ความหมายของพระยาธรรมิกราช ที่แท้จริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย manforlove, 27 สิงหาคม 2012.

  1. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    ความหมายของพระยาธรรมิกราช
    พระยา:เจ้าเมือง พระผู้เป็นเจ้าแห่ง.....
    ธรรม:ผู้ครองธรรมของพระพุทธเจ้า เจ้าแห่งอรหันต์ เป็น ศาสนูปถัมภก และเป็นผู้เห็นธรรมทั้งปวงทุกศาสนา
    มิกราช:ส่วนผสมของจิตวิญญาณของกษัตริย์ของทุกประเทศในโลกและส่วนผสมของจักรพรรดิราชทุกดวงดาว(มีความรู้ในการต่างๆมากมาย)
    อิสานเรียกสั้นว่า พระยาธรรม
    ผู้เป็นใหญ่เป็นเจ้าแห่งธรรม ผู้ให้กำเนิดทุกศาสนาในจักรวาล เป็นผู้สร้างโลกและดวงดาว และให้ศาสตร์แห่งการปกครองในจักรวาล
    ดังนั้น ร่างทรงองค์เทพผู้มีญาณ และ ชนที่มีธรรมจึงเรียกว่า
    ธรรมิกชน และสหธรรมิกชน ธรรมิกชนมีความรู้มายเท่าใด นั่นคือสิ่งที่พระยาธรรมิกราช สอนให้ในภาคทิพย์
    เป็นผู้ให้ศาสตราต่างๆของจักรวาล เป็นผู้เนรมิตรศาตราในภาคทิพย์
    บัดนี้มาเกิดเป็นสามัญชน อยู่ในประเทศไทย ธรรมิกชนมีหลายพระองค์หลายขนาด เช่น จักรพรรดิ กษัตริย์ และ เสนา ขุนคลัง นี่ยังไม่รวม จิตวิญญาณ
    จากกษัตริย์ในโลกธาติอื่นมาเกิดอีกและเกิดเป็นสามัญชน
    มีคำจำกัดความว่า ยากยิ่งนัก ที่พระเจ้าจักรพรรดิราช จะได้เกิดเป็นสามัญชน เพราะมีอิสระยิ่งกว่ากษัตริย์ มีภาระน้อย มีการงานที่เป็นประโยชนืกับจักรวาลเป็นล้นพ้น แก้ไขมิติต่างให้ออกจากกองทุกข์ แอบช่วยเหลืองานของกษัตริย์ลับๆช่วยปวงเทพเทวดาจัดสรรค์สวรรชั้นต่างๆเสียใหม่ ผู้ทรงสร้างโลกและสวรรค์นั้นเอง และอย่างนี้ปวงกษัตริย์ ในโลกรู้จัก และกว่าจะยอมรับได้ ต้องใช้เวลา มีปรากฏในทุกคำภีร์ทุกศาสนาคำภีร์พุทธว่ากันว่ามีลงมาสามองค์ แต่ อันกุรอ่าน และ คำภีร์คริสบอกมีองค์เดียว หรือจะเป็นองค์เดียวในแต่ละศาสนา คือศาสนาละคนก็ไม่ทราบได้ และ กึ่งพุทธกาลเป็นพุทธประเพณีที่จะมีพระเจ้าจักรพรรดิราชมาคุ้มครองศาสนาแต่ว่าการต้อนรับของคนในประเทศที่มีกิเลส ต้อนรับด้วยความไม่เข้าใจและปัญญาน้อยสิ้นดีเพราะทุนนิยมครอบงำ
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ผู้ที่สอนผู้อื่นให้ช่วยเหลือตัวเองเป็นที่ตั้ง
    สอนวิธีปลูกข้าว
    สอนวิธีดำรงชีวิต

    เพื่อให้ผู้ฟัง สร้างด้วยตัวเอง กลายเป็นคนที่เดินได้ วิ่งได้
    ไม่ได้แบมือขอ เมื่อเป็นอย่างนี้ จากจุดเล็กๆในครอบครัวได้
    ก็จะขยายเป็นหมู่บ้าน
    เป็นตำบล
    เป็นอำเภอ
    เป็นจังหวัด
    เป็นแว่นแคว้น
    เป็นวงกว้าง ของการพึ่งตนเองได้
    พ้นจากอ้อนวอนขอ

