ความจริงกับความจำ...หลวงตามหาบัว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 24 กรกฎาคม 2020.

  1. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เราทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติ ได้นับถือพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐอยู่แล้วโดยหลักธรรมชาติของธรรม ชื่อว่าเราเป็นผู้เหมาะสม ทั้งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทั้งได้นับถือพระพุทธศาสนา ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมตามกำลังความสามารถของตนๆ

    เฉพาะอย่างยิ่งทางจิตตภาวนาเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะทำให้มองเห็นเหตุผลต่างๆ ซึ่งมีอยู่ภายในตัวเราใกล้ไกลรอบด้าน จะรู้เห็นได้ด้วยภาคปฏิบัติคือ “จิตตภาวนา” การภาวนาท่านถือเป็นสำคัญในภาคปฏิบัติศาสนา ครั้งพุทธกาลจึงถือภาคปฏิบัติเป็นเยี่ยม เช่นท่านกล่าวไว้ว่า “ปริยัติ, ปฏิบัติ, ปฏิเวธ” แน่ะ!

    “ปริยัติ” ได้แก่การศึกษาเล่าเรียน

    “ปฏิบัติ” ได้แก่ศึกษาเล่าเรียนมาเป็นที่เข้าใจแล้ว ออกไปประพฤติปฏิบัติตามเข็มทิศทางเดินของธรรมที่ได้เรียนมาแล้วนั้น

    “ปฏิเวธ” คือความรู้แจ้งแทงตลอดไปเป็นลำดับๆ กระทั่งรู้แจ้งแทงตลอดโดยทั่วถึง ธรรมทั้งสามนี้เกี่ยวเนื่องกัน เหมือนเชือกสามเกลียวที่ฟั่นติดกันไว้

    คำว่า “ปริยัติ” นั้นเมื่อครั้งพุทธกาล ส่วนมากท่านเรียนเฉพาะเรียนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้ามากกว่าอย่างอื่น ผู้จะมาเป็นสาวกอรหัตอรหันต์ ส่วนมากเรียนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า เรียนอะไร? ขณะที่จะบวชท่านทรงสั่งสอน “ตจปัญจกกรรมฐาน” ให้ คือ “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ, ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา” โดยอนุโลมปฏิโลม ย้อนกันไปกันมาเพื่อความชำนิชำนาญ นี่คือท่านสอนธรรมเป็นเครื่องดำเนินของนักบวช การสอนธรรมเป็นเครื่องดำเนินนั้นแลเป็นการให้โอวาท ผู้ที่สดับฟังในขณะที่พระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทก็ได้ชื่อว่า การเรียนด้วยและการปฏิบัติไปในตัวด้วย

    การสอนว่า “สิ่งนั้นเป็นนั้น ๆ” เช่นท่านสอนว่า “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ” อย่างนี้เป็นต้น นี่คือท่านสอนธรรมซึ่งเป็นปริยัติจากพระโอษฐ์ เราก็เรียนให้ทราบว่า “เกสาคืออะไร โลมา นขา ทันตา ตโจ แต่ละอย่าง ๆ คืออะไร

    ผู้เรียนก็เรียน และปฏิบัติด้วยความสนใจใคร่รู้ใคร่เห็นจริงๆ ไม่สักว่าเรียนว่าปฏิบัติเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงใดๆ พระพุทธเจ้าทรงสอนสภาพความเป็นจริง ความเป็นอยู่และเป็นไปของสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่กับตัวเอง ตลอดถึงอาการ ๓๒ ทุกแง่ทุกมุมโดยลำดับ ให้ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นนั้น สิ่งนั้นเป็นจริงๆ ตลอดความเป็นอยู่ของสิ่งนั้น ความแปรสภาพของสิ่งนั้นว่าเป็นอย่างไร และธรรมชาตินั้นคืออะไรตามหลักความจริงของมัน ให้พิจารณาทราบอย่างถึงใจ เพื่อจะแก้ “สมมุติ” ที่เป็นเครื่องผูกพันจิตใจมานาน

