คำพูดของเทพเทวดาน่าเชื่อถือได้ขนาดไหน?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เฮ้งตงเอี๊ยง, 20 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    [​IMG]

    เทวดามีหิริโอตัปปะ แต่ไม่ได้แปลว่าจะโกหกไม่ได้
    แม้ว่าเทวดาจะไม่โกหก แต่บางครั้งเทวดาพูด "ลองใจ"
    การพูดลองใจนั้น ไม่ถือว่า "มุสาวาท" ครับ เป็นธรรมเนียม
    ปกติของเทวดาที่นิยมลองใจมนุษย์และสามารถทำได้


    เช่น ถอดกายทิพย์ไปพบท่าน ท่านบอกว่าอย่างนี้ๆ
    เราก็เชื่อแล้วมาคุยต่อให้คนฟังว่า ไม่ตรงกับไตรปิฎกนะ
    ฉันเนี่ยรู้มากกว่า ไตรปิฎกไม่ถูกหร้อก เชื่อฉันเถิด


    อันนี้ละครับ เทวดาเขาลองใจเรา เมื่อเรารู้แล้วเราทำไงต่อ
    ทั้งๆ ที่ญาณหยั่งรู้ของเราไม่ถึง เขาบอกเรา เราไม่ได้รู้เอง
    แต่บางครั้ง เราอาจเผลอปรามาสไตรปิฎกที่เกิดจากผู้รู้เอง
    ถึงยามนั้น ผู้ไม่ได้รู้ด้วยตัวเอง (รู้จากการถามเทวดา) หาก
    ผลั้งเผลอกล่าวขัดแย้งกับผู้รู้เอง ( พระพุทธเจ้า) ขึ้นมา
    จะว่าอย่างไร?
     
  2. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เทวดาอาจพูดจริงก็ได้ หรือพูดเพื่อลองใจเราก็ได้
    เมื่อได้ข้อมูลจากเทวดาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทันที


    บางทีก็ต้อง "โยนิโสมนสิการ" และ "อุเบกขา" เหมือนกัน
     
  3. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เมื่อาจารย์ถูกลองใจจากเทวดาเบื้องบน


    ท่านบอกอาจารย์ว่า "อีก 3 เดือนท่านจะดัง"
    แต่อาจารย์ก็ไม่ดัง และไม่มีใครรู้จัก ยากจนและลำบาก
    อาจารย์ก็ยังคงปกติ ทำงานเพื่อมวลสัตว์เช่นเดิม
     
  4. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    บางประโยคที่เทวดาลองใจ


    เช่น บอกเราว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างนี้นะ ...
    (ซึ่งผิดจากไตรปิฎกไปเลย) เราก็เอามา
    พูด คนฟังก็เชื่อว่าเรานี้มีญาณหยั่งรู้สูง
    กว่าไตรปิฎก เลิกเชื่อไตรปิฎกดีกว่ามา
    ศรัทธาท่านนี้ดีกว่า (ท่าจะเก่งกว่าไตรปิฎก)


    จริงอยู่ตำรามีคลาดเคลื่อนได้ แต่ถึงแม้คุณ
    จะรู้ว่ามันคลาดเคลื่อน แล้วพูดออกไป บางครั้ง
    กลับเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตำรา
    ทำให้คนไม่อยากอ่าน ไม่อยากเชื่อ แคลงใจ
    ในไตรปิฎกได้ นานๆ เข้าก็หันมาเชื่อผู้วิเศษ
    ดีกว่า


    ถึงตอนนี้ละ เขาเรียกว่า "เทวดาลองใจ"
    ลองใจคุณว่า คุณรู้แล้ว คุณจะตั้งตัวเป็น
    ศาสดาเองไหม หรือคุณจะรักษาไว้ซึ่งศาสนา
    เดิม แล้วหาคำอธิบายที่พอทำให้คนยังศรัทธา
    ในพระรัตนตรัยอยู่ มาอธิบายแทน...
     
  5. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    หากญาณหยั่งรู้ของคุณถูกแต่ผิดไปจากตำราควรทำอย่างไร?


