ขอความรู้เกี่ยวกับการนั่งสมาธิค่ะ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ปมณฑ์, 3 มีนาคม 2008.

  1. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขออนุญาติ มาตั้งกระทู้ ถาม เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ กับท่านผู้รู้หน่อยน่ะค่ะ
    ตัวเอง เป็นคนสวดมนต์ มานาน นับปี และ เป็นการปฎิบัติ ที่ไม่ได้เคร่งครัด เหมือนคนอื่น ทั่วๆไปน่ะค่ะ อย่างเช่น ทำงานบ้านไป เปิดเพลงสวดมนต์ ไป หรือ ขับรถไป ก็จะเปิดบทเพลงสวดมนต์ จะเป็น บทเพลงทุกๆบท เท่าที่สามารถ รวบรวมได้ เท่ากับ cd 2 แผ่น ตัวเอง คิดเอง ว่า เป็นการกำหนดจิต ในการปฎิบัติ และ ดิฉัน เคยไปนั่งสมาธิ ที่ บ้านสายลม ดูเหมือนว่า ไม่ถูกจริตกับตัวเอง ( ต้องขออภัยท่านอื่นๆน่ะค่ะ ดิฉัน ไม่ตั้งใจ ว่ากล่าวใครน่ะค่ะ ) เพียง แต่คิดอยู่เสมอว่า การนั่งสมาธิ ของตนเอง ไม่ได้ ปรารถนา เห็นอะไรทั้งสิ้น รู้แต่ว่า ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ นั้น จะว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เหมือน จิตที่นิ่ง ไม่ได้คิดอะไร ไม่เห็นอะไรเลย ขอแค่ใจสงบ ก็เท่านั้น แต่สิ่งที่เกิด กับ ตัวเอง ที่แปลก ที่สุด คือ กลับเคยเห็น กำลังนั่งสมาธิอยู่ โชคดี ที่ วันนั้น ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ทุกครั้ง ที่นั่ง สมาธิ ก็กำหนดลมหายใจ เข้า ออก และ พุทโธ หรือ บางครั้ง ก็เปิด บทสวดเจ้าแม่กวนอิม ขณะ นั่งสมาธิ การปฎิบัติ ของตัวเอง จะเป็นแบบ สบายๆ ดิฉัน คิดว่า อยู่ในสายกลาง ( คิดเอาเองน่ะค่ะ ) พยายาม ที่จะหา ใครสักคน ที่ เราจะเจอ และ ถาม เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ จริงๆ และ อยาก ปฎิบัติ ให้ถูกต้อง แต่ดูเหมือน จิต เราบอก ตัวเอง ยังหาคนที่ ใช่ไม่ได้เลย

    ต้องขออภัย ที่จะนำเรื่องบางเรื่อง มาเล่าให้ฟัง และ มิได้ ตั้งใจ ที่จะทำให้ใครเสียหายด้วยความสัตย์จริง ค่ะ

    ดิฉัน เคยเรียน วิชาโหราศาสตร์ไทย ไพ่ยิปซี และ ศาสตร์ อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่ง ทุกปี ดิฉัน ต้องมีการครอบครู กับ อจ. ทุกๆปี แต่ระยะหลังนี้ ไม่ได้ ให้ อจ. ท่านใดครอบครู เลย ดิฉัน ขอเล่า เหตุผล น่ะค่ะ แต่ขออนุญาติ ออกตัวก่อนน่ะค่ะ เหตุผล ของดิฉัน อาจจะมี บางคน หา ว่า ดิฉัน ไม่เคราพ ต่อครูบาอาจารย์ น่ะค่ะ เป็น เพราะ มีครั้งหนึ่ง ดิฉัน ไปทำ พิธีไหว้ครู และ อจ. เขาจะเอาเงินใส่ ซอง เท่ากับจำนวนเงิน ที่ดิฉัน ดูหมอ เป็นค่าครู ปีนั้น น่าจะเป็นปี 44 ดิฉันเรียน มาตั้งแต่ ปี 42 และ อาจารย์ ก็บอกให้ดิฉัน ใส่ซอง 300 บาท ท่านบอกว่า ดิฉันน่ะ เป็น ลูกศิษย์ รุ่นแรก และ เคยเป็น อจ. แทนท่าน มาแล้ว ดิฉัน ก็บอกท่านว่า ดิฉันน่ะ คิดค่าครู แค่ 99 บาท ขอทำเพื่อช่วยเหลือคนค่ะ ไม่ได้ ตั้งใจ จะทำ เพื่อ หาเงินจริงๆ วันนั้น ดิฉัน ใส่ซอง แค่ 99 บาท ปรากฎว่า ปีนั้น ลูกศิษย์ ท่าน กลับ ฉีกซอง ต่อหน้าทันที ที่รับ ซอง แต่ละคน ทำให้ ดิฉัน รู้สึก ไม่ดี เลย หลังจาก ปีนั้น ดิฉัน ก็ไม่เคยไป ไหว้ครู กับท่านอีก แต่ก็ยังเคารพท่าน ในฐานะ อจ. เช่นเดิม ตอนที่ดิฉัน รู้จักท่าน ท่าน ยังอยู่ ในแฟลตเล็กๆ ซึ่ง มีลูกศิษย์ ให้ท่านอยู่ ฟรีๆ แต่ ปัจจุบัน ท่านสามรถ มีตึกแถว ติดกันหลายห้อง ซึ่ง ดิฉัน ก็ไม่เคยไปไหว้ครู กับท่าน เพียงอต่ แค่ แวะเวียน ไปเยี่ยมท่าน ตามโอกาส

