การเจริญสติให้ได้ตลอดเวลาคือ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 3 กันยายน 2021.

  1. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    เขาชอบเสียงหวานๆ เป็นตัณหาอย่างหนึ่ง 555
     
  2. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    55555
    ต้อฝตั้งใจตอบ ให้สมพระเกียรติ คุณหมูไม้อุตส่าสละเวลามาตอบให้ยาวขนาดนี้ เราควรดีใจ
     
  3. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    มรรคคืออะไไร คนรู้บาลีีคงตอบได้แน่นอน มรรคก็คือมรรค ก่อนเป็นพระอริยะเจ้าก็ถือมรรค เมื่อเป็นพระอริยะเจ้าจนบรรลุนิพพาน ก็เป็นมรรคอันเดิม แล้วอะไรเปลี่ยนแปลงไป ถ้าจะเอามารวมกับปัฏฐานธรรมทั้ง 4 คงทำได้ แต่ว่า มรรคก็คือมรรค ความน่าสนใจจริงๆ คง ผล บางทีก็อะนะนิดนึง มรรค ผล นิพพาน แลดูเหมือนรหัส คำย่อ หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ได้ต่อเนื่องและแปลความหมายร่วมกัน นี่กระมังทำให้การสื่อ ก็มีบ้าง โดยเฉพาะคำว่า มรรคผล นิพพาน หรือ มรรค
    ผลนิพพาน และหรือ มรรค ผล นิพพาน 555
     
  4. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    มาแจมกะทู้แมวเน่าทั้งทีเดี้ยวบอกไม่มีธรรมอะไรให้อีก เพื่อให้เข้ากับกะทู้ นึกถึงเวลาเอาวัวเอาควายไปผูกให้เล็มหญ้า (อ่อนบ้าง แก่บ้าง) แต่ธรรมชาติของวัวหรือควาย ก็เล็มไปบ้าง ไม่เล็มไปบ้าง แต่ว่า เอามันไปผูกไว้แบบนั้น เมื่อเราไม่ได้อยู่ที่นั่นประการหนึ่งนะ องค์ประกอบมี วัวหรือควาย เชือกที่ผูก และหลักที่ปักเพื่อคล้องเชือก
    ประการที่สองถ้าเราอยู่ องค์ประกอบเดิมก็ยังมี เพียงแต่มีเราอยู่และเรานั่งดูอยู่ ดังนั้นความมันส์จึงบังเกิด
    เมื่อปรียบเทียบว่า อันใดคือจิต อันใดคือสติ และอันใดคือเรา นี่นิยามในแง่ที่ว่า เปรียบเทียบนะ ลองตั้งใจพจิจารณาดูเอาว่า ตามคำบอกนั้น ถ้าเราวางไว้ผิดที่ ผลนั้นจึงต่างกันไปในแต่ละปัจจัย แมวเน่ากับหมูไหม้เน่าว่า อะไรควรเป็นอะไร นี่ธรรมมะนะ แต่เป็นอะไรที่นิดนึง จะได้ไม่เครียดมาก ก็มีธรรมแค่นี้ไม่เหมือนแมวเน่ากับหมูไหม้เน่าหรอก มันล้นกำมือเกินไป แต่งเรื่องนี้มาตอบสิว่า อะไรเป็นอะไรแล้วอะไรควรวางไว้ตรงไหน กันแน่
     
  5. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    เอ่อ อาจขาดอะไรบางอย่าง รบกวนเติมให้ด้วยนะ เพราะมันจะบอกว่า แมวและหมู ไม่ได้เน่า ถ้าไม่งั้น ก็เน่าสนิท
     