    สามารถเผยแพร่ได้ตามธรรมชาติของคุณน่ะละ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำกรรม
    และรับกรรม กรรมใครกรรมมันอยู่แล้ว แต่คุณควรหาวิธีรักษาความน่าเชื่อ
    ถือ ความศรัทธาในพระรัตนตรัยไว้ด้วย เช่น ไตรปิฎกท่านกล่าวไว้ชัดเจน
    ถูกต้องแล้ว แต่.. ขยายความให้ชัดออกได้อย่างนี้ๆ เป็นต้น


    แต่หากกล่าวว่า "อย่างนี้ต่างหาก... ไตรปิฎกนั้น เขียนมากี่ปีแล้ว มันน่า
    เชื่อถือขนาดไหน..." อันนี้ละ คุณอาจกำลังกลายเป็นเจ้าลัทธิ ศาสดาใหม่
    ได้ ซึ่งเบื้องบนดูคุณอยู่ บางครั้งให้ข้อมูลคุณมากมาย ทั้งปัญญา, เงินทอง
    บริวารและอิทธิฤทธิ์ แต่... เขาแค่ทดสอบคุณเท่านั้นเอง...
     
  6. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    บางทีท่านแสร้งมาหลายรูปแบบ
    แต่ไม่ว่ามาแบบไหน ก็อย่าลืม
    "โยนิโสมนสิการ" และ "อุเบกขา"
    ให้มากๆ


    บางทีที่ท่านบอกเรา เพราะมีเหตุ
    อะไรบางอย่างเหมือนกัน
     
  7. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    ได้สิครับ


    การบำเพ็ญแต่ละท่านไม่เหมือนกัน แบบทดสอบต่างกัน
    การบำเพ็ญก่อนตรัสรู้ คือ "ด่านศาสดา" อะไรคือศาสดา
    ที่แท้จริง หากปัญญาเข้าไม่ถึง ไม่ผ่านด่านนี้ ก็ตรัสรู้ไม่
    ได้ ท่านที่ดูแลข้อสอบด่านนี้ คือ "องค์ศรีอาริยเมตตรัย"
     
  8. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    ;aa37
     
  9. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เทพอสูรพุดจริงทุกคำจริงหรือ?


    บางครั้งถอดกายทิพย์ไปพบเทพอสูร ท่านช่างน่าอลังการนัก น่าศรัทธาแท้
    ท่านก็พูดคุยกับเรา แต่... ท่านพูดคำจริงแท้แน่หรือไม่? นักการเมือง
    มันก็มีหลายระดับ คนมีบุญก็มีหลายระดับ อันนี้ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาของเรา


    [​IMG]
     
  10. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เมื่อเทพอสูรปะลองกับมนุษย์...


    วันนั้น อสูรทารุณพากองทัพอสูรมา องค์นเรศวรมาช่วย
    มนุษย์สองคนช่วยกันต่อต้านอยู่ อสูรราหูเข้าช่วยพวกอสูรด้วยกัน
    ส่วนนาจามาช่วยมนุษย์สองคนนั้นอีกแรง ... แล้วก็จบลงไป


    ต่อมา อสูรราหู ก็แทรกพลังเข้าในพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ฝาก
    ให้คนเอามาให้ดิบดี พอตรวจพบว่าเป็นพลังราหู จึงใช้พลัง
    ขับออก อสูรราหูก็อัดพลังเข้าอีก หลายรอบ สุดท้าย มนุษย์
    สองคนนั้น จึงใช้ "การผนึก" ผนึกกักพลังไว้ มนุษย์อีกคน
    จับเอาองค์พระพุทธรูปไปเก็บใต้โต๊ะหมู่บูชาแล้วอธิษฐาน
    กักขังไว้


    กรรมนั้น ทำให้มนุษย์ผู้นั้นต้องถูกกักบริเวณด้วย ...
    ต่อมาภายหลัง คนที่เอาพระพุทธรูปมาให้ร้อนตัว
    รีบมาขอเอาพระพุทธรูปคืนตอน มนุษย์สองคนไม่อยู่
    คนเฝ้าไม่รู้เลยเอาให้ไป...
     
  11. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เทพเทวดามีแบ่งพวกกันอยู่ พวกใครพวกมัน
    พวกพรหมก็นับถือฮินดู มาช่วยพุทธแต่ทำแบบพราหมณ์


    ฯลฯ ... อสูรไม่น่าไว้ใจ, เทพ พรหม ก็มีความต้องการส่วนตัวเหมือนกัน
    ใครกันละที่ทำเพื่อสรรพสัตว์จริงๆ โดยไม่มี "ความปรารถนาแอบแฝงของตน"?
     
