ขอคำแนะนำในการฝึกสมาธิแรกเริ่มครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย llxa, 31 มกราคม 2018.

  1. llxa

    llxa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมพึ่งเริ่มอยากจะฝึกสมาธิครับ
    1.อยากจะรู้ว่าอารมณ์ ในการฝึกนั่งสมาธิเป็นไงครับ

    2.จากที่ไปอ่านอ่านมา เขาแนะนำให้ ภาวนา พุทโธ แต่ผมนั่งสมาธิแล้ว ภาวนา พุทโธ ไปถึงจุดนึงแล้วผมรู้สึกว่า รบกวนสมาธิครับ

    3. นั่งสมาธิแล้วกำหนดจุดตรงไหนครับ ตรงปลายจมูกที่สูดอากาศเข้า หรือ ไม่ต้องคิดอะไรเลยครับ

    4.แล้วตอนนั่งสมาธิต้องนึกถึงอะไรไหมครับ จากที่ ฟัง วีดีโอในยูทูปมา เขาบอกให้นึกถึงพระพุทธรูป แต่ ผมพยายามนึกถึงก็เป็นรูปลางลาง แล้วเปลี่ยนตลอดครับ บังคับไม่ได้ หมุนไปหมุนมา

    5.บางครั้งตั้งใจ จะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ระหว่าง คิ้ว ครับ เป็นปกติไหมครับ

    6. ผมเป็นคนคิดเยอะและ ช่วงนี้มีปัญหา พอมีวิธี ตัดนิวรณ์ ไหมครับ

    7. ผมนั่งไปสักพัก จะรู้สึกเหมือนหลับ แต่มีสติ รู้ว่ารอบกายทำอะไร แต่ผมไม่ได้ขยับอะไร นี่คือ สมาธิ หรือ หลับครับ

    8. ขอนอกสมาธิครับ ถ้าผมสวดมนตร์ เช่นบท นะโม ผมต้องนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือ ทำให้สมองว่า ไม่ต้องคิดอะไร แล้วสวดอย่างเดียวครับ

    9. นั่งสมาธิต้องหลังตรงไหมครับ หรือ งอก็ได้ หรือ ปล่อยตัวตามสบาย ให้สบายที่สุดครับ

    รบกวนด้วยครับ ที่มีคำถามเยอะ เพราะผมพึ่งเริ่มครับ
     
  2. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ท่าน HartOnFire มีวิธีปฎิบัติระหว่างวันอย่างไรบ้างครับ

    วิปัสสนาแบบใดระหว่างวัน ขอทราบเป็นวิทยาทานครับ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    1. อ่านคู่มือการฝึกกรรมฐาน นี้ครับ http://www.thasungmedia.com/wat/puy/ebook/2555/Kammatharn/#/54/

    2.ห้ามขาดคำภาวนา ครับ ใครทิ้งคำภาวนา ก็ทิ้งผลการปฏิบัติ

    3.กำหนดจุดที่ตัวเอง จิตใจ สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน จะตรงไหนก็ได้ครับ แต่ละคนไม่เหมือนกัน

    4.นึกอะไรก็ได้ที่เราปฏิบัติกรรมฐาน แล้วทำให้ จิตเราสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน

    5.จะมีอาการทางกายอะไรก็แล้วแต่ อย่าไปสนใจ ยิ่งเราไปสนใจมากเท่าไหร่ ก็จะหนักมากเท่านั้นครับ

    6.จะกดนิวรณ์ 5 ได้ต้องทรงปฐมฌาน ขึ้นไป ครับ ไม่อย่างนั้น นิวรณ์ ก็ยังกำเริบอยู่

    7.มีหลายอย่าง ที่อาการทางร่างกาย แสดงออกครับ เช่น ร่างกายหลับอยู่ แต่เรามีสติ รู้ตัวอยู่

    8.จะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันเป็นเครื่องจูงใจ ให้จิตสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ก็ได้หมดครับ บางคนก็สวดมนต์ จนจิตเป็นสมาธิ บางคนก็อาศัยคำภาวนาให้จิตสงบลงสมาธิ

    9.ควรที่จะหลังตรง ครับ ยืน เดิน นั่ง นอน หายใจ ทำสมาธิได้หมด
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    นั่งหลับตาเฉยๆ โดยไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย ถือว่าเป็นสมาธิ ??


    ถาม : ถ้าเราทำสมาธิแล้วเราไม่กำหนดลมหายใจ ไม่กำหนดภาพ ไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย จะถือว่าทำสมาธิหรือเปล่า หรือเรียกว่านั่งหลับตาเฉยๆ ?

    ตอบ : คงจะนั่งหลับตาเฉยๆ ยกเว้นอย่างเดียวว่า มีความเคยชิน สามารถเข้าฌานระดับใดระดับหนึ่งได้คล่องมาก ถ้าอย่างนั้นเราสามารถจะดิ่งไปสู่ระดับนั้นได้เลย

    แต่ถ้าเราไม่มีการกำหนดใดๆ เลย ไม่มีทางที่จะทรงตัวเป็นสมาธิได้ เพราะจิตเราต้องคิดเป็นปกติ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

    ถาม : หรือจะย้อนมาปฏิบัติเหมือนเดิม จับลมหายใจเหมือนเดิม ?

    ตอบ : ลมหายใจเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกองเลย คุณจะทิ้งลมหายใจไม่ได้

    ถาม : แล้วถ้านั่งสมาธิไม่เคยเห็นแสงสี ไม่เคยเห็นภาพ ?

    ตอบ : ถือว่าโชคดีที่สุดในโลก ไม่อย่างนั้นคุณจะติดอีกเยอะ



    สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓
     
  5. llxa

    llxa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมพึ่งเริ่มแบบ พึ่งเริ่มฝึกสมาธิเลยครับ
    ผมไม่ค่อยมีโอกาศที่จะได้นั่งสมาธิครับ แต่ช่วงนี้ผมอยากนั่งดูครับ
    ระหว่างวัน ตอนนี้ผมทำไงก็ได้ให้นิ่งที่สุดครับ
    อย่างเช่น ถ้าจะหยิบมือถือ มาดู facebook ก็จะมีคำเด้งขึ้นมาในหัวว่า นี่เป็นความอยากนะ
    แอร์หนาว ก็ จะนึกคำว่า รู้สึกหนาวนะ

    ส่วนถ้ามีช่วงที่คิดอะไรเยอะเยอะ ผมจะหายใจเข้าลึกลึก แล้วหายใจออกครับ จะรู้สึกดีขึ้นครับ
    ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนครับ
    รบกวนพี่พี่แนะนำหน่อยครับ
     