  6. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    ๏ การเลี้ยงควาย
    เรื่องปฏิบัติก็เช่นกัน เมื่อเราดูจิตของเราอยู่ ผู้รู้ดูจิตเจ้าของผู้ใดตามดูจิตผู้นั้นจักพ้นบ่วงของมาร เปรียบเหมือนกับเราเลี้ยงควาย หนึ่งต้นข้าว สองควาย สามเจ้าของควายควายจะกินต้นข้าว ต้นข้าวเป็นของที่ควายจะกิน จิตของเราก็ เหมือนควายอารมณ์คือต้นข้าวผู้รู้คือเจ้าของควาย เวลาเลี้ยงควายก็คอยตามดูไม่ให้กินต้นข้าว ปล่อยควายไป แต่ก็พยายามดูมัน ถ้ามันเดินไปใกล้ต้นข้าวเราก็ตวาดมัน ควายได้ยินก็จะถอยออกแต่เราอย่าเผลอนะ อย่าไปนอนหลับกลางวันก็แล้วกัน ถัาขืนนอนหลับ ต้นข้าวหมดแน่ๆ
    มาจากต้นฉบับนี้ แต่เปลี่ยนเวอร์ชั่นให้นิดนึง ไม่บอกหรอก ว่าใครสอนมา คิดเอาเองบ้างหาเอาเองบ้าง ไม่ใช่สักแต่เชื่อ ที่แย่คือ เชื่อตัวเองมากไป แต่ว่านะ ... ไม่รู้ รู้แต่ว่า นานและนานแสนนาน อาจพลาดได้
    มีอีกอันนึง
    ๏ ฟาดควาย
    จิตของเราก็เหมือนควายอารมณ์คือต้นข้าว ผู้รู้เหมือนเจ้าของ เวลาเราไปเลี้ยงควายทําอย่างไร ปล่อยมันไป แต่เราพยายามดูมันอยู่ถ้ามันเดินไปใกล้ต้นข้าวเราก็ตวาดมัน ควายได้ยินก็จะถอยออกแต่ราอย่าเผลอนะ ถ้ามันดื้อไม่ฟังเสียงก็เอาไม้ฆ้อนฟาดมันจริง ๆ มันจะไปไหนเสีย
    ทำไมจะไม่จริง ใช่ไหม แมวและหมูเน่า หมูดันไหม้ เพราะเอาตัวไปลนไฟเสียก่อน แต่แมวไม่ได้ไหม้ เพราะดันปล่อยให้เน่า 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2021
  7. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    upload_2021-9-6_20-48-2.png
    ยกตัวอย่างสิ่งที่เห็น มันก็อาจเป็นสัดส่วนบางอย่างได้ ที่ดุหรือว่าอะไรแรงๆ ไม่ใช่เพราะโกรธหรอก อย่างน้อยแมวและหมูเน่าก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบตามภาพที่ยกมานี้ นี่แค่นี้หรอก โลกนี้ก็คูณต่อเอาว่า เท่าไหร่
     
  8. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    นั่งอธิบายก็แล้ว...
    ..ตีลังกาก็แล้ว....
    คุณแนน....ยังไม่เข้าความต่างอีกหรือครับ

    ระหว่าง
    "การกระโดดเข้าไปดูจิต....แบบไม่มีที่เกาะ"
    กับ
    "อานาปานสติ
    ที่เห็นจิต....โดยอาศัยลมหายใจเกาะ"


    จะให้ผมต้องอธิบายกี่ที....
    ย้อนไปดูโพสเก่าๆ...เอาดีกว่าไหม
    ....ผมอธิบายแทบทุกแง่

    อานาปานสติ...ทำให้.....
    .....พ้นเจตนาเข้าไปรู้ยังไง
    .....ตัดวงจรปฎิจฯยังไง
    .....เปลี่ยนวิถีจิตยังไง
    ....จัดการอนุสัยยังไง
    ....อานาปานสติเป็นมรรคแปดยังไง
    ....ทำไมอานาปานสติไม่ให้เกิดอุปทานในรู้
    ....วิญญานหรือผู้รู้ถูกทอนกำลังยังไง
    ....เห็นการเกิดดับของวิญญานยังไง
    ....ทำให้จิตตั้งมั่นได้ยังไง
    ....ทำให้จิตเข้าสู่ความเป็นกลางยังไง
    ....ทำไมถึงไม่ก่ออุปทานในรู้
    .....ต่างๆมากมาย

    ที่เกิดจากการเจริญอานาปนสติ
    และชี้ให้เห็นข้อแต่ต่าง....
    จากการกระโดดเข้าไปรู้นามธรรม
    โดยขาดราวเกาะ
    ที่มีแต่จมลงในการรู้อารมณ์นั้น....