  12. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    แป่ว ท่านถังเปล่า ช่วงนี้มาบ่อยจังเนอะ รู้จักกับอาจารย์คนพันตีนปะ ถามจริง
     
  13. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
  14. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เจ้าจักรพรรดิ...


    คำนี้ก็คือ "แบบทดสอบ" ไม่เอา ไม่ทำ ก็ไม่มีคะแนน
    แต่ถ้าทำผิด ก็ "ติดลบ" ได้ (มีกรรมต้องลงมาชำระใหม่)
     
  15. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    รู้... แล้วเราน่ะ ทำอะไร?
    ไม่รู้ ... แล้วเราน่ะ ทำอะไร?


    รู้หรือไม่ ...
    สำคัญที่ ...
    เราทำอะไร?
     
  16. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ......อืมม์..น่านับถือ...น่านับถือ......ท่านจะตอบได้ใหมว่า... ทำไมจึง..จึงต้องอาศัย ปัญญา...เป็นเครื่องผ่านด่าน..เช่นนี้...

    จะรอคอยคำตอบ... .. ขอ คารวะ ๑ จอก น้ำชา.....
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
  18. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    ธรรมดาการกำจัดกิเลสให้สิ้น (อาสวขยญาณ)
    เป็นญาณหยั่งรู้ที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน
    เป็นของไม่ยากเกินกว่าคนทุกประเภทจะเข้าถึง
    ได้ แต่สำหรับคนบางประเภทที่บำเพ็ญสูงขึ้นไป
    เช่น เหล่าพุทธภูมิ จะอาศัยเพียงแค่อาสวขยญาณ
    ไม่ได้ การเป็นพระศาสดาในศาสนาพุทธ แตกต่าง
    จากศาสนาอื่น ศาสนาอื่นมุ่งให้สาวกมีศรัทธาตรง
    และเหนี่ยวแน่นต่อองค์ศาสดา ซึ่งก็ถูกต้องเพราะ
    ยังไม่นิพพานกันง่ายๆ ก็ต้องอาศัยพึ่งพากันไป


    แต่สำหรับศาสดาในพุทธศาสนา สอนให้หลุด
    สอนให้พ้น แม้กระทั่งตัวศาสดาเองก็ไม่ให้ยึด
    มั่นถือมั่น เมื่อถึงด่านสุดท้ายแล้ว ดังนี้ การตรัสรู้
    แม้ได้ญาณหลุดพ้น ก็อาจเป็นได้แค่พระปัจเจก
    พุทธเจ้า ยังต้องบำเพ็ญญาณต่างๆ เพื่อเป็น
    ศาสดา แล้วยังต้องเข้าถึงความหมายที่แท้จริง
    ของศาสดาพุทธที่แตกต่างจากศาสดาอื่นด้วย


    นี่จึงว่าต้องใช้ปัญญาเข้าถึง เพราะปัญญาเบื้องต้น
    นั้นยังไม่เข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้นั่นเอง
     
  19. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    หากคำพูดของท่านเชื่อถือได้
    คำพูดของเทพเทวดาก็น่าเชื่อถือได้เช่นกัน
     
  20. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    เทวดามีหลายระดับ ที่เป็นสัมมาทิษฐิก็มี ที่เป็นมิจฉาทิษฐิก็มาก ที่เคารพพระก็มี ที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงก็มาก ที่มีปัญญาก็มี ที่ไร้ปัญญาก็มาก