    ความสมมุติของโลกว่า สิ่งนั้นเป็นนั้น สิ่งนี้เป็นนี้ ไม่มีสิ้นสุด แม้จะสมมุติว่าสิ่งใดเป็นอะไรก็ยึดถือในสิ่งนั้น รักก็ยึด ชังก็ยึด เกลียดก็ยึด โกรธก็ยึด อะไรๆ ก็ยึดทั้งนั้น เพราะเรื่องของโลกก็คือกิเลสเป็นสำคัญ มีแต่เรื่องยึดและผูกพัน ไม่มีคำว่า “ปล่อยวาง” กันบ้างเลย ความยึดถือเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์กังวล โลกจึงมีแต่ความทุกข์ความกังวลเพราะความยึดถือ ถ้าความยึดถือเป็นเหมือนวัตถุมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อแล้ว มนุษย์เราแบกหามกันทั้งโลกคงดูกันไม่ได้ เพราะบนหัวบนบ่าเต็มไปด้วยภาระความแบกหามพะรุงพะรัง ที่ต่างคนต่างไม่มีที่ปลงวาง ราวกับเป็นบ้ากันทั้งโลกนั่นแล ยังจะว่า “ดี มีเกียรติยศชื่อเสียง” อยู่หรือ? จนปราชญ์ท่านไม่อาจทนดูได้เพราะท่านสงสารสังเวชความพะรุงพะรังของสัตว์โลกผู้หา “เมืองพอดี” ไม่มี ภาระเต็มตัวเต็มหัวเต็มบ่า

    ธรรมท่านสอนให้รู้และปล่อยวางเป็นลำดับ คือปล่อยวางภาระความยึดมั่นถือมั่นซึ่งเป็นภาระอันหนัก เพราะความลุ่มหลงพาให้ยึด พาให้แบกหาม ตนจึงหนักและหนักตลอดเวลา ท่านจึงสอนให้รู้ทั่วถึงตามหลักธรรมชาติของมัน แล้วปล่อยวางโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการได้ยินได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้าแล้วนำไปปฏิบัติ จนกลายเป็น “ปฏิเวธ” คือความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นโดยลำดับ

    ครั้งพุทธกาลท่านสอนกันอย่างนี้เป็นส่วนมาก สอนให้มีความหนักแน่นมั่นคงในการประพฤติปฏิบัติยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด พระในครั้งพุทธกาลที่ออกบวชจากตระกูลต่างๆ มีตระกูลพระราชา เป็นต้น ท่านตั้งหน้าบวชเพื่อหนีทุกข์จริงๆ จึงสนใจอยากรู้อยากเห็นธรรมด้วยการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง ทั้งตั้งใจฟังทั้งตั้งใจปฏิบัติด้วยความจดจ่อต่อเนื่องในทางความเพียร พยายามสอนตนให้รู้เห็นธรรมก่อน แล้วจึงนำธรรมนั้นมาสั่งสอนโลก ท่านเป็น “พระธรรมกถึก” เพื่อองค์ท่านเองก่อนแล้วจึงเพื่อผู้อื่น ธรรมท่านจึงสมบูรณ์ด้วยความจริงมากกว่าจะสมบูรณ์ด้วยความจดจำ

    พระธรรมกถึกในครั้งพุทธกาลเช่น “พระปุณณมันตานีบุตร” ท่านเป็นพระธรรมกถึกเอก ซึ่งได้รับคำยกย่องชมเชยจากพระศาสดา ท่านมักยก “สัลเลขธรรม” ขึ้นแสดง กล่าวถึงเรื่องควรขัดเกลากิเลสทั้งนั้น นับแต่ “อัปปิจฉตา” ความมักน้อยขึ้นไปจนถึง “วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ” คือความรู้แจ้งแห่งการหลุดพ้น

    พระพุทธเจ้าท่านทรงยกย่องให้เป็น “เอตทัคคะ” ในทางธรรมกถึก เรียกว่าเป็นธรรมกถึกเอก พระปุณณมันตานีบุตรนั้นท่านเป็นพระอรหันต์ด้วย รู้แจ้งสัจธรรมทั้งสี่โดยตลอดทั่วถึงด้วย เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความสัตย์ความจริง ซึ่งออกมาจากจิตใจของท่านที่รู้แล้วจริงๆ ไม่ได้สอนแบบ “ลูบๆ คลำๆ” ตามที่เรียนมา ซึ่งตนเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะจิตใจยังไม่สัมผัสธรรม เป็นแต่เรียนจำชื่อของธรรมได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงอธิบาย “สัลเลขธรรม ทั้ง ๑๐ ประการนี้ได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อนจากหลักความจริง เนื่องจากจิตท่านทรงหลักความจริงไว้เต็มส่วน นี่ธรรมกถึกที่เป็นอรรถเป็นธรรม เป็นความถูกต้องดีงามแท้เป็นอย่างนั้น

