คุณสมบัติ และ จริต ของเทวดาแต่ละชั้น และทำบุญอย่างไรไปเป็นเทวดา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 6 มกราคม 2013.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ไปสวรรค์แต่ละชั้้น
    -http://www.watkaokrailas.com/articles/41944126/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B9%89%E0%B8%99%20.html-

    ---ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น




    ---สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6 ชั้น




    ---เหตุ ที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์




    ---วิมาน ปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน




    ---การ สังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา




    ---มี จาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์





    *เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์




    ---คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ ตัวอย่าง: สวรรค์ชั้นดาวดึงส์




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา




    ---คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงาม นั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต




    ---หรือ ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี




    ---คือ เมื่อ ครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี




    ---คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป




    ---ความ เป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้นแต่อาจ จะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย









    *สวรรค์ชั้นดุสิตหรือดุสิตบุรี ดีอย่างไร




    ---ทำไมพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนักสร้างบารมีทั้งหลายถึงเลือกที่จะอยู่ชั้นนี้




    ---สวรรค์ ชั้นดุสิตนี้ มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีท้าวสันดุสิต ซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นผู้ปกครองภพ ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดุสิตอยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุ อยู่ในอากาศเหนือสวรรค์ชั้นยามา 42,000 โยชน์ บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์




    ---ลักษณะ ของสวรรค์ชั้นดุสิต จะไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่จะกลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้น ยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่าง นุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่ม เนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หรือถ้ามองลงไปที่ดาวดึงส์ก็จะเห็น ว่ามีขนาดเล็กนิดเดียว เพราะสวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่า




    ---โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานของท้าวสันดุสิตเป็นศูนย์กลาง ของสวรรค์ชั้นนี้ แล้วแบ่งออกเป็น 4 เขต วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้




    ---เขตที่ 1 เป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ซึ่งอยู่ชั้นในสุด




    ---เขตที่ 2 เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธานจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ให้หมดจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ก็จะอยู่ในเขตนี้ด้วย




    ---เขตที่ 3 เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับ พยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องสร้างบารมีอีกมาก




    ---เขตที่ 4 เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลมาก และมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เป็นเขตทั่วไป นอกเหนือจาก 3 เขตแรก สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ หนึ่งในความ พิเศษนั้นก็คือ เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน อนาคตจำนวนมาก และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต แล้วทำไมพระบรมโพธิสัตว์ หรือบัณฑิตทั้งหลายจึงปรารถนาที่จะได้มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทั้งที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมากมาย ปรารถนาที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ เหตุที่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ มีข้อสังเกตอย่างน้อย 3 ประการ คือ




    ---1.พระ โพธิสัตว์สามารถจุติ ลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความ ว่า โดยปกติเทวดามีเหตุแห่งการจุติ หลายประการ เช่น หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มี จุติเพราะความโกรธก็มี แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เมื่อจะจุติลงมา สร้างบารมี หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะนั่งทำสมาธิ อธิษฐานจิต สามารถดับวูบลงมาเกิด ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของ ชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ




    ---2.เนื่อง จากสวรรค์ชั้นนี้ มีแต่บัณฑิต มีแต่พระบรมโพธิสัตว์ ล้วนแต่มีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน ที่จะฝึกฝนตนเองและช่วยสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานไม่ประมาทในการดำรงชีวิต เหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ มักจะคบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความ เบิกบานใจ และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากมา แสดงธรรมให้ฟัง




    ---3.ขนาดอายุทิพย์ของสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ 4,000 ปีทิพย์ ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ ถ้ามี อายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา




    ---โลก วิญญาณทิพย์มีหลายชั้น เบื้องสูง และเบื้องล่าง เป็นสถาบันทิพย์ แต่ละชั้นมีองค์กรสถาบันทิพย์ฝ่ายผู้สำเร็จทุกกระทรวง และฝ่ายคุณธรรมทางศาสนา ประจำอยู่ในแต่ละชั้นระดับต่าง ๆ เหมือนระบบสังคมบ้านเมืองของไทย ขอให้พิจารณาโลกกับธรรมเป็นของคู่กัน โลกวิญญาณทิพย์ดังกล่าวมีโครงสร้าง ประกอบด้วยวิญญาณสูตรธาตุธรรมทั้ง ๔ คือ อากาศดิน อากาศน้ำ อากาศลม อากาศไฟ แต่เป็นธาตุสำเร็จเบื้องสูง เป็นพลังชีวิตที่เป็นวิญญาณสำเร็จ มีอำนาจปกครองและปรุงแต่งสรรพสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต




    ---ตลอดวิญญาณทุกประเภทที่อยู่ในตัวโลกดวงนี้ ปกครองและปรุงแต่งแบบกระจายอำนาจกันลงมา โดยการแยกธาตุปรุงเชื้อสายของโลกวิญญาณเบื้องบน ให้มีติดตั้งไว้ในสังขาร วิญญาณ ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช เป็นเชื้อสายมาจากโลกวิญญาณ กระทรวงต่าง ๆ ให้เป็นตัวหน่วยย่อย หรือตัวแทนประจำอยู่ในกองสังขารเป็นสายโยงวาโยธาตุ สื่อสารถึงกันหมด ให้ประจำอยู่ในกองสังขารทุกตัวตน จะขอกล่าวโดยย่อในส่วนที่สัมพันธ์กับมนุษย์โดยเฉพาะคือ




    ---๑.โลกวิญญาณมีสัญญา เป็นกฎหมายตราเป็นเครื่องจำหมายของวิญญาณแต่ละชั้น เช่นเดียวกับในกองสังขารวิญญาณมนุษย์เราก็มีสัญญา ประจำกองสังขาร ซึ่งอยู่ในหมวดขันธ์ ๕ สัญญาเกิด สัญญาตาย สัญญาเวียนว่ายให้มีกุศลธรรม และอกุศลธรรมติดตามปรุงแต่งเป็นสัญญาประจำตัวทุกคน สัญญาประจำกายตนของแต่ละบุคคล กำหนดให้ธาตุธรรมทั้ง ๔ เข้าจัดระเบียบปรุงแต่งในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ และบุญญาภินิหารส่วนบุคคลต่างกรรมต่างวาระกันไป เมื่อสัญญาปรุงแต่งมาเกิดแล้ว สัญญานั้นก็ควบคุมให้เกิดมีสุขมีทุกข์ในมนุษย์สมบัติต่างฐานะกันออกไป สัญญาประจำกองสังขารเชื่อมโยงผูกพันถึงสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายโลกวิญยาณที่เป็นตัวน้อมนำการปรุงแต่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า แม่ป้อ แม่ปั้นปุงลิงค์ แม่สื่อแม่กำเนิดเขาจะดูตามสัญญาที่เป็นเครื่องจำหมายของวิญญาณมนุษย์ตน หนึ่ง ๆ




    ---๒.โลกวิญญาณทิพย์ มีภูมิลำเนาวิญญาณเป็นเมืองหลายเมือง เช่นเมืองสวรรค์ชั้นภูมิ (เทวภูมิ) สวรรค์เทวโลก เรียกว่าแดนสุขคติภูมิ สำหรับภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำ เป็นเมืองนรกมีลักษณะเป็นขุมต่าง ๆ หลายระดับชั้น เรียกว่าทุคติภูมิ โลกวิญญาณทิพย์มีภูมิลำเนาวิญญาณไว้รองรับคุณค่าการทำความดี ต่างระดับกัน ผู้ใดทำชั่วภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำก็รองรับ หลายระดับชั้นที่ซึ่งมีไว้ให้วิญญาณมนุษย์ไปเสพผลกรรมตามกุศลกรรม และอกุศลกรรม ในสัญญาแห่งโลกเวียนว่าย การเสพผลกุศลกรรมระดับสูงได้ขึ้นไปสู่ภูมิลำเนาวิญญาณ




    ---เมืองสวรรค์วิมานเทวโลก เสพผลอกุศลกรรมชั้นต่ำก็ตกไปสู่ภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำ มนุษย์ทั่วโลกจึงมีเชื้อสายเผ่าพันธุ์ การปรุงแต่งธาตุธรรมในวิญญาณของตน มาจากภูมิลำเนาวิญญาณต่างฐานะกัน ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีชนชั้นตามสภาพบุญตกแต่งตามค่าของวิญญาณ ตามภูมิลำเนาวิญญาณที่เคยไปสู่กรรมต่างชั้นกัน ทำให้มนุษย์มีกุศลมูลเดิมในกุศลธรรมปรุงแต่งตามภูมิลำเนาชั้นต่าง ๆ ดังนั้นมนุษย์จึงเข้าถึงคุณธรรมต่างชั้นต่างวาระกัน ผู้ปฏิบัติธรรมก็เข้าถึงอำนาจคุณธรรมองค์สำเร็จต่างระดับกันด้วย ในเมื่อโลกวิญญาณทิพย์มีภูมิลำเนาชั้นต่าง ๆ




    ---มีโครงสร้างเป็นเมือง เมื่อปรุงแต่งสังขารวิญญาณมนุษย์รวบรวมธาตุธรรมเป็นสังขตธรรม เป็นกายสังขารจึงมีเจ้าหน้าที่หน่วยย่อยของเมืองโลกวิญญาณมาติดตั้ง ประจำอยู่ในสังขารทุกตัวตน ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของโลกวิญญาณทิพย์เป็นสื่อสายโยงวาโยธาตุ ถึงกันเจ้าหน้าที่หน่วยงานของเมืองสวรรค์ที่อยู่ในกายนครของมนุษย์ตัวหนึ่ง ๆ อาทิเช่น เทวทูต ยมทูต พระยาจิตราช ราชทูต มีเชื้อสายเทดา





    ---เชื้อสายอินทราธิราช เชื้อสายชั้นพรหมโลก เชื้อสายห้องพระนิพพาน ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยงานของเมืองนรก ก็ มีติดตั้งไว้ในสังขารด้วยเหมือนกัน ใครทำดี ทำชั่ว แต่ยุคใดปางใด เวียนเกิดเวียนตายสักกี่ร้อยชาติ ตัวสื่อเรานี้จะบันทึกไว้หมด ดังนั้นโลกวิญญาณทิพย์จึงรู้เห็นการกระทำของมนุษย์ทุกตัวตน อยู่ทุกลมหายใจ เมื่อมนุษย์ถึงวาระทิ้งสังขารวิญญาณทำดีมามาก ฝ่ายดีเขาก็ดึงดูดสูงขึ้น วิญญาณใดทำชั่วมามาก ฝ่ายชั่วก็ดึงดูดให้จมลง เมื่อมนุษย์ทุกตัวตนมีสัญญาทันทึกตราบาปติดวิญญาณอยู่ จึงข้ามโลกเวียนว่ายไม่พ้น




    ---โลก วิญญาณทิพย์ ภูมิลำเนาเมืองหนึ่ง ๆ มีตราสัญญาเป็นกฎหมายประจำเมือง เป็นข้อกำหนดพันธะผูกพันทางวิญญาณ วิญญาณที่มาจากภูมิลำเนาวิญญาณเมืองนั้น ๆ มีตัวสื่อติดตั้งติดตัวมาไว้ในวิญญาณมนุษย์ตัวตนหนึ่ง ๆ กำหนดให้มีพันธะทางศีลธรรม พันธะทางกุศลมูลเดิม พันธะทางระบบเจ้าขุนมูลนาย เพื่อเป็นระบบปกครองสังคมมนุษย์บนพื้นโลก พันธะทางวัฒนะธรรมให้เชื่อมโยงถึงโลกวิญญาณทิพย์




    ---พันธะทางกรรมสิทธิ์ พันธะทางกรรมสิทธิ์ถือครองรูปสังขาร ดังนั้นพันธะทุกอย่างที่ผูกพันอยู่ทางวิญญาณมนุษย์ทุกตัวตน มีอิทธิพลมาจากโลกวิญญาณทิพย์เบื้องบน มนุษย์ทุกคนทั้งโลกแต่ละประเทศ แต่ละกลุ่มชน จะพากันประกาศยกเลิกพันธะต่าง ๆ ในวิญญาณของตนเองเองมิได้ ดังนั้นสังคมมนุษย์จึงต้องมีระบบการปกครอง มีศาสนา มีวัฒนะธรรม มีข้อกำหนดกฎหมายเป็นไปตามหลักธรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องผูกพันกันกับโลก




    ---วิญญาณทิพย์อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นโลกกับธรรมเป็นของคู่กันจึงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง จะเห็นว่าระบบสังคมใดที่ไม่พากันนับถือศาสนาปิดกั้นมิให้มนุษย์ในสังคมใช้ เสรีภาพทางวิญญาณ เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าแก่วิญญาณของแต่ละบุคคลสังคมนั้นจึงผิดทำนองครองธรรม ละเมิดสิทธิ์มนุษย์ชน โลกมนุษย์จึงยังไม่เป็นศีลธรรม มนุษยชาติแตกแยกไม่สามัคคีธรรม