    เทวดามาแกล้งมนุษย์ก็ได้ ยกตัวอย่าง สมัยพระโพธิสัตว์ของเราบำเพ็ญบารมีในชาติที่เกิดมาเป็นวิสัยหเศรษฐี ถูกพระอินทร์ที่เป็นพาลกลั่นแกล้งขัดขวางไม่ให้สร้างทานบารมีเพราะกลัวบารมีของพระโพธิสัตว์จะสูงกว่าจนมากลายเป็นพระอินทร์แทนตัวเอง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
    ____________________________
    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิ<WBR>สัตว์<WBR>ได้เป็นเศรษฐีนามว่าวิสัยหะ มีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ ได้เป็นผู้ประกอบด้วยศีล ๕ มีอัธยาศัยในทางทานยินดียิ่งในทาน. พระโพธิสัตว์นั้นให้สร้างโรงทานในที่ ๖ แห่ง คือที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ท่ามกลางพระนครและที่ประตูนิเวศน์ของตน แล้วยังการให้ทานให้เป็นไปอยู่ บริจาคทรัพย์วันละหกแสนทุกวัน. พระโพธิสัตว์และยาจกทั้งหลาย ย่อมมีภัตตาหารเป็นเช่นเดียวกัน.
    เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มีงอนไถอันยกขึ้นแล้ว คือไม่ต้องทำไร่ไถนา ภพของท้าวสักกะก็กัมปนาทหวั่นไหวด้วยอานุภาพของการให้ทาน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวเทวราชแสดงอาการร้อน.
    ท้าวสักกะทรงดำริว่า ใครหนอประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่ จึงทรงพิจารณาใคร่ครวญอยู่ ทรงเห็นท่านมหาเศรษฐี จึงทรงพระดำริว่า วิสัยหเศรษฐีนี้แผ่ไปกว้างขวางยิ่งนัก ให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องทำไร่ไถนา ชรอยจักให้เราเคลื่อนจากที่แล้วเป็นท้าวสักกะเสียเองด้วยทานแม้นี้ เราจักทำทรัพย์ของเขาให้ฉิบหายเสีย กระทำเศรษฐีนั่นให้เป็นคนขัดสนจนให้ทานไม่ได้ จึงบันดาลทรัพย์ทั้งปวง แม้แต่ข้าวเปลือก น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น จนชั้นที่สุด แม้ทาสและกรรมกรให้อันตรธานหายไป.
    พวกคนผู้จัดทานมาบอกท่านเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย โรงทานขาดหายไป พวกข้าพเจ้า<WBR>ไม่เห็นอะไรๆ ในที่ที่เก็บไว้. ท่านเศรษฐีกล่าวว่า พวกท่านจงนำทรัพย์สำหรับจับจ่ายไปจากที่นี้ อย่าตัดขาดทานเสียเลย แล้วเรียกภรรยามาพูดว่า นางผู้เจริญ เธอจงให้ทานดำเนินไป. ภรรยานั้นค้นหาจนทั่วเรือนไม่พบแม้แต่กึ่งมาสก จึงกล่าวว่า ข้าแต่นายดิฉันไม่เห็นอะไรๆ อื่น ยกเว้นผ้าที่เราทั้งหลายนุ่งห่มอยู่ ว่างเปล่าไปทั่วทั้งเรือน. ท่านเศรษฐีให้เปิดประตูห้องเก็บรัตนะ ๗ ก็ไม่เห็นอะไรๆ แม้ทาสและกรรมกรอื่นๆ ก็ไม่ปรากฏ ยกเว้นเศรษฐีกับภรรยา.
    มหาสัตว์เรียกภรรยามาอีกแล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญ เราไม่อาจตัดขาดการให้ทาน เธอจงค้นหาให้ทั่วนิเวศน์ พิจารณาดูของบางอย่าง. ขณะนั้น คนหาบหญ้าคนหนึ่งทิ้งเคียวคานและเชือกมัดหญ้าไว้ระหว่างประตูแล้วหนีไป. ภรรยาของเศรษฐีเห็นดังนั้น จึงได้นำมาให้โดยพูดว่า ข้าแต่นาย เว้นสิ่งนี้ ดิฉันไม่เห็นของอย่างอื่น. พระมหาสัตว์กล่าวว่า นางผู้เจริญ ธรรมดาหญ้าเราไม่เคยเกี่ยวตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แต่วันนี้ เราจักเกี่ยวหญ้านำมาขายแล้วให้ทานตามสมควร เพราะกลัวการให้ทานจะขาด จึงถือเอาเคียว คาน และเชือกออกจากพระนครไปยังที่มีหญ้าแล้วเกี่ยวหญ้าคิดว่า หญ้าฟ่อนหนึ่งจักเป็นของพวกเรา และจักให้ทานด้วยหญ้าฟ่อนหนึ่ง จึงมัดหญ้าเป็น ๒ ฟ่อน คล้องที่คานถือเอาไปขายที่ประตูเมืองได้มาสกมาแล้ว ได้ให้ส่วนหนึ่งแก่พวกยาจก แต่พวกยาจกมีมากด้วยกัน เมื่อพวกเขาร้องขอว่า ให้ข้าพเจ้าบ้าง จึงได้ให้ส่วนแม้นอกนี้ไปอีก วันนั้น จึงไม่มีอาหารพร้อมทั้งภรรยา ให้เวลาล่วงผ่านไป. โดยทำนองนี้ ล่วงไป ๖ วัน.
