉันจะไม่สอน แต่ถ้าเขามีทุกข์มาบ่นให้เราฟังว่า ทำไมมันเป็นอย่างงั้น มันเป็นอย่างนี้ ดิฉันถึงจะชี้ให้เขาเห็นด้วยหลักวิทยาศาสตร์ก่อนว่า เป็นแบบนี้เพราะมันมีเหตุมาจากเราไปทำอย่างนั้น จะไม่สอนในลักษณะเผยแพร่ตรงๆ แต่ชี้ให้เขาเอาไปคิดเอาเอง
     
  8. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    วิธีที่เคยใช้ก็...
    หาหนังสือดีๆ ที่คิดว่าสร้างแรงบันดาลใจในการปฏิบัติธรรมให้อ่าน
    หาสื่อหรือช่่องทางทีสามารถรับฟังธรรมะได้ให้ฟัง เปิดให้ฟังธรรมะบ่อยๆ
    เวลามีปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตก็พยายามช่วยเหลือเขา หากมีช่องทางที่เราสามารถให้คำ
    แนะนำในการแก้ปัญหาที่สามารถโน้มน้าวด้วยหลักธรรมต่างๆ ก็จะทำทันที
    ทั้งหมดที่กล่าวมาผู้นั้นจำเป็นต้องมีศรัทธาในตัวเราระดับหนึ่งก่อน
    เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องทำเป็นตัวอย่างโดยการปฏิบัติให้เห็นจริงว่าธรรมะทำให้
    ชีวิตและตัวเราดีขึ้นอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2013
  9. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    ยังไม่นับถือศาสนาพุทธ ก็ไม่เป็นไรครับ แต่การที่คุณ DuchessFidgette
    ได้นำตัวเองมาศึกษา ก่อนที่จะเชื่อนั้น ดีแล้วครับ เป็นไปตามหลัก กาลามสูตร

    คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมทนต่อการพิสูจน์ เมื่อคุณ DuchessFidgette
    เข้ามาพิสูจน์ก็จะเห็นเองว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มีจริงเป็นจริงทั้งหมด


    การเข้ามาศึกษาและปฏิบัติ ของคุณ DuchessFidgette นั้น ดีกว่าชาวพุทธ
    บางส่วนที่ยังไม่ทราบเลยว่า พระพุทธองค์สอนอะไร คำสอนของพระองค์นั้น
    พาคนพ้นทุกข์ได้จริงไม่ใช่ด้วยการวิงวอน แต่หากเป็นเพราะการเข้ามาศึกษา
    และปฏิบัติต่างหาก

    เมื่อก่อนตอนเด็กผมคิดขนาดนี้เลยว่า หนังสือเรียนที่เขียนว่า "พระพุทธเจ้าเป็น
    ศาสดาเอกของโลก" นั้น ผมคิดในใจว่า " นี่เราเข้าข้างศาสนาตัวเองหรือเปล่า
    ศาสนาอื่นมีตั้งเยอะแยะทำไมพระพุทธเจ้า จึงเป็นเอกที่สุด " แต่พอโตขึ้น ได้มา
    ศึกษา และปฏิบัติแล้ว คำว่า "พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก" นั้น มันน้อย
    เกินไปด้วยซ้ำ


    ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี แต่แม้จะเป็นคนดี ก็ยังทุกข์อยู่เหมือนเดิม
    จะมีเพียงศาสนาพุทธเพียงศาสนาเดียวที่สอนให้ออกจากทุกข์ได้จริง อันนี้ผมของยืนยัน
    ด้วยการปฏิบัติของผมเอง หากคุณ DuchessFidgette จะลองเชื่อและปฏิบัติตามหลัก
    ของศาสนาพุทธอย่างสุดใจดูซักชาติ ผมขอรับรองว่ามันคุ้ม โดยไม่ต้องรอให้รู้ผลหลัง
    ความตาย เอาที่ผลปัจจุบันนี้เลยว่า ทุกข์ในใจลดแน่

    และขอนุโมทนากับการที่นำคำสอนของพระพุทธศาสนาไปประยุกต์และ สอนให้แนวคิด
    แก่นักโทษด้วยครับ การที่คุณ DuchessFidgette ให้แนวคิดแก่เหล่านักโทษ แล้วมี
    นักโทษเพียงแค่คนเดียว ที่คลายทุกข์ลง และทำให้ชีวิตเค้าดีขึ้น ก็เป็นกุศลมากแล้ว.....