    ---กล่าว โดยสรุปในเมื่อพันธะทางศีลธรรมผูกพันกับวิญญาณมนุษย์ มีอิทธิพลมาจากภูมิลำเนาวิญญาณที่ต่างระดับกัน มนุษย์จึงมีฐานะทางวิญญาณต่างชนชั้นกัน มีระดับจิตต่างระดับกัน ระดับคุณธรรมที่จะรับรองภาวะวิญญาณมนุษย์ผู้มีบุญ ก็มีวางไว้ตามมูลค่าแห่งกุศลมูลเดิมต่างวาระกันไปด้วย ดังนั้นพระองค์ต้นบรมครูจึงทรงบัญญัติองค์พระธรรมระดับต่าง ๆ เชื่อมสัมพันธ์กับวิญญาณมนุษย์ระดับต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกวิญญาณทิพย์เบื้องบนด้วย




    ---๓.โลกวิญญาณทิพย์ สร้างพันธะทางวิญญาณผูกพันกับมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ เป็นสัญญากุศลมูลเดิม จึงบังเกิดเป็นพรสวรรค์ติดตัวอยู่ในวิญญาณมนุษย์ บ่งชี้ทางสามารถวิสัยเป็นความสามารถพิเศษ และลักษณะเด่นเฉพาะตัวในมนุษย์ที่มีวิญญาณมาจากภูมิลำเนาวิญญาณชั้นสูง วิญญาณกลุ่มมนุษย์ที่อยู่ในสถาบันทางสังคมชั้นสูงของไทย หลายสถาบันจึงมีภาวะวิญญาณเป็นทิพย์มานุส มีเชื้อสายของทวยเทพจุติลงมาสร้างบารมีในเมืองมนุษย์ ซึ่งเขาเหล่านั้นยังติอยู่ในโลกเวียนว่าย




    ---ต่างมีพรสวรรค์บ่งบอกกุศลมูลเดิมหลายฝ่ายเช่น สถาบันทางศาสนามีตัวองค์กรทางศาสนา ระดับสูงมีภาวะวิญญาณเป็นเทพปราชญ์ "เอกธรรม" เทพถ่ายทอดมรดกวัฒนะธรรมทางศาสนา ในถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นกลุ่มมนุษย์เทโวปกป้องบัลลังก์พระศาสนา เป็นเทพมหาอำนาจปกบ้านปกเมือง บรรดาขุนศึกชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นเทพมหาอำนาจปกป้องราชบัลลังก์ ต่างมีเชื้อสายของวิญญาณฤทธาพญานครอยู่ในตัว เป็นองค์ประกอบอยู่เทพปกครองมนุษย์สัตว์ทั่วไป (เจ้าเมือง) เทพปราชญ์เอกโลก




    ---มีนักปราชญ์ทั้งหลายไว้ถ่ายทอดศิลปวิทยาและวัฒนะธรรมจากเบื้องสูงมาอบรมสั่ง สอนมนุษย์ด้วยกัน ให้คล้องจองกับโลกวิญญาณทิพย์ เช่น เหล่าศาสตราจารย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เทพโภคทรัพย์รับรอง เช่นมหาเศรษฐีคหบดีทั้งหลาย เทพสาหร่ายา เทพโหรโลก เทพสื่อสารทูตลิ้นทอง เทพธัญญาหาร (เนื่องจากผู้เขียนไม่รู้จริงในเรื่องเทพ จึงไม่ได้กล่าวถึงเทพที่ลงสรวมสังขารมนุษย์ ในสายสัญญาคนแรกนั้นที่ถูกสรวมสังขารก็คือ "พ่อต้นฯ")




    ---บรรดา มนุษย์ที่มีเชื้อสายเทพ ดังยกตัวอย่างมานี้ ภาวะวิญญาณมีความสัมพันธ์กับโลกวิญญาณทิพย์โดยไม่รู้ตัว ต่างสืบเชื้อสายมาจากเบื้องบน ต่างได้รับอิทธิพลมาจากโลกทิพย์เบื้องบน บันดาลลงมาสู่ภาคอื้นมนุษย์ให้จัดระบบบ้านเมือง คล้อยตามเบื้องบนสรวงสวรรค์ ให้มีบทบาทสืบทอดศาสนาและวัฒนะธรรมที่สูงที่สุดในโลก กลุ่มวิญญาณมนุษย์เทโวทั้งหลายนี้กุศลมูลเดิมมาก เพราะเวียนว่ายตายสร้างบารมีบนผืนแผ่นดินนี้มาหลายภพหลายชาติ สร้างคุณงามความดี




    *สวรรค์ ๒๑ ชั้น มี ๓๑ ภูมิ พิเศษที่ไม่สามารถนับได้ ๑ ภูมิ




    ---อบายภูมิ ๔ ชั้นเริ่มต้น ๐ มี ๔ ภูมิ




    ---๐.๑ นรกยภูมิ ๐.๒ เปตติภูมิ ๐.๓ อสุรกายภูมิ ๐.๔ ดิรัจฉานภูมิ




    ---มนุษย์ภูมิ ชั้น ๑ มี ๒ ภูมิ จำแนกโดยละเอียด







    (ตามพระไตรปิฏกนับเพียงภูมิเดียวถูกต้องแล้ว)




    ---๑.๑ เพศชาย ๑.๒ เพศหญิง




    ---จาตุมหาราชิกาภูมิ ชั้น ๒ มี ๔ ภูมิ




    *1.๑.ภูมิดิน ท้าวธตรฐ




    เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศตะวันออก ๒.๑.๑ คนธรรพ์ ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ




    ---๒.๑.๒ วิยาธร ๒.๑.๓ กุมภัณฑ์ชั้นสูง ๒.๑.๔ กุมภัณฑ์ชั้นล่าง



    *2.ภูมิน้ำ ท้าววิรูปักษ์




    ---เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศตะวันตก ๒.๒.๑ พญานาคตระกูลสีทอง (ตระกูลวิรูปกษ์)๒.๒.๒ พญานาคตระกูลสีเขียว (ตระกูลเอราปถ) ๒.๒.๓ พญานาคตระกูลสีรุ้ง (ตระกูลฉัพพยาปุตตะ)




    ---๒.๒.๔ พญานาคตระกูลสีดำ (ตระกูลกัณหาโคตรมะ)




    *3.ภูมิไฟ ท้าวเวสสุวรรณ




    ---เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศเหนือ




    ๒.๓.๑ ยักษ์ชั้นสูง ๒.๓.๒ ยักษ์ชั้นกลาง ๒.๓.๓ ยักษ์ชั้นต่ำ ๒.๓.๔ ยักษ์น้ำ




    *๔.ภูมิลม ท้าววิรุฬหก




    ---เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศใต้




    ---๒.๔.๑ ครุฑ ๒.๔.๒ ภุมมเทวา ๒.๔.๓ รุกขเทวา ๒.๔.๔ อากาสเทวา




    *ดาวดึงส์ภูมิ ชั้น ๓ มี ๑ ภูมิ มีท้าวสักกะเทวราชเป็นประธาน




    ---๓.๑ แดนแห่งเทพผู้ปกครองภพถึง ๓๓ องค์ (นับเป็นภูมิเดียว)




    ---ยามาภูมิ ชั้น ๔ มี ๑ ภูมิ




    ---๔.๑ แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์




    ---ดุสิตาภูมิ ชั้น ๕ มี ๑ ภูมิ




    ---๕.๑ แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยศิริสมบัติของตน




    ---นิมมานรตีภูมิ ชั้น ๖ มี ๑ ภูมิ




    ---๖.๑ แดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต




    ---ปรนิมิตวสวัตตีภูมิ ชั้น ๗ มี ๑ ภูมิ




    ---๗.๑ แดนแห่งเทพ ผู้ยังอำนาจเป็นไป ในสมบัติที่มีผู้เนรมิตให้




    ---ปฐมฌานภูมิ ชั้น ๘ มี ๓ ภูมิ




    ---๘.๑ ปาริสัชชา (สาวกภูมิ) ๘.๒ ปุโรหิต (ปัเจกภูมิ) ๘.๓ มหาพรหมา ( พุทธภูมิ)




    ---ทุติฌานภูมิ ชั้น ๙ มี ๓ ภูมิ




    ---๙.๑ ปริตตาภา (สาวกภูมิ) ๙.๒ อัปปมาณาภาภูมิ (ปัจเจกภูมิ) ๙.๓ อาภัสสรา (พุทธภูมิ)




    ---ตติยฌานภูมิ ชั้น ๑๐ มี ๓ ถูมิ




    ---๑๐.๑ ปริตสุภา (สาวกภูมิ) ๑๐.๒ อัปปมาณสุภา (ปัจเจกภูมิ) ๑๐.๓ สุภกิณณหา (พุทธภูมิ)




    ---จตุตถฌานภูมิ ชั้น ๑๑ มี ๒ ภูมิ




    ---๑๑.๑ เวหัปผลาภูมิ ๑๑.๒ อสัญญีสัตว์




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๒ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๒.๑ อวิหา




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๓ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๓.๑ อตัปปา




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๔ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๔.๑ สุทัสสา




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๕ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๕.๑ สุทัสสี




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๖ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๖.๑ อกนิฏฐา




    ---อากาสานัญจายตนภูมิ ชั้น ๑๗ มี ๑ ภูมิ




    ---วิญญาณัญจายตนภูมิ ชั้น ๑๘ มี ๑ ภูมิ




    ---อากิญจัญญายตน ชั้น ๑๙ มี ๑ ภูมิ




    ---เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ชั้น ๒๐ มี ๑ ภูมิ




    ---พระนิพพานภูมิ สุดท้ายแห่งจิต




    ***จบบริบูรณ์ ไม่เหลือเยื้อใย พิเศษสุด... ไม่นับเพราะไม่มีให้นับในภูมินี้ จะพ้นได้ก็ต้องเข้าที่นี้เลย "พระนิพพาน" ที่ไม่มีกรรม ถือว่าจบบริบูรณ์ หวังว่าคงพอเข้าใจน่ะจ้า ถ้ายังก็ต้องเข้าหาธรรมจ้า อย่าให้ธรรมเข้าหาเรา เพราะเราต้องเปิดจิตรับธรรม ไม่ใช่ให้ธรรมเปิดตำรารับเราจ้า...

    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล


    ที่มา... -http://atcloud.com/discussions/64494-

    รวบรวมโดยแสงธรรม...


    ปรับปรุงครั้งที่ 4 วันที่ 23 กันยายน 2555

    สาระน่ารู้ > ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ไปสวรรค์แต่ละชั้้น [Engine by iGetWeb.com]
    สาระน่ารู้ > ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ไปสวรรค์แต่ละชั้้น [Engine by iGetWeb.com]

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณสมบัติของเทวดาแต่ละชั้น
    หลวงพ่อฤาษี่ลิงดำ วัดท่าซุง

    ที่นำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามพระบาลีก็ไม่ได้บอกว่า ท่านธัมมิกอุบาสิกา บรรลุมรรคผลขั้นไหน แต่ว่าตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือตรัสว่า คนที่จะเกิดเป็นเทวดาทั้ง ๖ ชั้นได้นั้น ต้องปฏิบัติตามนี้ คือ

    ๑. ชั้นจาตุมหาราช ต้องเคยได้ฌานสมาบัติมาก่อน แต่ไม่ถึงฌาน ๔ เป็ฯฌาน ๑ ถึง ฌาน ๓ ในขณะที่ยังดีอยู่ แต่เมื่อเวลาจะตาย ใจเป็นกศลแต่จิตของจนเข้าไม่ถึงฌานสมาบัติ แทนที่จะไปเกิดเป็นพรหมก็ไปเกิดเป็นเทวดา ชั้นจาตุมหาราช นี่เป็นคุณสมบัติของเทวดาแต่ละชั้น

    ๒. ชั้นดาวดึงส์ ชั้นนี้ ต้องทำบุญกุศลด้วยความจริงใจ เป็นการตัดชีวิต หมายความว่า ทำบุญในคราวนั้นไม่ห่วงชีวิต นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีจิตเมตตา เห็นสัตว์เดินมา เห็นคนเดินมา หรือว่าเห็นพระเดินมา มีความหิวโหยต้องการอาหาร หรือว่าต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญ แต่เวลานั้นอาหารของเรามีจำกัด ถ้าเราจะกินเข้าไปมันก็พออิ่ม ถ้าจะเหลืออิ่มก็เล็กน้อย ซึ่งไม่พอต่อการอิ่มของอีกคนหนึ่ง เมื่อจิตใจของเราเป็นกุศลประกอบไปด้วยเมตตา คิดว่าเขาหิวมา ถ้าไม่ช่วย ชีวิตก็อาจจะตาย หรือมีความลำบาก ก็แบ่งสรรปันส่วนให้ การให้ก็ไม่จำเป็นต้องให้หมด แต่ว่าที่เหลืออยู่กับตัวเอง มันก็ไม่ถึงกับอด แต่กินไม่อิ่ม การให้บุญทำบุญแบบนี้ จึงมีสิทธิ์เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก นี่อย่างหนึ่ง

