คุณรู้หรือยัง???? จริงหรือเปล่าน่ะ!!!!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย จริง?หรือ?, 23 กรกฎาคม 2013.

  1. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ทายบอกที่ไปอนาคต ของใครๆได้หมด
    [​IMG]

    จะมีใครสามารถบอกได้ว่าอีก 285 วันข้างหน้าตัวเองจะไปปรากฏตัวขึ้น ณ ที่ใด ในเวลาบ่ายสองโมงของวันนั้น แต่บัดนี้มีนักวิจัยได้คิดโปรแกรมซึ่งสามารถจะบอกได้ว่า ตัวท่านจะไปปรากฏตัวขึ้น ณ ที่ใด ในวันเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตได้

    วิศวกร 2 คนของบริษัทไมโครซอฟท์ ได้ใช้ข้อมูลจากอาสาสมัคร 300 คน ซึ่งอยู่ในเขตนครซีแอตเติล ซึ่งมีปริมาณมากเป็นกองภูเขาเลากา ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลของชีวิตประจำวันของแต่ละคน ตั้งแต่ออกไปทำงาน ไปร้านชำ ร้านขายของ ออกไปวิ่งออกกำลัง และบางคนอาจจะเดินทางข้ามทวีป โดยให้แต่ละคนต้องพกอุปกรณ์จีพีเอส ที่บอกพิกัดคนๆนั้นในเวลาหนึ่งเวลาใดติดตัวไปด้วย

    จากข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ ได้คัดเลือกตำแหน่งโดยเฉพาะออกมาได้ จำนวน 150 ล้านที่ด้วยกัน และได้นำมาสร้างโปรแกรมตั้งชื่อเรียกว่า “ฟาร์ เอาต์” ขึ้น สำหรับทำนายสถานที่ที่คนหนึ่งคนใดจะไปปรากฏกายขึ้นในอนาคตได้

    นักวิจัยทั้งคู่ได้เปิดเผยหลักให้ทราบว่า เหตุที่คิดโปรแกรมนี้ได้เพราะเป็นลักษณะนิสัยของคนเราที่จะไปยังที่ไหนในวันหนึ่งวันใดอยูู่เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อเลือกวันลงไปว่า วันอาทิตย์ วันจันทร์ หรือวันอังคาร คนใดคนหนึ่งมักจะไปยังที่ใด ก็จะมักทายได้โดยไม่ผิด.


    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  2. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    มีชีวิตบนดาวอังคาร สมัย 4 พันล้านปี

    [​IMG]

    รายงานผลการตรวจวัดบรรยากาศของดาวอังคาร ที่ได้จากยานสำรวจ “เคียวริออส ซิที” ส่อว่า อาจจะมีชีวิตเกิดบนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้เมื่อสมัย 4 พันล้านปีมาแล้ว หากแต่คงถูกชนครั้งมหาวินาศ เลยบรรยากาศที่มีออกซิเจนอยู่อย่างอุดมต้องรั่วไหลออกไปจนเกือบหมดสิ้น

    นักวิทยาศาสตร์บรรยากาศ มหาสมุทรและอวกาศของมหาวิทยาลัยมิชิแกนแห่งสหรัฐฯกล่าวว่า “ตามข้อมูลที่ได้รับแสดงอย่างชัดเจนว่า ดาวอังคารเคยมีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่น ดังนั้น บรรยากาศสมัยก่อนจะอบอุ่นและเปียกชื้นยิ่งกว่าที่หนาวเหน็บและแห้งแล้งอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้” เขาสงสัยว่าจะต้องเกิดเหตุกลียุคขึ้น จึงทำให้ดาวที่มีออกซิเจนอยูู่มากมายต้องสูญหายไปทิ้งไว้แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

    องค์การอวกาศสหรัฐฯเคยแจ้งว่า จากการตรวจวัดอัตราตกของก้อนอุกกาบาตในชั้นบรรยากาศ ส่อว่าดาวอังคารต้องสูญเสียบรรยากาศไประหว่างพันล้านปีแรกของประวัติศาสตร์ที่มีอายุยืนยาวมา 4.6 พันล้านปี.


    ที่มา : www.thairath.co.th
     
  3. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ระทึก! บินโดยสารมะกัน ลงฉุกเฉินล้อหน้าไม่กาง ไถลพื้นรันเวย์

    [​IMG]

    กาง เบื้องต้นมีรายงานผู้บาดเจ็บ 3 คน...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ว่า เกิดเหตุเครื่องบินโดยสาร โบอิ้ง 737-700 ของสายการบิน 'เซาท์เวสต์ แอร์เวย์ส' นำเครื่องลงจอดที่สนามบิน 'ลากาเดีย' ในนครนิวยอร์กโดยที่ล้อหน้าไม่กาง ส่งผลให้เครื่องกระแทก และหัวเครื่องบินครูดไถลไปกับพื้นรันเวย์ เบื้องต้นมีรายงานผู้บาดเจ็บเล็กน้อยประมาณ 3 คน และเจ้าหน้าที่สนามบินต้องปิดรันเวย์ทั้งสองของสนามบิน

    สำหรับเครื่องโบอิ้ง 737-700 เที่ยวบิน 345 เดินทางจากเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี มายังนครนิวยอร์ก ก่อนเกิดอุบัติเหตุเมื่อเวลา 17:45น. วันจันทร์ (ตามเวลาสหรัฐฯ) โดยที่ยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุของความผิดพลาดครั้งนี้ ขณะที่นักบินเผยว่า ไม่สามารถควบคุมให้ล้อหน้าของเครื่องกางออกมาได้ ขณะที่ล้อหลังยังคงทำงานตามปกติ

    ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอ็นบีซีนิวยอร์ก รายงานว่าเบื้องต้นมีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย โดยผู้โดยสารต้องรออยู่บนเครื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 45 นาที จึงสามารถเดินเนินการอพยพออกจากเครื่องได้.


    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์


    //////////////////////////////
    รู้สึกว่าช่วงนี้จะมีข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินบ่อย
     
  4. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ศูนย์เตือนภัยฯ ชวนโหลด 2 แอพรายงานภัยพิบัติ

    [​IMG]

    น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผอ. ศภช. ชวนโหลดแอพเตือนภัยพิบัติ ชื่อ NDWC และ Water4Thai ตรวจสอบสภาพภูมิอากาศก่อนออกเดินทาง...
    น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศภช.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ขณะนี้ ศูนย์เตือนภัยฯ มีแอพพลิเคชั่นเตือนภัยพิบัติ ชื่อ NDWC ของศูนย์เตือนภัยฯ และแอพ Water4Thai ของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) ประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นดังกล่าว เพื่อติดตามข่าวสารและศึกษาสภาพภูมิอากาศ สภาพน้ำในเขื่อนกักน้ำและทางไหลของน้ำทั่วประเทศ เป็นต้น
    ผอ.ศภช. กล่าวต่อว่า ปัญหาภัยพิบัติมักเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น อาทิ การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อการเกษตร สร้างอาคารบ้านเรือนในพื้นที่เสี่ยงภัย และยังรวมไปถึงการพัฒนาเมือง เป็นต้น ดังนั้น หน้าที่หลักของศูนย์เตือนภัยฯ คือ สร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในทุกพื้นที่ที่เสี่ยงกับการเกิดภัยพิบัติ โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำเสี่ยงภัย.

    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    //////////////////************////////////////

    โหลดติดไว้ก็ดีน่ะครับ
     
  5. llilliilliiill

    llilliilliiill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    589
    ค่าพลัง:
    +2,741
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=hyy9Sv_Q0aA]Ancient Aliens - Aliens And Ancient Engineers - YouTube[/ame]


    .
     
