ขอเชิญเป็นเจ้าภาพสร้าง พระพุทธรูป พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา ประดิษฐาน บนวิหาร

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย กนฺตวีโรภิกขุ, 28 พฤษภาคม 2015.

  1. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    เนื่องจากทางวัดได้ดำเนินการก่อสร้าง วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง(หอไตรปัญญาบารมี) โดยมีความคืบหน้าไปกว่า 70 % โดยมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าสามแสนหลวง เป็นพระประธานใหญ่ แต่ปัจจุบันนี้ ยังขาด พระอัครสาวก ทั้งสองพระองค์ ตลอดทั้ง ขอประกาศบอกบุญหาเจ้าภาพถวาย พระพุทธรูป"พระเจ้าทรัพย์แสนล้าน" หน้าตัก 19 นิ้ว มีจุดประสงค์หลัก เพื่อนำเอาองค์พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง เพื่อให้ครบองค์ โดยสมบูรณ์ ตามแบบเป้าโบราณ ล้านนา ที่ควรมีไว้ในวิหาร อุโบสถ และศาลาฯ ที่สร้างใหม่และมีพระประธานมีพระพุทธรูป แล้ว ซึ่งต้องใช้งบประมาณ ในการจัดซื้อ มีดังต่อไปนี้

    1. พระพุทธรุูป พระพุทธสิหิงค์ สิงห์ 1
    "พระเจ้าทรัพย์แสนล้าน" หน้าตัก 19 นิ้ว เนื้อทองสัมฤทธิ์ พระประธานองค์กฐินฯ นำประดิษฐานเป็นพระประธาน หน้ามุกเอก หน้าบรรณเอก ด้านหน้าหอไตรฯ วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง รับเป็นเจ้าภาพสร้างถวายพร้อมยกพระ จำนวน 50,000 บาท

    2. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางหมอบกราบ หรือปางปรึกษา จำนวน 2 องค์ 40,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    3. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางน้อมคำบัญชาการ หรือปางนั่งพับเพียบ จำนวน 2 องค์ 50,000 บาท
    เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเป็นที่ยึดเหนี่่ยวจิตใจของเหล่าพุทธศาสนิกชนที่ได้มากราบไหว้ และปฏิบัติธรรม ซึ่งเเสวงหาความสุขทางใจ อันเป็นเเนวทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงเเสวงหาซึ่งสัจจธรรมเเล้วหลุดพ้น ข้ามวังวนเเห่งวัฏฏะ สังสารได้ ด้วยเหตุอันเป็นบุญนี้ จึงขอเชิญสาธุชนผู้สนใจใฝ่ในกุศลทุกท่าน ร่วมบุญเพื่อเป็นเกียรติเเก่ วงศ์ตระกูล เเละเป็นบุญเเก่ตัวเราเองเเละคนที่เรารัก ให้ได้มีส่วนในบุญที่จะเกิดจาก การกราบไหว้ การปฏิบัติธรรม เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ บุญจากการสือต่ออายุ อุบาสก-อุบาสิกา - ผู้มาปฏิบัติธรรม เเละบุญอีกมากอันจะเกิดจากการสร้าง พระอัครสาวกทั้งสององค์ ทุกท่านสามารถติดต่อสอบถามหรือร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพ ได้ที่ โทร.095-6588988 หรือร่วมทำบุญตามเจตนาศรัทธา ผ่านทางธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขาหางดง เลขที่บัญชี 404-884017-5 ชื่อบัญชี วัดทุ่งอ้อ(สร้างพระพุทธรูป)หรือร่วมเดินทางมาทำบุญได้ที่วัด วัดทุ่งอ้อ ต.หารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่


    อานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูป

    "พระพุทธรูป" พุทธศิลป์สูงค่า สัญลักษณ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราชาวพุทธทุกคนกราบไหว้บูชา เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เกี่ยวกับความเป็นมาของการกำเนิดพระพุทธรูปนั้น ได้มีการค้นพบหลักฐานเป็นศิลปวัตถุโบราณ ณ ประเทศอินเดีย สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับยกเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีพระพุทธรูปที่จะใช้เป็นที่เคารพบูชา มีเพียงปูชนียวัตถุที่สร้างไว้เพื่อสักการะแทน เช่น พระธรรมจักรและกวางหมอบ เป็นต้น
    ต่อมาภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว จึงได้มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้น โดยในครั้งแรกนั้นเป็นฝีมือของช่าง ชาวกรีก ซึ่งเป็นชนชาติที่เข้ามายึดครองอินเดีย จากการล่าอาณานิคมของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ชาวกรีกเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างผลงานด้านประติมากรรมเป็นรูป เทพเจ้าต่างๆ
    เมื่อมาอยู่ในอินเดียเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงสร้างพระพุทธรูปที่เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ขึ้นมา เพื่อสักการบูชาการสร้างพระพุทธรูปมี 2 ขนาด คือ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปขนาดเล็ก พระพุทธรูปที่มีขนาดหน้าตัก 20 นิ้วขึ้นไป จัดว่าเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ โดยมากสร้างไว้เป็นพระประธานในโบสถ์หรือวิหารพระพุทธรูปปางต่างๆแต่กว่าจะออกมาเป็นพระพุทธรูปหนึ่งองค์ให้เราบูชาต้องใช้เวลานานเป็นเดือน เป็นปี
    อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
    อานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูป
    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว ก็จะเลิกเว้นการจองเวร
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษ เสือร้าย ไม่อาจเป็นภัย
    5. จิตใจสงบ ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล
    6.มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏเกินความคาดฝัน ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
    7. คำกล่าวเป็นสัตย์ ฟ้าดินปรานี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชาย
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาเลิศล้ำ บุญกุศลเรืองรอง
    10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็น เป็นเนื้อนาบุญอย่างอเนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริย เจ้า ปัญญาในธรรมแก่กล้า สามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ
    การจัดสร้างพระพุทธรูปและ สิ่งพิมพ์เป็นกุศลดังกล่าว ฉะนั้น ในงานวันเกิด งานมงคลต่างๆ การฉลองยศหรือตำแหน่ง การทำบุญสะเดาะเคราะห์ หรือขอพร การขอขมาลาบาปตลอดจนการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้น
    หากได้สละทรัพย์สินเงินทองเพื่อจัดกิจการดังกล่าวด้วย ก็จะเป็นผลานิสงส์สืบต่อไป.