    ส่วนธรรมกถึกอย่างเราๆ ท่านๆ ที่มีกิเลสนั้นผิดกัน แต่ไม่ต้องกล่าวไปมากก็เข้าใจกัน เพราะต่างคนต่างมี ต่างคนต่างรู้ด้วยกัน ครั้งพุทธกาลก็ยังมีอยู่บ้างที่ท่านเรียนจนจบพระไตรปิฎก และมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมากนับร้อยๆ ที่ไปเรียนธรรมกับท่าน ท่านสอนทางด้านปริยัติถ่ายเดียว พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ

    ที่ทรงตำหนินั้นด้วยทรงเห็นอุปนิสัยของท่านสมควรแก่มรรคผลนิพพาน ท่านชื่อ “โปฐิละ” ซึ่งแปลว่า “ใบลานเปล่า” ท่านเป็นผู้ทรงธรรมไว้ได้มากมายจนเป็น “พหูสูต” แต่ไม่ใช่ “พหูสูต”อย่างพระอานนท์ ท่านเป็นผู้เรียนมาก มีลูกศิษย์บริวารตั้ง ๕๐๐ ท่านมีอุปนิสัยอยู่ แต่ก็ลืมตัวในเวลานั้น เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงแสดงเป็นเชิงตำหนิ เพราะพระพุทธเจ้าทรงตำหนิใครก็ตาม ทรงสรรเสริญใครก็ตาม ต้องมีเหตุมีผลโดยสมบูรณ์ในความติชมนั้นๆ

    เมื่อท่านทรงตำหนิ “พระโปฐิละ” พระโปฐิละจึงเกิดสังเวชสลดใจ ขณะที่เข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่นั่นแหละว่า “โปฐิละ” ก็แปลว่า “ใบลานเปล่า” เรียนเปล่าๆ ได้แต่ความจำเต็มหัวใจ ส่วนความจริงไม่สนใจ

    อย่างท่านอาจารย์มั่นท่านเคยเทศน์อย่างนั้นนี่! “เรียนเปล่าๆ”, “หัวโล้นเปล่าๆ” “กินเปล่าๆ นอนเปล่าๆ” ย้ำไปย้ำมาจนผู้ฟังตัวชาไปโน่นแน่ะ ท่านว่าไป ท่านแปลศัพท์ของท่าน “โปฐิละ” องค์เดียวนี่แหละ คือท่านสอนพระลูกศิษย์ของท่าน ท่านยกเอาเรื่องพระโปฐิละมาแสดง ให้เป็นประโยชน์สำหรับพระผู้ที่ฟังอยู่ในขณะนั้น ซึ่งมุ่งถือเอาประโยชน์อยู่แล้วอย่างเต็มใจ

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงเรียก “พระโปฐิละ” ว่า “โปฐิละ เข้ามา,โปฐิละ จงไป,อะไรๆ ก็โปฐิละๆ โปฐิละ...ใบลานเปล่า ๆ เรียนเปล่าๆ แก้กิเลสสักตัวเดียวก็ไม่ได้ เรียนเปล่าๆ กิเลสมากและพอกพูนขึ้นโดยลำดับ ท่านประทานอุบายให้พระโปฐิละรู้สึกตัว และเห็นโทษแห่งความลืมตัวมั่วสุมเกลื่อนกล่นด้วยพระเณรทั้งหลาย ไม่หาอุบายสั่งสอนตนเองบ้างเพื่อทางออกจากทุกข์ตาม “สวากขาตธรรม”