    ครั้นวันที่ ๗ เมื่อเศรษฐีนั้นกำลังนำหญ้ามา เป็นผู้อดอาหารมา ๗ วัน ทั้งเป็นสุขุมาลชาติ พอเมื่อแสงอาทิตย์กระทบหน้าผาก นัยน์ตาทั้งสองข้างก็พร่าพราย. เศรษฐีนั้นไม่อาจดำรงสติไว้ได้ จึงล้มทับหญ้าลงไป. ท้าวสักกะเสด็จเที่ยวตรวจดูกิริยาอาการของเศรษฐีนั้นอยู่.
    ทันใดนั้น ท้าวเธอเสด็จมาประทับยืนในอากาศ ตรัสกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
    ดูก่อนวิสัยหะ แต่ก่อนท่านได้ให้ทาน ก็เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น ความเสื่อมได้มีแก่ท่านแล้ว ต่อแต่นี้ไป ถ้าท่านจักไม่ให้ทานไซร้ เมื่อท่านประหยัดไว้ โภคะทั้งหลายก็คงดำรงอยู่ตามเดิม.
    พระมหาสัตว์ได้ฟังดำรัสของท้าวสักกะนั้นแล้วจึงถามว่า ท่านเป็นใคร. ท้าวสักกะตรัสว่าเราเป็นท้าวสักกะ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ธรรมดาท้าวสักกะ พระองค์เองให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ บำเพ็ญวัตรบท ๗ ประการ จึงถึงความเป็นท้าวสักกะ แต่พระ<WBR>องค์<WBR>ทรง<WBR>ห้ามการให้ทานอันเป็นเหตุแห่งความเป็นใหญ่ของพระองค์ ทรงทำวัตรจรรยาอันมิใช่ของอารยชน
    แล้วได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :-
    ข้าแต่ท้าวสหัสสเนตร พระอริยะทั้งหลายกล่าวถึงบาปกรรมว่า อันอารยชนถึงจะเป็นคนยากจนเข็ญใจก็ไม่ควรทำ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ ข้าพระบาทจะพึงเลิกละศรัทธา เพราะการบริโภคทรัพย์อันใดเป็นเหตุ ทรัพย์อันนั้นอย่าได้มีเลย.
    รถคันหนึ่งแล่นไปทางใด รถคันอื่นก็แล่นไปทางนั้น ข้าแต่ท้าววาสวะ วัตรที่ข้าพระบาทบำเพ็ญมาแล้วแต่ครั้งก่อน ขอจงเป็นไปเหมือนอย่างนั้นเถิด.
    ถ้ายังมียังเป็นอยู่ ข้าพระบาทก็จะให้ เมื่อไม่มีไม่เป็น จะให้ได้อย่างไร แม้ถึงจะมีสภาพเป็นอย่างนี้แล้วก็ตาม ก็จะต้องให้ เพราะข้าพระบาทจะลืมการให้ทานเสียมิได้.
    ท้าวสักกะ เมื่อไม่อาจทรงห้ามวิสัยหะเศรษฐีนั้น จึงตรัสถามว่า ท่านให้ทานเพื่อประโยชน์อะไร?
    วิสัยหะเศรษฐีทูลว่า ข้าพระบาทมิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือความเป็นพระพรหม แต่ปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ จึงให้ทาน.
    ท้าวสักกะได้ทรงสดับคำของวิสัยหะนั้นแล้วดีพระทัย จึงเอาพระหัตถ์ลูบหลัง.
    เมื่อพระโพธิสัตว์พอถูกท้าวสักกะทรงลูบหลัง ในขณะนั้นนั่นเอง สรีระทั้งสิ้นก็เต็มบริบูรณ์และด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ กำหนดเขตแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพระโพธิสัตว์นั้นก็กลับเป็นไปตามปกติอย่างเดิม.
    ท้าวสักกะตรัสว่าท่านมหาเศรษฐี จำเดิมแต่นี้ไป ท่านจงสละทรัพย์ ๑๒ แสน ให้ทานทุกวันเถิด แล้วประทานทรัพย์หาประมาณมิได้ไว้ในเรือนของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงส่งพระโพธิสัตว์แล้ว เสด็จไปเทวสถานของพระองค์.
    พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
    ภรรยาของเศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็น มารดาพระราหุล
    ส่วนวิสัยหเศรษฐีได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
    ____________________________