    ผู้ที่สอนได้แบบนี้ สมควรแห่งการเป็น พระยาธรรมมิกราช
     
  3. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ผู้นำที่ปฏิบัติดี และสั่งสอนให้คนอื่นปฏิบัติดีตาม เพราะถ้าสอนแต่ทำเองไม่ได้จะกลายเป็นอวดอุตริ ผิดธรรม และมันจะพ้นไปได้อย่างไร เมื่อถูกสอนให้ไร้ปัญญามาตั้งแต่ต้น ไหว้กันเข้าไปตั้งแต่ต้นไม้ยันสัตว์พิการ ทีคนพิการไม่เห็นไหว้กันบ้างเลย ปัญญาธิกะอยู่ไหน บอกที(แซวเล่นนะศรัทธาธิกะ)
     
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระยาธรรมิกราชที่แท้จริง เป็นผู้ลงทัณฑ์สงฆ์ ชำระสงฆ์ สังคายนาพระไตรปิฎกให้สมบูรณ์เปิดเผยพระธรรมคำสั่งสอนและพระธรรมวินัยจากพระไตรปิฎกฉบับทิพย์ เป็นผู้รวบรวมสงฆ์จากทุกนิกายทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวเป็นผู้มีกายทิพย์มีอำนาจมากแม้เหล่าเวไนยในสามโลกยังมาปรากฎพร้อมถวายสาธุการช่วยกิจให้ลุล่วงยาวนานจวบจนถึงสิ้นอายุพระพุทธศาสนาในสมัยพระสมณโคดมนี้
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    "วิปัสสนากรรมฐาน คือการสำรวจจิตใจของตน
    ว่าอยู่ในระดับไหน ละเอียดอ่อนหรือว่าหยาบ สติและ
    สัมปชัญญะอยู่กับตนอยู่ตลอดหรือไม่ จะรู้ว่าตัวเองอยู่
    ในระดับภูมิธรรมไหน สำรวจความขาดตกบกพร่อง
    ของตนอยู่ทุกๆ ขณะจิตจึงดีกว่าการเพ่งโทษคนอื่น




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เมื่อประสบเหตุร้าย เราเลือกที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าวางใจให้เป็น ทีนี้จะวางใจอย่างไร

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ในพุทธทำนาย ในพระปริตร" อภยปริตร" มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของพระยาธรรมิกราช ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้น พระยาธรรม คือผู้รู้และเห็นธรรมเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงตรัสรู้เห็น แต่ไม่มีทศพลณญาน10 และมหาปุริลักษณะ บารมีก็ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับพระพุทธทั้งหลายได้ พระยาธรรมิกราชเป็นผู้มีปฎิสัมภิทาญานอย่างไม่ต้องสงสัย ชัดเจนเด็ดขาด เป็นผู้มีฤทธานุภาพ ชี้แจงแก้ไขพระไตรปิฎกที่ถูกตีพิมพ์และจารึกเขียนขึ้นได้อย่างชัดเจนตามแบบพระธรรมแม่บทฉบับทิพย์ เป็นผู้ลงทัณฑ์สงฆ์ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบททั้งหลาย โดยฐานะกรรมบันดาล เป็นผู้รู้ทิพย์ภาษาเป็นผู้ประกาศธรรมเหนือโลก เหนือลัทธิความเชื่อมายาคติต่างๆจะพีงพินาศเป็นผู้รวบรวมจักรวรรดิธรรม จากแตกแยกนิกายเป็นหนึ่งเดียว เป็นผู้ช่วยบอกทางและสรรเสริญในพระธรรมอย่างที่สุด แม้มีใครชื่นชมท่าน ท่านก็จะชี้แนะให้สรรเสริญแด่พระธรรม พระพุทธ และพระสงฆ์ผู้อยู่ในสารคุณเพียงเท่านั้น! ตราบใดที่ยังไม่ปรากฎปาติหาริ์ย3 ตราบนั้น พระยาธรรมิกราชก็จะยังไม่ปรากฎ ผู้ใดที่แสดงปาติหาริ์ย3ในพระธรรมได้ พึงสำเหนียกไว้ว่าเป็นผู้เข้าใกล้ชิดพระยาธรรม กิจต่างๆย่อมเกิดขึ้นตามการ ภาระเป็นไปตามกรรม เมื่อพระธรรมิกราชปรากฎ. อวิชาและอาสวะกิเลสทั้งมวลจะสิ้นไปในผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมาดีแล้ว. พึงเข้าใจเถิดว่า. ในยุคนี้ ผู้ที่แสดงพุทธภาษิต แค่เพียงภาษิตเดียว ก็ยังไม่สามารถแสดงได้เทียบเทียมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพและพระอรหันต์ผู้ที่อยู่ในสารคุณ ให้ผู้รับฟังได้เข้าใจแจ่มแจ้งเข้าถึงวิมุติได้เลยแม้สักผู้เดียว (เมื่อผู้เสวยวิมุติแสดงธรรม ธรรมนั้นย่อมเป็นวิมุติ). ผู้ไม่รู้จริงไม่ควรแก้อรรถที่เราแสดง เหล่าสหชาติของพระยาธรรมเป็นผู้มีบุญรู้ธรรมตามกาลเป็นอย่างยิ่ง. สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญ ขอจงเจริญในภาวะธรรมตามกาล
     