    เวลาทูลลากลับไปแล้ว ด้วยความสลดสังเวชเป็นเหตุให้ฝังใจลึก พอไปถึงวัดเท่านั้นก็ขโมยหนีจากพระทั้งหลายซึ่งมีจำนวนตั้ง ๕๐๐ องค์ด้วยกันบรรดาที่เป็นลูกศิษย์ ออกปฏิบัติกรรมฐานโดยลำพังองค์เดียวเท่านั้น ท่านมุ่งหน้าไปสู่สำนักหนึ่งซึ่งมีแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น นับแต่พระมหาเถระลงไปจนกระทั่งถึงสามเณรน้อย เป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด เหตุที่ท่านออกไปท่านเกิดความสลดสังเวชว่า “เราก็เรียนมาถึงขนาดนี้ แทนที่พระพุทธเจ้าจะทรงชมเชยในการที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาของเรา ไม่มีเลย มีแต่อะไรๆ ก็ “โปฐิละ ๆ” ไปเสียหมด ทุกอาการเคลื่อนไหวไม่มีแง่ใดที่จะทรงชมเชยเลย แสดงว่าเรานี้ไม่มีสารประโยชน์อะไรจากการศึกษาเล่าเรียนมา หากจะเป็นประโยชน์อยู่บ้างพระองค์ย่อมทรงชมเชยในแง่ใดแง่หนึ่งแน่นอน” ท่านนำธรรมเหล่านี้มาพิจารณาแล้วก็ออกประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วนความเอาจริงเอาจัง

    พอก้าวเข้าไปสู่สำนักพระมหาเถระดังที่กล่าวแล้วนั้น ก็ไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน แต่บรรดาพระอรหันต์ท่านฉลาดแหลมคมอย่างลึกซึ้ง ฉลาดออกมาจากหลักธรรมหลักใจที่บริสุทธิ์ เวลาพระโปฐิละเข้าไปมอบกายถวายตัวต่อท่าน ท่านกลับพูดถ่อมตัวไปเสียทุกองค์ เพื่อจะหลีกเลี่ยงภาระหนักนั้น เพราะราวกับสอนพระสังฆราช หรือจะเป็นอุบายอะไรก็ยากที่จะคาดคะเนท่านได้ถูก

    ท่านกลับพูดว่า “อ้าว! ท่านก็เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาจนถึงขนาดนี้แล้ว เป็นคณาจารย์มาเป็นเวลานาน จะให้พวกผมสอนท่านอย่างไรได้ ผมไม่มีความสามารถจะสั่งสอนท่านได้” ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งองค์ เต็มไปด้วยความสามารถฉลาดรู้ทุกแง่ทุกมุม

    “ท่านกลับไปถามท่านองค์นั้นลองดู บางทีท่านอาจมีอุบายแนะนำสั่งสอนท่านได้”

    ท่านก็ไปจากองค์นี้แล้วไปถวายตัวต่อองค์นั้น องค์นั้นก็หาอุบายพูดแบบเดียวกัน ให้ไปหาองค์นั้น ๆๆ องค์ไหนก็พูดอย่างเดียวกันหมด จนกระทั่งถึงสามเณรองค์สุดท้าย แน่ะ! ยังพูดแบบเดียวกัน คือท่านขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์เณร เณรก็พูดทำนองเดียวกัน

    ทีนี้พระมหาเถระท่านเห็นท่าจะไม่ได้การ หรือว่าท่านจะหากลอุบายให้เณรรับพระองค์นี้ หรือให้องค์นี้เข้าไปเป็นลูกศิษย์เณรเพื่อดัดเสียบ้าง เพราะท่านเป็นพระที่เรียนมาก อาจมีทิฐิมามากก็คาดไม่ถึง คาดยาก พระมหาเถระท่านว่า “ก็ทดลองดูซิ เณร จะพอมีอุบายสั่งสอนท่านได้บ้างไหม?”

    พอทราบอุบายเช่นนั้นแล้ว พระโปฐิละก็มอบกายถวายตัวต่อสามเณรนั้นทันที แล้วเณรก็สั่งสอนด้วยอุบายต่างๆ อย่างเต็มภูมิ

    เราลองฟังซิเณรสอนพระที่เป็นมหาเถระ หาอุบายสอนด้วยวิธีต่างๆ เช่นให้พระมหาเถระไปเอาอันนั้นมาให้ ไปเอาอันนี้มาให้บ้าง แล้วให้ครองจีวร เช่นต้องการสิ่งของอะไรที่อยู่ในน้ำ ก็ให้มหาเถระครองผ้าไป ถ้าจะเปียกจีวรจริงๆ ก็ให้ขึ้นมาเสีย “พอแล้วไม่เอา” ความจริงเป็นการทดลองทั้งนั้น