    หลังจากนั้น ก็ มาไหว้ครู กับ อจ. ที่ สอนไพ่ยิปซี ดิฉันก็ไหว้ครู กับท่านได้ แค่ 2 ปี ก็ต้องเลิกอีกค่ะ

    เหตุผลเดียว ที่ดิฉัน เลิกไปไหว้ครู กับท่านทั้ง 2 เนื่องจาก ว่า สิ่งที่ดิฉัน คิดและเห็น คือ จิตที่คิด และ จิตที่เป็น ต่างกัน กับตัวดิฉันเอง ต้อง ขออภัย ที่ต้อง บอกว่า ดิฉัน คิดว่า จิตที่บอกตัวเอง คือ เรามีกิเลส ของความอยากได้ ใคร่ ดีน้อย กว่า ท่าน ทั้ง 2 คน ( ขออภัย น่ะค่ะ กลัวบาปจัง แต่ไม่รู้ จะหาคำพูดไหน มาพูดดีค่ะ ก็ต้องขออภัย เป็น ร้อยเท่า พันเท่า ค่ะ ) หลายๆท่าน ก็คง เจอที่ หมอดู มักใช้ วิชาไปในทางที่ไม่ถูกต้องนัก ถึงบอกว่า วิชานี้ ศาสตร์ นี้ เหมือน ดาบ 2 คม ยังไง ดิฉัน ก็ยัง เคารพ ท่าน ในฐานะ อจ. เสมอ ดิฉัน ยัง แผ่บุญกุศล ที่ได้ ดูหมอฟรี เป็น วิทยาทาน ให้ท่าน เสมอ

    ดิฉันเอง ก็อยาก มีใครที่ จะครอบครู ให้ แต่ ขอให้เขา มีกิเลส ที่น้อยกว่าดิฉัน จริงๆน่ะค่ะ แต่ยังหาไม่เจอเลยค่ะ เศร้าจริงๆ ดิฉัน จึงต้องหาวิธี ด้วยการ ทำบายศรี ให้แก่ เทพ เทวดา ทั้งหลาย ด้วยตนเอง มาตลอด เป็นการ ไหว้ ครู บา อาจารย์ และ เทพ เทวา ทั้งหลาย ดิฉัน ขึ้น บายศรี ปากชาม ให้ หิ้ง พระพุทธ และ หิ้ง เทพ หรือ บางครั้ง ก็ทำให้ เจ้าที่ เจ้าทาง แต่ มาเมื่อปี ที่แล้ว มีความรู้สึก ว่า อยากเปลี่ยน เป็น บายศรี พรหม จึงเข้าไปเรียน ที่ศูนย์ ศิลปาชีพ บางไทร ทำเป็นแม้กระทั่ง บายศรี 9 ชั้น แล้ว ดิฉัน ยัง พูด กับสิ่งศักดิ์สิธิ์ เลยว่า ท่านทั้งหลาย ขา ตกลงแล้ว ท่าน จะให้ลูกเป็น คนไหว้ครู เอง แล้ว หรือค่ะ ( กำลังจะบ้าแล้วหรือนี่ คิดเองค่ะ ) ทุกวันนี้ ถึงเวลา ก็จะต้อง มานั่ง ทำบายศรี ครั้งละ 3-4 คู่ ในแต่ละครั้ง เพราะ มีจิตเมตตา ไปทำให้เพื่อน อีก 1 คู่ ค่ะ