  8. al-Zarnahedeen

    al-Zarnahedeen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +50
    อิสลาม กิยามะฮฺ
    คือ วันที่คนตายถูกทำให้ฟื้นคืนในโลกอาคิราะห์เพื่อสอบสอบสวน ส่วนโลกดุนยา(โลกมนุษย์)คนตายกับคนเป็นอยู่ปะปนกัน เพื่อรอคิวของตนในการพิพากษา (ใช้ชีวิตต่อไประหว่างเข้าคิว)
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    มงกุฏของผู้ชอบธรรม ธรรมิกชน ร่างที่เน่าเปื่อยเกี่ยวกับความตายของร่างกาย
    อันเป็น มรรตัย จะถูกยกขึ้น เป็นร่างกายที่เป็นอมตะ แม้นจากความตายครั้งแรกมาสู่ชีวิต เพื่อที่ ผู้ชอบธรรม บรรดาธรรมิกชน จะไม่ตายอีกต่อไป เพื่อ ผู้ชอบธรรม ตลอดถึงบรรดาธรรมิกชนเขาจะเห็นความเปื่อยเน่าไม่ได้อีกต่อไป.
     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    " พระองค์ตรัสว่า ใครจะสอนถูกสอนผิดช่างเถิด เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง "

    "ขอนอบน้อมแด่พระธรรมอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้สั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์"

    ทศพลญาณ10


    [323] ทศพลญาณ (บาลีเรียก ตถาคตพลญาณ 10 คือ พระญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคต 10 ประการ ที่ทำให้พระองค์สามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาได้มั่นคง — the Ten Powers of the Perfect One)


    1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ฐานะและอฐานะ คือ รู้กฏธรรมชาติเกี่ยวกับขอบเขตและขีดขั้นของสิ่งทั้งหลายว่า อะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ และแค่ไหนเพียงไร โดยเฉพาะในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมเกี่ยวกับสมรรถวิสัยของบุคคล ซึ่งจะได้รับผลกรรมที่ดีและชั่วต่างๆ กัน — knowledge of instance and no instance; knowledge of possibilities and impossibilities)


    2. กรรมวิปากญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม คือ สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อน ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มองเห็นรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในกระบวนการก่อผลของกรรมอย่างชัดเจน — knowledge of ripening of action; knowledge of the results of karma)


    3. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง คือ สุคติ ทุคติ หรือพ้นจากคติ หรือปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่อรรถประโยชน์ทั้งปวง กล่าวคือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ หรือ ปรมัตถะ คือรู้ว่าเมื่อปรารถนาจะเข้าถึงคติหรือประโยชน์ใด จะต้องทำอะไรบ้าง มีรายละเอียดวิธีปฏิบัติอย่างไร — knowledge of the way that leads anywhere; knowledge of the practice leading to all destinies and all goals)