    ท่านมหาเถระที่เป็นธรรมกถึกเอกนั้นไม่มีขัดขืนไม่มีทิฐิมานะ สมกับคำว่า “มอบกายถวายตัว” จริงๆ เณรใช้ให้ไปไหนไปหมด บางทีให้ไปเอาอะไรอยู่ในกอไผ่ หนามๆ รกๆ ท่านก็ไป แล้วให้ครองผ้าไปด้วยท่านก็ทำ เวลาถึงหนามเข้าจริงๆ เณรก็ให้ถอยมาเสีย “หยุดเสียอาจารย์ ผมไม่เอาละมันลำบาก หนามเกาะผ้า” เณรหาอุบายหลายแง่หลายมุมจนกระทั่งทราบชัดว่าพระองค์นั้นไม่มีทิฐิมานะ เป็นผู้มุ่งหน้าต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ แล้วเณรจึงได้เริ่มสอนพระมหาเถระด้วยอุบายต่างๆ

    เณรสอนพระมหาเถระโดยอุบายว่า “มีจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีรูอยู่ ๖ รู เหี้ยใหญ่มันอยู่ในจอมปลวกนี้ และเที่ยวออกหากินทางช่องต่างๆ เพื่อจะจับตัวเหี้ยให้ได้ ท่านจงปิด ๕ ช่องเสีย เหลือเอาไว้เพียงช่องเดียว แล้วนั่งเฝ้าอยู่ที่ช่องนั้น เหี้ยไม่มีทางออก จะออกมาทางช่องเดียวนี้ แล้วก็จับตัวเหี้ยได้”

    นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ แม้ภายในตัวของเรานี้ก็เป็นเหมือนจอมปลวกนั่นแล

    ท่านแยกสอนอย่างนี้ ท่านอุปมาอุปมัยเข้ามาใน “ทวาร ๖” คือ ตาเป็นช่องหนึ่ง หูเป็นช่องหนึ่ง จมูกเป็นช่องหนึ่ง ลิ้นช่องหนึ่ง กายช่องหนึ่ง ใจช่องหนึ่ง ให้ท่านปิดเสีย ๕ ทวารนั้น คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือไว้แต่ใจเพียงช่องเดียว แล้วให้มีสติรักษาอยู่ที่ใจแห่งเดียว ขณะรักษาใจด้วยสติ จงทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งหมดที่มาสัมผัส ทำเหมือนว่าโลกอันนี้ไม่มีเลย มีเฉพาะความรู้คือใจอันเดียวที่มีสติควบคุมรักษาอยู่เท่านั้น ไม่เป็นกังวลกับสิ่งใดๆ ในโลกภายนอกมีรูป เสียง เป็นต้น จงตั้งข้อสังเกตดูให้ดีว่าอารมณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้นที่จิตแห่งเดียว ไม่ว่าอารมณ์ดีอารมณ์ชั่ว มันจะปรากฏขึ้นที่จิตซึ่งมีช่องเดียวเท่านั้น เมื่อเรามีสติจ้องมองดูอยู่ตลอดเวลาไม่ประมาทแล้ว ก็จะจับเหี้ยคือจิต และความคิดปรุงต่างๆ ของจิตได้

    จิตจะปรุงออกในทางดีทางชั่ว อดีตอนาคต ปรุงไปรัก ปรุงไปชัง เกลียดโกรธกับอะไร ก็จะทราบได้ทุกระยะๆ เพราะความมีสติกำกับรักษาอยู่กับความรู้คือใจ ให้ทำอย่างนี้อยู่ตลอดไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยทางอารมณ์ และวิธีดัดแปลงแก้ไข

    พระเถระพยายามทำตามอุบายที่เณรสอนทุกประการ ไม่มีมานะความถือตัว พระเถระองค์นั้นเมื่อได้ฟังและปฏิบัติตามสามเณร ก็ได้สติและได้อุบายขึ้นมาโดยลำดับจนมีหลักใจ เณรเห็นว่าสมควรที่จะพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้แล้ว ก็พาพระเถระนี่ไป เณรเป็นอาจารย์ พระมหาเถระเป็นลูกศิษย์