    .............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2013
  10. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    ที่ ดิฉันไม่ขอประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธก็ เพราะว่า ดิฉันมีแนวคิดในการปฏิบัติทางด้านศาสนา และการนับถือพระพุทธเจ้า ในด้านที่แตกต่างจาก ชาวพุทธในเมืองไทยคะ ความเชื่อทางศาสนาของดิฉันคือ การปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ และพรหมวิหารสี่ ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ หรือ ศาสนา หรือ ฐานะทางสังคม เน้นหนักไปที่ด้านจิตใจล้วนๆ เพื่อแก้ปัญหาคนให้พ้นทุกข์ ปฏิเศสพิธีกรรม เทพเทวดาในตำนาน ไม่มีประวัติศาสตร์ และ สังคม ในมุมมองทางการปฏิบัติในแนวทางของดิฉัน นั้นคือเหตุผลที่ทำให้ดิฉันไม่ใช่ชาวพุทธโดยสมบูรณ์ในแบบ เถรวาท ของเมืองไทย


    แต่พุทธในโลกตะวันตกมิใช่ศาสนา ไม่มีพิธีกรรม ไม่มีประวัติศาสตร์ หรือที่เรียกว่า philosophy คือ แนวคิดการดำเนินชีวิตหรือ ปรัชญา การใช้ชีวิต ซึ่ง ดิฉันเห็นด้วยกับแนวทางนี้ เพราะว่า หากเรานำ สังคม พิธีกรรม และประวัติศาสตร์ เข้ามาเป็นส่วนนึงของพุทธเมื่อไร เมื่อนั้นเองที่จะเกิด ไบแอสตามมา ดิฉันคิดว่าเราจะสูญเสียแก่นของศาสนานี้ เพราะเป้าหมายหลักของศาสนาในการช่วยคนไปนิพพานก็จะดำเนินไปไม่ได้ เมื่อเรามีการแบ่งแยกว่า นี้ คนไทย นี้โรฮิงญา นี้ฝรั่ง ฯลฯ ทั้งๆที่ทุกๆคนไม่ว่าจะต่างกันยังไง พวกเขาต่างต้องการความช่วยเหลือให้ออกจากสังสารวัฏ


    และนี้เป็นหน้าที่หลักของการเป็นผู้ที่ปฏิบัติอย่างแท้จริง เราไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในแผ่นดิน ในทรัพย์สิน ในเชื้อชาติ หน้าที่ของเราคือการพ้นทุกข์ และช่วยนำแนวทางบอกแก่ผู้อื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  11. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    คุณ ซีฟอส ลองเช็คตารางการแสดงธรรมดูก่อนที่จะไปหาท่านนะ เพราะหลวงพ่อท่านไม่ได้แสดงธรรมทุกวัน

    http://wimutti.net/calendar.php

    ดีแล้วที่คุณซีฟอสยังสำนึกผิดทันรู้อะไรเป็นอะไร ยังไม่สายที่จะไปขอขมาท่าน เพราะท่านยังดำรงธาตุขันธ์อยู่

    ธรรมะที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านแสดงนั้นเฉียบคมมาก และถูกต้อง
    ตรงตามธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ ไม่ผิดเพี้ยนเลย ลองดูธรรมะเด็ดๆบางส่วนได้ที่

    http://palungjit.org/threads/จิตไม่เที่ยง-เพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป.509061/

    เมื่อพิจารณาข้อกล่าวหาต่างๆ แล้วจะพบว่า ผู้ที่กล่าวหานั้น ไม่มีความรู้ในทางธรรม มากพอ และคอยแต่จะ เทียบเคียงคำเทศนาของหลวงพ่อปราโมทย์กับพระรูปอื่นๆที่ตนเองชอบ พอหลวงพ่อปราโมทย์เทศน์คนละแนวทางกับที่ตนเคยรู้เคยฟังมาจากพระรูปอื่น จึงเข้าใจผิด คิดว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด และก็บอกกันต่อๆไปทำให้หลายคนเชื่อว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิดจริงๆ

    ทั้งๆที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนนั้น มีหลักฐานอ้างอิง ตามพระไตรปิฎก ทั้งสิ้น

    นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาที่แสดงให้เห็นถึงความไร้เดียงสาในเรื่องพระ
    ธรรมวินัยของผู้ที่ไปกล่าวหา หลวงพ่อปราโมทย์ เช่น ตำหนิหลวงพ่อปราโมทย์ว่า ไม่ค่อยบิณฑบาตรบ้าง โดยที่ไม่รู้เรื่องเลยว่า ศีล 227 ข้อนั้น ไม่ได้บังคับว่า ให้พระทุกรูปต้องบิณฑบาตร แต่การบิณฑบาตรเป็นวัตรนั้น เป็นส่วนหนึ่งของธุดงควัตร 13 ประการ ที่พระพุทธเจ้าให้ภิกษุเลือกถือหรือไม่ถือก็ได้ตามความปรารถนา

    แต่เท่าที่ศึกษาคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มา นั้นขอพูดตรงๆตามข้อเท็จจริง ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ท่านแต่อย่างใด เลยว่า ก็มีผิดบ้าง แต่เรียกได้ว่าน้อยมากๆ และไม่มีนัยสำคัญต่อการฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์แต่อย่างใด เช่น หลวงพ่อท่านเทศน์ว่า ตามสถิติที่บันทึกไว้ พระอรหันต์อายุน้อยที่สุดคือ 7 ขวบ

    แต่ความจริงคือ มีบันทึกในพระไตรปิฎกไว้ว่า พระอรหันต์ที่อายุน้อยสุด คือ 5 ขวบ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ส่งผลต่อ
    หลักการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์แต่อย่างใด

    และปัจจุบันนี้ข้อกล่าวหาต่างๆ ได้รับการพิสูจน์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่าหลวงพ่อปราโมทย์ไม่มีความผิดใดๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม

    ทางโลกนั้น DSI ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าทำผิด
    http://palungjit.org/threads/จิตไม่เที่ยง-เพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป.509061/page-2#post8349450

    ส่วนทางธรรมนั้น คณะสงฆ์ได้ทำการตรวจสอบแล้ไม่พบว่ามีการอวดอุตริมนุษยธรรมแต่อย่างใด
    http://www.komchadluek.net/mobile/detail/20101015/76429/76429.html

    http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000136614
     
  12. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ปฏิบัติเป็นให้สำเร็จเป็นตัวอย่างก่อน

    บ่อยครั้งที่มีโอกาสเจอหลายๆคนที่สอนดี แต่พอมองดูคนสอนเองยังไม่เอาไหน
    บ้างก็ปฏิบัติไม่ได้ บ้างก็ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า บ้างก็ปฏิบัติแล้วไม่ดีขึ้น
    ในเมื่อคนจะสอนเราเองยังไม่ไปถึงไหน ยังไม่ได้อะไรดีขึ้นมา
    จะให้คนอื่นมาเชื่อได้อย่างไร บางคนเขียนยาวเป็นเรียงความส่งอาจารย์
    แต่ชีวิตตัวเค้าเองยังไม่รอด แบบนี้เราก็ไม่ไหวเหมือนกัน
     
  13. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    จริงหรือครับ การปฏิบัติ ให้สำเร็จก่อนแล้วจะทำให้ผู้อื่นที่ไม่สนใจธรรมะ
    หันมาสนใจได้จริง โดยไม่ต้องคิดอุบายวิธี ที่ตรงกับคนนั้นโดยเฉพาะ
    แม้ผู้ที่สอนจะสำเร็จที่ตนก่อนแล้ว ครั้นบอกธรรมะที่เป็นขั้นปรมัตถ์ ไป
    ผู้ที่ยังไม่สนใจในธรรมะ จะมาเข้าใจและสนใจหรือครับ แม้แต่ผู้ปฏิบัติ
    ที่ยังไม่แจ้งในธรรม ผมกล่าวธรรมะขั้นปรมัตถ์ ไปเค้ายังไม่สนใจเลย
    เค้าเองจะสนใจเฉพาะ สิ่งที่เค้าทำอยู่ตรงนั้น อย่างเช่น การทำสมาธิ
    เค้าก็จะสนใจ แต่เรื่องการทำ ฌาน ไม่ได้สนใจแต่เรื่องการหลุดพ้นเลย
    แล้วจะประสาอะไรกับบุคคลที่ยังไม่ได้แม้แต่มาสนใจ ในธรรมะ จะเข้ามา
    สนใจได้ไง บอกธรรมะขั้นหลุดพ้น ปล่อยวาง ไม่มีตัวตน ความไม่เที่ยง
    ธรรมะเหล่านี้ ปุถุชนธรรมดา เค้ามองกว่าเราขวางโลก ทวนกระแสสังคม
    ในเมื่อ สังคมเคาบอกให้เราหาเยอะๆ แต่ธรรมะขั้นปรมัตถ์ บอกไห้วาง
    เพราะมันไม่น่ายึดถือ