  6. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ยืนยัน "อนุภาคผี" เปลี่ยนรูปกลับไป-กลับมาได้

    [​IMG]
    ซูเปอร์-เค มีเครื่องตรวจวัดอนุภาคนิวทริโน โดยวัดแสงที่ที่เกิดจากอันตรกริยาระหว่างนิวทริโนและน้ำที่มีความบรสุทธิ์สูง

    "นิวทริโท" หรืออนุภาคที่ถูกเรียกว่า "อนุภาคผี" เพราะอยู่ท่วมจักรวาล แต่เรากลับตรวจจับอนุภาคนี้ได้ยาก งานวิจัยล่าสุดยืนยันอนุภาคดังกล่าวสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ ซึ่งอาจจะนำไปสู่กุญแจไขปริศนาว่า ทำไมจึงมีสสารอยู่มากมาย แต่ปฏิสสารที่เป็นคู่กันกลับมีอยู่น้อย

    อ้างตามรายงานบีบีซีนิวส์ นักทฤษฎีระบุว่าคู่อนุภาคอย่างสสารและปฏิสสารในเอกภพนั้นถูกสร้างขึ้นมาในปริมาณเท่ากันระหว่างเกิดระเบิดบิกแบง (Big Bang) และคู่เหมือนทั้งสองต่างทำลายล้างซึ่งกันและกัน แม้แต่มีอนุภาคสำคัญอื่นอันไม่สมมาตรมารบกวนการทำลายล้างกันดังกล่าว

    ศ.เดฟ วาร์ก (Prof.Dave Wark) จากสภาอำนวยการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอังกฤษ และศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) อธิบายว่า ข้อเท็จจริงที่เอกภพกลับปรากฏสสารอยู่มากมายนั้น แสดงว่าต้องมีกฎฟิสิกส์บางอย่างที่ไม่อยู่ในแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) และนิวทริโนอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่อธิบายได้

    ล่าสุดงานวิจัยในโครงการความร่วมมือนานาชาติ T2K ที่มีนักวิทยาศาสตร์กว่า 500 ชีวิตร่วมกันศึกษา ได้ยืนยันว่า อนุภาคนิวทริโนเฟลเวอร์ (flavour) สามารถกลับไป-มา หรือกวัดแกว่งไปเป็นอนุภาคนิวทริโนอิเล็กตรอนได้

    ทีมนักวิทยาศาสตร์ร่วมกันสร้างการทดลองขนาดมหึมา โดยอาศัยห้องปฎิบัติการ 2 แห่งที่แยกกันไกล 300 กิโลเมตร โดยหนึ่งในห้องปฏิบัติการอยู่ที่ศูนย์วิจัยเครื่องเร่งอนุภาคโปรตอนญี่ปุ่น (Japan Proton Accelerator Research Centre) หรือ เจ-ปาร์ค (J-Parc) ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น

    เครื่องเร่งอนุภาคที่เจ-ปาร์คจะยิงลำอนุภาคนิวทริโนมิวออน (muon neutrino) จากใต้ดินมุ่งหน้าไปยังถังซูเปอร์-คามิโอกันเด (Super-Kamiokande) หรือถังซูเปอร์-เค (Super-K) ทางชายฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นถังที่บรรจุน้ำบริสุทธิ์สูงและรายล้อมด้วยเครื่องตรวจวัดแสงที่มีความไวยิ่งยวด

    เครื่องตรวจวัดแสงหรือหลอดขยายสัญญาณแสงนี้จะบันทึกแสงวาบที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก จากอันตรกริยาที่เกิดขึ้นระหว่างนิวทริโนวิ่งผ่านน้ำ แล้วปลดปล่อยแสงออกมา ซึ่งเมื่อปี 2011 ทีมวิจัยได้พบนิวทริโนอิเล็กตรอนจำนวนมากที่ถังซูเปอร์-เค ชี้ว่ามิออนมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองระหว่างเส้นทาง แต่ก่อนที่จะได้ทดลองเพื่อยืนยันสิ่งที่พบอีกครั้ง แผ่นดินไหวได้ทำให้เครื่องมือสำคัญเสียหาย

    มีการซ่อมแซมเครื่องมืออยู่หลายเดือน จนกระทั่งมีการทดลองที่ได้ข้อมูลทางสถิติชัดเจนพอที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกวัดแกว่งระหว่างมิวออนและอิเล็กตรอนจริง ซึ่งทีมวิจัยได้รายงานการค้นพบนี้ในการประชุมฟิสิกส์อนุภาคสูงของสมาคมฟิสิกส์ยุโรป ณ กรุงสต็อคโฮล์ม สวีเดน

    ศ.อัลฟอนส์ เวเบอร์ (Prof.Alfons Weber) หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ T2K ชาวอังกฤษจากสภาอำนวยการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอังกฤษ และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้เราทำได้เพียงวัดการหายไปของอนุภาคนิวทริโนชนิดหนึ่ง แล้วอนุมานว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง

    "แต่ในกรณีนี้เราได้สังเกตเห็นนิวทริโนมิวออนหายไป แล้วเห็นนิวทริโนอิเล็กตรนมาแทนที่ ซึ่งเป็นกรณีแรก" ศ.เวเบอร์กล่าว

    การกวัดแกว่งของนิวทริโนนั้นควบคุมโดยเมทริกซ์สามเหลี่ยมที่มีค่าไม่เป็นศูนย์ ซึ่งมีงานวิจัยก่อนหน้านั้นพิสูจน์ว่าแมทริกซ์ 2 มุมนั้นมีค่าไม่เป็นศูนย์ และงานของ T2K ยืนยันว่า มุมที่สามนั้นมีค่าไม่เท่ากับศูนย์เช่นกัน

    กรณีนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะทำให้การกวัดแกว่งของนิวทริโนปกติและคู่ปฏิอนุภาคหรือแอนตีนิวทริโน (anti-neutrino) มีความแตกต่างกัน ทำให้นิวทริโนและคู่ปฏินุภาคมีอิสระพอที่จะแสดงพฤติกรรมไม่สมมาตรที่เรียกว่า การระเมิดกฎคู่ประจุ (charge parity violation) หรือการละเมิดกฎซีพี (CP violation)

    เรื่องการกฎซีพีนี้เคยสังเกตพบในควาร์ก (quark) ซึ่งเป็นอนุภาคมูลฐานของโครงสร้างโปรตอนและนิวทริโนที่ประกอบขึ้นเป็นอะตอม แต่มีผลกระทบเพียงเล็กน้อย น้อยเกินกว่าจะส่งผลให้สสารมีมากกว่าปฏิสสารหลังระเบิดบิกแบง

    อย่างไรก็ดี หากนิวทริโนสามารถแสดงความไม่สมมาตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันคือหลักฐานว่าเป็นนิวทริโนที่เคยมีอยู่ในเอกภพยุคแรกๆ อาจช่วยอธิบายได้ถึงปัญหาเรื่องสสารและปฏิสสารที่ยากจะแก้ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ต้องเดินหน้าเพื่อหาคำตอบ ซึ่งอาจต้องสร้างนิวทริโนที่มีพลังมากกว่าเดิม

    ศ.เวเบอร์กล่าวว่า ตอนนี้มีแนวคิดที่จะสร้างเครื่องตรวจวัดอนุภาคที่มีความไวยิ่งขึ้น ซึ่งต้องปรับปรุงเครื่องเร่งอนุภาคให้ทำงานได้ครบครื่องมากกว่าเดิม และในอเมริกาก็มีเครื่องตรวจวัดอนุภาคที่ใหญ่กว่าและมีความไวยิ่งกว่า อีกทั้งมีการยิ่งลำอนุภาคที่เข้มข้นกว่า ซึ่งจะทำใ้นิวทริโนเดินทางได้ไกลขึ้น

    [​IMG]
    นิวทริโนมิวออนและนิวทริโนอิเล็กตรอนสามารถกวัดแกว่งและเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้
     
  7. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    กรมทางหลวง ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ กรณีเกิดภัยพิบัติ

    กรมทางหลวงฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการกรณีเกิดภัยพิบัติ เริ่มต้นจากภาคเหนือรับมือดินสไลด์ปิดทางหรือน้ำท่วมทางขาด มั่นใจสามารถเปิดเส้นทางที่ถูกตัดขาดได้ภายใน 24 ชม.

    นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ตามที่กรมทางหลวงได้จัดทำแผนปฏิบัติการฝึกอบรม/สัมมนาเพื่อรองรับการเกิดอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 (คู่มือการปฏิบัติงานกรมทางหลวงกรณีเกิดภัยพิบัติปี 2553) เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้และสอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ และสามารถวางแผน เตรียมความพร้อมทั้งเครื่องจักร เครื่องมือ และบุคลากรด้านต่างๆ การประสานงาน การปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งก่อนเกิด ระหว่างเกิด และหลังเกิด อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ซึ่งในปัจจุบันสาธารณภัยมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งสภาพความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เป็นผลทำให้ทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก

    กรมทางหลวงจึงได้ทำการฝึกซ้อมเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการภาคสนามรองรับการเกิดสาธารณภัยต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือ และบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนผู้ประสบสาธารณภัยได้อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์และทันต่อเหตุการณ์ รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ และสามารถวางแผน เตรียมความพร้อมทั้งเครื่องจักร เครื่องมือ และบุคลากรด้านต่างๆ การประสานงาน การปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งก่อนเกิด ระหว่างเกิด และหลังเกิดอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม

    โดยการอบรมครั้งแรกจะเริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อนเนื่องจากเป็นพื้นที่ลาดเชิงเขา และช่วงหน้าฝนจะเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง เช่น ดินสไลด์ปิดถนน หรือน้ำท่วมถนนถูกตัดขาด ตลอดจนฝึกซ้อมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีเกิดภัยพิบัติ การฝึกใช้เงื่อนเชือกกู้ภัย/ช่วยชีวิต การฝึกการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การฝึกการดับเพลิงโดยใช้น้ำยาเคมี การฝึกการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ การฝึกการปฏิบัติงานภาคสนามร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีเกิดภัยพิบัติ การจำลองสถานการณ์การทอดสะพานเหล็กแบบถอดประกอบได้เพื่อเปิดการจราจร การจำลองสถานการณ์การโรยตัวข้ามฝั่งกรณีน้ำท่วม ดินโคลนถล่ม ทางขาด การจำลองสถานการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยรถตกเขา เบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงเข้าอบรมกว่า 250 คน ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2013
  8. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    อึ้ง!ไทยติดที่3ของโลก 'ประเทศที่มีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนน'

    [​IMG]

    องค์การอนามัยโลกเผยรายงานสถานะประเทศ 2013 ไทยมีอัตราส่วนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นที่ 3 ของโลก มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉลี่ยทุกๆ 1 ชั่วโมงมีคนเจ็บ-ตาย 2 คน...

    เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2556 นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือแห่งองค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันอุบัติเหตุ เปิดเผยรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ.2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก เสียชีวิตถึง 38.1 คนต่อประชากร 1 แสนคน รองจากประเทศเกาะนีอูเอ และสาธารณรัฐโดมินิกัน

    นพ.วิทยา กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะและคนเดินเท้าแล้วถึง 13,766 คน จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2554 (ปี ค.ศ.2010) เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “แต่จากการประมาณการการเสียชีวิตจากอุบัติภัยบนท้องถนนของประเทศไทย โดยองค์การอนามัยโลก ในปี ค.ศ. 2010 สูงถึง 26,312 คน คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อประชากร 100,000 คน”

    นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของแต่ละประเทศ ด้วยบรรทัดฐานเดียวกันคือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อประชากร 1 แสนคน แล้วกลายเป็นว่า ไทยมีอัตราผู้เสียชีวิต 38.1 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน นับเป็นอันดับ 3 รองจากอันดับ 1 คือ นีอูเอ (Niue) มีอัตราผู้เสียชีวิต 68.3 คน ต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน อันดับ 2 คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน

    โดยเมื่อวันที่ 14 มีนาคม องค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยในรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ. 2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) ภาพรวมของการสำรวจจาก 182 ประเทศ มี 6 ประเทศที่ลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ส่วนที่เหลืออีก 176 ประเทศ มี 88 ประเทศที่ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้จริง ขณะที่ 87 ประเทศ อีก 1 ประเทศไม่ระบุ มีสถิติผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ในรายงานยังบอกว่า 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตเป็นคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 15-29 ปี ถ้าแต่ละประเทศไม่ป้องกัน การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจะขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของการเสียชีวิตของคนทั้งโลกภายในปี พ.ศ. 2573

    ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา องค์กรอนามัยโลก ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกกับโรงพยาบาลขอนแก่น แถลงผลการรายงานสถานะความปลอดภัยทางถนนโลก ปี 2556 และจัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในหัวข้อ ทำไมประเทศไทยถึงมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุอยู่อันดับต้นของโลกเพื่อหา แนวทางแก้ไขและแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะในการบรรเทาผู้เสียจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่ง ดร.นิมา อัสการี รักษาการผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า
    รายงานความปลอดภัยทางถนนของโลกปี 2556 (Global Stabal Report on Road 2013) พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีผู้เสียชีวิต 38.1 รายต่อประชากร 1 แสนราย รองจากอันดับ 1 แสนราย อันดับ 2 คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 รายต่อประชากร 1 แสนราย และองค์การอนามัยโลกกำลังเป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะจากตัวเลขยานพาหนะที่จดทะเบียนทั่วโลกมีมากขึ้นร้อยละ 15 และในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากอับุติเหตุเป็น 1.24 ล้านราย

    ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ระดับต่ำถึง ระดับปานกลาง มียอดผู้เสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 33 บางประเทศสูงถึงร้อยละ 75 และจากการสำรวจระหว่างปี 2550-2553 ใน 182 ประเทศ มีประเทศออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ที่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้อย่างน่าชื่นชม

    อย่างไรก็ตาม นพ.วิทยา กล่าวย้ำว่า เป็นที่น่าตกใจที่ข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2554 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะและคนเดินเท้าแล้ว แค่ 13,766 คน ต่างจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ที่ทำการประเมินในปีเดียวกัน มีจำนวนสูงถึง 26,312 ราย คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อประชากร 1 แสนราย เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตัวเลขที่ต่างกันอาจเกิดจากวิธีการเก็บข้อมูลที่ต่างกัน แต่ก็มีความหมายเดียวกันว่า ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุทางท้องถนนของประเทศไทย ถือว่าค่อนข้างวิกฤติมีคนเจ็บ คนตาย เฉลี่ยชั่วโมงละ 2คน และทุกคนมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเหมือนกัน.