    เมื่อไปถึงสำนักพระศาสดา พระองค์ตรัสถามว่า “เป็นอย่างไรเณร, ลูกศิษย์เธอน่ะ?” เณรกราบทูล “ดีมากพระเจ้าค่ะ ท่านไม่มีทิฐิมานะใดๆ ทั้งสิ้น และตั้งใจปฏิบัติดีน่าเคารพเลื่อมใสมาก แม้จะเป็นผู้เรียนมากและเป็นขนาดมหาเถระก็ตาม แต่กิริยาอาการที่ท่านแสดงเป็นความสนใจ เป็นความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นความสนใจที่จะรู้เห็นความจริงทั้งหลายตลอดมา” นั่น! ฟังซิเป็นยังไง นักปราชญ์สนทนากันและปฏิบัติต่อกัน ระหว่างพระมหาเถระกับสามเณรผู้เป็นอาจารย์ ซึ่งหาฟังได้ยาก

    หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนพระมหาเถระว่า “ปญฺญา เว ชายเต ภูริ” ปัญญาซึ่งมีความหนักแน่นมั่นคงเหมือนแผ่นดิน ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ใคร่ครวญเสมอ! ฉะนั้นจงพยายามทำปัญญาให้มั่นคงเหมือนแผ่นดิน และสามารถจะแทงทะลุอะไรๆ ได้ ให้เกิดขึ้นด้วยการพิจารณาอยู่เสมอ ไม่มีอะไรจะแหลมคมยิ่งกว่าปัญญา ปัญญานี้แลเป็นเครื่องตัดกิเลสทั้งมวล ไม่มีอะไรจะเหนือปัญญาไปได้ พระองค์ทรงสอน “วิปัสสนา”ในขณะนั้น โดยสอนให้แยกธาตุแยกขันธ์ อายตนะ ส่วนต่างๆ ออกเป็นชิ้นเป็นอัน อันนี้เป็นอย่างนี้ อันนั้นเป็นอย่างนั้น ให้พระมหาเถระเข้าใจเป็นลำดับๆ โดยทาง “วิปัสสนา” จากนั้นก็แสดงเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละอย่าง ๆ อันเป็นอาการของจิต สรุปธรรมที่ทรงแสดงแก่ พระโปฐิละ ก็คือ อริยะสัจสี่ ปรากฏว่าท่านได้บรรลุอรหัตผลในวาระสุดท้ายแห่งการประทานธรรม
     
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ศาสดาไหน?หนอ..สอนแบบนี้

    เว็ปนี้มีหลายศาสดานะ ขุนพระ...
     
  3. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ยกเพลงก็ดีแต่อย่ามาก รำคราญ
    กระทู้คุณก็มี เอาไปใส่กระทู้คุณนะ..!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  5. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ว่าไปเรื่อย อะฮับ

    หากไป อ่าน พระไตรปิฏกจริงๆ

    เวลา มีฆราวาส มีใครมาบวชใหม่ อยากได้อภิญญา
    อยาดได้ธรรมะ ก็จะมี คนถาม เถระบ้าง
    ถามศาสดาบ้าง ว่า

    โดยมาก ท่านสอนอะไร

    ไม่มีฮับ โลมา ปลาวาฬ ฉลาม สุนัขขา ตันโจ

    มีแต่

    สัญญา เที่ยง หรือไม่เที่ยง
    เวทนา เที่ยง หรือไม่เที่ยง

    จิต เที่ยง หรือไม่เที่ยง

    แล้วไม่มี ขันธ์6 กำหนดขึ้นมาพิเศษ
    ไม่เกิด ไม่ตาย เฮียอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  6. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ส่วน การบอกกรรมฐาน5 อันนั้นเป็นเรื่อง พระวินัย
    ว่าด้วย การบรรพชา และ การเป็น อุปปัชฌา