  6. llxa

    llxa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +21


    ขอบคุณมากครับที่ตอบจะลองดูครับ
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    ถาม : สมัยที่หลวงพ่อท่านอาพาธอยู่ที่ศิริราช มีอยู่คนหนึ่งเขาไปหาหลวงพ่อ ?
    ตอบ : พวกที่ตายโหงนี่ บางรายก็เป็นพวกที่หมดอายุ แต่ส่วนใหญ่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์นี่ยังไม่หมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วก็ไปรับบุญรับบาปได้ทันที อีกอย่างคือว่าถ้ากำลังบุญมากก็ไปรับส่วนดีเลย ทำบาปมากสูงมากก็ลงไปรับกรรมเลย ไม่ผ่านการตัดสิน พวกผ่านการตัดสินนี่มันกระดำกระด่างจะดำก็ไม่ดำ จะขาวก็ไม่ขาว แต่ว่าพวกผ่านการตัดสินนี่ยังโชคดีนะ โอกาสรอด ๘๐% เพราะว่าพระยายมท่านจะถามละเอียดจริง ๆ ถามนิดถามหน่อยถามล้วงไปเรื่อยมันจะต้องทำดีซะอย่างหนึ่งล่ะ แล้วท่านก็จะส่งไปรับความดีก่อน ทีนี้ถ้าทำดีเล็กน้อยมากอย่าง สุปติฏฐิตเทพบุตร อย่างนี้นี่มัวแต่ไปเพลินกับความดีอยู่ หมดบุญทีนี้ล่ะโดนเต็ม ๆ
    ถาม : อย่างเวลาเช้า ๆ เราแผ่เมตตาตามแบบหลวงพ่อนี่มีอานิสงส์อย่างไรบ้างคะ ?
    ตอบ : อันดับแรกของเรา ๆ จะได้ปัตติทานมัย เป็นการทำบุญประเภทหนึ่ง การทำบุญมี ๑๐ ประเภท ๆ สุดท้ายนี่จะเป็นของกำไรโดยตรง เขาเรียกทิฎฐุชุกัมม์ มีความเห็นถูกว่าพระพุืทธเจ้าสอนดี เราจะทำตามอันนี้ได้กำไรแน่ ๆ
    นอกนั้นก็มีทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล ภาวนามัย บุญเกิดจากการทำสมาธิภาวนา ๓ อย่างนี้จะเป็นบุญใหญ่ที่สุด แล้วหลังจากนั้นจะยังมีบุญเล็ก ๆ ซึ่งจะเรียกว่าเล็กก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าเล็กของช้างมันก็ใหญ่ของมดน่ะ บุญเล็ก ๆ ก็ยังมีอปจายนมัย อ่อนน้อมถ่อมตนกับคนอื่น คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนมา เราเห็นก็เย็นตาเย็นใจเกิดความรักความเมตตาเขาใช่มั้ย ? ตัวนี้มันก็ทำให้คนนอบน้อมถ่อมตนเขาได้บุญ ต่อมาก็ปัตติทานมัย ทำบุญแล้วตั้งใจนอบน้อมให้คนอื่นเขา ตัวเราจะทำได้สำเร็จก็ยากแล้ว อุตส่าห์แบ่งปันให้คนอื่น ถ้าจิตไม่ได้ประกอบด้วยความรักความเมตตาจริง ๆ มันก็จะให้เขาไม่ได้
    ในเมื่อให้เขาได้ผลบุญของเรามันก็จะเพิ่มขึ้น ปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในความดีที่คนอื่นทำ ปกติมันคอยจะอิจฉาเขา แต่อันนี้มันคอยยินดีจริง ๆ ได้บุญจริง ๆ ใช่มั้ย ? ธัมมัสสวนมัย นำไปปฏิบัติ ธัมมเทสนามัย ได้ผลแล้วกลับไปสอนเขาต่อ พวกนี้เขาเรียก บุญกิริยาวัตถุ สิ่งที่ทำให้เกิดบุญ ทำแล้วเป็นบุญเป็นกุศล ทีนี้ของเราที่ว่าตั้งใจอุทิศให้คนอื่นเขา มันก็จะเป็น ปัตติทานมัย ก็คือว่า บุญที่ได้จากการตั้งใจทำความดี แล้วแบ่้งให้คนอื่นเขาไป
    ถาม : ทำตามหลวงพ่อตอนเช้า ๆ หลวงพ่อจะนำแผ่เราก็พยายามทำตาม ?
    ตอบ : มันเป็นวิธีการที่จะได้บุญ อย่างของเรานั่งอยู่คนอื่นเขาถวายสังฆทานเราก็สาธุ มันก็ได้ไปด้วยใช่มั้ย ? มันเป็นวิธีการทำบุญที่ง่าย แต่ในขณะเดียวกันที่คนที่ทำไม่ได้ กำลังใจไม่ถึงมันจะทำอะไรกันนักหนาวะ เดี๋ยวทำ ๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ได้แล้วกำลังใจยังเศร้าหมองไปด้วย
    ถาม : มีพระองค์เล็ก ๆ อยู่หลายองค์ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
    ตอบ : แค่คำว่าเล็กน้อยนี่เราก็เจ๊งแล้ว ถ้าหากว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้าคำว่าเล็กน้อยไม่มีสำคัญสุด ๆ ทั้งนั้นเลย ถ้ามีมากเกินไปดูแลไม่ทั่วถึง ควรจะทำอย่างไร ?
    หากล่องหาอะไรใส่รวม ๆ กันเอาไว้ให้ดีให้เหมาะสม แล้วเอาขึ้นบูชา ต่อไปอย่าใช้คำว่าเล็กน้อยกับพระนะ เดี๋ยวเจอข้อหาปรามาสพระรัตนตรัย
    สมัยหลวงปู่ปาน ท่านสร้างพระคำข้าวองค์หนึ่งหน้าตัก ๕ นิ้ว ตั้งโต๊ะบวงสรวงชุดใหญ่เลย ทำพิธีบวงสรวง หลวงพ่อก็บอกว่าทำไมแค่พระองค์เล็ก ๆ แค่นี้ต้องตั้งเครื่องบวงสรวงเต็มพิธีชุดใหญ่ขนาดนี้ด้วย หลวงปู่บอกว่า คำว่าพระพุทธเจ้ามีเล็กเหรอ ? หลวงพ่อบอกได้ยินแล้วตกใจ แสดงว่าจิตเราหยาบไปหน่อยใช่มั้ย ? เห็นพระพุทธเจ้าเล็กน้อย จำไว้นะคำว่าเล็กน้อยไม่มี พุทโธ อัปปมาโน ธัมโมอัปปมาโน สังโฆอัปปาโน คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่สามารถจะประมาณได้