    แม้เราสำเร็จประโยชน์เฉพาะตนแล้ว คนที่อยู่ใกล้ชิดเรา เค้าก็ไม่ได้หันมา
    สนใจเลย ถ้าให้เค้าเห็นแค่การกระทำ เค้าไม่มาสนใจหรอกครับ ถ้าเราไม่ได้
    บอกสัจธรรม หรือแนะนำไป แท้ที่จริงมนุษย์ทุกคน สำคัญตนเองนี่แหละที่สุด
    เค้าไม่ได้มองหรอกว่า คนนั้นดีขึ้นอย่างไร คนนั้นจะดีอย่างไร แต่มันไม่ได้เกี่ยว
    กับเรา เค้าก็ไม่สน



    หากผมไม่ได้ประสบกับตัวเองมา ผมคงไม่กล้าตอบกระทู้ท่าน naitiw อย่างนี้หรอกว่า
    ผู้ที่สำเร็จแล้ว แม้แต่คนใกล้ชิดเองเค้าก็ไม่สนใจอาจมีเอะบ้างแต่ ประหลาดใจบ้าง
    ถ้าเราไม่คอย แนะนำ ชักชวนอยู่ ไหนเลยเค้าจะเข้ามาสนใจ ปฏิบัติได้ ถ้าท่าน naitiw
    ยังไม่สำเร็จ จะรอให้สำเร็จก่อนไหมครับ ถึงจะชักชวนบุคคล อื่นให้ มาฟังสัจธรรม ของ
    พระพุทธองค์ ถ้าอย่างนั้น เราคงไม่ได้เห็นกัลยาณมิตร ที่ชักชวนกันมาฟัง
    ธรรมของพระพุทธองค์ หรอกครับ เพราะผู้สำเร็จจริงเป็นอริยบุคคล ไม่ได้มากมายเท่า
    กัลยาณชนทั้งหลายหรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  14. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ขอบคุณครับ สำหรับตาราง จะหาโอกาสไปขอขมาท่านครับ ส่วนตัวแล้วผมกล่าว
    ต่อหน้า พระรัตนตรัย อยู่แล้ว ในการการขอขมา หลวงพ่อปราโมทย์ครับ
    ถ้าได้โอกาสไปขอต่อหน้าท่าน และได้ฟังธรรม คงดีมากเผื่อได้หนทางเดินทางต่อ

    ธรรมะที่หลวงพ่อท่านแสดง ผมก็ขอรับรองว่าท่านของจริง แต่มักจะมีบุคคลที่คอย
    จับผิด คำบางคำของท่าน แต่แนวทางคำสอน เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น และยึดหลัก
    คำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเป็นของจริง ย่อมทนต่อการพิสูจน์ครับ


    ......................
     
  15. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    แล้วคุณ xeforce สนใจธรรมะได้ยังไงล่ะครับ
    ใครเป็นคนที่ชวนให้คุณมาสนใจธรรมะได้ ก็น่าจะเป็นอีกแนวทางนึงในการชักชวนจนเกิดมีผู้เลื่อมใสในศาสนาอย่างคุณ xeforce

    ลองเล่าประสบการณ์ของคุณได้ไหมครับว่าใครเป็นคนชวนคุณให้เข้ามาศึกษาธรรมะ
     
  16. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ผู้ชักชวนให้ผมสนใจธรรมะ คือพี่ที่ทำงานเก่าของผม เค้าได้เอาซีดีธรรมะ
    มาให้ผมฟัง และก็บอกว่า ฟังแล้วยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่ลองปฏิบัติดู
    พี่คนนี้เป็นคนคอยชวนคนอื่นๆให้เข้ามาฟังธรรมะ เรียกได้ว่าทั้งโรงงานเลย
    บางคนสนใจบ้าง บางคนเฉยๆ บางคนเห็นพี่เค้าก็แซวเลยว่า "ธรรมะสวัสดี"
    เห็นเป็นเรื่องเฮฮากันไป

    พี่คนนี้เป็นกัลยาณมิตรของผมคนแรกไม่ไม่เคยลืม โทรคุยกันเรื่อยๆ
    แม้ผมไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้ว

    หาวันนั้นพี่เค้าไม่ส่งซีดีมาให้ และผมไม่ได้เปิดฟัง การเข้าศึกษาและปฏิบัติ
    คงเนิ่นช้ากว่านี้ หรืออาจจะไม่ได้พาตัวเข้าปฏิบัติเลย อาจจะเสียเวลาเปล่า
    ไปอีกชาติหนึ่ง เพราะไม่มีคนชักชวน ไม่มีกัลยาณมิตรที่แนะนำ


    ..................................