    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์
    วันที่ 25 Jul 2013
     
  9. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    นี่ล่ะครับ ภัยพิบัติตัวจริง ตายยิ่งกว่า สามจังหวัดภาคใต้เสียอีก เพราะไม่รู้จะมาถึงตัวเมื่อไร :cool::cool::cool:
     
  10. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    กรมควบคุมโรค เตือนหน้าฝนระวังฟ้าผ่า วันเสาร์เสี่ยงฟ้าผ่าที่สุด

    กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบเกษตรกรเสี่ยงฟ้าผ่าสูงสุด ผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดนฟ้าผ่าวันเสาร์สูงสุด และมักโดนฟ้าผ่าช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เตือนประชาชนห้ามอยู่กลางแจ้งขณะฝนตก หากจำเป็นต้องหมอบให้ชิดพื้นที่สุด อย่านอนราบ หรืออยู่ใกล้ของสูงเมื่อเกิดฟ้าผ่า เช่น ต้นไม้ เสาไฟ ป้ายโฆษณา
    วันนี้ (19 กรกฎาคม 2556) นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยประชาชนถูกฟ้าผ่าในช่วงฤดูฝน เนื่องจากข้อมูลการเฝ้าระวังการบาดเจ็บรุนแรงจากการถูกฟ้าผ่า (Lightning- related injuries) โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ร่วมกับโรงพยาบาลเครือข่ายการเฝ้าระวังการบาดเจ็บแห่งชาติ 33 แห่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าจำนวนผู้บาดเจ็บรุนแรงจากฟ้าผ่า ระหว่างปี พ.ศ.2551-2555 จำนวน 180 ราย(เฉลี่ยปีละ 36 ราย) และเสียชีวิต 46 ราย อัตราเจ็บตาย ร้อยละ 23.89 ในปี พ.ศ. 2555 มีผู้บาดเจ็บรุนแรงที่เป็นชาย ร้อยละ 68.3 หากแยกตามอายุพบว่า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 45-49 ปี รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 30-34 ปี และอายุ 20-24 ปี ตามลำดับ และถ้าแยกตามอาชีพจะพบเกษตรกรถูกฟ้าผ่า ร้อยละ45.71 รองลงมาเป็นนักเรียน นักศึกษา ร้อยละ 40 และผู้ใช้แรงงาน 8.57 วันเสาร์เกิดเหตุสูงสุด ร้อยละ 31.43 เวลาที่เกิดเหตุส่วนใหญ่เป็นเวลา 14.00-17.00 น. สถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่เป็นนา ไร่ สวน ดังนั้นจากรายงานดังกล่าว เห็นว่าถ้าประชาชนมีความรู้ในการป้องกันตนเอง หรือไม่ประมาทก็จะไม่เจ็บป่วย พิการ หรือเสียชีวิต จึงได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรคให้ความรู้กับประชาชนในการป้องกันตนเองจากฟ้าผ่า
    ด้าน ดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังผู้บาดเจ็บรุนแรงจากฟ้าผ่านั้นผู้เสียชีวิต 5 ปี มี 46 ราย เป็นข้อมูลผู้เสียชีวิตจากผู้ป่วยที่มารักษาตัวจากฟ้าผ่าที่โรงพยาบาลเพียง 33 แห่งเท่านั้น ยังมีผู้ถูกฟ้าผ่าที่เสียชีวิตทันที หรือบางรายบาดเจ็บไม่รุนแรง ไม่ได้มาโรงพยาบาลอีกเป็นจำนวนมาก ผู้ถูกฟ้าผ่ามีโอกาสเสียชีวิตร้อยละ 30 โดยมีสาเหตุจากหัวใจหยุดเต้นด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง ช็อกทันที ฟ้าผ่าเกิดจากประจุไฟฟ้าจากก้อนเมฆวิ่งลงสู่พื้นดินและจะผ่าลงในจุดที่สูงสุดของสถานที่นั้นๆ แม้บางครั้งฟ้าผ่าไม่ถูกคน แต่ก็เป็นอันตรายได้หากอยู่ใกล้สิ่งที่ฟ้าผ่า กระแสไฟจากสิ่งที่ฟ้าผ่าอาจพุ่งเข้าสู่คนที่อยู่ใกล้ได้หลายทาง เช่น ผ่านเสื้อผ่าหรือตัวที่เปียก โลหะที่สวมใส่ โครงเสื้อชั้นใน ลวดจัดฟัน สร้อยโลหะ อุปกรณ์โลหะที่ใช้ทำงาน มือถือ เป็นต้น ดังนั้น การป้องกันอันตรายจากการถูกฟ้าผ่าทำได้ดังนี้
    1.หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ในขณะฝนตกฟ้าคะนอง หรือสวมใส่อุปกรณ์ที่เป็นสื่อนำไฟฟ้าทั้งทองคำ เงินทองแดง นากและสร้อยโลหะ หากจำเป็นต้องอยู่ในที่โล่งแจ้งควรนั่งหมอบ ย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นให้มากที่สุด แต่ไม่ควรนอนราบกับพื้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ต้นไม้สูง เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา เพราะฟ้าผ่าลงที่สูง
    2.ห้ามอยู่ใกล้หรือใช้อุปกรณ์ที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น เครื่องมือการเกษตร โทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์สาธารณะ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นแผ่นโลหะ สายอากาศและแบตเตอรี่ที่เป็นตัวล่อไฟฟ้าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าได้
    3.ควรหลบในอาคารที่ติดตั้งสายล่อฟ้า จะช่วยป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าได้ แต่ไม่ควรใช้โทรศัพท์ เปิดคอมพิวเตอร์ เล่นอินเตอร์เน็ต ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรือยู่ใกล้ประตู หน้าต่างที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะในขณะฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หลีกเลี่ยงการเปิดเครื่องไฟฟ้าทุกชนิด เพราะกระแสไฟจากฟ้าผ่าอาจไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสื่อไฟฟ้าต่างๆ ทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
    4.กรณีอยู่ในรถ ควรปิดกระจกทุกบาน หากฟ้าผ่าลงรถควรตั้งสติ ไม่ควรออกจากรถโดยเด็ดขาด เพราะกระแสไฟฟ้าที่ไหลตามผิวโลหะของตัวถังรถจะไหลลงสู่พื้นดิน หากออกนอกรถจะมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้าผ่าสูง การหลบอยู่ในรถจึงปลอดภัยที่สุด เพราะโครงสร้างรถยนต์เป็นโลหะนำไฟฟ้าที่ไม่ดีนัก จะช่วยป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าได้
    สำหรับการช่วยเหลือผู้ถูกฟ้าผ่าต้องช่วยอย่างรวดเร็ว โดยประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของที่เกิดเหตุ และโทรขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 พร้อมแจ้งข้อมูลผู้ถูกฟ้าผ่า และสถานที่เกิดเหตุ และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากสถานที่โดนฟ้าผ่าไปยังที่ปลอดภัย ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น ให้รีบช่วยชีวิตทันทีโดยการกดหน้าอกในตำแหน่งตรงกลางให้ได้ประมาณ 100 ครั้งต่อนาที ลึกลงไปอย่างน้อย 2 นิ้ว จนกว่าหัวใจจะเต้น คลำชีพจรได้ หรือมีหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินมาช่วยแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร. 0 2590 3333

    แหล่งข่าวโดย...กลุ่มประชาสัมพันธ์และข่าว สำนักงานเลขานุการกรม กรมควบคุมโรค
     
  11. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    เตือนภัย "บารากู่" พิษร้าย รุนแรงกว่าบุหรี่ถึ