    และอีกประการหนึ่ง กรรมที่ทำให้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้แก่การถวายสังฆทานการถวายสังฆทานนี้ทำให้เกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์แน่ อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทนำอาหารมาถวายทานแก่พระสงฆ์วันนี้ก็ดี หรือใส่บาตรหน้าบ้านก็ดี อันนี้เรียกว่า "สังฆทาน"

    สังฆทานนี้บุญขั้นต่ำที่สุดที่จะพึงได้ อานิสงส์ที่จะพึงได้ คือต้องเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสร้างวิหารทาน คือสร้างที่อยู่ สร้างบ่อน้ำ สร้างสาธารณประโยชน์ สร้างสะพานข้ามคลอง สร้างศาลา และที่พักอาศัยระหว่างทาง อย่างนี้เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ๓. สำหรับชั้นยามา ที่เราจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้ ก็ต้องมีเหตุผล

    ประการแรกคือ
    ๓.๑) พอใจในการสวดมนต์อย่างยิ่ง ถ้าเวลาสวดมนต์บูชาพระ ไม่ได้สวดจริงๆ ใจมันไม่สบาย ต้องสวดให้ได้
    ๓.๒) การเจริญพระกรรมฐานในตอนต้นนั้น จิตไม่เข้าถึงฌานสมาบัติ แต่ว่ากำลังใจเข้าถึงอุปจารฌาน คือเฉียดฌาน เมื่อจะตายจากความเป็นคน ใจของเราน้อมไปในกุศลทั้ง ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งคือ จิตคิดติดอยู่ในสวดมนต์ อยากแต่จะสวดมนต์ และพอใจทั้งเสียงสวดมนต์ หรือว่าเวลานั้นจิตตกอยู่ในอุปจารสมาธิ หรืออุปจารฌาน

    ถ้าจิตของเราเวลานั้นเป็นอย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรคืชั้นยามา

    ๔. สำหรับ ชั้นดุสิต นี่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าจะไปอยู่ได้ด้วยกัน ๓ ประการ คือ
    ๔.๑.) พระพุทธบิดา พระพุทธมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติสุดท้าย จึงจะไปเกิดบนชั้นดุสิตได้
    ๔.๒) หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญบารมีมาถึงปรมัตถบารมี เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปอยู่บนชั้นดุสิต ได้
    ๔.๓) บุคคลทั้งหลายจะเป็นพระก็ดี เณรก็ดี เจริญพระกรรมฐานในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินศรี ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปคือมีผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอนาคามี จึงจะมีสิทธิ์อยู่ชั้นดุสิตได้

    ฉะนั้นท่านธัมมิกอุบาสก ถึงแม้พระบาลีจะไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า แต่ท่านต้องเข้าใจถึงกฏของการอยู่ ชั้นดุสิต ว่าอย่างน้อยที่สุดท่านต้องเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำจึงมีสิทธิ์เข้าอยู่ชั้นดุสิตได้

    ๕. ขอพูดเรื่องเทวดาอีก ๒ ชั้นต่อไป เมื่อพูดแล้ว เป็นอันว่า สมเด็จพระประทีปแก้วทรงกล่าวถึงคุณธรรมของเทวดาชั้นนิมมานรดี ซึ่งเป็นชั้นที่ ๕ เทวดาชั้นนี้ชอบเนรมิต ของทุกสิ่งในการเนรมิตขึ้นมา เมื่อเทวดาชั้นที่ ๖ คือ ปรนิมิตวสวัตดี ต้องการอะไรก็ตามที เทวดาชั้นที่ ๕ เนรมิรให้ทุกอย่าง ท่านที่ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์มีชีวิตอยู่ก็มีความเลื่อมใสในสมเด็จพระบรมครูได้ ๕ ในอภิญญา ๖ เว้นอาสวักขยญาณ และก็ชอบเล่นชอบเนรมิตของต่างๆ จุกจิกๆ เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ด้วยอำนาจของอภิญญาสมาบัติ
    ชอบเนรมิตเล่นตามความพอใจ เกิดความสบายในจิต ท่านผู้ที่มีจิตเข้าถึงฌาน ๔ จึงได้อภิญญา แต่ทว่าเวลาที่ท่านจะตายท่านไม่ได้เข้าฌานตาย จิตเข้าถึงกำลังของฌานเป็นอันว่าจิตของท่านนี้นั้น น้อมไปในกุศลตายจากความเป็นคนจึงได้เกิดเป็นเทวดาชั้นที่ ๕ เรียกว่า "นิมมานรดี"

    ๖. สำหรับเทวดาชั้นที่ ๖ นี้เป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติขั้นสูง คือ สมาบัติ ๔ แต่ทว่าเวลาตายนี่ ท่านเองไม่ได้เข้าฌานตายจึงไม่เป็นพรหม ต้องไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

    เทวดา ๓ ชั้นที่มีสิทธิ์ไปเป็นพรหม

    รวมความว่าเทวดา ๓ ชั้น ที่พ้นจากความเป็นเทวดาแล้วไปเป็นพรหมเลยก็คือ
    ๑. ชั้นจาตุมหาราช
    ๒. ชั้นนิมมานรดี
    ๓. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    ทั้ง๓ ชั้นนี้ เพราะอาศัยมีฌานเป็นพื้นฐาน ถ้าเป็นเทวดาเมื่อไรฌานเขาก็ตัดเป็นกำลังใจตามเดิม แต่ว่ายังเป็นพรหมไม่ได้ เพราะเวลตายไม่ได้เข้าฌานตาย เมื่อหมดเวลาการที่อยู่บนสวรรค์เมื่อใด ท่านทั้ง ๓ ชั้นไปเป็นพรหมทันที

    จากนิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๓๑๐ มกราคม ๒๕๕๐
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หน้าที่ 1 - เทวภูมิ 3 (อายุของเทวดา แต่ละชั้น)
    -http://www.vcharkarn.com/vblog/37510-

    ฉกามาพจร สวรรค์ 6 ชั้น ( เทวภูมิ ทั้ง 6 )
    โดย ยรรยง สินธุ์งาม


    สวรรค์ หรือ เทวโลก เทวภูมิ หมายถึง โลกที่เป็นที่อยู่ของเทวดา มี ๖ ชั้น เรียกว่า ฉกามาพจร ซึ่งหมายถึง ภพภูมิหกชั้น ที่ยังอยู่ในวังวนของ กามตัณหา ยังมีความอยาก ความใคร่ เป็นแรงขับ ยังมีการเกิด การแตกดับ เหมือนกับโลกมนุษย์ ถึงแม้ว่า เหล่าเทพทั้งหลายจะมีกาย ละเอียดเป็นทิพย์

    ๑. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นต่ำสุด ตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคันธร ซึ่งเป็นภูเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อยู่สูงกว่าแผ่นดินขึ้นไปเบื้องบน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ วา คิดเป็นโยชน์ได้ ๔๖,๐๐๐ โยชน์
    (มาตราวัดความยาวของไทย ; 8 ปรมาณู เป็น 1 อณู 5 อณู เป็น 1 ธุลี 8 ธุลี เป็น 1 เส้นผม
    8 เส้นผม เป็น 1 ไข่เหา 8 ไข่เหา เป็น 1 ตัวเหา 8 ตัวเหา เป็น 1 เม็ดข้าว 8 เม็ดข้าว เป็น 1 นิ้ว
    12 นิ้ว เป็น 1 คืบ 2 คืบ เป็น 1 ศอก 4 ศอก เป็น 1 วา 20 วา เป็น 1 เส้น 400 เส้น เป็น 1 โยชน์ ; อ้างอิง วิถีพีเดีย
    สารานุกรมเสรี ) อยากรู้ ว่า หน่วยที่เป็น วา จะเป็นกี่เมตร ให้เทียบดังนี้ ๑ วา เท่ากับ ๒ เมตร ก็ให้เอา ๒ คูณ
    จำนวนที่ได้ก็จะออกมาเป็น เมตร อยากรู้ว่า หน่วยที่เป็น โยชน์ จะเป็นกี่เมตร ให้เทียบดังนี้ ๑ โยชน์ จะเท่ากับ ๔๐๐ เส้น x ๔๐ เมตร เท่ากับ ๑๖,๐๐๐ เมตร ก็ให้เอา ๑๖,๐๐๐ เมตร คูณ จำนวนที่ได้ก็จะออกมาเป็น เมตร

    สวรรค์ชั้นนี้ มีเมือง ๔ เมือง มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ ๔๐๐,๐๐๐ วา กำแพงล้อมรอบประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘,๐๐๐ วา บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาททองอยู่เหนือประตูทุกด้าน แผ่นดินเป็นแผ่นดินทองคำ แวววาวงดงาม ราบเรียบเหมือนหน้ากลอง เหมือนปูด้วยผ้า แก้วที่ประดับพื้นนั้นถ้าเหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมาเหมือนเดิม ไม่ปรากฏรอยเท้าที่เหยียบ น้ำใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัว ๕ ชนิดบานสะพรั่ง (บัว ๕ ชนิด (species) ซึ่งประกอบด้วย ๙ พันธุ์ (variety)

    ๑.ชนิดบัวหลวง (Nelumbo nucifera) ๓ พันธุ์ คือ บัวหลวงขาว (บุณฑริก) บัวหลวงชมพู (ปัทมา) และ บัวหลวงชมพูซ้อนทรงป้อม (สัตตบงกช)

    ๒.ชนิดบัวสาย (Nymphaea lotus var. pubescens) ๓ พันธุ์ คือ บัวสายแดง (รัตอุบล,สัตตบรรณ)
    บัวสายชมพู (ลินจง) บัวสายขาว (เศวตอุบล,โกมุท,กมุท,กุมุท)
    ๓.บัวสุทธาสิโนบล (Nymphaea capensis var. zanzibariensis)

    ๔.บัวเผื่อน (Nymphaea nouchali)
    ๕.บัววิกตอเรีย (Victoria amazonica) (งานวิจัย การศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของบัวบางชนิดในประเทศไทย , จารีย์ หอยทอง , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สาขาพฤกษศาสตร์ : บัวทั้ง ๕ ชนิด กระผม ลองค้นดูสายพันธุ์บัวที่ปรากฎในโลกมนุษย์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบนสวรรค์ชั้นดังกล่าว จะมีตามที่ว่าไว้หรือไม่ ก็ลองเผยแพร่ไว้ ถ้าใครมีข้อมูล เป็นอย่างอื่น ก็ขอให้นำมาแลกเปลี่ยนกัน แต่จากที่เผยแพร่ไว้ทางอินเตอร์เน็ต ก็หลายเดือนแล้ว ยังไม่มีใครแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องดังกล่าว แม้แต่ เทวดา ในชั้นจาตุเอง ก็ยังไม่ได้มาบอกกล่าวแต่อย่างไร ก็ถือซะว่า ข้อมูลข้างต้นน่าจะใช้ได้ นะครับ )
    น้ำในสระ มีกลิ่นหอมราวกับอบไว้ มีดอกไม้ต้นไม้งามเลิศ มีผลไม้รสอร่อย ออกดอกผลตลอดทั้งปี
    เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดๆ
    จาตุมหาราชิกา มีเทพยดาผู้เป็นใหญ่ คือ พระยาจตุโลกบาล ปกครองเหล่าเทพยดา ครุฑ นาค และยักษ์ทั้งหลาย คือ

    ๑. ท้าวธตรัฏฐ์ อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา (คนธรรพ์ เทพที่
    ชำนาญการดนตรี )
    ๒. ท้าววิรุฬหก อยู่ทางทิศใต้ของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา
    ๓. ท้าววิรูปักข์ อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง นาคเทวดา
    ๔. ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวไพรศรพณ์ อยู่ทางทิศเหนือของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา ภูติ ผี ปิศาจ

    ตามที่ศึกษาจากพระไตรปิฎก พบว่า ท้าวจตุโลกบาล ทั้ง 4 จะเสด็จมายังโลกมนุษย์ พร้อม ไพร่พลทุกวันพระ เพื่อมาตรวจสอบ เก็บบันทึก การทำความดี ความชั่ว ของมนุษย์โลก ในการนี้ พระภูมิ เจ้าที่ ตามสถานที่ต่างๆ บนโลก จะเป็นผู้จดบันทึก และนำบันทึกในแต่ละรอบ มอบให้ ท้าวจตุโลกบาล ซึ่งจะนำกลับไปอ่านป่าวประกาศให้ ผู้ที่อยู่ภพสวรรค์ ได้รับรู้ ถ้ากล่าวถึงผู้ที่ ทำความดี เหล่าเทวดา ก็จะสาธุ แซ่ซ้องสรรเสริญ ถ้าในช่วงที่กล่าวถึง ผู้ทำความชั่ว เหล่าเทวดาก็จะตำหนิ และเสียใจ ที่มนุษย์โลกมีจิตที่เป็นอกุศล

    รายชื่อผู้ทำความชั่ว ก็จะถูกส่งให้ กับ พระยายมบาล เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป (ในการวิจัยเกี่ยวกับวิญญาณ ในแง่มุมวิทยาศาสตร์ ของข้าพเจ้า เมื่อ วันที่ 14 ธันวาคม 2550 ถ่ายภาพได้ เทวดาที่น่าจะเป็น เหล่าทหารของ ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งในโอกาสต่อไปคงจะได้นำมาเผยแพร่ ให้ได้ชมกัน )
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๑ จาตุมหาราชิกา