    4. นานาธาตุญาณ (ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็นเอนก คือ รู้สภาวะของธรรมชาติ ทั้งฝ่ายอุปาทินนกสังขารและฝ่ายอนุปาทินนกสังขาร เช่น รู้จักส่วนประกอบต่างๆ ของชีวิต สภาวะของส่วนประกอบเหล่านั้น พร้อมทั้งลักษณะและหน้าที่ของมันแต่ละอย่าง อาทิการปฏิบัติหน้าที่ของขันธ์ อายตนะ และธาตุต่างๆ ในกระบวนการรับรู้ เป็นต้น และรู้เหตุแห่งความแตกต่างกันของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น — knowledge of the world with its many and different elements)


    5. นานาธิมุตติกญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อธิมุติ คือ รู้อัธยาศัย ความโน้มเอียง ความเชื่อถือ แนวความสนใจ เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปต่างๆ กัน — knowledge of the different dispositions of beings)


    6. อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือ รู้ว่าสัตว์นั้นๆ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพียงใด มีกิเลสมาก กิเลสน้อย มีอินทรีย์อ่อน หรือแก่กล้า สอนง่ายหรือสอนยาก มีความพร้อมที่จะตรัสรู้หรือไม่ — knowledge of the state of faculties of beings; knowledge of the inferiority and superiority of the controlling faculties of various beings; knowledge as regards maturity of persons)


    7. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ่ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติทั้งหลาย — knowledge of defilement, cleansing and emergence in the cases of the meditations, liberations, concentrations and attainments)


    8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อันทำให้ระลึกภพที่เคยอยู่ในหนหลังได้ — knowledge of the remembrance of former existences)


    9. จุตูปปาตญาณ (ปรีชาหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรม -- knowledge of the decease and rebirth of beings)


    10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย — knowledge of the exhaustion of mental intoxicants)

    "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทรงเป็นพระสัพพัญญูคือเป็นผู้รอบรู้อย่างยิ่ง ทรงล่วงรู้ทั้งหมดแม้แต่เหตุเกิดของศาสนา ที่มาและที่ไปจุดมุ่งหมายสูงสุดของคำสอน รู้กรรม รู้เผ่า รู้พันธุ์ รู้ชาติ รู้ตำรา คำสั่งสอนของทุกศาสนาทั้งในที่ลับปกปิดสูญหายและที่แจ้งเปิดเผยไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งไปกว่ามายาคติที่สร้างภพสร้างชาติ ของผู้เป็นเจ้าลัทธิศาสนาชนชาตินั้นๆ พระธรรมคำสั่งสอนเป็นทางสายเอกเพียงทางเดียว เป็นทางตรงไม่มีสอง ไม่มีสองสถานะคือทำลายและสาปแช่งกล่าวให้ร้ายผู้อื่นผู้ใดและยังอ้างว่ามีความอ่อนโยนเมตตาอย่างบริสุทธิ์ใจ นั่นมิใช่ฐานะ!ไม่ใช่ความหมายของคำว่า"ศาสนา"

    " ศาสนาที่แท้จริงเมื่อปฎิบัติตามย่อมส่งผลให้มีความเจริญเพียงอย่างเดียว ไม่มีตกต่ำเลย และเมื่อไม่รู้ไม่ปฎิบัติตาม ศาสนาที่แท้จริงนั้นก็ไม่ได้ส่งผลลงโทษสาปแช่งดูหมิ่นให้ใครเสียหาย นี่จึงเรียกว่าได้ศาสนาอันเป็นที่พึ่งอย่างจริงแท้ "

    ฉนั้น "ศาสนาใดที่เป็นอยู่อย่างนั้น ก็ช่างเขาเถิด" ใครชอบแบบนั้นก็ถือเอาตามกันไป

    พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาไม่ได้มีบัญญัติการลงโทษและสาปแช่ง กับผู้ที่ไม่ได้เห็นตามชอบใจตามเอาไว้ อย่างเดียรถีย์เข้าใจ

    ศาสนาพุทธซึ่งเป็นพระศาสนาของ"พระธรรมราชา" คือราชาแห่งธรรมทั้งมวล ธรรมที่เป็นทางสายกลางและหลุดพ้นเพียงหนึ่งเดียวในสหโลกธาตุในอนันตริยะจักรวาล นอกจากนั้นไม่มีธรรมที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้