    อานิสงส์ในการสร้างพระอัครสาวกทั้งสอง ย่อมมีอานิสงส์ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งปัญและบารมี มีปัญญาดี มีบารมีสูง มีฤทธิ์มาก มีอำนาจมาก วาสนาดี เป็นเลิศในทางปัญญาและมีฤทธิ์ มีเดช.


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2016
  2. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ประวัติพระสารีบุตร

    พระอัครสาวกผู้เป็นเลิศในทางปัญญา

    พระสารีบุตร มีชื่อเดิมว่า อุปติสสะ เป็นบุตรพราหมณ์ผู้บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และบริวาร ชื่อวังคันตะ และนางสารี เกิดในตำบลบ้านชื่อนาลกะหรือนาลันทะ ไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์

    อุปติสสมาณพเป็นเพื่อนสนิทกับโกลิตมาณพ หรือพระมหาโมคคัลลานะ ทั้งสองคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งสกุลผู้มั่งคั่งเหมือนกัน เบื่อชีวิตการครองเรือนที่วุ่นวาย จึงพาบริวารไปขอบวชอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก เรียนลัทธิของสัญชัยได้ทั้งหมด จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยสอนหมู่ศิษย์ต่อไป ทั้งสองมาณพยังไม่พอใจในคำสอนของสัญชัยปริพาชก เพราะไม่ใช่แนวทางที่ตนต้องการ จึงตกลงกันที่จะแสวงหาอาจารย์ที่สามารถชี้แนะแนวทางที่ดีกว่านี้ หากใครได้โมกขธรรม ก็ขอให้บอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

    พบพระอัสสชิ

    ในวันหนึ่งอุปติสสมาณพได้เข้าไปในกรุงราชคฤห์ได้พบพระอัสสชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ กำลังบิณฑบาต อุปติสสมาณพเห็นพระอัสสชิ มีอาการน่าเลื่อมใส มีความประทับใจ จึงเข้าไปถามพระอัสสชิว่า ผู้ใดเป็นศาสดาของท่าน พระอัสสชิตอบว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นโอรสศากยราช เป็นศาสดา อุปติสสมาณพจึงขอให้พระอัสสชิแสดงธรรม พระอัสสชิได้ออกตัวว่าพึ่งบวชได้ไม่นาน ไม่อาจแสดงธรรมโดยกว้างขวาง อุปติสสมาณพจึงขอให้พระอัสสชิแสดงธรรมสั้น ๆก็ได้ พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสมาณพ เรียกกันว่า "คาถาเยธัมมา" เพราะขึ้นต้นด้วยคำว่า "เย ธัมมา" ในสมัยโบราณ ถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา อุปติสสมาณพได้นำคำสอนของพระอัสสชิไปแจ้งให้โกลิตมาณพทราบ โกลิตมาณพก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน

    ชักชวนอาจารย์สัญชัยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

    มาณพทั้งสองได้ไปชักชวนสัญชัยปริพาชก ให้ไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน แต่สัญชัยปริพาชกไม่ยอมไป มาณพทั้งสองก็รบเร้าว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตรัสรู้เอง เป็นผู้รู้แจ้งจริง ต่อไปคนทั้งหลายจะหลั่งไหลไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วอาจารย์จะอยู่ได้อย่างไร สัญชัยปริพาชกจึงถามว่า ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก มาณพทั้งสองได้ตอบว่า "คนโง่มากกว่า" สัญชัยปริพาชกจึงกล่าวแก่มาณพทั้งสองว่า "ปล่อยให้คนฉลาดไปเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ให้คนโง่ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามาเป็นลูกศิษย์ของเรา เราจะได้รับเครื่องสักการะจากคนจำนวนมาก คนฉลาดอย่างเธอทั้งสองจะไปเป็นศิษย์ของพระสมณโคดมก็ตามใจ"

    ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

    อุปติสสมาณพและโกลิตมาณพจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่สวนเวฬุวนาราม ในกรุงราชคฤห์ ในขณะนั้นพระพุทธองค์กำลังประทับท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมาก เมื่อเห็นมาณพทั้งสองกำลังเดินมา จึงตรัสบอกภิกษุสงฆ์ว่า "ภิกษุทั้งหลาย มาณพทั้งสองคนนั้นจะเป็นอัครสาวกของเราตถาคต"

    มาณพทั้งสองได้ทูลของอุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุ พระมหาโมคคัลลานะอุปสมบทได้ 7 วัน ก็สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนพระสารีบุตรอุปสมบทได้กึ่งเดือน จึงสำเร็จพระอรหันต์ พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายการที่พระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหันต์ช้ากว่าพระมหาโมคคัลลานะว่าเป็นเพราะพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญามาก ต้องใช้บริกรรมใหญ่ เปรียบด้วยการเสด็จไปของพระราชาต้องตระเตรียมราชพาหนะและราชบริวาร จึงจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าการไปของคนสามัญ

    ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครสาวก

    ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนมาฆะ ในคืนวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาต จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวาเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์

    พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา เป็นผู้สามารถจะแสดงพระธรรมจักรและพระจตุราริยสัจให้กว้างขวางพิศดารเสมอพระองค์ เมื่อมีภิกษุมาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อจะเที่ยวจาริกไป พระพุทธเจ้ามักจะตรัสให้ภิกษุที่มาทูลลา ไปลาพระสารีบุตรก่อน เพื่อให้พระสารีบุตรได้สั่งสอน เช่นครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะ ภิกษุเป็นจำนวนมากได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลลาไปชนบท พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งให้ไปลาพระสารีบุตร แล้วทรงยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญา อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตทั้งหลาย เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

    พระสารีบุตรได้รับการยกย่องมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "พระธรรมเสนาบดี" พระสงฆ์ผู้ประกาศพระศาสนา ได้ชื่อว่าธรรมเสนา เป็นกองทัพธรรมที่ประกาศเผยแผ่ธรรม เมื่อไปถึงที่ไหน ก็ทำให้เกิดประโยชน์และความสุขที่นั่น พระพุทธเจ้าเป็นจอมธรรมเสนา เรียกว่า "พระธรรมราชา" โดยมีพระสารีบุตรเป็นพระธรรมเสนาบดี หรือแม่ทัพฝ่ายธรรม

    เป็นผู้มีความกตัญญู

    พระสารีบุตรยังได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีความกตัญญู แม้ว่าพระสารีบุตรจะได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศในทางปัญญา ท่านก็นับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เพราะพระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่ท่าน ทำให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรม และได้มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่อพระอัสสชิอยู่ในทิศใด เมื่อพระสารีบุตรจะนอน จะนมัสการไปทางทิศนั้นก่อน และหันศรีษะไปทางทิศนั้น ภิกษุที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจผิดว่าท่าานนอบน้อมทิศตามลัทธิของพวกมิจฉาทิฏฐิ ความทราบถึงพระบรมศาสดา จึงตรัสว่าพระสารีบุตรไม่ได้นอบน้อมทิศ ท่านนมัสการพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์

    ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อราธะ อยากจะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา แต่ไม่มีภิกษุรูปใดรับอุปสมบทให้ เพราะเป็นผู้ชราเกินไป ราธะเมื่อไม่ได้บวชก็มีความเสียใจมาก มีร่างกายซูบซีด ผิวพรรณไม่ผ่องใส พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นราธะ จึงตรัสถามได้ความจริงแล้ว จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะบ้าง พระสารีบุตรได้กราบทูลว่าท่านระลึกได้ ครั้งหนึ่งท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ราธะได้ถวายข้าวแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาทรงสรรเสริญว่า ท่านเป็นผู้กตัญญูดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจำได้ จึงตรัสให้ท่านรับบรรพชาอุปสมบทราธพราหมณ์

    โปรดมารดาก่อนจะนิพพาน

    พระสารีบุตรได้พิจารณาเห็นว่าอายุสังขารจวนสิ้นแล้ว ปรารถนาจะไปโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนิพพานในห้องที่ท่านเกิด ปรากฏว่านางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดา เป็นผู้ไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีความเสียใจที่พระสารีบุตรและน้อง ๆ พากันออกบวชในพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรพยายามชักจูงมารดาให้มานับถือพระพุทธศาสนาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงดำริจะไปโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้าย