    มีลูกศิษย์หลวงพ่อสดวัดปากน้ำได้พระสมเด็จของ ขวัญไปองค์กระจิ๋วหนึ่ง นั่งมอง ๆ มันไม่ถูกใจน่ะ องค์กระจิ๋วหนึ่ง องค์แค่นี้จะคุ้มครองเราได้เหรอ ปรากฎกลางคืนนอนหลับไปฝันเห็นพระสมเด็จวัดปากน้ำองค์ของขวัญนั่นแหละลอยมาโต ขึ้นจนใหญ่จนเต็มจักรวาลเลย แล้วถามว่าแค่นี้พอมั้ย ? (หัวเราะ) สะใจมั้ย ? พุทโธอัปปะมาโน จำไว้คุณพระพุทธเจ้าประมาณมิได้
    ถาม : การถวายสังฆทาน ถ้าเราเอาพระองค์ขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก คุณภาพจะเหมือนกันมั้ยครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าจะเอาอานิสงส์กันจริง ๆ พระที่ถวายสังฆทานหน้าตักไม่ควรต่ำกว่า ๔ นิ้วแต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจถวายแล้วเป็นองค์น้อย อันนั้นเราจะได้อานิสงส์เป็นพุทธบูชา คือเราได้สร้างพระขึ้นมาองค์หนึ่ง
    หลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัว ท่านสร้างพระสร้างเอา ๆ องค์เล็กองค์ใหญ่เต็มไปหมด ท่านบอกว่า อานิสงส์ ของการสร้างพระพุทธรูปไม่ว่าองค์โตเท่าภูเขาหรือองค์เล็กเท่าใบหญ้าคา เกิดมากี่ชาติก็จะเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยเดชอำนาจไม่รู้จักจบจักสิ้น พุทธบูชามหาเตชะวันโต เพราะฉะนั้นจะองค์เล็กองค์ใหญ่ก็แล้วแต่ ขอให้เป็นพระพุทธเจ้าเถอะ อานุภาพไม่สิ้นสุดหรอก
    ถาม : อย่างบางทีมันขี้เกียจทีนี้เราพยายามแล้วน่ะค่ะ .....?
    ตอบ : ก็เลิกขี้เกียจ สังเกตดูว่าธรรมะบางส่วน เราพยายาม วันก็แล้ว เดือนก็แล้ว ปีก็แล้วมันก้าวพ้นไม่ได้ อันนั้นห้ามขี้เกียจนะจ๊ะ ต้องทบทวนแล้ว ทบทวนอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ย่ำอยู่กับที่เดิมให้มันชำนาญไปเลย อัน นั้นแสดงว่าสติปัญญาของเรามันยังไม่เพียงพอ ถ้าหากว่าสติ สมาธิ ปัญญามันเพียงพอ เราจะก้าวพ้นตรงจุดนั้นได้ เราต้องหาความชำนาญไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะพอ ถ้าภาษานักปฏิบัติเขาจะบอกว่า วาระมันยังมาไม่ถึง
    มันเหมือนกับต้นไม้ เราปลูกมันแล้วมันยังไม่ออกดอกออกผลซักที เราจะขี้เกียจไม่ดูแลมันจะไม่ได้ ต้นไม้มันจะตาย เราต้องดูแลมันต่อไป ถึงวาระ ถึงเวลาที่สมควรดอกผลมันจะออกมาเอง เพราะฉะนั้นยิ่งไม่ได้นี่ยิ่งต้องขยัน
    ถาม : อย่างเราปฏิบัติแล้วเราไม่รู้ว่าเราควรจะทำแบบไหนจึงจะตรงกับจริตของเรา ?
    ตอบ : แบบไหนจะตรงกับจริตของเรานี่หาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของ หลวงพ่อมา อ่านแล้วชอบตรงไหนก็ทำตรงนั้นเลย ทำกองนั้นกองเดียว หัวข้อนั้นหัวข้อเดียว เอาให้มันได้จริง ๆ ไปเลยอย่าไปเปลี่ยนใหม่ ถ้าหากว่าเราทำ ๆ ไปแล้วมันยังไม่ได้ เราไปท้อแล้วไปเปลี่ยนใหม่ทำ ๆ ไปยังไม่ได้ ท้อแล้วเปลี่ยนใหม่ อาตมาเปรียบว่ามันเหมือนยังกับว่าขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ ขุดลงไป ๓ เมตร ๕ เมตร ถ้าเกิดน้ำมันอยู่ ๒๐ เมตรอย่างนี้ เรารู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อแล้วไปเปลี่ยนใหม่ ไปขุดอันนั้น ๓ เมตร ๕ เมตรแล้วเมื่อไหร่มันจะได้ล่ะ
    เพราะฉะนั้นมันจะต้องประเภทต้องตั้งหน้าตั้งตาทำไป ได้สักหัวข้อหนึ่งแล้วอันอื่นมันจะง่าย เพราะว่ากำลังมันเท่ากัน มันแค่เปลี่ยนวิธีการเท่านั้นเอง
    เมื่อวานนี้พี่ชายเขามา พี่ชายคนนี้ก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติธรรมะแข็งขันมาก ตั้งใจอย่างเดียวว่าจะไปนิพพาน ครอบครัวก็ไม่มีแล้ว อีตอนนี้ก็มีเมีย ๑ มีลูก ๓ เรียบร้อยไปแล้ว เขามาถามว่าเขาปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้าจะทำอย่างไร ? ก็บอกว่าพี่ก็ทำอย่างที่อาตมาเคยทำนั่นแหละ
    สมัยก่อนพี่ว่าอาตมาบ้าอย่างไรก็บ้าอย่างนั้นล่ะ แล้วมันก็จะได้เอง พูดง่ายนะ แต่ตอนทำมันเหนื่อยก็ท้อเหมือนกันเปรียบให้ฟัง ถ้ากลัวว่าจะผิดเอาศีลเป็นกรอบ ศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้