    พูดเยอะจังเลย อย่า เพิ่งเบื่อน่ะค่ะ

    แต่สิ่งหนึ่ง ที่ดิฉันน่ะ อยาก ถามผู้รู้ จริงๆค่ะ การที่ ดิฉัน ปฎิบัติ แบบนี้ จะเป็น อย่างไรบ้างค่ะ มีใคร ตอบคำถามให้ได้บ้างค่ะ

    มีคำแปล ท่อนหนึ่งขอบท มหากรุณา ธารณีสูตร เขาแปลว่า

    ถ้าทำให้จิต มีความสงบนิ่ง ทุกขณะ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะมีความสำเร็จ ในธรรม โดยไม่รู้ตัว

    ดิฉัน ได้ แต่ คิดเสมอว่า คนเราจะดีได้นั้น จิต เราต่างหาก ที่เป็นผู้กำหนด ความบริสุทธิ์ อย่างแท้จริง บางคน นุ่งขาว ห่ม ขาวก็ยังมีกิเลส มากกว่า เรา เสียอีก ( เคยมีเพื่อน เล่าให้ฟังว่า คนที่ไปนั่งปฎิบัติธรรม เขายังทะเลาะกันเลยค่ะ ) ดิฉันว่า เรื่อง เล่านี้ เป็นสัจธรรม ของมนุษย์ ขอให้ทุกท่าน คิดว่า สิ่งที่ดิฉัน เล่าไป เป็น วิทยาทาน ก็แล้วกันน่ะค่ะ

    สิ่งที่ดิฉัน ตั้งจิตไปแล้ว หลังจากที่เห็น เจ้าแม่กวนอิม ในสมาธิ 1 ครั้ง และ ในฝัน อีก 1 ครั้ง คือ ดิฉัน จะถือ ศีล 8 ให้ท่าน 1 วัน คือ วันพระ แต่ วันพระใดที่ ข้าพเจ้า จะต้องปฎิบัติ ในฐานะมนุษย์ ลูกก็ขอสมา ( ใช้คำพูดถูก หรือปล่าวเนี่ย ) 1 วันค่ะ บุญกุศล ที่ลูกทำไปนั้น ก็ขอแผ่ไปให้ท่าน และ เทพ เทวา ทั้งหลาย ที่ลูกได้เคย เห็นท่าน ในนิมิต และ เทพ เทวา ทุกพระองค์ เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย ที่ได้ เข้ามาเกี่ยวข้อง กับ ข้าพเจ้า มีสิ่งหนึ่ง ที่ อจ. ที่ สอนโหราศาสตร์ ท่าน เคย พูดว่า เมื่อไหร่ ที่ดิฉัน สามารถ ละทางโลก ดิฉัน น่ะ จะมีโยมอุปาฐาก เยอะ ( มีแววไป หรือปล่าวเนี่ย ) ตอนแรก ที่ อจ. พูด น่ะ ดิฉันน่ะ ยังงง เพราะ ไม่เคยคิด ทุกวันนี้ ก็แค่ ยังคิดว่า แค่ พยายาม ทำชั่วให้น้อย ที่สุด ก็พอแล้วค่ะ พยายาม ปฎิบัติ ธรรม เท่าที่มีโอกาส เดินทาง สายกลาง ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่ง ก็จะเจอคำตอบเอง เมื่อถึงเวลา

    ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  2. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอตอบคุณปมณฑ์ครับ

    หากคำถามที่คุณถามมานั้น คือ การปฏิบัติแบบที่เป็นอยู่นั้นถูกต้องหรือเปล่า ก็ให้ดูว่าหากสิ่งที่ทำไปแล้ว เป็นการละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส ก็แสดงว่าคุณปฏิบัติมาถูกทาง แต่หากแนวทางที่ปฏิบัติอยู่ไม่ได้เป็นไปในเส้นทางดังกล่าว แสดงว่าการปฏิบัติไม่ถูกทาง หรืออาจจะถูกแต่ไม่เหมาะกับจริตของเรา

    ทั้งนี้ขอขยายความเพื่อให้เข้าใจชัดมากขึ้นโดยนำเอาหลักไตรสิกขา มาใช้เทียบกับการปฏิบัติของคุณเองดังนี้