    "บารากู่" หรือที่ชาวอาหรับเรียกว่า ฮุกก้า (Hookah) หรือ ชีช่า (Sheesha) เป็นอุปกรณ์สำหรับการสูบยาเส้นชนิดหนึ่งที่มีมานานแล้ว ซึ่งนำเข้าจากประเทศอียิปต์หรืออินเดีย นิยมใช้อุปกรณ์ชิ้นเดียว ล้อมวงกันสูบหลาย ๆ คน ซึ่งปัจจุบันการสูบ "บารากู่" กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ด้วยความเชื่อที่ว่า การสูบบารากู่ให้ผลเสียน้อยกว่าการสูบบุหรี่ โดยมักเสพในสถานบันเทิง ผับ บาร์ หรือแม้กระทั่งตามชุมชนต่าง ๆ
    การสูบบารากู่ จะใช้เครื่องมือการสูบที่เป็นภาชนะเนื้อโลหะ รูปทรงคล้ายตะเกียงอาหรับ ทรงสูงปากแคบ ส่วนบนสุดใช้วาง ยาเส้นที่เรียกว่า มาแอสเซล (MU'ASSEL) ซึ่งเป็นส่วนผสมของใบยาสูบกับสารที่มีความหวานอย่าง น้ำผึ้ง กากน้ำตาล ผลไม้หรือดอกไม้ตากแห้ง รวมไปถึงสมุนไพรต่าง ๆ ทำให้เกิดกลิ่นหอม ซึ่งมักจะห่อไว้ในกระดาษฟอยล์ โดยจะใช้ถ่านหรือความร้อนจากไฟฟ้าในการเผายาเส้น ควันจากการเผาไหม้จะผ่านน้ำมายังส่วนล่างสุด ซึ่งด้านล่างจะเป็นกระเปาะใส่น้ำ เมื่อมีการทำความร้อน ยาสูบจะเกิดควันแล้วลอยผ่านมาทางน้ำ และผ่านไปยังท่อที่ต่อกับส่วนปากดูดเพื่อใช้ในการดูดควัน ซึ่งผู้สูบเชื่อว่าจะสามารถกรองเอาของเสียต่าง ๆ เอาไว้ได้
    วิธีการที่สูบยาเส้นผ่านน้ำนี่เอง ทำให้ผู้สูบเข้าใจผิดว่า จะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเวอร์จีเนียแห่งอังกฤษ ได้พิสูจน์แล้วพบว่า ยาเส้นประเภทสูบผ่านน้ำอย่างบารากู่นั้น มีอันตรายมากกว่าการสูบบุหรี่ทั่วไป เพราะมีสารนิโคติน และสารทาร์จำนวนมากกว่า อีกทั้งการสูบผ่านน้ำและการผสมกับผลไม้กลิ่นต่าง ๆ จะทำให้ความเข้มข้นของควันจางลง ทำให้ผู้สูบ สูบได้ลึกมากขึ้น และจำนวนมากขึ้น ถ้าใช้เวลาสูบ
    นาน 45 นาที จะได้รับสารทาร์เป็น 36 เท่า คาร์บอนมอนนอกไซด์เป็น 15 เท่า และนิโคตินเป็น 70 เท่า เมื่อเทียบกับการสูบบุหรี่ 1 มวน ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดแข็งตัว และโรคเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ ผู้สูบจะมีอาการปวดศีรษะ ตามองเห็นภาพไม่ชัด ใจสั่น เวียนศีรษะ และมีระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดมากกว่าผู้ที่สูบบุหรี่ทั่วไป อีกทั้ง ยังอาจกระตุ้นให้เกิดหลอดลมตีบตัวในผู้ป่วยโรคหอบหืด และเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จึงเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าทำให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ผิดปกติอีกด้วย
    ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สิ่งที่ น่าเป็นห่วงในขณะนี้ คือ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบารากู่ ที่สามารถช่วยเลิกสูบบุหรี่ ช่วยฟอกปอดให้สะอาดขึ้น และแก้โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ เช่น โรคแพ้อากาศ หรือไซนัส
    รวมถึงช่วยกระตุ้นอารมณ์เพศ จึงเป็นเหตุจูงใจให้กลุ่มวัยรุ่นหันมาสูบบารากู่ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นและนักศึกษา ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ไม่จริง อย่างแน่นอน เพราะการสูบบารากู่มีพิษภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปถึง 6 เท่า หากสูบ ทุกวันจะเท่ากับสูบบุหรี่วันละ 10 มวน อีกทั้งยังมีโอกาสจะติดโรคร้ายใน ช่องปาก และโรคเหงือก และที่สำคัญคือ บารากู่ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการ เสพและขายยาเสพติดอีกด้วย ซึ่งปัญหานี้ เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด ก่อนที่การสูบบารากู่จะกลายมาเป็นวัฒนธรรมที่ผิดของหมู่วัยรุ่น และ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ถูกซึมซับจนกลายเป็นปัญหาที่ยากจะอธิบดีกรมควบคุมโรคแก้ไขได้
    อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ช่องทางให้คำปรึกษาในการ เลิกบุหรี่มีหลายช่องทาง โดยเฉพาะ "สายเลิกบุหรี่ 1600" ที่ให้บริการแก่ประชาชนที่ต้องการขอคำปรึกษาในการเลิกบุหรี่ ซึ่งขณะนี้ ได้ยกเว้นค่าบริการในการเรียกเข้าหมายเลข 1600 โดยประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใดๆ และขอย้ำว่า "บุหรี่ เลิกยากแต่เลิกได้ แค่อาศัยความตั้งมั่นและรู้จักธรรมชาติของตนเอง"

    มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
     
  12. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    พบผู้ป่วยมะเร็งตับปีละกว่า2หมื่นรายชูN-PAPช่วยยืดชีวิต

    เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรม ประธานมูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวในการแถลงข่าวงานขยายโครงการความช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับ N-PAP เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงยายืดชีวิตผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับ ว่า ปัจจุบันมะเร็งตับเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 1 ในผู้ชาย และอันดับ 3 ในผู้หญิง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในประเทศไทย ปัจจุบันพบผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 20,000 รายต่อปี ในปี 2553 มีผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทยจำนวน 23,410 ราย เสียชีวิต 20,334 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 55 คนต่อวัน หรือ 2 คนต่อชั่วโมง และหากไม่มีมาตรการใดเลยใน 20 ปี จะเพิ่มเป็นเสียชีวิต 70 คนต่อวัน หรือ 3 คนต่อชั่วโมง สถานการณ์ทั่วโลกจะพบมากเป็นลำดับ 8 ในทั่วโลก แต่ส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในทวีปเอเชีย ทั้งนี้ 60% ของโรคมะเร็งตับที่พบบ่อยในประเทศไทยเป็นมะเร็งเซลล์ตับ โดยมะเร็งเซลล์ตับร้อยละ 80 เกิดในประเทศกำลังพัฒนา มีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบี, ซี มักพบในระยะลุกลาม แม้ว่าจะตัดเซลล์มะเร็งออกไปก็ยังพบโรคเกิดขึ้นใหม่ใน 5 ปี หากไม่ได้รับการรักษาเลยจะมีชีวิตประมาณ 3-6 เดือน
    มะเร็งตับสามารถแบ่งได้เป็น มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ มะเร็งตับชนิดท่อน้ำดี โดยชนิดเซลล์ตับ พบได้ในทุกภาคทั่วประเทศ ส่วนมะเร็งท่อน้ำดี จะพบในภาคอีสาน ซึ่งมะเร็งชนิดเซลล์ท่อน้ำดี จะเกิดจากพยาธิใบไม้ในตับ อาหารก่อมะเร็ง เช่น ปลาร้า ไส้กรอก เป็นต้น และไม่สามารถรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัดเฉพาะที่ ส่วนมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ มีปัจจัยเสี่ยง คือ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ชนิดซี การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ การได้รับสารอะฟลาท็อกซินจากเชื้อรา โรคตับแข็ง และโรคตับอื่นๆ
    อนึ่ง มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ขยายโครงการ N-PAP เพิ่มโอกาสเข้าถึงยายืดชีวิตผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับ ด้วยการรักษาด้วยยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเป้าหมาย (Targeted Therapy) ซึ่งดำเนินการมา 4 ปีติดต่อกัน โดยผู้ป่วยจะเสียค่ายาใน 3 ครั้งแรก อัตราเริ่มต้น 2-6 แสนบาท จากค่าใช้จ่ายเต็มประมาณ 2.4 ล้านบาทต่อปี จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ผู้ป่วยต้องผ่านการวินิจฉัยของแพทย์

    คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
     
  13. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ข่าวนี้นานแล้วค่ะ แต่เห็นว่าเป็นปัญหาน่าสนใจ และมีแนวโน้มจะมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว

    วัยรุ่นไทยท้องไม่พร้อมอันดับ 2 ของอาเซียน

    โดย piyawan-on | วันที่ 17 มกราคม 2556

    [​IMG]