    ไม่ได้เกี่ยวอะไร กับ การฝึกหัด ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวธ
    แม้นแต่ กระดิ่งแมว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  7. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    พระโปฐิละ บุญมีมากขนาด โชคดีขนาด ข้อแรกเกิดร่วมสมัยกับพระศาสดา ข้อสองรู้ธรรมรู้อรรถมากแต่ก็รู้ตัวว่าไม่รู้แจ้งจริงในธรรม อันนี้เป็นข้อคิดดีมาก การรู้แจ้งเห็นจริงเป็นทิฐิที่บริสุทธิ์ เป็นอัพยากตาธรรม ทิฐิอื่นไม่อาจมองเห็น แต่คำว่าโชคดีอีกคือ ตนยังรู้ว่าด้วยทิฐิเดิมที่เป็นอกุศลทิฐิ ไม่สามารถจะข้ามพ้นหรือทำกิเลสให้อาสวะได้ โชคดีขั้นสุดคือพบเณรมี่เป็นอเสขะบุคคล ทั้งสำนักพระศาสดาท่านสอนเรื่องทิฐิ อัสมิมานะในความรู้และผลของการคิดว่าเลิศมาตั้งแต่ต้นตั้งแต่พระศาสดาจนถึงพระขีณาสพทั้งสำนักทุกองค์สอนอย่างสอดคล้องกันเป็นลำดับว่าด้วยเรื่องทิฐิและอัสมิมานะ จนถึงสามเณรที่ต่างด้วยวัยวุฒิแต่คุณวุฒิเพียบพร้อม โชคดีสุดท้ายพระโปฐิละมีบุญและปัญญาพอจะรู้ว่าต้องได้อะไรจากเณรท่าน สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    สามเณรสอนตีเหี้ย
    เพราะมั่วแต่เรียน

    มีแต่ความจำ ความจริงไม่เห็น!!
     
  9. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    ไม่รุ้จักกรรมฐาน5 อย่ามั่นใจดีกว่านังปัง ...อุบาย/เทคนิคพระที่สอนแต่ละภาคไม่เหมือนกัน ..พระเกจิไม่ได้โง่ คิดว่าพระระดับพวกนี้ไม่รุ้จัก พจ.หรอ ท่านไม่อกตัญญูพระพุทธองค์หรอก

    กรรมฐาน 5 ฝึกแบบเพ่ง กับฝึกแบบวิปัสสนา ปฎิภาคขึ้นไม่เหมือนกัน ไม่รุ้พาวเว่อร์มัน อย่ามั่นใจดีกว่า
     
  10. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เอ้า เห็นมีคนมา บอกต่อว่า

    เณรสอนโปฏิละ สอนได้ไหม

    อ่านดีๆ จิฮับ สอนไม่ได้ ไม่สำเร็จ

    พระโปฏิละ แค่รู้ว่า ฌาณวสัย ที่หายไป

    แล้ว สหทำmix ก็มาบอกว่า หลังจากนั้น
    โพฐิละ ไปถาม พระศาดาต่อ

    ก็ทรง แนะ "ปุถุปัญญา" ว่าเป็น นามรูปอย่างนึง
    เป็น อรรถสาระของ ธรรมชนิดหนึ่ง ให้พินา
    จับต้องได้เหมือน ตาเห็นรูป มีความเกิด ดับ

    ไม่ล้ำหน้า ไม่เป็นอดีต ไม่เป็นอนาคต
    ราบเป็นหน้ากลอง เหมือนแผ่นดิน

    ซึ่ง ตรงนี้ เป็นเรื่อง การภาวนาแบบ ปฏิสัมภิทามรรค

    พอกำหนดเห็น ปัญญา เกิด ดับ

    จิตก็จะเดินต่อ ไปตาม ปฏิสัมภิทาญาณ

    พระโพฐิละ เป็น พุทธเวไนยสัตว์

    คือ ต้อง ศาสดาเท่านั้นที่จะสอนได้

    อ่านธรรมะ แบบ รีบใส่ลิ้นชัก งุดโง งุดโง
    ไม่พินาให้มัน รอบครอบ ก็อย่างนี้

    ว่าไปเรื่อย
     
  11. ชื่อใหม่นะ5

    ชื่อใหม่นะ5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +346
    จริงดิ ทำไมไม่มองตรงๆไปเลยละ มองลึกไปก็ไม่เห็นนะ มองตื้นไปก็ไม่เห็น คล้ายคนเป็นโรคสายตา ต้องอาศัยตัวช่วยไหมถึงเห็นชัด ระวังเดินชนตอนะหรือตกร่องเอานะ ถ้าตาไม่เสียก็มองมันไปตรงๆนั่นแหละ
     
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    แล้วคุณมาค้านหาอะไร?
    ผมยก ทำไม?จะไม่อ่านละ
    และเห็นตัวเหี้ยใหญ่ หน้าตามันเป็นอย่างไร..