    คุณแนนคิดหรือว่าทำแบบนั้น
    จะไปถึงปลายทางเดียวกัน
    .......นามธรรมเป็นของลวงหลอก
    ....พร้อมจะสร้างอุปทานได้ตลอดเวลา
    ทุกในขั้นตอนที่เข้าไปดูมัน...เลยด้วยซ้ำ
    ถ้าไม่มีที่ให้จิตเกาะซักที
    .....
    ข้อผิดพลาดต่างๆคุณแนนก็เคยผ่านมาแล้ว
    อุปทานในตัวรู้...
    สำคัญในรู้
    ต่างๆนาๆ....ทั้งที่เคยตั้งกระทู้
    และออกมาจาก...ความเห็นที่คุยกับผม
    คุณแนนไม่รู้ตัวหรอกครับ..
    ทุกครั้งที่สำคัญ..ในการรู้...
    กล่าวออกมาว่า....
    "รู้ให้ถี่...รู้ให้ละเอียด"
    ....มันแสดงให้เห็นอะไร....

    อีกอย่าง....
    เมื่อเจริญอานาปานาสติมาถึงจุดหนึ่ง
    ที่จิตเปลี่ยนวิถี...สู่ความสงบระงับ
    มีอุเบกขาเป็นปกติ....
    มีความตั้งมั่นเป็นปกติ
    ตรงนั้นล่ะ....
    จะเห็นจิต....โดยไม่ต้องพยายาม
    มรรคแปด คือแบบนี้
    วิปัสสนาที่แท้จริงเป็นแบบนี้
    สมถะ...และ...วิปัสสนา
    เกิดขึ้นได้ด้วย....อานาปานสติ

    และไม่ต้องเที่ยวไปทำนั่งสมาธิสวดมนต์เพิ่ม
    เพราะอานาปานสติมีครบหมด
     
  9. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ไปดูพระศาสดาซิครับ
    ทรงใช้..."อานาปานสติ" อธิบายสติปัฎฐาน
    สติปัฎฐาน....จึงเป็นมรรคแปด

    คุณป.ปราบจะไปด้อยค่าอานาปานสติ
    เป็นแค่มรรคของเด็กฝึกหัด
    ....ไม่ได้นะครับ

    แถมคุณป.ปราบ
    จะรวมมรรคแปดของพระพุทธองค์
    ให้เหลือแค่มรรคข้อเดียวอีก
    และยังแยก....สมาธิพุทธ ...สมาธิฤาษีอีก
    ดูดูแล้วหลายอย่างเลยนะครับ
     
  10. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
  11. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    หมูเอ้ย

    ใครเถึยงหรือ ว่าพระพุทธองค์ไม่ได้ใช้ อานาปานะสติเป็นสติปัฏฐาน

    เจริญอานาปานสติ ก้เท่ากับว่าเจริญมรรค8 ก้เท่าว่าเจริญสติ
    มันก้อันเดียวกัน ใครเถียงเหรอครับ

    แล้ว ไม่ใช่ มีแต่อานาปานะสติอย่างเดียว

    อานาปานะสติเป้นแค่เพียง 1 ใน 21 วิธี

    ทำไมคุณไม่ดู อีก 20 วิธีที่เหลือครับ หมูเอ้ย

    ตะกี้เห้น บอกดูกายเคลื่อนก็ยังบอกว่าได้

    แต่พอดูจิต กับงงเต้ก หมูเอ้ย กี่โพสกี่โพสก้พูดแต่ซ้ำๆ


    ส่วน ท่านที่แยก สมาธิ ไม่ใช่ผมนะครับ พระศาสดา เป้นคนแยกเองนะครับ

    คุณไปเถียงเอากับพระศาดานะครับ
    ท่านแยกสมาธิไปถึง 55 ชนิด คุณยังมาแย้งเย้วๆๆ อยุ่ได้