    ๕๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่ง ในชั้นจาตุมหาราชิกา, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็นหนึ่งเดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็น ๑ ปี, ๕๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวก

    จาตุมหาราชิกา ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๙ ล้านปี ฯ

    ( ข้อที่ ๑๒๖ ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค )


    ๒. สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ เป็นสวรรค์ชั้นที่อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไปอีก ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของ พระอินทร์ สวรรค์ชั้นนี้ มีอาณาเขตกว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีเมืองชื่อไตรตรึงษ์ มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู มีกำแพงแก้วล้อมเมือง ทุกประตูมียอดปราสาทแก้วงดงามวิจิตรพิสดารเวลาเปิดปิดประตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี กลางนครไตรตรึงษ์ มีไพชยนต์ปราสาท สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา งดงามด้วยแก้ว ๙ ประการ เป็นที่ประทับของพระอินทร์
    ทิศตะวันออก มีสวนทิพย์ ชื่อ นิภาวัน มีอาณาเขต ๘๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู มีอุทยาน ซึ่งมีสมบัติทิพย์ ต้นโสออกดอกมาก มีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณีน้ำใสเหมือนแก้วอิภานิล (สีฟ้าเข้ม) มีแท่นแก้ว ๒ แท่น ชื่อ นันทปริฐิปาสาณ และ จุลนันทาปริฐิปาสาณ แผ่นหินแก้วมีรัศมีรุ่งเรือง เวลาจับต้องจะนุ่มราวกับแผ่นหนัง
    ทิศใต้ มีอุทยาน ผารุสกวัน (ปารุสกวัน) อาณาเขต ๕,๖๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วและปราสาทเหนือประตู มีสระใหญ่ชื่อ ภัทรโบกขรณี สุภัทราโบกขรณี ริมฝั่งสระมีหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อเดียวกับสระ หินอ่อนนุ่ม
    ทิศตะวันตก มีอุทยานจิตรลดา อาณาเขต ๔๐๐,๐๐๐ วา มีสระ จิตรลดาโบกขรณี และ จุลจิตรลดาโบกขรณี มีแผ่นหินแก้ว ชื่อ จิตรปาสาณ
    ทิศเหนือ มีอุทยานใหญ่มิสกวัน ต้นไม้ดอกไม้งดงามราวกับตกแต่งไว้ มีกำแพงแก้วและยอดปราสาททุกประตู อาณาเขต ๔๐,๐๐๐ วา มีสาระใหญ่ชื่อ ธรรมาโบกขรณี และ สุธรรมาโบกขรณี แผ่นหินแก้วชื่อ ธรรมาปริฐิปาสาณ และ สุธรรมาปริฐิปาสาณ
    ทิศตะวันออก มีสวนใหญ่ ชื่อ มหาพน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วเหนือประตู อาณาเขต ๖๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาททองคำ สวนมหาวัน สวนนันทวัน มีแท่นแก้ว กลดแก้วกางเหนือแท่นมีรถไพชยนต์ มีม้าแก้วเทียมรถทองคำ มีสร้อยมุกดาประดับพร้อมมาลัยดอกไม้ทิพย์ เวลาลมพัดได้ยินเสียงราวฆ้องกลองแตรสังข์ที่เทวดาบรรเลงในชั้นฟ้า
    ที่เขาพระสุเมรุ มีช้างทรงของพระอินทร์ ชื่อช้างเอราวัณ สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร เมื่อเวลาพระอินทร์จะประทับ ช้างจะเนรมิตกายสูงใหญ่ บนเศียรมีวิมาน มีปราสาท มีอุทยาน มีนางฟ้าร่ายรำ ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ นางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง บริวารอีก ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง ( อีก ๓๒ เศียร จะเป็นที่ประทับ ของ เทพ ที่มีศักดิ์ระดับเดียวกับ พระอินทร์ แต่ไม่ใช่ ผู้ปกครองสวรรค์ ซึ่งก็จะมีวิมาน รวมทั้งเหล่า ไพร่ฟ้า บริวาร เหมือนๆ กัน )
    ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ยังมีคำอธิบายความงามมหัศจรรย์พันลึกมาก เช่น มีสระ มีพระจุฬามณีเจดีย์ มีต้นปาริชาต (ดอกทองหลาง) ๑๐๐ ปี ดอกจึงจะบาน ดอกที่บานมีแสงสว่างรุ่งเรืองแผ่รัศมีไปไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๒ ดาวดึงส์

    ๑๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นดาวดึงส์, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๑,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี ฯ

    ( ข้อที่ ๑๒๖ ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค )



    ๓. สวรรค์ชั้นยามา สูงขึ้นไปจากดาวดึงส์ ๖๗๐,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีอุทยานแก้ว สระโบกขรณี เทวดาในชั้นนี้มีหน้าตารุ่งเรือง กายสูง ๘,๐๐๐ วา ผู้เป็นใหญ่คือ ท้าวสยามเทวราช ไม่มีแสงอาทิตย์เพราะอยู่สูงมาก เทวดามองเห็นสรรพสิ่งได้ด้วยแสงรัศมีจากแก้วทั้งหลาย และรัศมีกายของเทวดาเอง จะรู้ว่าเช้าหรือค่ำ ดูได้จากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้บาน คือรุ่งเช้า ถ้าหุบเป็นเวลากลางคืน

    อายุเทวดาชั้น ที่ ๓ ยามา

    ๒๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นยามา, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๒,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวกยามา ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๑๔ โกฏิ ๔ ล้านปี ฯ

    (อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วิตถตสูตร ข้อที่ ๑๓๒)


    ๔. สวรรค์ชั้นดุสิต สูงขึ้นไปจากยามา ๑,๓๔๔,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีความกว้างและสูงกว่าในสวรรค์ชั้นยามา มีสระ สวนสนุกยิ่งใหญ่งดงามรื่นรมย์เหมือนสวรรค์ชั้นอื่นๆ ผู้เป็นใหญ่ชื่อ พระสันดุสิตเทพยราช เทพยดาในชั้นนี้ รู้บุญ รู้ธรรม พระโพธิสัตว์ก่อนเสด็จมาเป็นพระพุทธเจ้าก็สถิตสร้างสมบารมีในชั้นฟ้านี้

    อายุเทวดาชั้น ที่ ๔ ดุสิต

    ๔๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นดุสิต, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๔,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวกดุสิต ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี ฯ

    (อภิธัมมัตถสังคหะ ภาคผนวก ๑๒๗)


    ๕. สวรรค์ชั้นนิมมานนรดี สูงขึ้นไปอีก ๒,๖๘๘,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๓๓๖,๐๐๐ โยชน์ มีสิ่งอำนวยความสุขเหมือนทุกชั้น มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก เทพยดาในชั้นนี้มีความสุขสมบูรณ์มาก ปรารถนาสิ่งใดจะเนรมิตได้ตามความพอใจ มี ท้าวสุนิมมิต เป็นจอมเทพ
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๕ นิมมานรดี

    ๘๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นนิมมานรดี, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๘,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวก

    นิมมานรดี ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๒๓๐ โกฏิ ๔ ล้านปี ฯ

    (อภิธัมมัตถสังคหะ ภาคผนวก ๑๒๗)


    ๖. สวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด ประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าชั้นฟ้าทั้งหลาย หากปรารถนาสิ่งใด เช่น อาหารทิพย์ ก็จะมีเทพยดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้ทุกประการ
    สวรรค์ชั้นนี้ มีผู้เป็นใหญ่ ๒ องค์ คือ ปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่ฝ่ายเทพยดา และ
    พระยามาราธิราช เป็นใหญ่ฝ่ายมาร ซึ่ง พระยามาร ท่านนี้ได้เคย ยกกองทัพ เข้า ท้าสู้รบ กับ พระพุทธเจ้า

    เมื่อครั้นอดีต จนเป็นที่มาของ พระพุทธรูปปาง มารวิชัย หรือ ปางผจญมาร ดังปรากฎในปัจจุบัน การพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ทำให้ พระยามาร ซาบซึ้งในรสพระธรรม จึง ปวรณาตน ปรารถนาเพื่อตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล คำกล่าวที่ว่า “ นะโม ” ซึ่งแปลว่า “ขอนอบน้อม (ยอมแล้ว)” เป็นคำกล่าว ของพระยายักษ์ ผู้นี้
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี

    ๑,๖๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น

    ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวก

    ปรนิมมิตวสวัตตี ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๙๒๑ โกฏิ ๖ ล้านปี ฯ

    (อภิธัมมัตถสังคหะ ภาคผนวก ๑๒๗)


    การสิ้นชีวิต (หมดบุญ) ของเทวดา มี ๔ อย่าง

    ๑. อายุขัย ได้แก่ สิ้นชีวิตตามอายุในชั้นฟ้านั้น

    ๒. บุญญขัย สิ้นบุญก่อนถึงกำหนดอายุขัยในชั้นฟ้านั้น อาจจะเนื่องมาจาก มี กรรมดำ ที่ทำไว้ในอดีตมาตัดรอน
    ๓. อาหารขัย สิ้นชีวิตเพราะสนุกจนลืมกินอาหาร ลืมกินอาหารเพียงเพลาเดียว ก็สิ้นบุญ
    ๔. โกธาพละ สิ้นชีวิตเพราะความโกรธ ซึ่งหัวใจจะกลายเป็นไฟ เผาไหม้ตนเอง

    ก่อนเทพยดาจะไปจุติ (ไปเกิดใหม่) จะมีนิมิต ๕ ประการ คือ

    ๑. เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเหี่ยวและไม่หอม
    ๒. ผ้าทรง (เครื่องนุ่งห่ม) ดูหม่นหมอง
    ๓. อยู่ไม่มีความสุข มีเหงื่อไคลไหล ออกจากรักแร้
    ๔. อาสนะ(ที่นั่ง)ร้อนและแข็งกระด้าง
    ๕. กายของเทวดา นั้นเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง ไม่มีรัศมี

    เรื่องสวรรค์เป็นเรื่องของความจริง ซึ่งด้วยกาลเวลาที่ผันผ่าน จึงเป็นเพียงความเชื่อ ซึ่งคนโบราณมุ่งจะปลูกฝังสั่งสอนให้คนประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่กระทำบาป คือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เพื่อให้ได้เป็นเทวดาเสวยสุขสมบัติ (แต่ ณ วันเวลานี้ จากการศึกษา เกี่ยวกับวิญญาณ ในแง่มุมวิทยาศาสตร์ ของผม ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ 2528 จนถึงปัจจุบัน จากข้อมูลที่ได้ ทำให้กล้าที่จะสรุปว่า ภพสวรรค์ มีจริง ดังบันทึกไวในพระไตรปิฎก ซึ่งการเผยแพร่ผลงานวิจัยดังกล่าว จะมีขึ้นในไม่ช้านี้ )

    รวบรวมโดย ยรรยง สินธุ์งาม หอศิลป์มหาเวทย์

    วิชาการ.คอม - เทวภูมิ 3 ( อายุของเทวดา แต่ละชั้น ) (เทวภูมิ 3 (อายุของเทวดา แต่ละชั้น))
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เทวดาคืออะไร
    -http://torthammarak.wordpress.com/2011/08/15/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/-

    สิงหาคม 15, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    ความเชื่อเรื่องเทวดานั้นในสังคมไทยของเรา มีความเชื่ออย่างฝังแน่นมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลว่าท่านมีตัวตนจริงแน่นอน และรู้กันดีในเบื้องต้นว่า ท่านเป็นดวงวิญาณที่มีบุญและอยู่สูงกว่าภพของมนุษย์ โดยที่ในอดีตท่านเป็นคนหรือสัตว์ ที่ได้สร้างความดีในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่มากพอ เมื่อสิ้นอายุขัยก็จะไปเกิดในภพภูมิที่ดี เสวยบุญที่ทำมา

    และการเกี่ยวข้องของมนุษย์กับเทวดา ในพระพุทธศาสนาได้ชี้แนวทางแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดา ด้วยการวางท่าทีแห่งเมตตา มีไมตรีจิต อยู่ร่วมกันฉันมิตร เคารพนับถือซึ่งกันและกัน ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์

    การที่เทวดาจะมาเกี่ยวข้องกับคนนั้น ครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่า มี 3 ทางคือ

    1. ด้วยกรรมผูกพันด้วยอาจจะเคยเป็นบรรพบุรุษ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรู้จักที่ยังมีความห่วงใยและมีคนส่งบุญไปให้เสมอเป็นสายใยที่ผูกพันกันไว้ ท่านมาคอยดูและช่วยเหลือและดลใจในการให้ทำความดี

    2. ทางที่สองคือ เทวดาท่านมาร่วมอนุโมทนาบุญ เพื่อจะได้เพิ่มบุญบารมีให้กับตัวท่านเอง เพราะท่านเป็นกายทิพย์ไม่สามารถสร้างบุญได้เอง