    พระสารีบุตรได้กราบทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปนิพพานที่บ้านเกิด แล้วออกเดินทางกับพระจุนทะผู้เป็นน้อง กับพระที่เป็นบริวาร 500 องค์ เดินทางไปถึงหมู่บ้านนาลันทะ ซึ่งเป็นบ้านเกิด นางสารีพราหมณ์ผู้เป็นมารดา ได้จัดให้พระสารีบุตรพักในห้องที่เกิด และจัดเสนาสนะสำหรับเป็นที่อยู่ของภิกษุ 500 องค์ ที่เป็นบริวาร ในคืนวันนั้น ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 องค์ มีท้าวเวสสุวัน เป็นต้น ได้มาถวายนมัสการพระสารีบุตรซึ่งกำลังนอนอาพาธอยู่ เมื่อท้าวจาตุมหาราชกลับไปแล้ว ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ได้มาถวายนมัสการ เมื่อท้าวสักกเทวราชกลับไปแล้ว ท้าวสหัมบดีมหาพรหมก็ได้มาถวายนมัสการ มีรัศมีเปล่งปลั่งดังกองเพลิง ทำให้สว่างไสวไปทั้งห้อง เมื่อท้าวมหาพรหมกลับไปแล้ว นางสารีพราหมณีจึงได้ถามพระจุนทะเถระว่า ผู้ใดที่เข้ามาหาพี่ชายของท่าน พระจุนทะเถระจึงบอกมารดาว่า ท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาพรหม ได้มาถวายนมัสการพระสารีบุตร

    นางสารีพราหมณีได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระสารีบุตรและพระพุทธเจ้า คิดว่าพระลูกชายของเรายังเป็นใหญ่กว่าท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาพรหม พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูของพระลูกชายของเราจะต้องมีอิทธิศักดานุภาพยิ่งใหญ่ พระสารีบุตรได้รู้ว่า บัดนี้มารดาได้เกิดความปีติโสมนัสและศรัทธาในพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงเวลาที่จะเทศนาทดแทนพระคุณของมารดาและโปรดมารดาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ จึงได้เทศนาสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อจบเทศนาแล้ว นางสารีพราหมณีก็ได้พระโสดาปัตติผล

    ในเวลารุ่งเช้า พระสารีบุตรก็นิพพาน พระจุนทะเถระได้ทำฌาปนกิจสรีระพระสารีบุตร เก็บอัฐิธาตุนำไปถวายพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้าได้โปรดให้ก่อพระเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของพระสารีบุตรไว้ ณ ที่นั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นเลิศในความกตัญญูกตเวที และตรัสว่าลูกคนใดที่ทำให้พ่อแม่ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ลูกคนนั้นได้ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวทีอย่างสูง
     
  3. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    พระมหาโมคคัลลานะ

    พระอัครสาวกผู้เป็นเลิศในทางฤทธิ์

    พระมหาโมคคัลลานะ มีชื่อเดิมว่า โกลิตะ เป็นบุตรพราหมณ์ท้ายบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์ โกลิตมาณพเป็นเพื่อนสนิทกับอุปติสสมาณพ หรือ พระสารีบุตร ทั้งสองคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งสกุลผู้มั่งคั่งเหมือนกัน เบื่อชีวิตการครองเรือนที่วุ่นวาย จึงพาบริวารไปขอบวชอยู่ในสำนักสัญชัยปริพพาชก เรียนลัทธิของสัญชัยได้หมด จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยสอนหมู่ศิษย์ต่อไป ทั้งสองมาณพยังไม่พอใจในคำสอนของสัญชัยปริพาชก เพราะไม่ใช่แนวทางที่ตนต้องการ จึงตกลงกันที่จะแสวงหาอาจารย์ที่สามารถชี้แนะแนวทางที่ดีกว่านี้ หากใครได้โมกขธรรม ก็ขอให้บอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

    ได้ดวงตาเห็นธรรมและอุปสมบทเป็นภิกษุ

    เมื่ออุปติสสมาณพได้ไปพบพระอัสสชิในกรุงราชคฤห์ ได้ฟัง "พระคาถาเย ธัมมา" จากพระอัสสชิ ทำให้ได้ดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุโสดาบัน อุปติสสมาณพได้นำคำสอนของพระอัสสชิไปแจ้งให้โกลิตมาณพทราบ โกลิตมาณพก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นดียวกัน ทั้งสองมาณพได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนาราม และได้ทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ทรงอนุญาตให้อุปสมบทเป็นภิกษุ โกลิตมาณพซึ่งอุปสมบทเป็นพระมหาโมคคัลลานะ บำเพ็ญความเพียงได้ 7 วัน ก็สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนอุปติสสมาณพ ซึ่งอุปสมบทเป็นพระสารีบุตร อุปสมบทได้กึ่งเดือน จึงสำเร็จพระอรหันต์

    พระมหาโมคคัลลานะเมื่ออุปสมบทแล้วไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม ถูกนิวรณ์ คือ ถีนมิทธะ ได้แก่ ความหดหู่ซึมเซาเข้าครอบงำ มีอาการนั่งโงกง่วง พระบรมศาสดาได้เสด็จไปสอนอุบายสำหรับระงับความโงกง่วงแก่พระมหาโมคคัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะสามารถกำจัดถีนมิทธะ ความหดหู่ซึมเซาได้ พิจารณาธรรมทั้งปวงด้วยปัญญา สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครสาวก

    ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนมาฆะ ในคืนวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาต จากนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศกว่าผู้อื่นในทางฤทธิ์