    ถ้าหากว่ายังอยู่ในกรอบของศีล การปฏิบัตินั้นไม่ผิดหรือว่าผิดก็ผิดน้อยเต็มที ในเมื่อมีศีลแล้วพยายามกวดศีลของเราให้บริสุทธิ์อย่าละเมิดศีลด้วยตัวเอง อย่ายุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำ อย่ายินดีเมื่อคนอื่นล่วงให้ศีลนั้นขาดลงในเมื่อเราทำละเอียดได้ถึงขั้นนี้ ศีลมันทรงตัว สมาธิก็จะตั้งมั่นได้ง่าย ปัญญาก็จะเกิด
    เพราะว่าจิตของเราถ้านิ่งนี่มันเหมือนน้ำที่นิ่งมันจะมองเห็นได้ เวลาชะโงกไปก็เห็นหน้าตัวเอง คราวนี้พอจิตมันนิ่งปุ๊บ ปัญญามันก็จะเกิด พอ ปัญญามันเกิดจะใช้ไปคุมศีลอีกทีหนึ่ง ในเมื่อยิ่งคุมศีลให้ละเอียด สมาธิก็จะตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิยิ่งตั้งมั่น ปัญญาก็ยิ่งเกิด มันจะไล่กวดไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดสุดท้ายของมัน เราก็จะก้าวข้ามในจุดที่เราต้องการได้
    ถาม : ถ้าใจเราอยากทำกสิณนี่ทำได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : ได้ทุกคน ถ้าใจรักอยากจะทำอดีตเคยทำมาแล้ว ทีนี้เราเอากสิณ ๑๐ กองนี่เอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมา ตั้งใจจุดธูปบูชาหน้าพระรัตนตรัยต่อหน้าหิ้งพระของเรา กราบพระขอบารมีท่านสงเคราะห์ อธิษฐานว่ากสิณกองใดที่เราเคยทำได้แล้วในอดีตแล้ว ถ้าหากว่าทำในปัจจุบันนี้จะได้ผลเร็วที่สุดขอให้เราอ่านแล้วชอบกองนั้นมาก ที่สุดแล้วก็ไล่ไปเลย อาโลกสิณ อากาศกสิณ ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ โลหิตกสิณ ปีตกสิณ นีลกสิณ โอทาตกสิน พอครบ ๑๐ กองเสร็จแล้วชอบอันไหนมากที่สุดก็หาอุปกรณ์มาแล้วก็ทำ
    คราวนี้การทำกสิณนี่มันสำคัญอยู่ตรงที่ย้ำคิดย้ำทำ ยิ่งกว่าพวกโรคจิตอีก ก็คือว่ามันลืมตามอง หลับตาลงนึกถึงมันจะนึกได้แป๊บหนึ่ง พอภาพหายก็ลืมตามองใหม่ พร้อมคำภาวนาอยู่ตลอด คราวนี้พอเลิกจากตรงนั้นไปห้ามลืมนะ ต้องนึกถึงภาพนั้นอยู่เรื่อย ๆ นึกไปพร้อมกับคำภาวนาอยู่เรื่อย ๆ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งให้เขา อาจจะซัก ๓๐-๔๐% นึกถึงภาพนั้นพร้อมคำภาวนาตลอด ส่วนความรู้สึกอีก ๖๐-๗๐% ก็ทำหน้าที่การงานของเราไป
    ถาม : ต้องแบ่งอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ตลอดเวลาจนกว่าภาพนั้นเราจะลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น คราวนี้ก็คอยประคับประคองเอาไว้ให้ดี ถ้ามันหายไปรีบนึกขึ้นมาใหม่ หายไปรีบนึกขึ้นมาใหม่ไปเรื่อย ๆ สมาธิก็จะทรงตัว ตั้งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ ภาพนั่นก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จากสีเดิมก็จะจางลง ๆ เป็นสีขาว จากสีขาวก็กลายเป็นขาวทึบ จากขาวทึบก็กลายเป็นขาวใส จนกระทั่งสว่างเจิดจ้าเหมือนกับเรามองดวงอาทิตย์
    คราวนี้ลองอธิษฐานดูให้หายไปก็ได้ ให้มาก็ได้ หรือจะให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ คราวนี้อธิษฐานดูว่ามันจะมีผลตามนั้นมั้ย ? ถ้าเป็นอาโลกสิณ ก็สามารถทำที่มืดให้สว่างได้ สามารถเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้ ถ้าเป็นโอทาตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีขาวได้ สามารถเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ เป็นปีตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีเหลืองได้ สามารถทำของอื่นให้เป็นทองได้ โลหิตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีแดงได้ นีลกสิณ ก็สามารถที่จะเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีเขียวเป็นสีดำได้ หายตัวได้เหล่านี้เป็นต้น
    พอทำได้เต็มที่แล้วเราค่อยก้าวข้ามกองใหม่ก่อนจะจับกองใหม่ก็ซ้อมกองเดิมให้ เต็มที่ก่อน มันปุ๊บเดียวเท่านั้นเองนะ ถ้ามันได้คล่องตัวแล้วมันปุ๊บเดียวไม่ถึงวินาที สองวินาทีก็เต็ม แล้วเราก็จับกองอื่นต่อ
    ถาม : แล้วคำภาวนาจำเป็นมั้ยคะ ?
    ตอบ : จำเป็นเพราะว่าคำภาวนาพร้อมกับลมหายใจเข้าออกสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอานาปานี่กรรมฐานทุกกองได้ประมาณแค่อุปจารสมาธิเท่านั้นล่ะ ทรงฌานไม่ได้