    วัยรุ่นไทยท้องไม่พร้อมอันดับ 2 ของอาเซียน หรือประมาณ 80% ของวัยรุ่นทั้งหมด เผยปี 2554 พบมีเด็กวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 370 คน และในอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรวันละ 10 คน เพิ่มขึ้นกว่าปี 53 เท่าตัว 70% ใช้บ้านตัวเองและบ้านเพื่อนเป็นรังรัก ส่วนใหญ่คุมกำเนิดไม่ถูกวิธี ใช้ถุงยางแค่ 55% คิดว่าร่วมเพศครั้งเดียวไม่ท้อง เข้าไม่ถึงบริการคุมกำเนิด เพราะเจ้าหน้าที่มีทัศนคติไม่ดีกับวัยรุ่น สธ.เร่งสร้างยุทธศาสตร์แก้ปัญหา ตั้งเป้า 15-19 ปี คลอด 50 คนต่อ 1 พันคนในปี 57

    นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น และอายุเฉลี่ยที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ประมาณ 15-16 ปี ทั้งนี้ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มัธยมศึกษาปีที่ 5 และ ปวช.ปี 2 เมื่อปี 2550-2554 พบว่า วัยรุ่น 70% ใช้บ้านเพื่อนหรือบ้านของตัวเองในการมีเพศสัมพันธ์ และมีเพียง 55.1% เท่านั้นที่ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกัน เพราะคิดว่าขัดขวางความรู้สึกทางเพศ

    รมช.สธ.กล่าวต่อว่า ส่วนใหญ่ใช้วิธีคุมกำเนิดที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์มารับประทาน รวมไปถึงไม่ได้ป้องกัน เนื่องจากขาดความรู้ เข้าใจผิดเกี่ยวกับการร่วมเพศ คิดว่าร่วมเพศครั้งเดียวไม่ตั้งครรภ์ และไม่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสตั้งครรภ์เมื่อใด นอกจากนี้วัยรุ่นยังไม่กล้าไปขอรับบริการคุมกำเนิด เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการมีทัศนคติไม่ดีต่อวัยรุ่น ทำให้วัยรุ่นแม้จะมีความรู้ แต่ก็เข้าไม่ถึงบริการคุมกำเนิด ส่งผลให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในของวัยรุ่นถึง 80% ทำให้แม่วัยรุ่นยังขาดโอกาสในการศึกษาตามมา เพราะต้องรับภาระในการดูแลบุตรและการสร้างครอบครัว

    จากสถิติสาธารณสุขในปี 2553 มีวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 240 คน เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 4 คน ส่วนปี 2554 มีเด็กวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดบุตรเฉลี่ยวันละ 370 คน และในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรวันละ 10 คน ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และสถิติดังกล่าวทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศอันดับ 2 ของเอเชียที่มีปัญหาการท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น รองจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

    “เมื่อปี 2554 ยังได้ดำเนินการเฝ้าระวังการแท้งในประเทศไทย นำร่อง 13 จังหวัดทั่วประเทศ มีโรงพยาบาลเข้าร่วม 134 แห่ง พบว่า 53% ของผู้ป่วยที่ทำแท้งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและเยาวชน และ 30% เป็นนักเรียนนักศึกษา” นพ.ชลน่านกล่าว และว่า จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันยังส่งผลให้วัยรุ่นรุ่นอายุ 10-24 ปี ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงขึ้นจากเดิม 41.5% ต่อแสนประชากรในปี 2548 เป็น 89.5% ต่อแสนประชากรในปี 2554 โดยเฉพาะโรคเอดส์

    รมช.สธ.กล่าวต่อว่า แนวทางแก้ปัญหา ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่สำนักงานกฤษฎีกาแล้ว ขณะเดียวกันยังได้ขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์พัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ.2553-2557) โดยส่งเสริมให้ครอบครัวอบอุ่น มีลูกเมื่อพร้อม สนับสนุนให้โรงเรียนมีการจัดการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้เรื่องเพศศึกษา รวมทั้งการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน

    นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้โรงพยาบาลทุกแห่งพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข เน้นการเข้าถึงการใช้บริการในกลุ่มวัยรุ่น จัดบริการสุขภาพและอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน ส่งเสริมการเข้าถึงบริการด้านอนามัยเจริญพันธุ์ในกลุ่มวัยรุ่นทั้งในและนอกสถานศึกษา ด้วยการพัฒนาระบบการให้คำปรึกษา การดูแลช่วยเหลือเบื้องต้น และระบบส่งต่อเพื่อเชื่อมโยงระหว่างชุมชน สถานศึกษา และคลินิกวัยรุ่นในโรงพยาบาล ผ่านโครงการ 1 โรงเรียน 1 โรงพยาบาล และอำเภออนามัยการเจริญพันธุ์ ตลอดจนสนับสนุนให้ทุกจังหวัดมีการจัดตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานแก้ไขปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์ระดับจังหวัด โดยเฉพาะประเด็นการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและเยาวชน มีแผนยุทธศาสตร์และนำสู่การปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสุขภาพและอนามัย การเจริญพันธุ์ในวัยรุ่นและเยาวชนอย่างยั่งยืน

    ด้าน นพ.นิทัศน์ รายยวา รองปลัด สธ. กล่าวว่า โครงการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคในประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะวัยรุ่นนั้น ได้มุ่งเน้นให้มีอนามัยกายเจริญพันธุ์ที่ดี ทั้งการป้องกันและการแก้ปัญหา รวมถึงการติดเชื้อโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ โดยเน้นจัดบริการที่เป็นมิตรกับวัยรุ่น เพื่อให้เข้าถึงบริการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ในกรณีที่หลีกเลี่ยงการมีเพศพันธ์ไม่ได้จะต้องรู้จักวิธีการป้องกันทุกครั้งโดยใช้ถุงยางอนามัย หรือรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าให้มีอัตราการคลอดทารกในวัยรุ่นหญิงอายุ 15-19 ปี ไม่เกิน 50 ต่อจำนวนวัยรุ่นหญิงกลุ่มเดียวกัน 1 พันคน ภายในปี 2557


    ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
     
  14. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    เชื่อหรือไม่? ‘ไหมข้าวโพด’ เป็นยาได้

    [​IMG]

    ข้าวโพดต้ม เมล็ดสีเหลืองทองดูน่ากิน รู้กันหรือไม่ว่า นอกจากความอร่อยของเมล็ดข้าวโพดแล้ว ไหมข้าวโพด ที่อยู่บริเวณเปลือกข้าวโพดยังมีประโยชน์ทางยาอีกด้วย

    ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า ไหมข้าวโพดใช้แก้อาการบวมได้ วิธีการคือ นำไหมข้าวโพด 50 กรัม กับเมล็ดเทียนเกล็ดหอย 15 กรัมมาต้มน้ำ แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง จะเกิดผลดีต่อร่างกาย

    ส่วนคนที่ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ อาการคือเจ็บหน้าอกที่มีลักษณะจำเพาะ กล่าวคือ เจ็บแปลบที่หน้าอกเพียงจุดใดจุดหนึ่ง (ตรงกับตำแหน่งที่มีอาการอักเสบ) อาจเป็นซีกซ้ายหรือขวาก็ได้ และเจ็บเพียงชั่วขณะที่หายใจเข้าลึก ๆ ซึ่งปอดขยายตัวเต็มที่ ทำให้ส่วนที่อักเสบเกิดการเสียดสีกัน ขณะหายใจออกหรือหายใจแบบค่อย ๆ จะไม่มีอาการเจ็บหน้าอก ถ้าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ไม่รุนแรง ก็จะไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ สำหรับอาการที่เห็นทั่วไปจะมีเหงื่อเย็น ๆ ออกจนเปียกข้างลำตัว ปรุงยาโดยนำไหมข้าวโพด 1 กิโลกรัม มานึ่ง แล้วพอกบริเวณปอด อาการจะดีขึ้น หรือนำมาต้มแล้วก็ดื่มได้ผลดีเช่นกัน