    หรืจะมาอวดรู้ ตามความรู้ตัวเอง
    หันมาสำเร็จตัวเองบางสิ

    นี้ชอบแถไปเรี่อยๆ

    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  13. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ค้าน ใคร หละ จั๊บ

    คนเป็น

    หรือ

    คน.....ไปแว้ว

    มี วิจารณาญาณ ก็ พินา เอา ฮับ
     
  14. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    คนบางคน กินข้าวเหนียวหมูปิ้ง ราชประสงค์
    เวลานั้น สมัยนั้น ไม่ละ 3บาm ข้าวเหนียวห่อ
    เบ้อเร้อ แต่นึ่งแบบ...นะ แข็งโค...!!

    กินเข้าไป จุกอก ก็ เซไปหา ศาลาในวัด

    หลับไปเพราะ ย่อยข้าวเหนียวนาน ก็เลย
    ฝันว่า ออกไปเดินเล่น

    ปฏิเวธ รู้จริง มรรควิธี เป็นยังไง ทำไม
    ออกไปเดินเล่นได้ อ๋อ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง(ดีกว่า
    กล่าวหาว่า ส้หล่น อะฮับ )

    คนมีปฏิเวธจริง

    จะออกไปเดินเล่น เขาต้องพูดได้ว่า วางจิต
    วางใจ อะไร ยังไง รำพึง รำพัน ว่ากันไป ....

    นี่ โอยยยย 30 ปีที่แล้ว ออกไปเดินเล่น

    ปฏิเวธ ของจริง ไม่ใช่ ความจำ
     
  15. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ปฏิเวธ ชอง จริง ปฏิบัติสมบุก สมบัน มาจริง

    คอยหาจังหวะ ไม่มีใครว่า ก็ มุดๆ เฉียดๆ เข้า
    ไปในใต้กุฏิบ้าง เขาไปอยู่ใน ระยะสายตาบ้าง

    พอ มี คำอะไร เทศนา มา


    โอ้ว โฮว เรานี้มีบุญ มี ปฏิเวธของจริง

    มี อรหันต์เทศนา มา ยอยก ธรรมญาณ ให้เข้า สภา


    ฮิววววววววววววววววววววววววส์
     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    คุณอยากเขียนก็เขียนไป
    เขียนในกรอบของกระทู้

    นี้มันไปยกอะไรมาก็ไม่รู้
    ขันธ์หก ศาสดาไหนสอน บอกหน่อย?!!

    _________



    และผู้เดินเกมส์คือเจ้าของกระทู้
     
  17. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    น้องๆ หนูๆ อย่า งง นะฮับ

    หาก น้องๆ หนูๆ เป็น ผู้ ประสบทุกข์
    และ สามารถ ทำการเห็น ทุกข์ (ไม่จมทุกข์)

    น้องๆ หนูๆ จะพึง ทราบว่า

    คนที่ สามารถเห็น ทุกข์ นั้น จะมี ปรกติ
    ถูก หนังสือกล่อมว่าพ้นทุกข์ ได้หรอ

    หรือว่า ต้องการหา การปฏิบัติเพื่อเข้า
    ไปสัมผัส พิสูจน์ การพ้นทุกข์ ตามจริง

    ยกตัวอย่าง น้องๆ หนูๆ อยาก ขี่จักรยาน ได้

    มันมีไหมครับ ที่ว่า อ่านหนังสือเรื่องขีจักรยาน
    ก็ทำท่าทำทาง เป็น ผู้รู้เรื่องการขี่จักรยาน

    ไม่มี

    สามัญสำนึกง่ายๆ อะไร พวกนี้ ไม่ต้องไปชี้
    ให้เสียเวลา

    ปรริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ หากไม่สิ้น สัทธาในมุนษย์

    ของพวกนี้ ไม่ต้องไปเสียเวลา แสดง
     
  18. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    อิอิ ใครกินหมูปิ้งหรือ??
    อยู่แถวไหน?

    ผมเขียนนั้งรถเมย์ไปวัดปทุมวัน
    มันแถไปกินหมู่ปิ่ง แถไปเรื่อยๆ

    ฮาสุดยอดศาดาเป่าปัง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  19. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    เรียบร้อยกะสวยงาม
    ไม่เหมาะกะไม่ถูกใจ
    แยกยากเนาะ
    ไปหาฟัวเพลงเพื่อความบ้าคลั้งของสังขารต่อดีกว่า55
     
  20. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612

แชร์หน้านี้

Loading...