    ด้านทำชั่ว ให้นำ "ศีล" ทางกาย (ละกายทุจริต 3) ทางวาจา (ละวจีทุจริต 4) ทางอาชีพ มาเทียบดูว่า แต่ก่อนเรามีศีลเป็นอย่างไร ผิดศีลบ่อยหรือไม่ แล้วเดี๋ยวนี้เราเป็นอย่างไร ไม่ผิดศีลตลอดได้หรือยัง หรือว่าผิดศีลบ่อยมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร ก็จะทำให้คุณรู้ความก้าวหน้า และรู้ว่าคุณนั้นได้ปฏิบัติถูกทางหรือไม่ วิธีปฏิบัติอยู่นั้นเหมาะสมกับเราหรือเปล่า

    ด้านทำดี ให้นำหลัก ทาน ศีล(มีกายสจุริต, วจีสุจริต, อาชีพสุจริต) ภาวนา(หมั่นเจริญสมาธิ หรือวิปัสสนา) มาเทียบดูว่า เรานั้นได้ปฏิบัติอยู่อย่างต่อเนื่องหรือไม่ และมีความมั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนาแล้วหรือยัง ปฏิบัติสม่ำเสมอหรือไม่ และวิธีที่เราปฏิบัติอยู่ เป็นไปในหลัก ทาน ศีล ภาวนาหรือเปล่า

    ด้านทำจิตใจให้ผ่องใส ให้นำหลักของ ปัญญา และการละกิเลส (โลภ, โกรธ, หลง) ความคิดไม่ดี(มโนทุจริต 3) ที่บังเกิดขึ้นในใจมาเทียบเคียง ว่าที่เราปฏิบัติอยู่นี้ ก่อให้เกิดปัญญาเห็นสิ่งต่างๆ ตามเป็นจริง เข้าใจถึงสิ่งต่างๆ ว่าทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้มากน้อยแค่ไหน และดูว่าความคิดไม่ดี กิเลสในใจของเราเวลาเกิดขึ้น เรารู้ทันหรือไม่ และจัดการกิเลสในใจที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า

    เพียงเท่านี้คงจะช่วยให้คุณรู้ว่าปัจจุบันนี้ อนาคตต่อไป คุณมาถูกทางหรือเปล่า และปฏฺบัติก้าวหน้า ถูกต้องดีแล้วหรือยัง?
     
  3. เด็กชายพชร

    เด็กชายพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +98
    อ่านกระทู้ของคุณปมณฑ์ ตั้งแต่เช้าแต่ยังไม่กล้าตอบคิดว่าสักพักจะมีผู้รู้มาตอบก่อนแน่ๆ ก็จริงนะคะ
    อ่านแล้วเหมือนจะระบายความในใจ หรือมีข้อสงสัยแต่ไม่รู้จะปรึกษากับใคร กลัวว่าถ้าพูดไปจะดูเหมือนงมงาย (อันนี้น่าจะรู้สึกเหมือนกัน)
    ความเห็นคล้ายคุณsiratsaporn คะคือคิดว่าอาจปฏิบัติไม่ถูกทางหรือถูกจริตของตัวเองคะ
    ต้องลองศึกษาดูคะ หรือไม่สอบถามจากผู้รู้ที่ได้ญาณท่านจะทราบว่าเราถูกกับจริตลักษณะใด
     
  4. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขอขอบคุณ คุณ Siratsapon มากขึ้น งั้นแสดงว่า ดิฉัน คงมาถูกทาง แล้วค่ะ เพราะ หลังจาก ปฎิบัติ แบบนี้ ทำให้รู้สึกว่า ดิฉัน เป็น ไป แบบแนวทาง ของ พรหมวิหาร 4 มากขึ้น ดูจาก จิต และ ดูจาก การที่ ถูก น้องคนหนึ่ง โกง แล้ว จิตที่เป็น ในขณะนั้น กลับ นิ่งเฉยได้ แม้ในขณะที่ น้องเขา เหมือน พยายาม ยั่วยุ อารมณ์ แต่ดิฉัน กลับนิ่งเฉย และ คิดว่า เป็น วิบากกรรม ที่ทำกับเขาไว้ เมื่อชาติที่แล้ว และ เงิน ที่เขาโกง ดิฉันไป นั้น ดิฉัน เองก็ต้องมารับ ใช้แทน เขา และ ก็ยังเป็น ทุกข์ อยู่บ้าง แต่ แค่ คิดว่า เรา จะพยายาม หาเงิน มาใช้เขา ให้ได้ และ มีความรู้สึก ว่า จิตที่เรา สามารถ ละทุกข์ อันนั้นได้ สักวันหนึ่ง ดิฉัน จะสามารถ ผ่านวิกฤต อันนั้นไปได้ เมื่อหมดวิบากกรรม