    เป็นผู้มีอภิญญา

    พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกผู้มีอภิญญา ซึ่งแปลว่าความรู้ยิ่งยวด อภิญญามี ๖ ประการ ดังนี้

    ๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น คนเดียวนิรมิตเป็นหลายคนได้ ล่องหนผ่านไปในวัตถุกั้นขวางอยู่ เช่น ฝา กำแพงได้ ดำดินคือไปใต้ดินได้ เดินบนน้ำ ดุจเดินบนพื้นดินได้ เหาะไปในอากาศได้

    ๒. ทิพพโสต มีหูทิพย์ ล่วงหูของสามัญมนุษย์ ฟังเสียง ๒ อย่างได้ คือทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ได้ ทั้งเสียงไกล ทั้งเสียงใกล้

    ๓. เจโตปริยญาณ กำหนดใจคนอื่นได้ รู้ได้ซึ่งใจของบุคคลอื่นอันบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองอย่างไร

    ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ตั้งแต่ชาติหนึ่งสองชาติ จนตั้งหลายๆ กัป ว่าในชาติที่เท่านั้น ได้มีชื่อโคตร ผิวพรรณ มีอาหารอย่างนั้น ๆได้เสวยสุข ได้เสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีอายุเท่านั้น ๆ จุติจากชาตินั้นแล้ว เกิดในชาติที่เท่านั้น ได้เป็นอย่างนั้น ๆ แล้วมาเกิดในชาตินี้

    ๕. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า จุตูปปาตญาณ มีจักษุทิพย์ บริสุทธิ์ล่วงจักษุสามัญมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์กำลังจุติก็มี กำลังเกิดก็มี เลวก็มี ดีก็มี ผิวพรรณงามก็มี ผิวพรรณไม่งามก็มี ได้ดีก็มี ตกยากก็มี รู้ชัดว่าสัตว์เป็นไปตามกรรม

    ๖. อาสวักขยญาณ ทำให้อาสวะสิ้นไป รู้ชัดตามความจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกข์สมุทัย นี้ทุกข์นิโรธ คามินีปฏิปทาเหล่านี้ อาสวะนี้เหตุเกิดอาสวะนี้ ความดับอาสวะนี้ ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้จิตพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ รู้ชัดว่าชาตินี้พ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กรณียะทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอันจะต้องทำเช่นนี้ไม่มีอีก

    อภิญญา ๕ ข้อแรก เป็นโลกิยอภิญญา ข้อ ๖ สุดท้ายเป็นโลกุตตรอภิญญา ผู้ที่จะบรรลุอรหันต์ จะต้องได้โลกุตตรอภิญญา คือ อาสวักขยญาณ ได้อภิญญา ๕ ข้อแรก ยังไม่บรรลุพระอรหันต์

    ทิพพจักขุของพระมหาโมคคัลลานะ

    เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันในกรุงราชคฤห์ พระมหาโมคคัลลานะกับพระลักขณะ ได้ขึ้นไปจำพรรษาอยู่บนเขาคิชกูฎ เวลาเช้าพระเถระทั้งสองได้ถือบาตรเดินลงมาจากยอดเขาเพื่อไปบิณฑบาตในเมือง ในระหว่างที่กำลังเดินลงมานั้น พระลักขณะได้เห็นพระมหาโมคคัลลานะยิ้ม จึงได้ถามถึงสาเหตุ พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ให้ถามเรื่องนี้ในที่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า กลับจากบิณฑบาตแล้ว พระเถระทั้งสองได้พร้อมกันเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระลักขณะได้ถามถึงสาเหตุที่พระมหาโมคคัลลานะยิ้ม พระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่าสาเหตุที่ยิ้ม เพราะได้เห็นโครงร่างกระดูกร่างหนึ่งลอยไปมาอยู่ในอากาศ ถูกแร้งกาบินตามจิกกิน เนื้อที่ยึดซี่โครงเอาไว้ ยังผลให้ร่างกระดูกนั้นส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

    พระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่า โครงกระดูกที่พระมหาโมคคัลลานะเห็นนั้นมีอยู่จริง และพระองค์เองก็ได้เห็นมาแล้วในวันตรัสรู้ แต่ที่ยังไม่ตรัสบอกใครก็เพราะยังไม่มีพยาน แต่บัดนี้พระองค์ได้พระมหาโมคคัลลานะเป็นพยานแล้วจึงตรัส เนื่องจากทรงเห็นว่า หากไม่มีพยานรับรอง เมื่อตรัสไปแล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อจะเป็นผลร้ายอย่างใหญ่หลวงแก่เขา

    จากนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสบุพกรรมของโครงร่างกระดูกนั้นว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้มีอาชีพเป็นนายโคฆาตก์ฆ่าวัวชำแหละเนื้อขายเลี้ยงชีวิตอยู่ในกรุงราชคฤห์นี้เอง ด้วยวิบาก (ผล) ของกรรมนั้น ตายแล้วได้ไปเกิดอยู่ในนรกหลายแสนปี พ้นจากนรกแล้วด้วยวิบากกรรมที่ยังเหลืออยู่จึงได้มาเกิดเป็นเปรตมีแต่โครงร่างกระดูก