    3. ทางที่สอง ท่านมาปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้มีบุญชั้นสูง ผู้ปฏิบัติธรรม

    ซึ่งทั้งสามเรื่องนี้ จะพูดให้ละเอียดในบทต่อไปในการที่เราควรศึกษาในเรื่องเทวดา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่มีการเสียหายถ้าเต็มไปด้วยปัญญา เรียนรู้ก็เพื่อที่จะดำรงชีวิตให้ถูกต้องดีงามด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักแห่งศีลธรรม เพราะคติความเชื่อเรื่องเทวดาได้ก่อให้เกิดการสร้างกรรมดีที่ถูกต้องอีกทางหนึ่ง เพราะมนุษย์จะหมั่นทำกรรมดีเพื่อให้อานิสงส์บุญนั้นส่งให้ได้เกิดไปเป็นเทวดา

    ในบางครูบาอาจารย์ทั้งที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม บางท่านบอกว่าอาจเคยพบเจอในความฝัน บางท่านอาจเคยพบเห็นในนิมิตสมาธิ บางท่านอาจเคยพบด้วยตาเนื้อ หรือคนทั่วไปบางท่านเคยแค่ได้ยินสืบๆ กันมา บางท่านไม่เคยแม้แต่ได้ยินได้เห็น บางท่านบอกว่าเห็นแล้วหรือเจอมาแล้ว ซึ่งส่วนมากจะเชื่อกันว่าท่านมีอยู่จริงแน่นอน และเช่นกันที่ยังมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร มีหน้าที่อะไรและมีอำนาจแค่ไหน ซึ่งจะขออธิบายตามบุญที่พาไป

    เทวดานั้นอยู่ในภพภูมิที่เรียกได้ว่าไม่ใช่มนุษย์หรือเป็น “อมนุษย์” ประเภทหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปความความเชื่อของในแต่ละศาสนา แต่ไม่ว่าจะกล่าวถึงศาสนาไหนๆในโลกก็เชื่อว่า “เทวดา” เป็นภพภูมิที่ดีและมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น

    ในสมัยโบราณนั้นทั้งในกรีก โรมัน ในแผ่นดินที่เป็นจุดกำเนิดอารยธรรมโบราณนั้น ล้วนนับถือเทพเจ้า เทวดามาก่อนทั้งสิ้น มีพิธีกรรมมากมายในการบรวงสรวงเทพเจ้าเหล่านี้ เพื่อให้เหล่าเทพเจ้าโปรดดลบันดาลให้เกิดเรื่องที่ดีต่อชีวิต เทพเจ้าที่เป็นรู้จักกันดี อาทิเช่น เทพโอลิมปัส (The Olympians, Major gods) เป็นเทพที่อาศัยบนยอดเขาโอลิมปัส (Olympus) เทพเจ้าวีนัส เทพเจ้าไพโซดอน ฯลฯ

    ยุคต่อมาในศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะผู้นับถือในนิกายโรมันคาทอลิก นั้นยิ่งเชื่อว่า เทวดามีจริงและในแต่ละองค์นั้นทำหน้าที่ต่างๆ กันเพื่อความสงบสุขของโลกและเหล่ามวลมนุษย์ โดยได้แบ่งลำดับชั้นของเหล่าเทวดาเหล่านี้ไว้ 3 ชั้น คือ ชั้นเอก ชั้นโทและชั้นตรี ในแต่ละชั้นก็มีอีก 3 คณะที่ทำหน้าที่ต่างๆ กัน มียศต่างๆ กันถึง 9 ลำดับ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า “เทวัญ”

    ในพระคัมภีร์ไบเบิลซึ่งถือว่ามาจากพระวจนะหรือคำพูดของพระเจ้านั้น มีการกล่าวถึงเทวดามากมาย อยู่ในฐานะ “ทูตสวรรค์” หรือ “นักบุญ” ซึ่งมีทั้งในเพศชายและสตรี

    ในศาสนาฮินดูนั้น เรื่องของปวงเทพเทวาหรือเทวดานั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน และมีการกล่าวถึงอำนาจและอิทธิฤทธิ์ไว้มากมาย เพราะเป็นศาสนาพหุเทวนิยม เทวดาคือแก่นหลักของศาสนา เทวดาทุกองค์ได้รับการยกย่องในฐานะเทพเจ้า เป็นอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์สามารถดลบันดาลทุกสิ่งให้เกิดขึ้นได้

    แตกต่างกับในศาสนาพุทธนั้นอย่างสิ้นเชิง เพราะเชื่อว่า คนทุกคนนั้นมีโชคชะตาชีวิตหรือลิขิตชีวิตให้ดีให้ชั่ว ให้อยู่สุขหรือทุกข์ร้อน ให้มั่งมีหรือยากจนไม่ได้มาจากปวงเทพเทวา ไม่ได้มาจากอำนาจของใครทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า เทพเจ้าหรืออำนาจเหนือธรรมชาติใด

    แต่มาจากการกระทำของมนุษย์เองทั้งสิ้น

    หรือที่เรียกว่า “กรรมลิขิต” เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจควบคุมทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ได้อย่างแท้จริง

    แต่ในศาสนาพุทธก็มิได้ปฏิเสธการมีอยู่จริงของเทวดา แต่ได้วางท่านไว้ในอีกตำแหน่งหนึ่ง เพราะ เทวดาไม่ใช่แก่นหลักของศาสนา เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่จะช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ในความเชื่อทางศาสนา หรืออย่างน้อยที่สุด ในความเชื่อความเข้าใจของพุทธศาสนิกชนบางหมู่เหล่า เทวดาก็เป็นตัวอย่างที่ดีของ “รางวัล” ที่จะพึงตอบแทนให้แก่ผลกรรมดีที่พุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติไป

    ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ซึ่งเชื่อกันว่าคนใดได้สร้างกรรมดีมีพลังบุญมากพอ เมื่อตายไปแล้วจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่าหรือที่ คนไทยชินปากชินคำพูดที่ว่า ทำดีให้มากตายไปแล้วจะได้ไปสวรรค์

    ก่อนที่จะทำการบูชาเทวดาอย่างถูกต้อง ถูกวิธีตามศาสตร์แห่งโบราณาจารย์นั้น อยากจะพาทุกท่านไปรู้จักในเรื่องของเทวดาทุกแง่มุม จะได้รู้จักท่านดีพอและเข้าใจว่าท่านเป็นใคร ระดับไหนและต้องทำอย่างไรท่านถึงจะพอใจและอวยพรให้

    ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก คำว่า “เทวดา” เป็นคำใช้เรียกชาวสวรรค์ที่มีกำเนิดเป็นโอปปาติกะ คือการเกิดด้วยการผุดขึ้นทันทีโดยอาศัยอำนาจแห่งกรรมดีที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานเป็นผู้จัดสรร ถ้าหากต้องการจะใช้เรียกเจาะจงเพศ จะเรียกเทวดาเพศชายว่า” เทพบุตร” และเรียกเทวดาเพศหญิงว่า “เทพธิดา” หรือนางฟ้า อย่างที่คนไทยรู้จักกันดี

    ในทางพุทธศาสนา ในสวรรค์ เทวดาบางพวกที่ยังมีบุญบารมีมามากพอแต่ยังไม่หลุดพ้น ยังมีการเสพกาม มีนางอัปสรเป็นนางบำเรอ สำหรับเทวดาชาย ในทางศาสนาฮินดู เทพเทวดาของเขานั้นสมรสมีชายาและมีบุตรธิดา สืบต่อมาเป็นเทพทั้งหลาย แต่ในศาสนาคริสต์ เทวดาหรือทูตสวรรค์จะไม่มีสิ่งเหล่านี้

    อย่างไรก็ตาม ในพระไตรปิฎกที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาพุทธนั้น ได้อธิบายถึงภพภูมิของเทวดาตามความเชื่อของศาสนาพุทธนั้นเชื่อว่ามีอยู่ 6 ชั้นสูงขึ้นไปจากโลกมนุษย์ที่เรียกว่า “สรวงสวรรค์” และมีความสูงมากประมาณถึงประมาณ 46,000 โยชน์ (1 โยชน์ ก็ประมาณ 16 กิโลเมตร ใครอยากรู้ว่าอยู่สูงแค่ไหนลองคูณเล่นๆ ดูก็ได้นะครับ)

    เทวดานั้นเชื่อกันว่าจะมีลักษณะหรือสภาพร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทิพย์ทั้งหมด คือเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเนื้อของมนุษย์และไม่มีร่างกายเนื้อแบบคนที่สัมผัสได้ ท่านได้รับแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว หรืออิ่มทิพย์ อิ่มด้วยบุญทั้งที่ตนเองมีและที่คนอื่นส่งบุญไปให้ท่าน เรื่องนี้สำคัญนะครับในการส่งบุญให้ท่าน เพราะเป็นเหตุแห่งหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้ทราบได้รู้อย่างละเอียด ในบทต่อไป

    เทวดานั้น ลักษณะภายนอกมีรูปโฉมที่มีความงดงามเหมือนกันไปหมดและไม่มีวันแก่ สามารถคงความเป็นหนุ่มสาวอยู่เช่นนั้นได้ตลอดอายุขัย

    ในด้านลักษณะของการแต่งกาย หากเป็นเทวดาในศาสนาพุทธแบบไทยๆ ก็มีความเชื่อว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเสื้อคลุมสีขาวแบบพระยาแรกนาขวัญและใส่เครื่องประดับมีเพชรนิลจินดามากมาย สวมมงกุฎและสร้อยสังวาล ส่วนในด้านชีวิตความเป็นอยู่นั้นจะไม่มีความทุกข์ยากลำบากอะไรเลย อยากได้อะไรก็เพียงแต่นึกเอา ก็สมความปรารถนาทุกอย่าง

    อย่างที่กล่าวไปแล้ว ว่าเทวดาบางท่าน บางชั้นนั้นไม่มีความแตกต่างจากมนุษย์ก็ตรงที่ยังมีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง มีครอบครัว มีแฟนได้ มีพ่อแม่ มีลูกมีหลานได้เหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง ซึ่งก็มีความแตกต่างกันไปอีกในแต่ละชั้นของเทวดาและสรวงสวรรค์ เป็น เทวดาชั้นกามาวจร คือ ยังเกี่ยวข้องกับกามหรือความอยากทั้งหลาย

    เทวดาจะอาศัยอยู่ในโลกสวรรค์ชั้นต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

    1. สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา

    สวรรค์ชั้นนี้เป็นสวรรค์ชั้นแรกเป็นที่อยู่ของเทวดาจำนวนมากหลายประเภทคือ มีทั้งเทวดาที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์และยังมีลักษณะที่เป็นแบบอื่นๆ ด้วย จึงต้องมีเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ไว้อยู่ถึงสี่พระองค์ ได้แก่ ท้าวธตรัฐมหาราชเป็นอธิบดีของเหล่าเทวดาอยู่ประจำทางด้านทิศตะวันออกของสวรรค์คอยปกครองพวก “คนธรรพ์” (หมายถึง ผู้ที่มีความถนัดในการดนตรี การละคร ระบำรำฟ้อนรำทั้งหลาย ถ้าเป็นมนุษย์ ก็เหมือนพวกนักร้องนักดนตรีที่ให้ความสนุกครื้นเครงนั่นเอง)

    คนที่สองคือท่านท้าววิรุฬหกมหาราช ประจำอยู่ทิศใต้คอยปกครองพวกกุมภัณฑ์ พวกกุมภัณฑ์นี้ก็มีลักษณะหน้าตาท่าทางคล้ายๆกับยักษ์มีผมหยิกหยองแต่ไม่มีเขี้ยว ถือเป็นเทวดาประเภทหนึ่งที่ทำหน้าที่ลงโทษทรมานสัตว์นรกในโลกเบื้องล่าง (อีกนัยหนึ่งเรียกว่า นายนิรยะบาล )

    องค์ต่อไปคือ ท้าววิรูฬปักษ์มหาราช อยู่ประจำทางด้านทิศตะวันตกปกครองพวกนาคซึ่งเป็นสัตว์ในโลกทิพย์คล้ายงูที่เราพบเห็นตามประตูวัดต่างๆ นั่นแหละครับ

    และองค์สุดท้ายก็คือท้าวเวสสุวัณหรือท้าวเวสสุวรรณ และเรียกกันสั้นๆ ว่า “ท้าวกุเวร” จะอยู่ประจำทางทิศเหนือปกครองพวกยักษ์ทั้งหลาย ซึ่งท้าวเวสสุวัณนี้เชื่อกันว่าใครบูชาท่านได้อย่างถูกวิธีแล้วชีวิตจะพบแต่ความสุขความเจริญและรวยมั่งคั่งไม่มีจน

    เพราะเป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูติผีปีศาจทั้งปวง ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณท่านได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเธอมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน

    เทวดาในชั้นนี้สามารถเสวยสุขได้อย่างยาวนานประมาณ 500 ปีของสวรรค์ (1 วันของสวรรค์ชั้นนี้ ก็ประมาณ 50 ปีของโลกมนุษย์ ในขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ที่ 80 ปี) เมื่อลองคูณดูแล้ว เทวดาที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็จะมีอายุขัยนานประมาณ 9 ล้านปีเมื่อเทียบกับโลกมนุษย์