    ทุกวันนี้ เริ่ม ที่ จะถือ ศีล 8 ในวัน พระ มากขึ้น และ ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ ก็มีแต่ ความว่างเปล่า ก็มีบ้าง ที่ดิฉัน ไปพึงไปตั้ง ในกระทู้ พุทธภูมิ ว่า เห็น เจ้า แม่กวนอิมใน สมาธิ ครั้งหนึ่ง และ ในฝันอีก ครั้งหนึ่ง นั่นเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ มาตั้งกระทู้ ถามเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ เพราะ การนั่งสมาธิ ของดิฉัน นั่น ก้แค่ ความว่างเปล่า

    และ ยิ่งไปกว่า นั้น ดิฉัน มีความรู้สึกว่า ความว่างเปล่า ในจิตมากขึ้น บางครั้งอยาก ปล่อยวาง ไปเลยด้วยซ้ำไป ค่ะ แต่ เนื่องจาก หน้าที่ ของแม่ที่ยังต้องดูแลลูก จึงทำให้เหลือ กิเลส ที่ยังละไม่ได้ ทั้งหมด แค่รู้สึกว่า ทุกวันนี้ จิตที่เป็นอยู่ บางครั้ง เป็น อนัตตา จริงๆ

    อย่างไร ดิฉัน ก็ขออนุโมทนา ในคำตอบของคุณ น่ะค่ะ ทำให้รู้ ว่า สิ่งที่ ทำ เป็นทางสายกลาง จริงๆ ไม่ได้ ยึดมั่น ถือ มั่น จริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
  5. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    "การเห็นสิ่งต่างๆในสมาธิ"

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) ยอดพระนักปฎิบัติธรรมชั้นสูงของประเทศไทย ได้ให้แนวทางอันเป็นหัวใจแห่งการทำสมาธิไว้ในหนังสือ “ประชุมโอวาสฯ” ตอนหนึ่งว่า

    “ ข้อสำคัญมีอยู่อย่างหนึ่ง อันเป็นหัวใจแก่การทำสมาธิ สิ่งนั้นประเภทแรกคือศีลที่จะต้องปฏิบัติ"



    เมื่อรักษาศีลให้ครบไม่ด่างพร้อยแล้ว การกระทำสมาธิย่อมสำเร็จได้โดยเร็ว

    ศีลที่จะให้ปฏิบัติในขั้นแรกก็มีเพียง๕ประการเท่านั้น

    รักษาศีลทั้ง๕ นี้ให้บริสุทธิ์คงอยู่เสมอไปแล้ว การทำสมาธิ ก็ไม่เป็นเรื่องยากเย็นอะไร ข้อสำคัญพึงจำไว้ว่า การที่จะรักษาศีลนั้น จะมีวิธีการทำการละเว้นไม่ปฏิบัติในทางที่ผิดศีล และประพฤติปฏิบัติที่จะรักษาศีลด้วยเหตุ๓ประการ



    ประการที่๑ เรียกว่า เจตนาวิรัช ได้แก่ตั้งเจตนาที่จะละเว้นการกระทำอันเป็นการผิดศีลของตัวเอง

    โดยไม่ต้องไปกล่าวคำให้ผู้อื่นฟัง คือหมายความว่าโดยไม่ต้องมีการสมาทานศีลนั้น ให้ตั้งจิตเจตนาไว้ภายในอย่างมั่นคง ว่าจะรักษาศีลทั้ง๕นี้ไว้ให้บริสุทธิ์



    ประการที่๒ เรียกว่าสมาทานวิรัช หมายความว่าการที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ด้วยวิธีที่กล่าวคำขอศีลจากพระภิกษุ เป็นต้น การขอศีลจากพระภิกษุนั้น เมื่อได้รับศีลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระภิกษุจะอนุโมทนาศีลและให้พร จงรับทั้งศีลและพรนั้น มิใช่ตั้งใจรับแต่พรแต่ศีลนั้นปล่อยไปหาประโยชน์อันมิได้ เมื่อสมาทานศีลนั้นแล้วก็พึงประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามสิ่งที่ได้กล่าวปฏิญาณว่าจะรักษาศีลนั้นให้บริสุทธิ์