    เทวดามาลองใจมนุษย์ก็ได้ เช่นพระอินทร์องค์ปัจจุบันเห็นสุปปะพุทธะซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันจะมีความหนักแน่นมั่นคงเพียงใดในพระรัตนตรัย ดังต่อไปนี้
    ____________________________

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุรุษโรคเรื้อน ชื่อว่าสุปปพุทธะ ตรัสว่าธรรมเทศนานี้ว่า "จรนฺติ พาลา ทุมฺเมธา" เป็นต้น.
    ก็ในกาลนั้น สุปปพุทธกุฏฐินั่งที่ท้ายบริษัท ฟังธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บรรลุโสดปัตติผล ปรารถนาจะกราบทูลคุณที่ตนได้แล้ว แด่พระศาสดา (แต่) ไม่อาจเพื่อจะหยั่งลงในท่ามกลางบริษัท ได้ไปยังวิหารในเวลามหาชนถวายบังคมพระศาสดากลับไปแล้ว.
    ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า "สุปปพุทธกุฏฐินี้ใคร่เพื่อกระทำคุณที่ตนได้ในศาสนาของพระศาสดาให้ปรากฏ" ทรงดำริว่า "เรา<WBR>จัก<WBR>ทด<WBR>ลอง<WBR>นาย<WBR>สุปป<WBR>พุทธ<WBR>กุฏฐิ<WBR>นั้น" เสด็จไปยืนในอากาศแล้ว ได้ตรัสคำนี้ว่า "สุปปพุทธะ เธอเป็นมนุษย์ขัดสน เป็นมนุษย์ยากไร้, เราจักให้<WBR>ทรัพย์<WBR>หา<WBR>ที่สิ้นสุดมิได้แก่เธอ, เธอจงกล่าวว่า ‘พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ, พระธรรมไม่ใช่พระธรรม, พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์, อย่าเลยด้วยพระพุทธแก่เรา, อย่าเลยด้วยพระธรรมแก่เรา, อย่าเลยด้วยพระสงฆ์แก่เรา."
    ลำดับนั้น สุปปพุทธกุฏฐินั้นกล่าวกะท้าวสักกะนั้นว่า "ท่านเป็นใคร?"
    สักกะ. เราเป็นท้าวสักกะ.
    สุปปพุทธะ. ท่านผู้อันธพาล ผู้ไม่มียางอาย, ท่านเป็นผู้ไม่สมควรจะพูดกับเรา, ท่านพูดกะเราว่า ‘เป็นคนเข็ญใจ เป็นคนขัดสน เป็นคนกำพร้า’, เราไม่ใช่คนเข็ญใจ ไม่ใช่คนขัดสนเลย, เราเป็นผู้ถึงความสุข มีทรัพย์มาก,
    ทรัพย์เหล่านี้ คือ ทรัพย์คือศรัทธา ๑, ทรัพย์คือศีล ๑, ทรัพย์คือหิริ ๑, ทรัพย์คือโอตตัปปะ ๑, ทรัพย์คือสุตะ ๑, ทรัพย์คือจาคะ ๑, ปัญญาแลเป็นทรัพย์ที่ ๗, ย่อมมีแก่ผู้ใด จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม, บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่า ‘เป็นคนไม่ขัดสน’, ชีวิตของบุคคลนั้นไม่ว่างเปล่า.
    เพราะเหตุนั้น อริยทรัพย์มีอย่าง ๗ นี้ มีอยู่แก่ชนเหล่าใดแล ชนเหล่านั้นอันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่กล่าวว่า ‘เป็นคนจน.’
    ท้าวสักกะทรงสดับถ้อยคำของสุปปพุทธะนั้นแล้ว ทรงละเขาไว้ในระหว่างทาง เสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา กราบทูลการโต้ตอบถ้อยคำนั้นทั้งหมดแด่พระศาสดาแล้ว.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท้าวสักกะนั้นว่า "ท้าวสักกะทั้งร้อยทั้งพันแห่งคนทั้งหลายผู้เช่นกับพระองค์ ไม่อาจเพื่อจะให้สุปปพุทธกุฏฐิกล่าวว่า ‘พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม หรือพระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์’ ได้เลย."
    ฝ่ายสุปปพุทธะแลไปสู่สำนักของพระศาสดา มีความบันเทิงอันพระศาสดาทรงกระทำแล้ว กราบทูลคุณอันตนได้แล้วแด่พระศาสดา ลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว. ขณะนั้น แม่โคลูกอ่อนปลงสุปปพุทธะนั้น ผู้หลีกไปแล้วไม่นานจากชีวิตแล้ว.
    ____________________________