    ถาม : ..............................
    ตอบ : ถ้ามันเต็มที่ของฌานมันก็จะได้ฌาน ๔
    ถาม : ความรู้สึกมันได้ขนาดไหน ?
    ตอบ : ถ้าภาพกสิณนั้นสว่างเจิดจ้าเหมือนกับเรามองกระจกสะท้อนแสดงอาทิตย์นั่นคือ ฌาน ๔ แล้ว ส่วนเรื่อง ๓ ฐาน ๗ ฐานอะไรนั่นไม่ต้องไปคิดถึง เพราะว่าถึงเวลาบางทีคำภาวนามันหายไปเฉย ๆ เราก็แค่กำหนดรู้ตามภาพมันเท่านั้นว่า ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้
    ถาม : จำเป็นต้องทำอานาปาด้วยเหรอคะ ?
    ตอบ : จำเป็นต้องใช้เลย กรรมฐานทุกกองอีก ๓๙ กอง ถ้าไม่ได้อานาปานสติควบด้วยอย่างเก่งก็ได้แค่อุปจารสมาธิ ชอบทำกสิณก็ดีเพราะว่ากสิณเป็นพื้นฐานของฤทธิ์ พอได้กสิณคล่องแล้ว ต่อไปเป็นสมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ นี่เรายกกสิณขึ้นมากองหนึ่ง แล้วเพิกภาพกสิณเสีย ทำอรูปฌานให้เกิด
    ถาม : ทำมาตอนนี้ตัวมันโยกไปมาแล้วสงสัยว่าทำไมมันถึงติดอยู่แบบนี้ ?
    ตอบ : ต่อไปลืมมันไปเลย ไม่ต้องไปสนใจมัน ตามรู้มันอย่างเดียว มันโยกก็ให้มันโยก จะเป็นจะตายหัวโขกพื้นอีท่าไหนหกคะเมนตีลังกาก็ช่าง อาตมาเองเฉพาะโยกนี่เดือนกว่า แต่ว่าน้ำตาไหลนี่เช้ายันเย็นเช็ดหน้าจนแสบไปหมด เพราะมันดันผ่าไปไหลที่สายลมพอดี ผู้ชายตัวเท่าควายนั่งร้องไห้ตรงหน้าพระ จะกลั้นมันไว้พอคิดจะกลั้นมันหยุดเลยนะ แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ได้นะลูกต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย เพราะถ้าไปกลั้นมันเอาไว้พออารมณ์ใจมันถึงทีตรงนี้ น้ำตามันจะไหลอีกก็เลยปล่อยมันเต็มที่ก็เช็ดไปเรื่อย คนโน้นมาก็ทิชชุ คนนี้มาก็ทิชชุ เช็ดไปเช็ดมาหน้าแสบหมด กว่าจะเลิกก็ ๕-๖ โมงเย็นโน่น
    ตอนนั้นหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพระนางเรือล่ม เสร็จแล้วมันเห็นภาพพอดี เพราะตอนที่เรือพระประเทียบล่มลงน่ะ ท่านว่ายน้ำออกมาแล้วหันกลับไปเห็นลูกไม่ได้มาร้องคำเดียวว่าลูก แล้วว่ายกลับมาไปควานไปหาอีท่าไหนไม่รู้ จมลงไปด้วย มันก็เลยน้ำตาไหลโจ๊ก เห็นชัด ๆ ว่าความรักของแม่ขนาดไหน ตัวเองตายก็ไม่ว่า ตั้งใจกลับไปเพื่อช่วยลูกอย่างเดียว เลยนั่งร้องไห้ น้ำตาไหลจ๊อก
    ตอนนั้นปีติมันเกิดขึ้นพอดี มันจ้องจังหวะมานานแล้วล่ะ มันจะเล่นจังหวะไหน มันเล่นจังหวะนั้นพอดี แหม...มันเล่นไหลได้ไหลดี พอเลิกร้องไห้หิวน้ำเป็นบ้าเลย (หัวเราะ) ตั้งใจจะกลั้นล่ะ ทีนี้หลวงพ่อท่านบอกให้ปล่อย เราเชื่อพ่อซะจนชินปล่อยก็ปล่อยก็ฟาดมันซะเต็มที่ไปเลย
    แต่ตอนผรณาปีตินี่มันบวม มันลอย ปีตินี่มันลอยมันร่วง มันระเบิด นี่มันเป็นบ้าเลย ที่บางคนบอกว่าฌานระเบิดมันไม่ใช่หรอก ตัวมันพองขึ้นใหญ่ขึ้น จนรับไม่ไหวระเบิดกลายเป็นจุลไปอย่างนั้นล่ะ หรือบางทีตัวมันก็รั่วเป็นรู มีอะไรไหลซู่ซ่าจากข้างในเต็มไปหมด ไม่รู้อะไรต่อมิอะไรมันไหลเต็มไปหมด ถ้ามันชินซะอย่างอันอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไปกลัวมันแล้ว
    ถาม : ......................
    ตอบ : เหตุผลนั่นสำคัญที่สุด หลวงพ่อท่านลาพุทธภูมิเพราะว่า ตอนช่วงนั้นท่านทำหน้าที่เป็นปลัดเหมือนกับเลขานุการส่วนตัวของสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดอนงคาราม ตอนนั้นมันเกิดเหตุว่าเจ้าคณะจังหวัดท่านหนึ่งเบียดเบียนพระในจังหวัด วัดไหนมีพระเก่าวัตถุโบราณไปยึดของเขามา ถ้าเขาไม่ไให้ก็จับเจ้าอาวาสสึกซะบ้าง ถอดซะบ้าง
    พอท่านทราบเรื่องท่านก็รายงานไปตามระดับชั้นของทางคณะสงฆ์ พอเรื่องขึ้นไปถึงข้างบนก็เงียบ รายนั้นแทนที่จะโดนถอดหรือว่าโดนลงโทษรายงานทีไรมันได้ตำแหน่งเพิ่มขึ้น ทุกที ๆ หลวงพ่อท่านสืบไปสืบมาจนในที่สุดก็เจอว่า ตัวเป้งเลยเป็นตัวหนุน ท่านก็เลยเกิดสลดใจขึ้นมา โดยวิสัยของพุทธภูมิถ้าเพื่อความสุขส่วนรวม แม้กระทั่งลงนรกก็ยอมทำ ท่านบอกว่าถ้าหากว่าท่านไม่ลาพุทธภูมิเพื่อเป็นพระอริยเจ้าด้วยกำลังใจแบบ นั้นเดี๋ยวท่านต้องฆ่ามันแน่ นี่แหละสาเหตุใหญ่ที่สุด
    ถาม : ผมจำได้ว่า ถ้าใครฆ่ากันแล้วก็ต้องฆ่ากันทุก ๆ ชาติ ในเมื่อหลวงพ่อปรารถนาพุทธภูมิแล้ว คนที่ปรารถนาพุทธภูมินี่นรกปิดประตูแล้ว ทำไม .....(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ไม่ใช่ พุทธภูมินี่ต่อให้ปฏิบัติขนาดไหนก็ตามอารมณ์จะไม่ตัดเป็นพระอริยเจ้าเป็นได้แค่เทียบเท่าเท่านั้น คือทำได้เหมือนแต่มันไม่ใช่ ทีนี้เนื่องจากว่าของท่านทำมาด้วยการบำเพ็ญบารมีด้วยการสละตัวเองเพื่อความ สุขส่วนรวมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีอะไรบางอย่างจำเป็นต้องละเมิดศีลเพื่อความสุขส่วนรวม พุทธภูมิเขายอมไม่ใช่ว่าพุทธภูมิไม่ลงนรก พุทธภูมิเขาไม่กลัวนรก เต็มใจลง
    ถาม : .................................