    ประการที่๓ เรียกว่าสมุทเฉทวิรัช คือการละเว้นโดยสิ้นเชิง มิให้มีสิ่งใดเหลืออยู่อีก เป็นการกระทำขั้นสูงสุด พยายามที่จะกระทำจิตและกาย วาจาให้บริสุทธิ์อย่างสูง คือเป็นสิ่งที่รักษากาย วาจาให้เป็นปกติอยู่ เมื่อกาย วาจาอันเป็นปกติแล้ว จิตย่อมเข้าสู่ความสงบอันเป็นปกติด้วย กิเลสพอกพูนอยู่ในดวงจิตก็ดี อาสวะคือเครื่องดองอันดวงจิตได้ตกลงไปหมักอยู่ก็ดี ย่อมจะลดน้อยถอยลง และเสื่อมสูญไป ทำให้ดวงจิตผ่องใสปราศจากธุลีเศร้าหมอง เป็นจิตที่มีความรุ่งโรจน์ เป็นจิตที่เจริญด้วยการอบรมเนืองๆจากศีลนั้น



    การประพฤติปฏิบัติ ด้วยการตั้งจิตเจตนาที่จะละเว้นการปฏิบัติในการผิดศีลทั้ง๓ประการที่กล่าวนี้

    หากเกิดแก่ผู้ใดนั้นย่อมจะได้สมความมุ่งมาดปรารถนา ดังที่มีคำอนุโมทนาและอวยพร “ อิมินา ปัจสิกขาปทานิ สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา สีเลน นพพุติ ยันติ ตัสมา สีบัง วิโสธเย”



    เมื่อจะแปลเป็นข้อความโดยย่อแล้วก็ย่อมจะกล่าวได้ว่า อันศีลทั้งหลายที่ได้ยึดถือและรักษาไว้นี้ ศีลย่อมจะรักษาผู้มีศีลให้มีความสุข ศีลย่อมจะอำนวยผู้มีศีลให้ประสบซึ่งความมั่งคั่งสมบูรณ์

    ศีลนำจิตเข้าสู่ที่อันสงบคือพระนิพพานได้ดังนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ทำตนให้เป็นผู้มีศีลไว้ดังนี้เป็นต้น ศีลย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการที่จะทำจิตให้เกิดสมาธิ



    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะตั้งใจกระทำสมาธิจิต นอกจากจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว ยังต้องประกอบไปด้วยพรหมวิหาร๔ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ควรจะต้องแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ ญาติมิตร อริศัตรู บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพชนต้นตระกูล ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีอุปการคุณ อารักขาเทวดา และทวยเทพเทวา พรหมมา เป็นต้น และอุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นต้น



    การเห็นในสมาธิ หลังจากที่บำเพ็ญจิตให้บังเกิดสมาธิอันแน่วแน่แล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ได้ประทานข้อแนะนำไว้ว่า....

    การเห็นในสมาธิมี๓อย่าง



    ๑.การเห็นในสมาธิที่ตั้งใจหมายไว้อย่างหนึ่งที่เกิดจากความปารถนาของจิตเอง อันนี้ไม่ถือว่าเป็นสมาธิ หากเป็นอุปทานต้องลบภาพที่เห็นเช่นนี้



    ๒.การเห็นอย่างที่๒ เป็นการเห็นเพื่อขอส่วนบุญ หรือชักนำไปสู่ความกำหนัด เกิดกามราคะ เพราะเหตุแห่งมารนำจิตไป หรือมิฉะนั้นดวงวิญญาณทั้งหลายที่มีความทุกข์ต้องการมาติดต่อขอส่วนบุญ เพื่อบรรเทาความทุกข์เดือดร้อนอดอยาก การเห็นเช่นนี้เห็นโดยจิตมิได้ปารถนา มิได้ตั้งปณิธานหรืออุปทานอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ เมื่อเกิดภาพนี้ขึ้นให้แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลแก่เขาไป อาจเป็นบรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร เป็นต้น