    อีกกรณีหนึ่ง เทวดานึกสนุกอยากลองทดสอบความสามัคคีของพระภิกษุสงฆ์สองรูปที่รักกันมาก จึงเนรมิตรูปสตรีให้ปรากฏเวลาที่พระรูปหนึ่งไปทำกิจธุระส่วนตัวในพุ่มไม้ ทำให้เพื่อนสหธรรมิกรังเกียจหาว่าปาราชิก เกิดทะเลาะเบาะแว้งจนสงฆ์แตกกัน แม้เทวดาจะมาขอสารภาพและขอขมาในภายหลัง แต่เทวดาก็ต้องไปตกอเวจี แม้มาเกิดในพุทธธันดรนี้ ได้บวชเป็นพระ แต่ก็ถูกเศษกรรมเล่นงานโดยมีรูปสตรีตามหลังอยู่ตลอดเวลา จนถูกมหาชนตั้งข้อหาติเตียนเอา ดีที่พระพุทธองค์ทรงทราบถึงวิบากรรมจึงแก้ไขให้ หากเป็นสมัยอื่นก็คงถูกสังคมจับสึกแน่

    หรือเมื่อคราวที่พระโมคคัลลานะไปเที่ยวบนสวรรค์ ได้พบพระอินทร์จึงถามถึงธรรมที่ได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้า แต่พระอินทร์มัวแต่ประมาทชมแต่ทิพยสมบัติ พระโมคคัลลานะจึงสำแดงเดชสั่งสอนโดยเอาหัวแม่เท้าเขี่ยเวชชยันต์ปราสาทที่ใหญ่โตให้สั่นสะเทือน

    หรือเทวดาที่อยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของอนาถบิณฑิกะเศรษฐี เห็นท่านเศรษฐียากจนลง ก็ได้ลงมาห้ามไม่ให้เศรษฐีทำทานอีกต่อไป แต่ท่านเศรษฐีเป็นพระโสดาบันจึงไม่เชื่อและขับไล่เทวดาออกไป เทวดานั้นไม่อาจอยู่ในวิมานของตนเองได้ ได้ไปยังเทวโลกของให้เทวดาผู้ใหญ่ช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีเทพองค์ใดช่วยได้สุดท้ายก็ต้องกลับมาขอขมาและทำคุฯไถ่โทษโดยไปนำสมบัติของเศรษฐีที่ประสบภัยต่างๆกลับคืนมาให้

    จะเห็นว่า ไม่ใช่ว่าเป็นเทวดาแล้วเราจะต้องเคารพหรือเชื่อฟัง ต่อให้พระอินทร์เสด็จมาเอง ก็ต้องพิจารณาก่อนว่าคำพูดหรือการกระทำนั้นว่าเข้ากันได้กับที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ถ้าตรงจึงค่อยเชื่อ ถ้าไม่ตรงก็อย่าเชื่อ ถ้าเทวดาองค์ใดบอกว่าใหญ่กว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ ไม่ว่าโดยปริยายใดๆก็ตาม พึงพิจารณาได้ว่าเป็นเทวดาพาล อย่าเชื่อ อย่าสนใจ ทางที่ดีเคารพแต่พระรัตนตรัยก็พอเพียงแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...