    ตอบ : อันนั้นเขาพุทธภูมิแท้เลย เขาเสี่ยงต้องใช้ว่าเอาดอกบัวอ่อนเลยนะ เสี่ยงอธิษฐานเลยว่า ถ้าหากว่าความปรารถนาในพระโพธิญาณเขาจะสำเร็จจริงก็ขอให้ดอกบัวนี้บาน แล้วของท่านบานจริง ๆ ดอกบัวตูม ๆ เพิ่งจะเก็บไม่น่าจะบานได้ เลยตั้งใจเผาตัวเองเป็นพุทธบูชา ชาวบ้านผ่านไปผ่านมาทราบเจตนาก็ช่วยกันเผาคือขอบุญด้วย คนผ่านไปผ่านมาถอดเสื้อผ้าบ้างมีข้าวมีของอะไรก็โยนไปเผาร่วมกัน กำลังใจระดับนั้นหายาก ถ้าหากว่าไม่ใช่ทรงสมาบัติจริง ๆ เขาเผาขนาดนั้นก็ดิ้นพราดเท่านั้น แต่ว่าท่านนั่งขัดสมาธิ
    นั่งสมาธิให้เขาเผาอีกองค์หนึ่งก็พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังไม่เต็มกำลังใจท่านเอาตัวเองเป็นไส้เทียน ใช้ผ้าสำลีพันตัวเองแล้วชุบน้ำมันตั้งใจว่าเราจะจุดไฟนี้เพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วก็ให้คนจุดไฟ ตัวเองตั้งสมาธิเพ่งมองเจดีย์ ตั้งใจว่าสิ่งที่เราทำนี่ตั้งใจจะถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไฟไหม้อยู่ ๗ วันกว่าเชื้อจะหมดแต่ไม่เป็นอะไร เพราะว่ากำลังใจที่เกาะพุทธานุภาพก็เลยรักษาได้
    มีเหมือนกันจะลองมั้ย จะช่วยเผารายนี้เขาพวกพุทธภูมิเหมือนกัน เขาไม่ยอมลา อาตมาเบี้ยวทิ้งเขากลางอากาศ (หัวเราะ) พุทธภูมินี่เขาถือว่าเป็นเพื่อนกันหมด เพราะว่าความปรารถนาอย่างเดียวกันเดินตามรอยกัน
    สมัยครั้งแรกที่เจอหลวงปู่เจ้าคุณพระราชกวีวัดโสมนัส หลวงปู่อ่ำ ครั้งแรกเลยเคาะประตูกุฏิ ท่านโผล่ออกมาถึงท่านถาม เป็นยังไงเพื่อนจำกันได้มั้ย ? นั่นพระโพธิสัตว์จะถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนกันหมดก็เลยกราบเรียนท่านไปว่า ผมจำหลวงปู่ไม่ได้หรอกครับ แต่ว่าหลวงปู่ต้องจำผมได้แน่เลย (หัวเราะ) เอาเปรียบคนแก่ หลวงปู่อ่ำ ตอนแรกท่านก็ไม่ทราบว่าท่านปรารถนาโพธิญาณ นั่นก็นิยตโพธิสัตว์ เพราะท่านเป็นช้างปาลิไลยกะ ตรัสรู้เป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัปป์ ทีนี้ท่านก็บอกว่ารู้แต่ว่าตอนเรียนบาลีไปถึงตอนที่ช้างปาลิไลยกะออกมาส่ง พระพุทธเจ้า ๆ ตรัสว่า ปาลิไลยกะ ตรงนี้เป็นเขตแดนของมนุษย์แล้วเธออย่าตามตถาคตไปเลย อันตรายจะเกิดขึ้นกับเธอ ขอให้กลับไปเถอะ ช้างปาลิไลยกะเสียใจจนอกแตกตาย
    สมัยนี้คงประเภทหัวใจสลายท่านบอกว่าอ่านมาถึงตรงนี้ทีไรร้องไห้น้ำหูน้ำตา ไหลทุกทีเลย ไม่รู้ว่าทำไมต้องร้อง ทีนี้เวลาที่มันจะรู้มันก็รู้เอาง่าย ๆ ตอนเย็นกำลังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนสบาย ๆ มองตะวันตกดินอยู่ มองเพลิน ๆ ท่านบอกอยู่ ๆ มันมีอีกตัวหนึ่งมันหลุดเดินดุ่ย ๆ ขึ้นฟ้าไปเลยคือ จิตท่านเป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัวเพราะมองดูตะวันอยู่ กายในมันก็เลยออกไปเลย
    พอขึ้นไปข้างบนก็เห็นดอกบัวดอกหนึ่งมโหฬาร ก้านบัวใหญ่กว่าเสาอีก ท่านว่าอย่างนั้น อยู่สูงลิบเลยเห็นว่ามีสารพัดสีแล้วดอกบัวก็ลดลงมา ๆ เห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างบนนั้น ถามว่าจำได้มั้ย ? ท่านก็บอกว่า จำไม่ได้เป็นใคร ท่านก็บอกว่าท่านคือพระศรีอาริยเมตตรัย เสร็จแล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟังว่าเคยตั้งความหวังว่าสมัยนั้นอย่างนั้น ๆ
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คำภาวนาจำเป็นมั้ย? จำเป็น ถ้าไม่มีคำภาวนา อานาปานี่กรรมฐานทุกกองได้แค่อุปจารสมาธิเท่านั้น ทรงฌานไม่ได้
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คนจะพัฒนาสมาธิได้เร็ว ต้องโง่ให้เป็นครับ ต้องทิ้งความรู้ทางสมมุติต่างๆให้เป็นครับ
    ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์มอะไร ให้ระลึกว่า เราเหมือนเด็กพึ่งเกิดทางด้านนี้ครับ
    และเริ่มต้น อย่าไปคาดว่า สมาธิจะต้องแบบพิธีการ คือ นั่ง เดิน นอน อย่างเดียวครับ
    และอย่าไปสนใจว่า นั่งแล้วมันจะเจออะไร จะรู้สึกอย่างไร จะได้ผลอย่างไร....
    และจะต้องใช้คำภาวนาอะไร หรือนั่งแล้วต้องมีเทคนิควิธีการอย่างไร
    ให้เจริญสติให้ต่อเนื่องในชีวิตประจำวันให้ได้ก่อน ด้วยวิธีอะไรก็ได้
    ขอให้มีฐานอยู่ที่กาย จะนับก้าวเดินเวลาที่เคลื่อนไหวร่างกาย
    หรือระลึกรู้ว่า มีลมหายใจเข้าและออกหยุด
    ที่ปลายจมูกก็ได้เวลาอยู่นิ่งๆ แต่เวลาทำงานก็ทำให้เต็มที่ไป
    ในระหว่างวัน พยายามระลึกรู้ลม พอให้จิตสงบ อย่าไประลึกเรื่องอดีตที่ผ่านมา
    อย่าไปสนใจเรื่องคนอื่นๆเค้า ทำดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง อย่าคิดว่าที่ลับไม่มีใครเห็น
    ร่วมกับการทำสมาธิแบบพิธีการ มันถึงจะไปได้เร็วครับ (เร็วในที่นี้คือเห็นผลในหลักเดือน)
    และควรปรับระบบหายใจแบบอาปาฯไว้เป็นทุน และให้มันกลายเป็นระบบหายใจ
    ปกติในชีวิตประจำวันเราครับ(คือมาแทนการหายใจหยุดที่หน้าอก)
    คือ หายใจเข้าให้ท้องพอง หายใจออกให้ท้องยุบ
    แต่ระลึกว่ามีลมหยุดที่ปลายจมูก ไม่ว่าจะหายใจเข้าและออก แต่ห้ามไปตามลมนะครับ
    เพราะจะแป๊กในระดับหนึ่งได้.....ให้เวลากับตรงนี้ก่อนครับ
    ให้ร่างกายมันปรับตัวเองนิดหนึ่ง