    พระพุทธเจ้าสนทนาธรรมกับพระมหาโมคคัลลานะทางทิพพจักขุ และทิพพโสต

    ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ส่วนพระมหาโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรได้พักอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์

    วันหนึ่ง พระสารีบุตรได้ออกจากที่เร้นในตอนเย็นและเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ พระสาระบุตรเห็นพระมหาโมคคัลลานะผ่องใสจึงพูดว่า โมคคัลลานะผู้อาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก สีหน้าของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง วันนี้ท่านโมคคัลลานะอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อันละเอียดหรือ พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านผู้อาวุโส วันนี้ผมอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างหยาบ แต่ว่าผมได้สนทนาธรรม

    พระสารีบุตรถามว่า ท่านโมคคัลลานะได้สนทนาธรรมกับใคร พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า กับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระสารีบุตรถามว่า ผู้มีอายุ ขณะนี้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในวัดเชตวันในเมืองสาวัตถีซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่ ท่านโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยฤทธิ์หรือ หรือว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาหาท่านโมคคัลลานะด้วยฤทธิ์ พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านผู้อาวุโส ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง คือ ผมมิได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยฤทธิ์ ทั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้เสด็จมาหาผมด้วยฤทธิ์ แต่ว่า ผมกับพระพุทธเจ้าสนทนาธรรมกันทางทิพพจักขุและทิพพโสต เพราะว่า ผมมีทิพพจักขุ และทิพโสตบริสุทธิ์เท่ากับพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าก็มีทิพพจักขุและทิพโสตบริสุทธิ์เท่ากับผม

    ปราบนันโทปนันทะนาคราช

    ในคาถาพาหุง บทที่ ๗ มีข้อความเป็นภาษาบาลี และคำแปลเป็นไทยมีใจความว่า "พระจอมมุนี ทรงโปรดให้พระมหาโมคคัลลานะเถระพุทธชิโนรส (นิรมิตกายเป็นนาคราช) ไปทรมานพระยานาคราชชื่อนันโทปนันทะ ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีอันให้อุปเท่ห์แห่งฤทธิ์แก่พระเถระ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงเกิดมีแก่ท่านด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น"

    พระพุทธชัยมงคลในบทนี้ กล่าวถึงพระผู้มีพระภาคทรงมีชัยแก่นันโทปนันทะนาคราช ซึ่งมีเรื่องดังนี้

    ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี เช้าวันหนึ่งก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะเสด็จไปรับภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เวลาใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตว์โลก ก็ทรงเห็นนันโทปนันทะนาคราชปรากฏอยู่ในข่ายพระญาณ ในตอนเช้าพระผู้มีพระภาคตรัสสั่งพระอานนท์ให้บอกสงฆ์ทราบว่า พระองค์จะเสด็จไปเทวโลก และได้ทรงพาพระสาวกผู้มีอภิญญาเหาะไปยังเทวโลก

    นันโทปนันทะนาคราชเห็นพระผู้มีพระภาคและพระสาวกเหาะมาก็โกรธ โดยถือว่าตนเป็นผู้มีอานุภาพมาก ถ้าสมณะเหล่านั้นเหาะข้ามไป ฝุ่นละอองที่ติดเท้าก็จะล่วงหล่นมาบนหัว จะต้องหาทางไม่ให้เหาะข้ามไป จึงเอาหางรัดเขาพระสุเมรุไว้ ๗ รอบ และบันดาลให้เป็นหมอกควันมืดมัวไปหมด

    มีสาวกหลายองค์ทูลอาสาที่จะปราบพระยานาค แต่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต ครั้นเมื่อพระมหาโมคคัลลานะทูลอาสา พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาต พร้อมทั้งทรงให้พรให้มีชัยชนะแก่พระยานาค พระมหาโมคคัลลานะได้เนรมิตกายเป็นพระยานาคที่มีร่างกายยาวใหญ่กว่าพระยานันโทปนันทะถึง ๒ เท่า แล้วรัดกายพระยานาคให้แน่นเข้ากับเขาพระสุเมรุมิให้เคลื่อนไหว ฝ่ายพระยานาคถูกนาคพระมหาโมคคัลลานะรัดจนแทบกระดูกแตก ก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก จึงพ่นพิษให้เป็นควันแผ่ไปโดยรอบ พระมหาโมคคัลลานะก็บันดาลให้ควันเกิดขึ้นมากยิ่งกว่า ปราบฤทธิ์ของพระยานาคนั้นเสีย พระยานาคจึงพ่นควันพิษเป็นเปลวไฟอันร้ายแรง พระมหาโมคคัลลานะก็เนรมิตไฟที่ร้อนแรงกว่าให้เกิดขึ้น ไฟของพระยานาคไม่อาจทำอันตรายแก่พระมหาโมคคัลลานะได้ แต่ไฟที่พระมหาโมคคัลลานะเนรมิตขึ้นกลับรุมล้อมพระยานาคทั้งภายนอกภายในให้รุ่มร้อนกระสับกระส่ายเป็นกำลัง