    2. สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    สวรรค์ชั้นนี้ตามความเชื่อเชื่อกันว่าเป็นสวรรค์ที่เป็นเมืองใหญ่มากมีประตูกว่า 1 พันประตูและมีสถานที่สำคัญคือ “พระเกศจุฬามณีเจดีย์” ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุและพระเขี้ยวแก้วข้างขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีไม้ทิพย์ที่ชื่อ “ปาริชาติกัลปพฤกษ์” เทวดาในชั้นนี้ก็มีมากมายเช่นกันครับแต่มีเจ้าผู้ปกครองเพียงคนเดียวคือ “สมเด็จพระอมรินทราธิราช” หรือ ท้าวสักกะเทวราช หรือพระอินทร์นั่นเอง

    เทวดาในชั้นนี้สามารถเสวยสุขได้อย่างยาวนานประมาณ 1,000 ปีของสวรรค์ แต่ว่าเวลา 1พันปีนี้ไม่ได้เท่ากับเวลาในสวรรค์ชั้นแรก คือเวลามันต่างกันอีกในแต่ละชั้น ที่นี่เวลา 1 วันจะเท่ากับ 100 ปีของโลกมนุษย์ เมื่อลองคำนวณแล้วหากเทวดาในชั้นนี้มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000ปี ก็จะเท่ากับ 36 ล้านปีของโลกมนุษย์เลยทีเดียว

    3. สวรรค์ชั้นยามา

    สวรรค์ชั้นยามานี้ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปอีกไกลแสนไกลเชื่อว่ามีปราสาทเงินและปราสาททอง เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทวดา ซึ่งในสวรรค์ชั้นยามานั้นมีความสวยงามวิจิตรตระการตากว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาก โดยมีกำแพงแก้วล้อมรอบวิมานมีสวนอุทยานและสระโบกขรณี (สระบัว) อันเป็นทิพย์

    ในสวรรค์ชั้นนี้จะไม่เห็นพระอาทิตย์พระจันทร์เลย เพราะสวรรค์มันอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก เทวดาจะเห็นแสงสว่างด้วยรัศมีแห่งแก้วทิพย์และรัศมีที่ออกจากกายเหล่าเทวดาด้วยกันเองและการที่จะรู้จักวันและคืนได้ ก็จะรู้เอาจากดอกไม้ทิพย์เป็นสัญลักษณ์เอา คือ ถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์บานก็แสดงว่าเป็นเวลารุ่งกลางวันถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์นั้นหุบลงก็แสดงว่าเป็นเวลาค่ำคืน

    สวรรค์ชั้นนี้มีท้าวผู้ปกครองเพียงคนเดียวอีกเหมือนกันพระนามว่า “ท้าวสุยามเทวราช” เวลาก็ต่างกับสวรรค์ชั้นที่สองอีก 1 เท่า คือ 1 วันของสวรรค์เท่ากับ 200 ปีของโลกมนุษย์ และอายุขัยเฉลี่ยของเทวดาในภพภูมินี้ก็อยู่ที่ 2,000 ปี เมื่อลองคำนวณเทียบกับอายุโลกมนุษย์ก็ยาวนานมากถึง 144 ล้านปี

    4. สวรรค์ชั้นดุสิต

    สวรรค์ชั้นดุสิตนั้นเชื่อว่ามีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีท้าวสันดุสิต ซึ่งท่านเป็นผู้บรรลุเป็นพระโสดาบันผู้เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้วเป็นผู้ปกครอง ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดุสิตอยู่สูงขึ้นไปเหนือสวรรค์ชั้นยามาอีกไกล (เชื่อว่าไกลประมาณ 42,000โยชน์) บนสวรรค์ชั้นนี้ก็จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เช่นเดียวกับชั้นยามาทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ เทวดาจะอยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดาเองรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ อย่าง วิมาน สวน สระบัว สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่างแบบเดียวกับกับสวรรค์ชั้นที่ 3

    เทวดาที่อยู่ในชั้นนี้ ก็จะเป็นเทวดาในระดับที่สูงกว่าชั้นทั่วไปคือ เป็นที่อยู่ของเหล่าทั้งเทวดาที่มีความแช่มชื่นเบิกบานในอารมณ์อยู่ตลอดไม่รู้จักโกรธ และเป็นที่อยู่ของ “พระบรมโพธิสัตว์” ที่บำเพ็ญเพียรอยู่เพื่อรอที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตเป็นจำนวนมาก และยังเป็นที่อยู่ของเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีจนเป็นพระสาวกเพื่อที่จะตามพระบรมโพธิสัตว์เหล่านั้นแล้วลงมาตรัสรู้ในอนาคต

    สวรรค์ชั้นนี้ ครูบาอาจารย์ พระเถระคนสำคัญของไทยที่เป็นพระโพธิสัตว์จะเสวยบุญและเพียรสร้างบุญบารมีกันมากมาย

    อายุไขเฉลี่ยของเทวดาในภพภูมินี้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ปีทิพย์ และ 1 วันของสวรรค์ชั้นดุสิตก็มีอายุยาวนานถึง 400 ปีของโลกมนุษย์เมื่อคำนวณแล้วอายุขัยเทวดาที่นี่จึงยาวนานประมาณ 576 ล้านปีมนุษย์

    5. สวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    ที่ได้ชื่อเป็นนิมมานรดีภูมิ ก็เพราะว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของเทวดาพวกหนึ่งซึ่งมีความยินดีเพลิดเพลินในกามอารมณ์ที่เนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเอง มีผู้ปกครองเทวดาที่ชื่อว่า “องค์สมเด็จพระนิมมิตเทวราช” ความหมายของชื่อสวรรค์ ก็ตั้งตามชื่อผู้ปกครองที่สามารถจะเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาได้ตามความพอใจ

    สวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี้เชื่อกันว่า มีปราสาทแก้ว ปราสาทเงิน และปราสาทองเป็นวิมานที่อยู่ ทั้งมีกำแพงแก้วและกำแพงทองล้อมรอบ มีพื้นภูมิภาคเป็นทองราบเรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณีและสวนอุทยานสำหรับเป็นที่ประกอบกิจกรรรมความสุขของเหล่าเทวดาเช่นเดียวกับสวรรค์ชั้นดุสิตทุกประการ แต่ทุกสิ่งในสวรรค์ชั้นนี้จะสวยและประณีตกว่าชั้นดุสิตมาก

    อายุไขเฉลี่ยของเทวดาในชั้นนี้ก็มีอายุเฉลี่ยประมาณ 8,000 ปีทิพย์ และ 1 วันของสวรรค์ชั้นนี้ก็มีอายุยาวนานประมาณ 800 ปีของโลกมนุษย์ลองคำนวณอายุเทวดาที่นี่แล้วก็จะใช้เวลาอายุที่นี่นานถึง 2,304 ล้านปีมนุษย์ (หากนับในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ช่วงที่โลกยังเกิดมาได้ครึ่งเดียวเท่านั้น)

    6. สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

    สวรรค์ชั้นที่ 6 นี้เชื่อกันว่าเป็นที่ที่มีความสุขความสำราญมีความเพลิดเพลินในกามคุณมากเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทวดาปรารถนาเสวยกามคุณเมื่อไหร่ไม่ต้องเนรมิตเอาเองเหมือนในสวรรค์ชั้นที่ 5 แต่จะมีเทวดาองค์อื่นเป็นผู้รู้ใจคอยปรนนิบัติโดยเนรมิตให้ตามความต้องการ เมื่อได้เสวยกามคุณสมความปรารถนาแล้ว สิ่งที่เนรมิตขึ้นมาก็จะหายไป เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี จึงไม่จำเป็นต้องมีคู่ครองประจำเหมือนกับเทวดาอย่างในชั้นล่าง เช่น จาตุมหาราชิกาภูมิ ดาวดึงส์ ยามา และ ดุสิต

    สวรรค์ชั้นนี้ก็มีความห่างจากนิมมานรดีสูงขึ้นไปอีก (เชื่อว่าประมาณ 42,00 โยชน์) มี “ท้าวปรนิมมิตตเทวราช” หรือชื่อย่อคือ ท้าววสวัตดีเทวราช เป็นผู้ปกครอง เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในภูมินี้จะมีทั้งทิพย์วิมาน ทิพย์สมบัติและร่างกาย มีความสวยงามประณีตมากกว่าเทวดาในชั้นนิมมานรดีมาก

    อายุขัยเฉลี่ยของเทวดาในชั้นนี้ก็นับว่าสูงที่สุดแล้ว คือ 1 วันเท่ากับ 1,600 ปีของโลกมนุษย์ และก็มีอายุขัยเฉลี่ยที่ 16,000 ปีในโลกทิพย์ ด้วยอายุไขของเทวดาชั้นนี้เมื่อเทียบกับชาวมนุษย์อย่างเราๆ ก็ยาวนานมากคือนานประมาณ 9,216 ล้านปี เรียกได้ว่านานระดับยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคสร้างโลกเสียอีก

    สวรรค์ชั้นนี้ถือว่าเป็นยอดภูมิ คือ ภูมิที่สูงสุดของเทวดาในเทวภูมิทั้ง 6 นี้ และองค์ท้าวที่ทำหน้าที่ปกครองในสวรรค์ชั้นนี้ก็ไม่ได้มีอำนาจปกครองแต่เฉพาะเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิเท่านั้นแต่ยังมีอำนาจปกครองทั่วไปรวมไปถึงสวรรค์ชั้นต่ำลงไปอีก 5 ชั้นด้วย

    เทวดาที่อยู่ในชั้นสวรรค์ต่างๆ ที่กล่าวมาก็คือ เชื่อว่าอยู่ในภพที่สูงขึ้นไปครับแต่ในความเชื่อนั้นก็ยังมีเชื่อกันแบ่งออกมาอีกว่า ยังมีเหล่าเทวดาที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างเราๆ อยู่อีกถึง 3 แบบครับได้แก่ ภุมมเทวดา รุกขเทวดา และอากาศเทวดา ที่เรียกกันแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าเทวดาเหล่านี้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีความแตกต่างกันนั่นเอง

    1. ภุมมเทวดา

    เทวดาเหล่านี้เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ต้องอาศัยอยู่ตามจอมปลวกหรือเนินดินตามภูเขา แม่น้ำ เจดีย์ ศาลา บ้าน หรือแม้แต่ ซุ้มประตู เมื่อเข้าไปอยู่แล้วก็จะถือว่าที่แห่งนั้นเป็นวิมานของตนเอง แต่เทวดาบางองค์ก็ไม่มีที่อยู่ก็ต้องไปขออาศัยที่ของเทวดาตนอื่นอยู่เหมือนกัน

    2. รุกขเทวดา

    เทวดาประเภทนี้คุณผู้อ่านคงจะได้ยินบ่อยๆ ในวรรณคดีหรือนิทานที่มีเทวดาอาศัยอยู่ตามต้นไม้ท่านเหล่านี้อาศัยตามกิ่งไม้ยอดไม้ต่างๆ ซึ่งที่อยู่จะอยู่สูงกว่าพวกภุมมเทวดา แต่ท่านก็ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีทั้งที่มีวิมานต้นไม้เป็นของตนเองและก็มีแบบเร่ร่อนอาศัยคนอื่นอยู่

    ถ้าต้นไม้ถูกตัดถูกโค่นก็เท่ากับเป็นการทำลายที่อยู่ของท่าน (ซึ่งคนโบราณนั้นท่านจึงห้ามตัดต้นไม้ใหญ่และถือว่านี่เป็นกลวิธีที่ดีเยี่ยมในการอนุรักษ์รักษาพืชพรรณป่าไม้ให้คงอยู่ตามธรรมชาติเลยทีเดียว)

    ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในต้นไม้ทุกต้นนั้นถ้ามีอายุเกิน 5 ปีไปแล้วนั้นจะมีรุกขเทวดามาสิงอยู่และยิ่งมีคนมาบูชาและอุทิศบุญให้ท่านอย่างถูกวิธี ท่านจะมีบุญมากขึ้น และอวยพรบางประการแก่คนที่มาบูชาหรืออุทิศบุญไปให้

    3. อากาศเทวดา

    เทวดาประเภทนี้ก็อยู่ในอากาศ ท่านสามารถเหาะไปเหาะมาที่ไหนก็ได้และยังมีวิมานในอากาศเป็นของตนเองสูงขึ้นไปก็ประมาณ 1 โยชน์ได้ (ประมาณ16 กิโลเมตร) พวกนี้จะทำบุญมาดีสูงกว่าพวกเทวดาสองแบบแรก

    ความเชื่อเรื่องนี้ส่วนใหญ่ มาจากพระคัมภีร์ แสดงถึงระดับชั้นและการมีอยู่ของเทวดา แต่การจะเป็นเทวดาได้ไม่ใช่ของง่ายๆ เพราะต้องมีเงื่อนไขสำคัญหลายประการ เป็นคุณสมบัติสำคัญ