    ๓.การเห็นในสมาธิอย่างที่๓นั้นเป็นการเห็นโดยนิมิตอันประเสริฐ เช่นเห็นพุทธนิมิต เทพนิมิต พรหมนิมิตทั้งหลาย เป็นต้น การเห็นแสงสว่างทั้งปวงก็ดี การเห็นเช่นนี้เป็นเครื่องบอกว่า ได้เดินเข้าไปในทางที่จะสามารถติดต่อกับทิพย์วิญญาณทั้งหลายได้



    พึงพิจารณาแยกให้ออกว่าอันไหนเป็นนิมิต อันไหนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อขอส่วนบุญ อันไหนเป็นอุปทานที่เกิดจากความปารถนาของดวงจิต จงมีสติตั้งมั่นคุ้มครองดวงจิตโดยที่ไม่ต้องคิดหรือหวังจะให้เกิดนิมิต อันเป็นที่พึงปารถนาในทางที่จะชักนำดวงจิตเข้าไปสู่ทางอกุศลได้ต่อไป
     
  6. tuey_kts

    tuey_kts สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอตอบนะค่ะ

    การที่เราสวดมนต์นั้นก็เป็นเรื่องที่ดีนะค่ะ เพราะเป็นการรวบรวมจิตก่อนนั่งสมาธิเเต่จะไม่มีผลเลยถ้าเกิดว่าสวดมนต์เเล้วจิดฟุ้งซ่านสวดไปก็เท่านั้น เเต่ถ้ายากให้เห็นผลให้เเนะนำคือการนั้งสมาธิ การนั่งสมาธินั้นก็คือการทำจิตใจให้ผ่องใส่อยู่เสมอ อย่างเช่นวันนี้คุณไปทะเลาะกับคนอื่นมา คุณก็กลับมานั้งสมาธิเพื่อชำระจิตใจให้ผ่องใส่อยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ทราบเลยว่านี้เป็นการสะสมสิ่งที่ไม่ดีทำให้เรามีจิตใจที่เศร้าหมองนะค่ะ เเล้วจะบอกว่าการครอบครูนั้นก็ไม่จำเป็น ถ้าเราปฏิบัติดี ละความชั่วทั้งหลายทำความดี นั้นเเหละค่ะจะเป็นศิริมงคลกับตัวเรามากกว่า สิ่งที่อยากจะเเนะนำคุณก็คือ เวลาที่คุณนั้งสมาธิเเล้วเกิดเห็นภาพอย่างที่คุณว่า นั้นก็คือจิตเรา เวลาที่เรานั้งนิ่ง จนนิ่งมาก จิตเราไม่ได้คิดอะไรก็จริง เเต่ภาพตรงนี้เป็นจิตที่ลึก มันหลอกเราให้เราเห็น เป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะค่ะ บางคนก็คนว่าจิตเราออกจากร่าง เพราะว่าหลง การที่จิดจะออกจากร่างนั้นได้ต้อง สะสมบุญมาหลายชาติมาก การเกิดชาญก็เหมือนกัน ไม่ใช้จะสะสมในชาตินี้เท่านั้น คุณเคยได้ยินไหม สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน การเจริญกรรมฐานวิปัสนาเป็นการสร้างบุญมหาศาลกว่าทำทานนะค่ะ อย่างที่คุณทำก็ถูกที่ว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ให้กำหนดจิด หรือสตินั้นเอง อย่าง กินข้าว ก็กำหนดจิดว่า เคี้ยวหนอ เป็นต้น ถ้าคุณอยากได้วัดดี ๆ ขอเเนะนำว่าให้ไปวัดอัมพวันดูซิค่ะ เเม่ชีอาจจะดุหน่อยเเต่เจตนาของท่านคือ อยากให้เราปฏิบัติธรรมนะค่ะ ถ้าคุณอยากได้เทปธรรมะหรือปรึกษาเรื่องธรรมะให้สอบถามได้ทางเมล์ tuey_kts@yahoo.com การที่ดิฉันบอกคุณดิฉันไม่ได้ให้ใครเชื่อ ต้องลองคิด ทำ เเละปฏิบัติดูด้วยตนเองนะค่ะ พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ค่ะ ขออนุโมฐนาบุญด้วยนะค่ะ
     
  7. treeufo

    treeufo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +30
    สวัสดีครับ เท่าที่ผมได้อ่านๆมานะครับ ขอแนะนำคุณปมณฑ์ เล็กๆน้อยๆครับ ถ้าคุณสนใจจะปฏิบัติก็
    ตามนี้เลยครับ