    พระยานาคคิดว่าสมณะนี้ชื่อใด จึงมีฤทธิ์มากอย่างนี้ คิดแล้วก็ถามชื่อ พระมหาโมคคัลลานะก็บอกให้ทราบว่า เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระผู้มีพระภาค พระยานาคได้กล่าวว่า ท่านเป็นสมณะเหตุใดจึงมาทำร้ายข้าพเจ้า การกระทำของท่านไม่สมควรแก่สมณะ พระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่าเราไม่ได้โกรธและลงโทษท่าน แต่ที่ทรมานท่านก็เพื่อจะช่วยท่านให้พ้นจากความเห็นผิดและพยศร้าย ให้ท่านอยู่ในทางตรงคืออริยมรรค

    ในที่สุดพระมหาโมคคัลลานะก็ได้ปราบนันโทปนันทะนาคราชจนยอมจำนน พ้นจากการเป็นมิจฉาทิฏฐิ รู้จักบาปบุญคุณโทษ เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระยานาคได้กราบนมัสการพระผู้มีพระภาคและขอบูชาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดไป พระผู้มีพระภาคได้ทรงประทานศีล ๕ ให้รักษา จากนั้นพระผู้มีพระภาคก็ได้พาพระสาวกไปเรือนของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเพื่อรับภัตตาหาร

    ถูกโจรทุบตีก่อนนิพพาน

    พระมหาโมคคัลลานะมักจะเหาะไปเทวโลกและนรก ถามกรรมที่พวกเทวดาและพวกสัตว์ที่อยู่ในสวรรค์และนรกทำในชาติก่อน แล้วนำมาเล่าให้มนุษย์ฟัง ผู้คนก็พากันนำลาภสักการะมาถวาย เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์เสื่อมจากลาภ พวกนี้จึงว่าจ้างให้พวกโจรไปลอบฆ่าท่าน พวกโจรไปลอบฆ่าพระมหาโมคคัลลานะถึง ๓ ครั้ง ในสองครั้งแรกท่านเหาะหนีไปทางอากาศ พวกโจรไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ แต่ในครั้งสุดท้าย ท่านพิจารณาเห็นว่าเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนติดตามมา ท่านจึงไม่หนี พวกโจรก็จับท่านมาทุบตี จนกระดูกแตกละเอียด แล้วนำไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่ง แต่ท่านยังไม่มรณะ ได้รักษาตนเองด้วยกำลังฌาน แล้วไปเฝ้าพระศาสดาทูลลานิพพาน

    ปรากฏว่าประชาชนมีความสงสัยว่าเหตุใดพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นถึงพระอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้มีฤทธิ์จึงถูกโจรทุบตีอย่างทารุณ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าบุพพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะว่า ในอดีตชาตินานมาแล้ว พระมหาโมคคัลลานะได้เกิดเป็นชาวเมืองพาราณสี ทำหน้าที่เลี้ยงดูมารดาผู้ทุพพลภาพเสียตา ต่อมาได้ภรรยาคนหนึ่ง และได้ยอมทำตามภรรยา นำมารดาไปทิ้งไว้ในป่า ทุบตีจนตาย พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! โมคคัลลานะทำกรรมประมาณเท่านี้ โทษในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากยังเหลืออยู่ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นและละเอียดหมดถึงมรณะสิ้น ๑๐๐ อัตตภาพ"
     
  4. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพกระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง คู่กับพระประธานใหญ่
     
  5. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพกระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง เคียงคู่พระประธานใหญ่ ให้ครบองค์ และสมบูรณ์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ มียอดปัจจัย เข้ามาในบัญชีวัด จำนวน 1,072 บาท[​IMG] [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      134.7 KB
      เปิดดู:
      1,025
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.7 KB
      เปิดดู:
      1,018
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2015
  6. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง คู่กับพระประธานใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2015
  7. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง
     
  8. wirotp

    wirotp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    379
    ค่าพลัง:
    +3,909
    ผมและครอบครัวขอร่วมบุญสร้างพระอัครสาวก จำนวน800บาท โอนปัจจัยแล้วครับ

    วิโรจน์ ผาณิตพจมาน และครอบครัว
     
  9. Tenpokensin

    Tenpokensin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2007
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +1,639
    ข้าพเจ้าขอร่วมบุญสร้างพระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา จำนวน 2 ปาง 4 องค์ (ประดิษฐานในวิหาร) วัดทุ่งอ้อ หางดง จ.เชียงใหม่ จำนวน 159 บาท

    โอนปัจจัยแล้ววันนี้ 09/06/2015 เวลา 14:41 น.

    ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  10. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออนุโมทนา ขอบคุณ คุณวิโรจน์ ผาณิตพจมาน และครอบครัว ร่วมทำบุญในการสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ จำนวน 800 บาท
     
  11. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออนุโมทนา ขอบคุณ คุณTenpokensin ร่วมทำบุญในการสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ จำนวน 159 บาท
     
  12. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๔ องค์ ๒ ปาง เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ หอไตรปัญญาบารมี วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง ดังต่อไปนี้.