    ปรับระบบหายใจอย่างที่บอก
    ร่วมกับเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องร่วมกับทำสมาธิแบบพิธีการ
    ฝึกจนกระทั่งแยกรูปแยกนามได้ก่อน(คือ เข้าใจกิริยาของจิต กิริยาของความคิด กิริยาของ
    ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ให้เห็นอารมย์ทั้ง ๓ ส่วนนี้ก่อน)
    และเดินปัญญาให้ได้ซักระยะหนึ่ง
    หลังจากนั้น อยากจะฝึกกรรมฐานอะไร
    ค่อยมาว่ากันครับ มันถึงจะฝึกสำเร็จได้ง่ายครับ....

    เตรียมฐานให้ดี ฐานดี ฝึกอะไรก็ง่านในอนาคตครับ
    ไม่งั้นจะเสียเวลาเฉยๆ ฝึกไปกี่ปีกี่ปี ก็ไม่มีผล เผลอจะเบื่อ
    เผลอๆจะหลงตัวเอง
    ทั้งๆที่ไม่มีพัฒนาการทางจิต
    และจิตไม่มีความสามารถอะไร
    ก็จะหลงตัวเองได้ครับ
    ตัวอย่างในสังคมแบบนี้มีให้เห็นเยอะแยะครับ

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  10. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ถามแบบนี้แล้วจะยิ่งงงนะครับ เพราะมันมีวิธีปฏิบัติหลายวิธี แล้วแต่คนๆนั้นชอบแบบไหน ของผมคร่าวๆก็ตามนี้ครับ
    1. อารมณ์ มุ่งเน้นที่ความสงบ อย่างอื่นทิ้งหมด นอกจากสติที่ต้องตั้งมั่นให้อยู่กับคำภาวนากับลมหายใจให้ได้ตลอด... เมื่อใดที่สังเกตุเห็นว่า เราสักแต่นึกถึงคำภาวนา แต่สติยังอ่อน ผมก็จะพยายามเพิ่มสติ ให้ตั้งมั่นอยู่ในคำภาวนาให้ยิ่งขึ้นไปอีก
    2. ที่รบกวนสมาธิไม่ใช่คำภาวนา แต่เป็นความฟุ้งซ่านของจิต ที่ต้องการปรุงแต่งตามวิสัยของมัน... แต่เนื่องจากการปรุงแต่งนี้ จิตไม่สามารถทำได้อย่างเต็มกำลัง เพราะถูกคำภาวนาดึงไว้ มันจึงทำให้เกิดความอึดอัดขึ้น... มันเหมือนกับการเล่นชักเย่อ... เมื่อใดที่มีสติอยู่กับคำภาวนามาก จิตก็จะโดนดึงให้เข้าใกล้สมาธิ แต่เมื่อใดสติอยู่ในคำภาวนาน้อย (สักแต่ภาวนา) จิตก็จะดึงกลับไปหาความปรุงแต่ง แต่ดึงไปซักพัก จิตก็จะโดนดึงกลับเพราะเรามีสติขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว
    3. จริงๆไม่สำคัญ อย่าไปให้ควาทสำคัญมากนักกับสิ่งนี้ ถ้าคุณเห็นว่าสิ่งนี้สำคัญ คุณจะเกิดความพะว้าพะวงว่าจุดนี้ดีไหม หรือจุดนี้จะดีกว่า...ทำให้เป็นการเพิ่มกำลังให้จิตฟุ้งซ่านมากขึ้น.... ถ้าง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็ที่ปลายจมูก เพราะลมหายใจต้องกระทบที่ปลายจมูกอยู่แล้ว

    เดี๋ยวมาต่อ..
     
  11. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +368
    สมัยตอนที่บวชอยู่วัดป่าแห่งหนึ่ง หลวงพ่อแนะนำสั้นๆว่า ให้ภาวนา "พุทโธ" ๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็น อยากได้โน่นได้นั่น ด้วยความที่เรามีสันดานขี้สงสัยก็มาตื้อถามท่านอยู่เรื่อยๆ ท่านก็พูดคำเดิม พุทโธๆๆ ไปเรื่อยๆ ถึงเวลามันรู้ของมันเองอย่าสงสัย หน้าแหกมาหลายรอบ
     
  12. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    4. ตอนนั่งไม่ต้องนึกถึงอะไรเลย เพียงแค่พยายามประคองสติให้อยู่กับคำภาวนาให้ได้ตลอด

    5. ปกติทุกอย่าง ในขณะทำสมาธิ อะไรๆก็รู้สึกได้ แต่อย่าสนใจ เน้นสติอยู่ที่คำภาวนาอย่างเดียว

    6. ก็ต้องฝึกสติระหว่างวัน พยายามดึงจิตให้ออกจากความฟุ้งซ่าน แล้วเข้ามาดูที่กายให้ได้บ่อยที่สุด
    7. น่าจะคั่นๆกันอยู่ครับคือ พอสติอ่อนกำลังก็จะหลับ พอมีสติกลับมา ก็มีสติรู้.. แต่จะว่าหลับสนิทเลยก็ไม่ได้ ก็สติตัวนี้ยังกำกับอยู่ เพียงแค่กำลังของสติมันมีขึ้นมีลง แล้วแต่ความพยายามของตนในขณะนั้น....
    8. อันนี้ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผม สติต้องอยู่ที่คำสวดมนต์