    โรคไตอักเสบจะทำให้รู้สึกเหมือนมีน้ำเย็น ๆ ในช่องท้อง, โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลัน โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ, โรคดีซ่าน, โรคตับอักเสบ มะเร็งถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ รวมทั้งนิ่วในอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งเกิดได้ทั้งในไต กระเพาะปัสสาวะ ถุงน้ำดี หรือท่อของต่อมบางชนิดในร่างกาย เช่น ต่อมน้ำลาย ตับอ่อน อาการหลัก ๆ ของโรคคือ รู้สึกปวดหนัก ๆ ในท้องเป็นบางเวลา ทำให้เกิดการอาเจียน มีไข้ และเป็นโรคดีซ่าน โดยปกติแล้วพบมากในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป วิธีแก้อาการคือ ให้นำไหมข้าวโพด 10-20 กรัม มาต้มดื่มทุกวัน อาการจะทุเลาลง แต่ถ้าเกิดบาดแผล ให้นำไหมข้าวโพดสด ๆ มาตำให้ละเอียดแล้วพอกไว้จะทำให้อาการดีขึ้น

    สรุปชัด ๆ ได้ว่า ไหมข้าวโพดมีฤทธิ์ในการห้ามเลือด ลดไข้ แก้อักเสบ และช่วยขับปัสสาวะ
     
  15. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ตื่นนอนอย่าเพิ่งรีบลุก! 5 ลำดับวิธีปลุกเซลล์ในร่างกายยามเช้า

    [​IMG]

    ตื่นปั๊บ อย่าเพิ่งพรวดพราดเด้งตัวเองขึ้นจากที่นอนค่ะ เนื่องจากเรานอนระนาบมานานทั้งคืน ต้องกระตุ้นเซลล์ในร่างกายและอวัยวะข้อต่อเสียก่อน เพื่อสุขภาพ

    เรามีลำดับวิธีปลุกเซลล์ในร่างกายยามเช้ามาฝากค่ะ ง่ายๆ สบายๆ ตามนี้เล้ย

    1. ก่อนลุกจากที่นอน ค่อยๆ ขยับนิ้วเท้า ด้วยการขยุ้มนิ้วเท้าเข้าหาฝ่าเท้า แล้วเหยียดออก ทำ 3-4 ครั้ง

    2. หมุนข้อเท้าวาดเป็นวงไปทางซ้าย แล้ววาดย้ายไปทางขวา

    3. พลิกตัวไปมา หรือเหยียดขาแขนให้รู้สึกสบายก่อน

    4. ชันตัวลุกขึ้นในท่านั่ง อย่าลุกพรวดพราด

    5. ถ้าไม่รีบร้อน ขยับแข้งขาหรือทำโยคะสบายๆ สักหน่อย

    เพียงง่ายๆ แค่นี้ ก็กระปรี้กระเปร่า ไม่งัวเงีย เรียกว่า “ตื่นเต็มตื่น” พร้อมลุยออกไปทำงานแล้ว

    ขอบคุณ: ข้อมูลจาก “ง่ายๆ สไตล์คนเมือง”
     
  16. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    จังหวัดอัลเบย์ของฟิลิปปินส์ ถูกตัดไฟทั้งจังหวัดหลังค้างค่าไฟ
    The Nation Breaking News 31 กค. 2556 13:19 น.

    จังหวัดอัลเบย์ ที่อยู่ทางภาคกลางของฟิลิปปินส์ ต้องเผชิญกับความมืดทั้งจังหวัด เนื่องจากค้างชำระค่าไฟฟ้าเป็นเงิน 4 พันล้านเปโซ หรือเกือบ 2,800 ล้านบาท

    การตัดไฟได้เริ่มตั้งแต่เมื่อวันอังคาร สร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนในจังหวัดอัลเบย์ ที่มีประมาณ 1.2 ล้านคน พนักงานบริษัทประกันสุขภาพคนหนึ่ง เปิดเผยว่า ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าว่าจะตัดไฟ ถนนทุกสายในเมืองเลกาซปี เมืองเอกของจังหวัดอัลเบย์ ตกอยู่ในความมืด ร้านค้าพากันปิดเร็ว ส่วนโรงพยาบาลและสำนักงานต่าง ๆ ก็ต้องพึ่งเครื่้องปั่นไฟ ซึ่งนายโจอี้ ซัลเซด้า ผู้ว่าราชการจังหวัดอัลเบย์ บอกว่า เขากำลังอยู่ระหว่างแก้ปัญหาและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ด้านพลังงาน เพื่อต่อไฟโดยเร่งด่วน

    เมื่อช่วงต้นปี สหกรณ์การไฟฟ้าอัลเบย์ หรือ อาเลโก ได้รับการเตือนแล้วว่า จะถูกตัดไฟถ้าไม่ยอมไปจ่ายหนี้ ซึ่งพบว่า อาเลโก ค้างชำระค่าไฟฟ้าให้กับ ฟิลิปปินส์ อิเล็คทริคซิตี้ มาร์เก็ต คอร์ปอเรชั่นหรือ พีอีเอ็มซี 69 ล้านเปโซ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ไม่นับรวมหนี้ก่อนหน้านี้ด้วย

    การที่จังหวัดทั้งจังหวัดต้องตกอยู่ในความมืด ส่งผลกระทบต่อประชาชน 160,000 ครัวเรือน และสร้างความไม่พอใจให้กับประชาคมธุรกิจ ที่ระบุว่า ทำให้ธุรกิจของพวกเขาได้รับความเสียหายมหาศาล

    นายเจอริโก เพททิลล่า รัฐมนตรีพลังงาน ระบุว่า อาเลโก เหลือหนทางแก้ปัญหาคือการวางแผนให้ชัดเจนว่า จะสามารถชำระหนี้กว่า 4 พันล้านได้อย่างไร และการตัดไฟก็เพื่อป้องกันไม่ให้หนี้ท่วมมากไปกว่านี้ และเมื่อถามว่า การตัดไฟจะสิ้นสุดเมื่อใด นายเพททิลล่า บอกว่า เขาไม่ทราบแต่เขาพยายามเจรจากับบรรดาบริษัทที่จ่ายกระแสไฟฟ้า ให้เร่งจ่ายไฟ แต่ก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ซึ่งประธานาธิบดีเบนิกโญ่ อากิโน่ ได้ทราบปัญหาตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเรื่องการตัดไฟแต่อย่างใด

    .
     
  17. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ภัยมีรอบด้าน มิจฉาชีพมีทุกรูปแบบ โดยเฉพาะภัยที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กๆ อย่างการลักพาตัว มีประกาศ “เด็กหาย” อยู่แทบทุกวัน ข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรรู้ไว้ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินแก้


    [​IMG]

    Infographics: ASTV ผู้จัดการ LIVE
    ข้อมูล : ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
     
  18. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    โฉนดที่ดินเล่มที่มีพื้นที่เล็กที่สุดในประเทศไทย

    [​IMG]

    [​IMG]

    พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน

    โฉนดที่ดินเล่มที่มีพื้นที่เล็กที่สุดในประเทศไทย อธิบายได้ว่า วันที่ 28 ต.ค. 2552 ได้มีบุคคลท่านหนึ่งมอบสมบัติอันล้ำค่า เป็นสำเนาโฉนดใส่กรอบทองพร้อมคำอธิบายให้กับพิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน โดยแจ้งความประสงค์จัดแสดงให้ประชาชนได้รับชม รวมถึงศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของโฉนดที่ดินแปลงจิ๋วฉบับนี้

    ซึ่งนับเป็นโฉนดที่ดินที่เล็กที่สุดในประเทศไทย หรืออาจจะเล็กที่สุดในโลกก็ว่าได้

    โฉนดที่ว่านั้นมีเนื้อที่ 0.1 ตารางวา ออกให้โดยสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขน ได้รังวัดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2550 ผู้เป็นเจ้าของคือ คุณศรีศักดิ์ ว่องส่งสาร อดีตรองผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

    ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ชายธง ตั้งอยู่ในซอยวัดไตรรัตนาราม ถนนรามอินทรา ซอย 8 เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ได้รับมรดกมาจากคุณแม่ถมรัตน์ ว่องส่งสาร โดยแบ่งออกมาจากที่ดินเดิม 100 ตารางวา ที่คุณแม่ได้มอบให้พี่สาว

    ส่วนแปลงจิ๋วมอบให้คุณศรีศักดิ์เป็นเจ้าของ โดยได้เก็บไว้เป็นของสะสมที่มีค่าชิ้นหนึ่ง

    หลังจากนั้นได้ไปติดต่อกับสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขน ให้รังวัดที่ดินแปลงจิ๋วอีกครั้ง จากนั้นได้สร้างแท่งคอนกรีตเท่ากับขนาดของที่ดินจริง ตามที่สำนักงานที่ดินได้รังวัดไว้ ต้องการให้ผู้สนใจไปเยี่ยมชมจะได้สังเกตเห็นได้ชัดเจน

    [​IMG]

    [​IMG]

    ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่ดินที่เล็กที่สุดในโลกมีเอกสารสิทธิในการถือครองถูกต้องตามกฎหมายที่ดิน โดยที่ดินที่เล็กที่สุดนี้มีขนาดเพียง 1 ส่วน 10 ตารางวา หรือ 0.1 ตารางวา ที่ดินเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธง มีมูลค่าราคาประเมิน 1,700 บาท (ราคาประเมินตามทางราชการกำหนด คือ ตารางวาละ 17,000 บาท)

    แต่มีมูลค่าทางจิตใจที่ประเมินค่ามิได้สำหรับผู้เป็นเจ้าของครอบครอง


    ขณะนี้โฉนดตัวจริงที่เจ้าของได้มอบให้พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน จัดแสดงอยู่ ณ ห้องจัดแสดงส่วนที่ 4 พร้อมประวัติ

    ส่วนพิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน กรมที่ดินได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์กรมที่ดินโดยเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2444 ตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และตรงกับวาระก่อตั้งกรมที่ดินครบ 100 ปี

    ดำเนินการในรูปของคณะทำงาน มี ว่าที่ ร.ต.สอาด ชมบุญ รองอธิบดีกรมที่ดินขณะนั้นทำหน้าที่ประธานคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยข้าราชการกรมที่ดินหลายฝ่ายทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้รับฟังข้อเสนอแนะ คำแนะนำ

    รวมทั้งมีการมอบสิ่งของต่างๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของกรมเพื่อเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ เช่น เครื่องมือ เครื่องใช้เกี่ยวกับงานรังวัด เอกสาร ภาพถ่าย ฯลฯ

    พิพิธภัณฑ์กรมที่ดินดำเนินการตามหลักสากลทั่วไป มีการจัดองค์กรและการจัดการที่ครบกระบวนการตามหน้าที่ สามารถเปิดบริการสู่สาธารณชนเพื่อการศึกษาค้นคว้า และเพื่อความเพลิดเพลินในการชม

    โดยเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่ต้องการจะสะท้อนเรื่องราวประวัติศาสตร์ของกรมที่ดินให้ผู้สนใจได้รับทราบ ผ่านกระบวน การเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิวัฒนาการของกรมที่ดินจากอดีตสู่ปัจจุบัน

    วิวัฒนาการเรื่องการรังวัดและทำแผนที่ วิวัฒนา การของการออกเอกสารสิทธิและนิติกรรม เป็นต้น

    พิพิธภัณฑ์กรมที่ดินตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนพระพิพิธ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ 0-2222-6131-40
     
  19. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ญี่ปุ่นสร้างหุ่นยนต์ท่องอวกาศ


    ญี่ปุ่น 2 ส.ค.-ญี่ปุ่นสร้างหุ่นยนต์อวกาศตัวแรกที่จะถูกส่งขึ้นไปบนอวกาศในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

    เจ้ามิราตะ หุ่นยนต์อวกาศตัวน้อยที่สามารถพูดและตอบโต้กับมนุษย์ได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเจ้าคิโรโบะ หุ่นยนต์อีกตัวที่เป็นเพื่อนกับเจ้ามิราตะตัวนี้ จะเดินทางขึ้นไปพร้อมกับยานอวกาศไร้คนขับ ไปสู่วงโคจรนอกโลก จากศูนย์อวกาศทาเนงะชิหมะ ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ส่วนเจ้ามิราตะจะยังอยู่บนโลกไปก่อน ชื่อของมันเป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า อนาคต ส่วนเจ้าคิโรโบะมาจากภาษาญี่ปุ่นคำว่า ความหวัง (Hope) กับหุ่นยนต์ (Robot) มันจะมีหน้าที่เป็นเพื่อนคลายเหงาให้กับโคอิชิ วากาตะ นักบินอวกาศชาวญี่ปุ่น ที่จะเป็นชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ทำหน้าที่ผู้บัญชาการบนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือ ISS ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในตอนนั้น เจ้าคิโรโบะก็จะเดินทางไปด้วย หุ่นยนต์อวกาศพูดได้ทั้งสองตัวนี้เป็นผลงานการพัฒนาและคิดค้นระหว่างบริษัทโฆษณาเดนต์สึ โตโยต้า และทีมนักประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าและเทคโนโลยี แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ต้องใช้เวลากว่า 9 เดือนในการทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่าหุ่นยนต์ตัวนี้จะสามารถใช้งานได้จริงบนอวกาศ ซึ่งรวมถึงการพูดคุยและเคลื่อนไหวร่างกายในสภาพไร้น้ำหนัก มันยังมีกล้องติดอยู่ด้านหน้า ทำให้สามารถจดจำใบหน้าและรูปภาพต่างๆ ได้ด้วย ถือเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ของญี่ปุ่น.

    -สำนักข่าวไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 สิงหาคม 2013
  20. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    'ศิริราช'เจ๋ง! ใช้ท่อลมเจาะ-ส่งเลือด

    [​IMG]

    ผศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผอ.โรงพยาบาลศิริราช แถลงข่าว “เปิดระบบปฏิบัติการเจาะ-ส่งเลือดครบวงจรด้วยท่อลมขนาดเล็ก ความเร็วสูงแห่งแรก ในเอเชีย” ว่าจากการที่โรงพยาบาลศิริราชมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาประมาณวันละ 5-6 พันคน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ต้องเข้ารับการเจาะเลือดตามที่แพทย์ประเมินอาการวันละ 1,700-2,000 คน โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมารอคิวการเจาะเลือดแต่เช้า แต่เนื่องจากห้องเจาะเลือดที่ตึกผู้ป่วยนอกอยู่ห่างจากห้องปฏิบัติการ จึงมีปัญหาการส่งเลือดล่าช้า เนื่องจากต้องใช้แรงงานคนเจาะเลือด ทำให้ผู้ป่วยต้องรอคิวนาน ดังนั้นโรงพยาบาลจึงใช้เครื่องท่อส่งลมดังกล่าวในการกระจายเลือด เพื่อทำให้การเจาะเลือดเร็วขึ้น โดยเครื่องดังกล่าวนำเข้าจากประเทศเดนมาร์ก และเบื้องต้นมีจำนวนทั้งหมด 2 เครื่อง ซึ่งความพิเศษของเครื่องดังกล่าวอยู่ที่มีใช้ที่โรงพยาบาลศิริราชแห่งเดียวในเอเชีย ดังนั้นจึงถือเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียที่ใช้ระบบดังกล่าว

    ด้าน รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รอง ผอ.รพ.ศิริราช กล่าวว่า สำหรับ เครื่องดังกล่าวเป็นท่อลมอัตโนมัติ ใช้แรงดันลมในการส่งหลอดเลือดต่อเนื่อง ด้วยความเร็วเคลื่อนที่ 7 เมตรต่อวินาที และมีระบบทำความสะอาดภายในท่อ ซึ่งมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัย และจากการวิจัยไม่พบการแปรผลการตรวจเลือด.


    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...