    1. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางหมอบกราบ หรือปางปรึกษา

    จำนวน 2 องค์ 40,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    2. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางน้อมคำบัญชาการ หรือปางนั่งพับเพียบ

    จำนวน 2 องค์ 50,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    รายชื่อผู้ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้าง
    พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ จำนวน 4 องค์ 2 ปาง มีดังต่อไปนี้

    1.
    คุณ วิโรจน์ ผาณิตพจมาน และครอบครัว ร่วมทำบุญ จำนวน 800 บาท

    2. คุณ
    Tenpokensin และครอบครัว ร่วมทำบุญ จำนวน 159 บาท

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      196.7 KB
      เปิดดู:
      944
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      278 KB
      เปิดดู:
      989
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2015
  13. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๔ องค์ ๒ ปาง เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ หอไตรปัญญาบารมี วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง ดังต่อไปนี้.

    1. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางหมอบกราบ หรือปางปรึกษา
    จำนวน 2 องค์ 40,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    2. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางน้อมคำบัญชาการ หรือปางนั่งพับเพียบ จำนวน 2 องค์ 50,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ
     
  14. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง หรือเป็นเจ้าภาพสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๔ องค์ ๒ ปาง เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ หอไตรปัญญาบารมี วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง ดังต่อไปนี้.

    1. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางหมอบกราบ หรือปางปรึกษา
    จำนวน 2 องค์ 40,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    2. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางน้อมคำบัญชาการ หรือปางนั่งพับเพียบ จำนวน 2 องค์ 50,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ
     
  15. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง หรือเป็นเจ้าภาพสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๔ องค์ ๒ ปาง เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ หอไตรปัญญาบารมี วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง ดังต่อไปนี้.

    1. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางหมอบกราบ หรือปางปรึกษา
    จำนวน 2 องค์ 40,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    2. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางน้อมคำบัญชาการ หรือปางนั่งพับเพียบ จำนวน 2 องค์ 50,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ
     
  16. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง หรือเป็นเจ้าภาพสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๔ องค์ ๒ ปาง เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ หอไตรปัญญาบารมี วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง ดังต่อไปนี้.

    1. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางหมอบกราบ หรือปางปรึกษา
    จำนวน 2 องค์ 40,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    2. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางน้อมคำบัญชาการ หรือปางนั่งพับเพียบ จำนวน 2 องค์ 50,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    รายชื่อผู้ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ จำนวน 4 องค์ 2 ปาง มีดังต่อไปนี้

    1.
    คุณ วิโรจน์ ผาณิตพจมาน และครอบครัว ร่วมทำบุญ จำนวน 800 บาท

    2. คุณ
    Tenpokensin และครอบครัว ร่วมทำบุญ จำนวน 159 บาท
     
  17. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง หรือเป็นเจ้าภาพสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๔ องค์ ๒ ปาง เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ หอไตรปัญญาบารมี วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง ต่อไป.
     
  18. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    กระผมนายธนันต์ รักจันอัด และ น.ส.กรชศา ปภาวีอัครยา ขอร่วมบุญเป็นเจ้าภาพสร้างพระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา เพื่อประดิษฐาน ณ วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง จ.เชียงใหม่ จำนวน 100 บาท โอนแล้วเวลา 14.50 น. ครับ
     
  19. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออนุโมทนา ขอบคุณ คุณ ธนันต์ รักจันอัด และ น.ส.กรชศา ปภาวีอัครยาและครอบครัว ร่วมทำบุญในการสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๒ ปาง จำนวน ๔ องค์ จำนวน 100 บาท
     
  20. กนฺตวีโรภิกขุ

    กนฺตวีโรภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +3,120
    ขออัพ กระทู้งานบุญ เพื่อเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้าง หรือเป็นเจ้าภาพสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา 1. พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) 2.พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) จำนวน ๔ องค์ ๒ ปาง เพื่อนำมาประดิษฐาน ณ หอไตรปัญญาบารมี วิหารพระเจ้าสามแสนหลวง วัดทุ่งอ้อหลวง ดังต่อไปนี้.

    1. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางหมอบกราบ หรือปางปรึกษา
    จำนวน 2 องค์ 40,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    2. พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวาเลิศทางปัญญา) พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์) ปางน้อมคำบัญชาการ หรือปางนั่งพับเพียบ จำนวน 2 องค์ 50,000 บาท เนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ

    รายชื่อผู้ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้าง พระอัครสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ จำนวน 4 องค์ 2 ปาง มีดังต่อไปนี้

    1. คุณ วิโรจน์ ผาณิตพจมาน และครอบครัว ร่วมทำบุญ จำนวน 800 บาท

    2. คุณ Tenpokensin และครอบครัว ร่วมทำบุญ จำนวน 159 บาท

    3.คุณธนันต์ รักจันอัด และ น.ส.กรชศา ปภาวีอัครยาและครอบครัว จำนวน 100 บาท
     

แชร์หน้านี้

Loading...