    พิจารณาตามนี้ก่อนนะครับ
    ให้เก็บตำราไว้ก่อนนะครับ ต้องละทิ้งความเชื่อในสิ่งตาเนื้อเห็นหรือสัมผัส ทิ้งความสงสัยทั้งมวล
    ไปก่อนครับ แล้วกราบพระพุทธองค์ ผู้เป็นที่สุดแห่งบรมครู เป็นครูบาอาจารย์ ระลึกถึงพระองค์ท่าน
    ให้สม่ำเสมอ แล้วรักษาศีล ให้มั่นคง

    ก่อนปฏิบัติสมาธิ ให้ไปดูพระพุทธรูปบูชา ที่ชอบแล้วจำสัดส่วน ขนาดและสีสันไว้ครับจำนี่ไม่ได้ใช้
    ตาเนื้อจำนะครับ ให้จำไว้ในจิต จำแบบที่ว่าเมื่อนึกถึงจะหลับตาหรือลืมตา ก็ปรากฏชัดเจนในจิต

    ขณะเริ่มปฎิบัติสวดมนคาถาบทใดก็ได้ครับ โดยใช้ความศรัทธาและความตั้งใจจริง ระลึกถึงพระ
    องค์ท่านครับ แล้วกราบขอขมาพระรัตนตรัย ส่วนนี้สำคัญมากๆ ครับ จำเอาไว้ให้มั่น แล้วอุทิศ
    ส่วนกุศลทางจิตนั่นแหละครับ ให้เชื่อมั่นว่า ถึง และแผ่เมตตาทั้ง 3 โลก แล้วกราบ 3 ครั้ง

    แล้วนั่งสมาธิครับ ทำแบบไม่ต้องบริกรรมพระคาถาและไม่สนลมหายใจ เพราะ2 อย่างนี้เมื่อปฏิบัติ
    แล้วจะหายไปเอง ทำแบบจำพระพุทธรูป นั่นแหละครับแล้ว เอาจิตเกาะ พระพุทธรูปไว้ครับ เกาะแบบ
    ให้เหนียวแน่นเลยนะครับ แล้วกำหนดตัวคุณอีกคน กำลังนั่งสมาธิต่อหน้าพระพุทธรูป แม้ว่าความคิด
    หรืออะไรต่างๆ จะผ่านเข้ามาเท่าใดเราก็ไม่สนใจครับ แล้วเพ่งดูพระพุทธรูปว่าขนาด สีสัน ผิดกับที่
    เราจำมาหรือเปล่า ให้จิตเกาะไปเรื่อยๆ ครับ ถ้าพระพุทธรูปเริ่มเปลี่ยนสีไม่ต้องเอาจิตบังคับให้เป็นสี
    เดิมนะครับ เป็นสีอะไรก็ตามดูไปครับ เพราะสีที่ปรากฏจะเป็นสีที่เราชอบ และเป็นสีของกสินที่เราชอบ
    ปฏิบัติในภพก่อนๆ และถ้าเกิดพระพุทธรูปเปลี่ยนเป็นคนเป็นแบบพระสงฆ์ กราบทูลถามสิ่งที่คุณต้อง
    การทราบ ได้เลยครับแต่พยายามอย่าถามด้วยความอยากนะครับ แล้วปฎิบัติต่อหน้าพระองค์ท่านไปเรื่อยๆ
    ครับ เมื่อ กำหนดพระพุทธรูปแล้วพระพุทธรูปหายไป ก็ไม่ต้องตามกำหนดขึ้นมาใหม่นะครับ ให้วางเลย
    เพราะถึงตอนนี้คุณได้สำเร็จสมาธิเบื้องต้นแล้วครับ

    ในยามใช้ชีวิตปกติ พอความคิดแว่บเข้ามาก็กำหนดพระพุทธรูปเลยครับไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
    แรกๆอาจจะฝืนบ้าง เพราะชินกับความคิดมานาน ทำไปเรื่อยๆครับ ฝืนก็หยุดให้มันคิดไปบ้าง
    ทำเท่าที่ผมได้บอกๆมาแต่ต้นให้คล่องๆ ครับ เมื่อคล่องเมื่อไหร่ก็มาบอกกันครับ

    ติดขัด ไม่เข้าตรงไหนก็โพสต์ถามได้เลยครับ ส่วนท่านอื่นๆจะนำไปปฎิบัติบ้างก็ได้นะครับ

    Tree

    โปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...