    เทวดาคืออะไร

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จะเกิดเป็นเทวดาได้อย่างไร

    สิงหาคม 16, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    -http://torthammarak.wordpress.com/2011/08/16/%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/-

    การเกิดของเทวดาไม่เหมือนกับการเกิดของพวกเราเหล่ามนุษย์ ไม่ต้องเกิดในท้องแม่ให้ยุ่งยาก เมื่อหมดอายุขัยหรือตายจากภพเดิมไปแล้ว ก็มาเกิดไปทันทีแถมกลายเป็นหนุ่มเป็นสาว โตเต็มที่แบบทันตาเห็นไม่ต้องไล่เรียงเป็นเด็กแล้วเป็นผู้ใหญ่ตามกาลเวลา การเกิดแบบนี้เรียกว่าเป็น “โอปปาติกะ” เป็นการเกิดแบบหนึ่ง ซึ่งในทางพุทธศาสนาแบ่งการเกิดของสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ 4 แบบ ขออนุญาตอธิบายเพื่อที่จะให้ทุกท่านได้เข้าใจ คือ

    1. การเกิดแบบ “ชลาพุชะ” คือ พวกสัตว์ทั้งหลายที่ต้องเกิดในครรภ์ หรืออาศัยท้องแม่มาเกิดอย่างพวกมนุษย์เรา หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลือดอุ่นหลายๆ ประเภทก็คือแบบ ชลาพุชะนี่แหละครับ

    2. การเกิดแบบ “อัณฑชะ” อ่านคำว่า อัณฑะ แปลความได้ว่าเกิดมาจากไข่แล้วก็ฟักออกมาเป็นตัวอย่างพวกไก่ เป็ด หรือสัตว์ปีกทั้งหลายที่เราเอาไข่พวกมันมาทำเป็นอาหารแบบต่าง ๆ

    3. การเกิดแบบ “สังเสทชะ” พวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำลงไปอีกต่ำกว่า อัณฑชะ คือเกิดมาจากของแฉะชื้นสกปรกและของเน่าของบูดทั้งหลายอย่างพวกหนอน สัตว์ชั้นต่ำและแพร่พันธ์ออกไปได้อย่างรวดเร็ว ถ้าอยากลองพิสูจน์ ก็ลองสังเกตเศษอาหารเน่าๆ ที่ทิ้งไว้ข้ามคืนดูครับ รับรองว่าหนอนขึ้นมายั้วเยี้ยเต็มไปหมดแน่นอน

    4. การเกิดแบบ “โอปปาติกะ” อย่างที่เรียนไว้ตั้งแต่ต้นคือพวกนี้พิเศษกว่า 3 แบบแรกคือตาปกติ หรือตาเนื้อของคนเราทั่วไปที่มองไม่เห็น ต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตกล้าแข็งได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีมีความสามารถพิเศษ (คำพระท่านว่ามี อภิญญาจิต)

    พวกที่เกิดเป็นโอปปาติกะเกิดมาแล้วก็มีร่างกายเติบโตเต็มที่และไม่มีวันแก่ลง เวลาตายก็ตายแบบหายวับไปเลยไม่มีการเหลือซากให้เก็บ พวกที่เกิดแบบโอปปาติกะ ก็มี เหล่าเทวดาและ พระพรหม เปรต อสุรกาย สัตว์นรกเหล่านี้เป็นโอปปาติกะเช่นเดียวกัน

    การจะไปเกิดเป็นเทวดานั้นก็เกิดมาจากดวงจิตวิญญาณ ที่มาจากมนุษย์หรือสัตว์ที่ตายแล้วแต่ว่าดวงจิตนั้นมีความบริสุทธิ์อยู่ คือ หากเป็นมนุษย์ก็คือเป็นคนที่มีการทำบุญทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาอยู่ตลอดทำให้จิตใจบริสุทธิ์ก่อนที่จิตจะออกจากร่าง แต่ว่าจิตนั้นก็ยังไม่ถึงขนาดที่ว่าสำเร็จได้เป็นฌาน แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีธรรมและบุญกุศลที่ได้ทำมาทำให้ได้ไปเกิดเป็นเทวดาได้

    เรื่องนี้มีตัวอย่างในสมัยพุทธกาลมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่เป็นเพียงคนงานในบ้านของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” มหาเศรษฐีผู้ใจบุญที่ได้รับการกล่าวถึงกันมากที่สุดในพุทธศาสนา

    ชายหนุ่มคนนี้เพิ่งจะเข้ามาทำงานในบ้านของเศรษฐีผู้ใจบุญมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมากโดยทุกวันอุโบสถ (วันพระ) ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จะถือศีล 8 ให้บริสุทธิ์และบอกให้ทุกคนในบ้านได้รักษาศีล 8 ไปด้วยซึ่งทุกคนก็ยินดีปฏิบัติตามเป็นการสร้างบุญที่ดีแต่เจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นผู้มาใหม่จึงยังไม่ทราบในเรื่องนี้

    ในวันพระวันหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็บอกให้หัวหน้าคนงานไปบอกให้เจ้าหนุ่มผู้นั้นว่าวันนี้เป็นวันศีลและจะไม่มีการกินข้าวเย็นกัน แต่ก็ยังไม่มีใครเจอกับเจ้าหนุ่มคนนั้น เพราะฝ่ายเจ้าหนุ่มผู้นั้นต้องไปทำงานในป่าตั้งแต่เช้าจนค่ำ ท่านเศรษฐีรู้ดังนั้นจึงพิจารณาว่า ถ้าหากให้บ่าวผู้มาใหม่นี้อดถือศีล 8 เลยทันทีเกรงจะเป็นอันตรายต่อร่างกายจึงให้คนเตรียมอาหารไว้ให้หนุ่มคนนี้ด้วย

    พอตกเย็นเจ้าหนุ่มก็เข้ามาที่โรงครัว จึงพบกับความประหลาดใจ เพราะปกติเวลาอาหารจะมีคนมากมายในบ้าน จะต้องมาร้องขอข้าวขอแกงกันเสียงดังเต็มโรงครัว แต่วันนี้กลับมีเพียงตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้นจึงได้ออกปากถามหัวหน้าโรงครัว

    ซึ่งหัวหน้าโรงครัวก็ได้อธิบายเรื่องวันศีล และข้อปฏิบัติที่คนที่ถือศีล 8 นั้น ต้องงดเข้าเย็น แม้แต่เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่หย่านมก็จะให้กินของที่มีรสหวานอย่างอื่นแทน พอตกเย็นก็สวดมนต์ร่วมปฏิบัติธรรมกัน แต่เพราะเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้ เพิ่งมาอยู่ใหม่ยังไม่รู้เรื่อง จึงสั่งให้หุงหาอาหารไว้ให้เจ้าหนุ่มนั้นแต่เพียงผู้เดียวเพราะกลัวจะหิวเกินไป

    ฝ่ายเจ้าหนุ่มได้ยินดังนั้น ก็เกิดจิตกุศลขึ้นมานึกอยากจะถือศีลกับเขาด้วย จึงสละอาหารที่ตั้งใจมากินหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน และก็ได้ขอร้องหัวหน้าพ่อครัวให้ไปขออนุญาตต่อ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเรื่องการขอถือศีลด้วย และจะไม่กินอาหารเย็นเหมือนทุกคน ซึ่งเศรษฐีก็รับคำให้การอนุญาตให้อธิษฐานถือศีลไปเลย

    แต่ทว่าเพราะความที่ทำงานมาหนักและเหนื่อยมาก เจ้าหนุ่มก็ต้องทนทรมานเพราะความหิว แม้ว่าจะทรมานเพียงใด หนุ่มผู้เห็นดวงตาธรรม ก็ไม่ยอมกินอาหารเพราะตั้งจิตใจไว้ดีแล้วก็ต้องรักษาศีลให้ได้ เมื่อเวลาผ่านไปอาการทรมานก็กลายเป็นอาการป่วย และก็ยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วหัวหน้าคนงานจึงต้องไปตามอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปดูหนุ่มคนงานใหม่ที่กำลังป่วย

    ท่านเศรษฐีมาถึงก็เข้าไปดูที่เรือนพักและพยายามจะให้เจ้าหนุ่มได้กินเภสัช (ในที่นี้ เภสัชนั้นหมายถึง พวกน้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยใส เนยข้น ถือเป็นยาที่ใช้รักษาอาการป่วยโรคลม โรคกระเพาะได้ดี) ฝ่ายเจ้าหนุ่มเห็นเจ้านายมาก็ ถามท่านเศรษฐีว่า

    “ท่านได้รับประทานอะไรแล้วหรือยังในเย็นนี้” ท่านเศรษฐีก็บอกไปตามความจริงว่าไม่ได้รับประทานอาหารใดๆ แต่เพราะว่าท่านได้ฝึกฝนมานานแล้วร่างกายจึงไม่เป็นอะไรรับสภาพได้แล้ว

    เมื่อทราบความดังนั้น ชายหนุ่มก็คิดในใจว่า แม้แต่เจ้านายก็ยังดำรงตนฝึกฝนให้อยู่ในศีลได้นานมาโดยตลอด ส่วนตัวเขาแม้จะรักษาศีลเพียงครึ่งวันก็ต้องทำให้ได้เพราะไม่อยากเสียความตั้งใจ เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงไม่ต้องการกินอะไรเช่นเดิมแม้แต่ยา ส่งผลให้พอเวลารุ่งสางคนงานหนุ่มจอมดื้อผู้นั้นก็ได้เสียชีวิตลง

    ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นพยายามจะรักษาศีล 8 ให้ได้อย่างยิ่งยวดก็ได้สร้างผลบุญกุศลให้กับชายหนุ่มผู้นี้อย่างมหาศาล ด้วยอานิสงส์แห่งบุญ พอเขาสิ้นใจตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็น “รุกขเทวดา” ประจำต้นไทรภายในบริเวณบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีทันที

    มาได้มาเป็นเทวดาหนุ่ม ก็ได้อนุโมทนาคุณความดีของ อนาถบิณฑิกเศรษฐีที่เป็นผู้น้อมสักการะแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นที่พึ่งมาอย่างดี และรักษาศีล 8 เป็นประจำการ เทวดาหนุ่มรู้ดีว่าที่ได้เกิดมาเป็นเทวดา ก็เพราะเจริญรอยตามในคุณความดีของเศรษฐีนี้เองจึงให้ผลบุญกุศลเกิดขึ้นกับตัวเขา

    เรื่องนี้พูดถึงการเกิดเป็นเทวดาอย่างชัดเจนของคนที่มีบุญ ในอานิสงส์ของบุญนั้นมาจากการสร้างบุญบารมีอย่างถูกต้องที่มาจากการทาน ศีล และการเจริญภาวนา แต่ไม่ใช่ว่ามีเพียงแต่มนุษย์ที่ได้เกิดเป็นเทวดาได้แต่เพียงอย่างเดียว

    แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีสิทธิ์ไปเกิดเป็นเทวดาได้เหมือนกัน หากก่อนตายจิตมีความบริสุทธิ์มากพอ และมีผลบุญในอดีตชาติคอยเป็นกำลังสนับสนุน เรื่องนี้มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดในหน้าประวัติศาสตร์ก็คือ เรื่องราวของพระเจ้าอโศกมหาราช

    เป็นที่ทราบกันดีว่า พระเจ้าอโศกมหาราช ท่านเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มากที่ได้ทำการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนมีความเจริญรุ่งเรืองมากมายไปทั่วทั้งชมพูทวีป จนเชื่อกันว่าผลบุญที่พระองค์ได้สร้างเอาไว้นั้นจะทำให้พระองค์จะต้องไปบังเกิดในดินแดนที่เป็นสุขในโลกสวรรค์อย่างแน่นอนแต่ว่าในภพชาติถัดไปของพระองค์ก็ยังไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    เพราะยังมีวิบากกรรมไม่ดีที่หนักกว่าหรือกรรมหนักฝ่ายไม่ดีนั้นรอส่งผลอยู่ในชาติถัดไป ต้องได้รับผลกรรมหนักไม่ดีนั้นเสียก่อนจึงจะไปเสวยสุขได้ หรือเป็นไปตามจิตสุดท้ายก่อนตายที่สำคัญมากเป็นไปตามกฎแห่งกรรมไม่มีใครหนีพ้นไปได้

    ซึ่งหลังจากที่พระเจ้าอโศกมหาราชสิ้นพระชนม์แล้วพระองค์ก็ได้ไปบังเกิดเป็นงูเหลือมแทน เพราะก่อนพระองค์จะสวรรคตนั้น ได้ทรงพระดำริที่จะถวายพระราชทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนาอีก แต่ก็ได้มีพวกเหล่าขุนนางใกล้ชิดมาทัดทานเอาไว้

    พระองค์จึงได้เกิดจิตโทสะขึ้น เมื่อสิ้นพระชนม์ไปจึงได้ไปเกิดสู่ทุคติภูมิกลายเป็นงูเหลือมเสียอย่างนั้น ตามจิตสุดท้ายที่ไปทางไม่ดี ไม่บริสุทธิ์พอที่จะไปเสวยบุญได้

    และพระมหินทเถระซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งต่อมาได้บวชในบวรพระพุทธศาสนาจนสำเร็จบรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านได้นั่งเพ่งฌานสมาธิ เพื่อสืบค้นหาภพภูมิของพระราชบิดา เพราะอยากรู้ว่าเมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์จะได้ไปบังเกิดที่แห่งใด ก็พบว่าท่านต้องไปเกิดเป็นงูเหลือม สาเหตุเพราะจิตไม่บริสุทธิ์ก่อนตายจึงต้องกลายเป็นงูคอยจับปลาที่แม่น้ำกิน

    พระมหินทเถระจึงได้เดินทางไปโปรดพระราชบิดา เมื่อพบกันแล้วจึงแสดงเทศนาธรรมให้งูเหลือมฟัง จนงูเหลือมได้ดวงตาเห็นธรรม และบรรลุเป็นพระโสดาบันทั้งๆ ที่ยังเป็นสัตว์เดรัจฉานและงูเหลือมผู้บรรลุธรรมตัวนี้ การตั้งสัจจะอธิษฐานที่จะไม่ฆ่าสัตว์ เพื่อมากินเป็นอาหารอีกเลย

    งูเหลือมนั้นพอไม่ได้กินอาหารใดๆ หรือกินสัตว์ใด ไม่นานนักงูเหลือมจึงได้ตายลงตามธรรมชาติ พองูเหลือมสิ้นใจ ซึ่งก็คือพระเจ้าอโศกมหาราชในอดีตชาติ ดวงวิญญาณของพระองค์ที่มีจิตบริสุทธิ์ก็ได้ล่องลอยสู่สรวงสวรรค์ ไปเกิดเป็นเทวดาเสวยทิพย์สุขอยู่อีกนาน ด้วยผลบุญที่พระองค์ทรงเคยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไว้อย่างใหญ่หลวง

    เรื่องที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างนั้น เพื่อจะทำให้ทุกท่านเห็นได้ว่าไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปบังเกิดเป็นเทวดาได้หากมีจิตใจที่บริสุทธิ์มากพอก่อนจะตาย และการที่จิตจะบริสุทธิ์ได้นั้นเพราะจิตจะต้องได้ฝึกฝนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ด้วยการประกอบคุณงามความดีที่มีความแตกต่างกันไปในเจตนาของการทำความดี

    ครูบาอาจารย์คนสำคัญท่านหนึ่งของเมืองไทย ได้เตือนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า อย่าไปทำร้ายทำลายหรือเบียดเบียนสัตว์เป็นอันขาด เพราะอาจจะเป็นผู้มีบุญมาชดใช้กรรมอยู่ จะกลายเป็นการสร้างกรรมที่หนักกว่าปกติธรรมดาหลายเท่านัก จึงสอนให้ระมัดระวังในเรื่องนี้มาก

    และขอนอกเรื่องสักนิด เพราะเกือบทุกครั้งที่มีการยกเรื่องในพระไตรปิฎกมากล่าวอ้างหรือเป็นตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ ก็จะมีคนถามว่าเรื่องเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน มีใครยืนยันได้ จะอยากจะขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่า พระพุทธศาสนานั้นคนที่ปฏิบัติจะทราบด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนอื่นมาบอก

    และทุกเรื่องที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกที่ถือว่าเป็นคัมภีร์แห่งศาสนาพุทธนั้น เป็นเรื่องจริงที่ได้มีการพิสูจน์มาแล้วกว่า 2,500 ปี เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์ รวมธรรมวินัยและข้อปฏิบัติของเหล่าสาวกในพระพุทธศาสนา

    บางเรื่องมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง บางเรื่องเป็นเรื่องที่พระอรหันต์สาวกได้ไปเข้าเฝ้าและได้รับคำสอนมา และได้มีการบันทึกในภายหลังโดยพระอรหันต์สาวก และมีการตรวจสอบกันอย่างละเอียดทุกตัวอักษรมาหลายครั้งเพื่อความถูกต้อง

    และที่สำคัญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ก่อนที่พระองค์จะเสด็จปรินิพพานกับพระอานนท์ไว้ว่า พระพุทธองค์จะไม่แต่งตั้งสาวกท่านใดเป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์ แต่ให้ยึดถือคำสั่งสอน พระโอวาทที่อยู่ในพระไตรปิฎกนั้นจะเป็นตัวแทนของพระองค์ จนกว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมสลายไป

    ดังนั้น ถ้าเราที่บอกกับตนเองและคนอื่นว่า เป็น “ชาวพุทธ” ถ้าชาวพุทธไม่เชื่อคำที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วเราจะไปเชื่อใครกันที่ไหนอีก อย่าตะแบงให้ตนเองต้องตกนรกอีกเลย

    กลับมาทางเรื่องเทวดากันต่อ ในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่า ดวงจิตนั้นจะไปเกิดกับพ่อแม่เทวดาคู่ไหนในสวรรค์ ก็อยู่ที่ผลบุญไปสมพงศ์กับเทวดาคู่ไหนด้วย หากมีเจตนาบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ก็ไปเกิดเป็นเทวดาที่อยู่บนสวรรค์สูงขึ้นไปมากเท่านั้น เป็นการเลื่อนชั้นตามพลังบุญที่มีทั้งบุญเก่าและบุญใหม่ที่มีคนส่งไปให้

    ยกตัวอย่างเรื่องการไปเกิดในภพภูมิเทวดา หากใครจะไปเกิดในเทวดาชั้นจตุมหาราชิกา ก็ต้องทำคุณงามความดี แต่การทำคุณงามความดีนั้นมีจุดประสงค์เพื่อหวังว่าผลที่ได้ทำบุญนั้นจะทำให้ตนเองมีความสุขหวังในผลคือทำดีแล้วก็หวังจะได้ดีสมกับที่ได้ทำ อย่างนี้เป็นต้น

    หากใครจะไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นที่สองอย่างดาวดึงส์ ก็ต้องทำความดีเหมือนกัน แต่คิดต่างกับคนที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นหนึ่งตรงที่ว่า ทำบุญรักษาศีลประกอบคุณงามความดีทั้งหลายเพราะคิดว่าเป็นการกระทำความดีที่ดีแล้ว คือไม่หวังว่าจะได้ผลของบุญอะไรแต่หวังว่าในความดีนั้นจะทำให้ตนเองมีความสุข

    แต่เจตนาของผู้ทำบุญยังมีมากกว่านั้น เพราะในสวรรค์ชั้นที่สามนั้นเป็นที่อยู่ของเทวดาที่อยู่สูงกว่าชั้นสองได้เพราะเขาเหล่านั้นทำบุญสร้างบารมีด้วยความตั้งใจจริง มีจิตใจขวนขวายในพระธรรมไม่หวังผลอะไรตอบแทนเห็นว่าสมควรทำก็เลยทำ อย่างนี้จึงจะได้มาเกิดในสวรรค์ชั้นที่สาม เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนถึงชั้นสูงสุดคือ ชั้นที่หก ปรนิมมิตวสวัตดี นั่นก็เพราะในขณะที่เป็นมนุษย์นั้นประกอบบุญกุศลด้วยจิตที่ตั้งมั่นในธรรมทำบุญโดยไม่หวังผลใดๆ มีจิตใจบริสุทธิ์มากจึงได้เกิดมาอยู่ในชั้นเทวดาระดับสูงสุด

    จะว่าไปเรื่องการมีอยู่ของเทพเทวดาทั้งหลายนี่ หลายท่านบอกว่า คงเป็นอุบายการสอนเรื่องการทำบุญด้วยใจเป็นอันดับแรกนั่นเอง คนที่อยากเกิดเป็นเทวดา ก็ควรจะรู้ว่า การทำบุญทำทานว่าทำบุญแบบไหนหรือทำด้วยอะไรจึงจะเกิดผลบุญมากที่สุด

    ขอยกตัวอย่างเรื่อง คนสองคนที่มาทำบุญที่วัดแต่ได้บุญต่างกันที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า มีท่านเศรษฐีท่านหนึ่งได้บริจาคเงินสิ่งของทำบุญทำนุบำรุงพระอุโบสถมากมายด้วยกำลังทรัพย์ที่มี (ซึ่งไม่ทราบที่มาของทรัพย์เหล่านั้น) แต่ว่าเศรษฐีได้ขอร้องให้เอาชื่อของเขาติดไว้ที่สิ่งก่อสร้างเหล่านั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล

    แต่ก็มีผู้ที่ต้องการทำบุญอีกคนหนึ่ง คนนี้เป็นเพียงคุณยายสูงอายุที่มีอาชีพทำขนมขายในตลาดวันๆ หนึ่งหารายได้ได้มาไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้นแต่ คุณยายคนนี้นำขนมมาถวายเป็นภัตตาหารพระตอนเช้าทุกวันถวายเสร็จก็รับพรกลับไปขายของต่อด้วยความสบายใจ ไม่ได้หวังจะได้อะไรมากกว่านั้น

    พระอาจารย์เลยถามผมว่า “ทั้งสองที่มาทำบุญได้บุญเหมือนกันไหม” ผมซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ประสีประสาเพราะเพิ่งมาบวชใหม่และกำลังเริ่มเห็นสว่าง ก็บอกว่าก็คงได้บุญเหมือนกัน พระอาจารย์ท่านก็ว่า “ใช่ทั้งสองได้บุญเหมือนกันแต่ได้ไม่เท่ากันหรอกนะ ลองคิดดูเอาละกันว่า ใครที่น่าจะได้บุญมากกว่า ระหว่างเศรษฐีกับคุณยาย”

    จึงเป็นการเฉลยในทางอ้อมแต่เป็นจริงว่า การทำบุญหรือการทำทานที่ได้บุญมากนั้น ไม่จำเป็นต้องทำด้วยทรัพย์มากเท่าไหร่ แต่อยู่ที่เจตนาของการทำบุญนั้นมีความบริสุทธิ์มากเท่าใด ดังที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านเคยเทศนาครั้งหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะละสังขารไว้ว่า

    “…ทำบุญ ทำทาน ทำกุศล ไม่ว่ามากหรือน้อย วัตถุมิใช่ตัวบุญแท้ ตัวบุญแท้มันเกิดที่หัวใจ คือ เจตนาของบุคคลนั้นต่างหาก

    ถ้าเจตนาศรัทธาในขณะใด ในบุคคลใด ในสถานที่ใด ในที่นั้นๆ ได้บุญมาก

    ฉะนั้น บุญในพุทธศาสนานี้ คนทำจึงไม่รู้จักหมดจักสิ้นสักที พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาไว้สองพันกว่าปีแล้วว่า ทำบุญได้บุญเช่นไร มาในปัจจุบันนี้หรือในอนาคต ต่อไปก็ได้อย่างนั้นเช่นเคย

    คนทำบุญมากเท่าไรก็จะได้บุญมากเท่าที่ตนนั้นสามารถจะรับเอาไปได้ เหมือนกับคนนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ ถือเทียนมาคนละเล่มไปขอจุดจากผู้ที่มีเทียนที่จุดอยู่แล้ว ย่อมได้แสงสว่างตามที่ตนมีเทียนเล่มโตหรือเล่มเล็ก ส่วนดวงเดิมที่ตนขอจุดต่อนั้นก็ไม่ดับเทียน หลายดวงยิ่งเพิ่มแสงสว่างยิ่งๆ ขึ้นไปอีก…”

    หวังว่าทุกท่านพอจะเข้าใจในเรื่องบุญมากและบุญน้อยกันพอสมควร

    จะเกิดเป็นเทวดาได้อย่างไร

    .
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    พรัหมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พรัหมะปะริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    พรัหมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พรัหมะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    มะหาพรัหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ มะหาพรัหมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุง ฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    สุภะกิณหะกา เทวา สัททะ มะนุสสาเวสุงฯ สุภะกิณหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุง ฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
    อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ

    นี่คือคำกล่าวที่พระพุทธองค์ประกาศไว้ในพระ ธรรมจักรกัปปะวัตตนสูตร
    อันจำแนกแล้วว่า เทวดาเริ่มที่ชั้นอากาศ ชั้นภุมเทวา หรือที่เรียกรวมว่า ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตา นิมานรตี ปรนิมิตตาวัตตี พรหมมา มหาพรหมา นิพพาน

    สิ่งสำคัญคือการที่จะไปณ สวรรค์แห่งใด สำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติเป็นปกติวิสัย มีจิตใจอันถึงพร้อมแล้ว และบารมีถึงแล้วย่อมได้ไปเสวย สุขในสวรรค์แห่งนั้น ครับ อนึ่ง หากอยากรู้ว่าสวรรค์เป็นอย่างไร เจริญสมาธิให้มากเมื่อจิต เป็นสมาธิมีกำลังพร้อมแล้ว ย่อมนำกระแสจิตเคลื่อนไปยังที่ต่างๆได้ย่อมสามารถรับรู้เห็นความสวยงามในสวรรค์ต่างๆได้ เราฝึกมาแบบนี้จึงกล่าวเช่นนี้ ครับ สาธุ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...