    ฉนั้นคำสั่งสอนของความเชื่อใดที่ยังหวังให้ผู้อื่นเสวยความสุขสบายในสรวงสวรรค์นั้นอยู่ ผู้สั่งสอนผู้อื่นให้แสวงหาความทุกข์ในรูปแห่งความสุขนั้น จึงไม่รู้จักความสุขความทุกข์อย่างแท้จริง เมื่อไม่รู้จักทุกข์ และทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ย่อมไม่ได้พบกับความสุขอันเป็นบรมสุขที่แท้จริงมีแต่ในพระนิพพานเพียงเท่านั้น เป็นความสุขอันแท้จริงที่ไม่ใช่มายาคติปรุงแต่งสร้างเสริมกันขึ้นมา เชื่อเถิดว่า " ความเบื่อหน่าย เกิดขึ้นได้ในทุกๆที่ทุกๆสถานะ ยกเว้นเพียงสถานะเดียว "คือรสแห่งวิมุติสุขอันเป็นบรมสุขของพระนิพพาน เป็นยอดโอชารส เหนือสภาวะปรุงแต่งทำเทียมทั้งมวล

    " อเสวนา จ พาลานํ ปณฑิตานญฺจ เสวนา "

    "เจ้าของกระทู้ เวลาหิว เวลาปราถนา ยามอยาก ปกติเลือกกินเลือกใช้แต่ของที่คิดว่าดีถูกใจแล้วสินะ ของที่เลวบ้างมีตำหนิคงทิ้งเลยทันที"

    จะเอาเรื่องตัณหาความทะยานอยากมาตั้งเป็นคำถามกระทู้ เพื่อให้รู้คำตอบในเรื่องระงับดับกิเลส ให้ได้อย่างที่ใจตนต้องการ วาทีสูตรนี้ แม้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ด้วยอรรถพยัญชนะ เสียง รูป ถูกต้องเพียงไร เหล่าเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายผู้ห่างไกลพระธรรม ต่อให้พบพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางได้ประโยชน์อะไร?


    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    "ผู้ไม่โกรธ ฝึกฝนตนแล้ว มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ตอบสงบ คงที่อยู่ ความโกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ แล้วผู้นั้นเป็นผู้ลามก กว่าบุคคลนั้นแหละ เพราะการโกรธตอบนั้น บุคคลไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าย่อมชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้วเป็นผู้มีสติสงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและแก่บุคคลอื่น เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย คือของตนและของบุคคลอื่น ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลาดังนี้


    "ผู้ต้อยต่ำที่สุดจะมีเกียรติสูงสุดในวันนั้น /ล่วงรู้ในสิ่งที่เร้นลับ เป็นหัวหน้าของดัจญาลและอิบลีสตัวจริงเสียงจริงนั้นด้วย แน่นอน ทั้ง๔ยุคของคัมภีร์ที่เราเห็น และได้ซิเกร์เรียกมา ควบคุมธาตุอากาศได้ จากหลักการภาวนาถ้าสงสัยไปถาม โต๊ะอีหม่ามที่ มัสยิดสวนส้มหนองแคสระบุรีดู ว่าใครใช้อำนาจให้เกิดฟ้าผ่าเด็กวัยรุ่น และดึงสายฟ้าออกมาจากตัว ถ้ายังไม่พอ ไปถามโต๊ะยีที่เก่งที่สตูลดูว่าส่องเห็นอะไรในตัวเรา แล้วหมดทางสู้ ถ้ายังไม่พอ ไปถามคนใช้ติรัจฉานวิชาที่สตูลดูซิ ว่าใครเป็นคนทำลายมนต์จนเสื่อม จนต้องมาเชือดแกะดำหน้าบ้านตนเอง " และแม้เราเป็นผู้ที่ได้พันธสัญญาจากการนำสารของญิบีลมาแล้ว เราก็ยังปฎิเสธสวรรค์อันน่าเบื่อหน่ายอย่างนั้น สวรรค์ที่น่าหดหู่ใจ สภาพจริงคือทุกข์ในรูปของความสุข มันสู้บรมสุขคือวิมุติอันไม่กำเริบคือพระนิพพานไม่ได้หรอก" เราทิ้งแล้วก็คือทิ้ง ต่อให้ได้รับเกียรติสูงสุดเราก็จะทิ้งอย่างไม่ใยดี

    จาก MUHUMMAD AKIRA มูฮัมหมัดคนสุดท้าย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...