    "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจง เที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก
    เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมากเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์
    เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไป
    ทางเดียวกันสองรูป เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
    งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ
    บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวกที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่
    เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี "



    ..................................
     
  17. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เป็น cd ของอาจารย์ท่านใดหรือครับ
     
  18. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    ปัจจุบัน พวกที่ชอบสอนคนอื่น กลายเป็นอาชีพหนึ่งไปแล้ว หลอกคนอื่นไปแล้วมากมาย..ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ แต่ใช้ผ้าเหลืองซะด้วย มีเงินเป็น 10-100ล้าน..มีทั้งหุ้น-ทั้งพันธบัตร องค์ที่คุณโพสต์ที่ชลบุรีนั่นคือหนึ่งในนั้น ที่คุณยังขับรถจะไปขอขมา
    ..ผมเห็นศรัทธาในตัวคุณแล้วครับ หลักการคุณคืออะไรครับ ..เอาเหตุผลอะไรมาเลือกนับถือพระ ใคร่ครวญก่อนนับถือ ใคร่ครวญก่อนให้ ไม่ดีรึครับ
    คนห่มผ้าเหลือง ไม่ใช่พระสงฆ์ ในไตรสรณะคมณ์นะครับ แค่คนเข้ามาฝึกตนเอง ต้องโสดาบันขึ้นไปครับ ไม่หวลกลับแล้ว เราจึงถือว่าเป็น สงฆ์ ในไตรสรณะคมณ์ครับ ลองไปดูที่เวป "แอนตี้วิมุตติ" ซิครับ ไม่ต้องเชื่อผม หลักฐานบานตะเกียงครับ

    .. ผ้าเหลืองตามวัดนี่ ศรัทธาอย่างเดียวไม่ได้นะครับ วัตรปฏิบัตร-ศิล-ปัญญา สมณะสำนึก อย่างน้อยต้องมี ครับ เราแสดงธรรมตามสามารถ การแจ้งธรรม ไตร่ตรองธรรม แทงตลอดธรรม ตัวใครตัวมันนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  19. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    ธรรมะ ในทางพุทธศาสนา อาจจะมองดู หรือคิดว่า เป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะธรรมะที่มีอยู่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกหรือได้ยินได้ฟังจากผู้รู้ทั้งหลายนำมาสอน นำมาเทศนา โดยการดัดแปลง ไปตามสังคมสิ่งแวดล้อม
    ธรรมะในทางพุทธศาสนาที่มีอยู่ หากอ่านผิวเผิน ก็จะไม่เกิดความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย สู้ไปทำมาค้าขาย หาเลขหวย รวยทางลัด หรือหลงไปกับคำพูดที่เสกสรรปั้นแต่งให้ดูมีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ไม่ได้
    ทังนี้ก็เพราะพุทธศาสนา ขาดผู้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่สามารถทำความเข้าใจในหลักธรรมที่มีอยู่ ที่เข้าใจ ก็เข้าใจไปอีกทางหนึ่ง ไม่ได้คิดคำนึง ถึงหลักความจริง ตามธรรมชาติแห่ง มนุษย์ ฯลฯ หลงยึดติดอยู่ในตำรา จนไม่สามารถขยายความไม่สามารถเปรียบเทียบหลักธรรมให้เป็นไปตามยุคตามสมัย
    ความจริงแล้ว ธรรมะทางศาสนา ยิ่งเรียน ยิ่งสนุก ยิ่งค้นคว้า ยิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์ แต่ในสังคมความเป็นอยู่ของมนุษย์กลับมองว่า ศาสนา ไม่สร้างสรรค์สังคม ไม่สร้างรายได้ให้กับประชาชาติ อันเป็นความเข้าใจผิด จึงทำให้เกิดความขัดแย้ง โลภ โกรธ หลง ดังที่เห็นกันอยู่ทั่วไป
    ถ้าพวกเขาเหล่านั้น มีธรรมะในทางศาสนาอยู่สักนิด บ้านเมืองย่อมเกิดความสงบ ไม่มีการชุมนุมเดินขบวน คัดค้าน หรือ อะไรต่อมีอะไรให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย

    การจะดึงคนให้เข้ามาสนใจธรรมะ ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าข้าพเจ้าบอกว่า " ธรรมะทางศาสนาจะทำให้คนอายุยืน" หรือ "ธรรมะทางศาสนาจะทำให้คนพออยู่พอกินไม่อัตคัดขัดสน" หรือ "ธรรมะทางศาสนาจะทำให้คนเราไม่เกิดการเจ็บป่วยมากนัก" ก็สามารถดึงคนให้มาสนใจในธรรมะได้เยอะมากทีเดียวเลยขอรับ

    อีกประการหนึ่ง ธรรมะ ทั้งปวง ก็ล้วนมีอยู่ในจิตใจของแต่ละคนอยู่แล้ว จะเรียกว่า หรือกล่าวว่า ทุกคนมี ธรรมะ อยู่ใน จิตใจ ความคิด อยู่แล้ว ก็ว่าได้ แต่"ธรรมะที่มีอยู่ในจิตใจของคนทั้งหลายเหล่านั้น มีทั้ง ธรรมในทางที่ดี และธรรมในทางที่ไม่ดี พวกเขาจะใช้ธรรมะแบบดี หรือธรรมะแบบไม่ดี มาประพฤติปฏิบัติ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    สรุปแล้ว ถึงไม่ดึงพวกเขาให้มาสนใจธรรมะ พวกเขาก็มีธรรมะอยู่แล้ว แต่คนที่มองว่าพวกเขาเหล่านั้น ไม่มีธรรมะ ก็เพราะมองเหรียญด้านเดียว เพราะความไม่รู้ อยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็เท่านั้นขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  20. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    คุณควรใคร่ครวญหลักฐานก่อนดีกว่านะก่อนที่จะปรามาส พระที่คุณไม่รู้ภูมิธรรมแท้จริงของท่าน

    หลักฐานจากเว็บนั้นชื่อก็บอกอยู่ชัดๆ ในตัวอยู่แล้ว ว่าต่อต้านการหลุดพ้น ไม่เป็นมงคลเลย

    หลักฐานเหล่านั้นไม่น่าเชื่อถือ โดยดูได้การที่ dsi กับคณะสงฆ์ ตัดสินว่าหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ผิด (แล้วลองเทียบกับ สมีคำดูสิ ว่าเป็นไง ถ้าผิดจริง dsi กับคณะสงฆ์ไม่ปล่อยไว้หรอก)

    อีกอย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเป็นทองแท้ ท่านไม่หนีคดี ท่านเปิดให้สาธาณชนพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างไม่หวั่นไหว ซึ่งผลก็ออกมาแล้วว่า หลักฐานต่างๆ ที่เหล่าบรรดาผู้ต่อต้านการหลุดพ้นยื่นนั่น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อข้อกล่าวหา

    หรือถ้าคุณสับสนคิดว่ามีหลักฐานเพิ่มเติมก็ไปยื่นให้ dsi กับ สนง.พุทธศาสนาตรวจสอบอีกก็ได้ และดีกว่าที่จะมาปรามาสพระในเว็บบอร์ดโดยการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อสังคมโดยรวม และตัวคุณแต่อย่างใดเลย

    ถ้าคุณสับสนไม่นับถือหลวงพ่อปราโมทย์ก็คงไม่มีใครว่า หรือถ้าคุณคิดว่า พฤติกรรม หรือ คำสอนของท่านไม่ใช่แนวทางที่คุณคิดคุณก็ไปนับถือ พระรูปอื่นได้ ไม่มีใครว่า หลวงพ่อปราโมทย์ท่านก็ไม่ได้ง้อให้ใครต้องมาเชื่อท่านอยู่แล้ว ท่านยังเคยบอกเลยว่า โยมไม่มาหาเลยได้ยิ่งดี ท่านจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย ไม่ต้องลำบากธาตุขันธ์ในการสอน

    แต่ถ้าคุณไปปรามาสท่านนี่สิ จะเป็นเวรกรรมติดตัวไป และส่งผลร้ายต่อตัวคุณ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
    พยสนสูตร
    [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายกล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ความฉิบหาย ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ 
    ภิกษุนั้นไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ ๑ 
    เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑ 
    สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑ 
    เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย ๑
     เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
     ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
    ย่อมถูกโรคอย่างหนัก ๑ 
    ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ๑ 
    เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ ๑ 
    เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๑ 

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย กล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ฯ
    จบสูตรที่ ๘
     

แชร์หน้านี้

Loading...