    9.เป็นเพียงบุคลิกภายนอก พอนั่งไปแล้ว หลังจะตรง หรือหลังจะงอ ตัวจะเอียงก็ชั่งมัน... สติอยู่ที่คำภาวนาอย่างเดียว... พอมีสติ เวลาวูบก็จะรู้ก่อนว่าจะวูบ พอวูบแล้วก็จะรู้ว่าวูบแล้ว... รู้ทุกชั่วขณะวูบ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อาการคล้าย "หลับ แต่ ตื่นอยู่" ตรงนี้เป็นการ เริ่มต้นที่ดี ตรงนี้ "ไม่มี" นิวรณ์ 5

    +++ รักษาอาการ "ตื่นเฉย ๆ" ไว้อย่างนั้น ก็ดี เป็นอาการที่ "สติ" ทรงตัวได้

    +++ แล้วจะ พัฒนาไปเอง เรื่อย ๆ นะครับ
     
  14. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +368
    คุณยังไม่รู้ตัวหรือว่า คุณกำลังสงสัยในผลที่คุณทำว่ามันเป็นอะไรยังไงถูกผิดหรือเปล่านะโน่นนี่ ผมเคยไปถามหลวงพ่อมาหมดแล้วเรื่องพวกนี้ ท่านให้หลับหูหลับตาทำไปเรื่อยๆ พระท่านฉลาดสอนเรานะครับคิดดูดีๆ
     
  15. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +368
    ความรู้หรืออาการต่างๆที่เกิดขณะเราภาวนามันเป็นเรื่องเฉพาะของบุคคลนะช่วงเวลานั้นๆด้วย

    ความรู้ที่อ่านมา จำมา เขาบอกมา ตัวนั้นแหละตัวขวางชั้นยอด ยิ่งไปคิดตามคำเขาพูดเปรียบเทียบกับที่เราเป็นอยู่ว่าเหมือนเขาว่าหรือเปล่านะ นั่นแหละขนิกะยังไม่อุปจาระเลย ผมโดนสวดมาอ่วมนะสมัยตอนบวช 555
     
  16. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    ลองแบบหลวงตาบัวท่านก็ได้ครับ เริ่มตามท่านตอนท่านหนุ่มๆ เริ่มปฏิบัติใหม่ ผมก็ทำตามหลวงตาท่านนี้ละคับ สมัยเณรน้อยฟังท่านเทศ ท่านให้ภาวนา พุทโธ ทั้งวัน ไม่ว่าจะทำอะไร ยืนเดินนอนนั้ง ทำงานเข้าห้องน้ำ เฉพาะตอนอ่านหนังสือผมจะหยุดภาวนา เพราะมันทำไม่ได้อ่านไม่รู้เรื่อง

    คือให้พุทธโธ ติดอยู่ในใจทั้งวัน ทุกวัน มันจะเป็นกำลังให้เรามากตอนที่เรานั้งกรรมฐาน สตินี้มาเต็ม หากท่านจะนั้งตอนกลางคือ แนะนำให้งดข้าวเย็น ธาตุจะเบา เข้าสมาธิง่ายสำหรับคนเริ่มใหม่ ทนหิวหน่อย

    ท่านจะไม่สอนอย่างอื่นเลยสำหรับผู้เริ่มใหม่ ครูบาอาจารย์ จะไม่บอกอะไรเลย มารู้ตอนโตในประวัติหลวงปู่มั่น ท่านให้พระทุกรูปที่เรียนธรรมมา ไม่ว่าจะเป็นมหา หรือนักธรรมใดมาก็ตาม ให้ลืมที่เรียนมาให้หมด ไม่ต้องคิดไม่ว่าจะเรียนมามากแค่ไหน สละทิ้งทั้งหมด มาเริ่มใหม่ เพราะจะติดเป็นสัญญา หรือหลอกตัวเอง ในสมาธิ ทำให้ไม่ก้าวหน้า หรือช้า

    กว่าผมจะรู้อะไรเพิ่มเติมคือ มาหาอ่านเอาทีหลัง กลายเป็นตอนนี้ถ้าครูบาอาจารย์ยังอยู่ ผมกลับไม่อยากรู้ไม่อยากอ่านอะไรเลยให้มโนอยู่อย่างนี้ จากที่จะรู้ได้เองกลายเป็นสัญญา บางครั้ง กว่าจะผ่านได้แต่ละอย่างต้องพิจารณาซ้ำ ๆ ว่าเป็นจริง ไม่ได้มโนเอง อย่าพึ่งอยากรู้อะไรมากครับ เริ่มใหม่ แค่พุทโธ อย่างเดียวก่อน ไม่งั้นท่านจะยากลำบากแบบผม ทำไปเมื่อท่านติดที่ใดค่อยมาถาม รู้ก่อนใช่จะดี

    สมัยนี่มี อินเตอร์เน็ต หาได้ทุกอย่าง สมัยผม ไม่ต้องถาม โทรศัพย์มือถือยังไม่มี อยากรู้อะไรช่างแสนยากลำบาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ครับ ผู้รู้ในเวปนี้เพียบ จะเห็นว่าทุกท่านให้ภาวนาแค่ อย่างเดียว ชอบอันไหนเลือกได้ตามจริต ว่าจะภาวนาแบบใด
     
  17. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    แค่อยากให้ลองนะ
    - ก็ลองไม่ พุท โธ ดู เพราะมันคือทริคเฉยๆ เข้าสมาธิได้ง่ายและตัดความคิดได้บ้างนิดหน่อย
    - นึกภาพก็ลองทำดูดิ เกิดอะไรขึ้นไหม มีสมาธิขึ้นหรือป่าว แล้วมาคิดอีกทีว่าทำให้เราหลงไหม เพราะบางคนก็สามารถควบคุมมันได้
    - การกำหนดจิตมีตั้งหลายสำนัก อันไหนมันเหมาะกับเรา หลักๆก็ให้มีสติ ตัดความคิดละมั้ง อันไหนเราทำได้ดีก็ตามนั้นแหละ
     
  18. llxa

    llxa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +21


    ขอบคุณทุก comment ครับผม
     
  19. llxa

    llxa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +21

    ขอบคุณมากครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...