    นี่ผมยกมาให้แค่ 2 ชนิดหลักๆ งงเต๊ก
     
  12. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    อานาปานสติ...ทำให้.....
    .....พ้นเจตนาเข้าไปรู้ยังไง
    .....ตัดวงจรปฎิจฯยังไง
    .....เปลี่ยนวิถีจิตยังไง
    ....จัดการอนุสัยยังไง
    ....อานาปานสติเป็นมรรคแปดยังไง
    ....ทำไมอานาปานสติไม่ให้เกิดอุปทานในรู้
    ....วิญญานหรือผู้รู้ถูกทอนกำลังยังไง
    ....เห็นการเกิดดับของวิญญานยังไง
    ....ทำให้จิตตั้งมั่นได้ยังไง
    ....ทำให้จิตเข้าสู่ความเป็นกลางยังไง
    ....ทำไมถึงไม่ก่ออุปทานในรู้
    .....ต่างๆมากมาย
    อันนี้ยกตัวอย่างนะว่า อานาปานสติที่ว่า ไม่ใช่ ไวไว หรือ ม่าม่า หรือ บะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้ออื่นๆ เพียงแต่ การใช้ปราณหรือลม อัสสาสะ ปัสสาสะ เพื่อเป็นเครื่องกำหนดรู้ เป็นได้สองกรณีในแง่สติเพราะ การระลึกรู้ลมหายใจในลักษณะต่างๆอย่างละเอียดจะต้องมีสติกำกับและนั่นคือมูลเหตุซึ่งเห็นชัดและใกล้ชิดกับชีวิตมากๆ จึงเป็นยอดของการภาวนา แต่ว่า นั่นนะสิ ผลของมันละ ข้อความข้างบนไม่ใช่ผลของอานาปานสติเลย เมื่อสติรู้ละเอียดในลักษณะของลมปราณแล้ว ความสะพรึงจะปรากฏคือ กายนี้หากไม่มี อัสสาสะ ปัสสสะ มันคืออะไร นั่นคือความจริงที่ว่า ชีวิตเมื่อไม่มีลมหายใจแล้วคือตาย ตายแล้วคือไม่สามารถทำในสิ่งที่ควรทำอีกได้ และไม่สามารถแก้ไขอะไรที่ผิดพลาดได้ นี่เป็นวิปัสสนาเบื้องต้น เกิดดับอะไร สติ ที่ควรเกิดคือ ลมหายใจนั้นแหละที่เป็นเรื่องจริง แต่จะทอดทิ้งหยุดมันก็หาทำได้ไม่ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ เมื่อเห็นค่าของลมหายใจ ซึ่งแค่ละคร หรือลิเก กับนั่นคือความจริง มันต่างกันสิ้นเชิง และเรื่องอุปทานหรือความเป็นสังขารที่หลอนจิตใจ เพราะว่า มันยังไม่เห็นค่าของลมหายใจ ถ้าไม่มาทางนี้ ต่อให้ทำฌาน ก็เห็นค่านั้นเหมือนกัน เพียงแต่ อานาปนาณสติเข้าใกล้ความจริงที่ว่า มีกายจึงมีลมหายใจ เพราะมีลมหายใจจึงรู้ว่า มันมีค่า และเมื่อเห็นว่ามันมีค่า จึงหาทำในสิ่งที่ควรทำ และเมื่อทำไปแล้ว ทุกๆสิ่งจึงเรียกว่า สติกำกับ เพราะนั่นไม่มีอีกแล้วว่า ผิดพลาด ไม่ใช่แค่คิด ไม่ใช่การปรุงแต่ง ช่างเถอะ ลิเก แต่ที่ยกมา เป็นตัวอย่าง มันดูลิเกมากๆเลย
    "ทำไมอานาปานสติไม่ให้เกิดอุปทานในรู้" อานาปานสติ เดิมทีคือสมถะ แต่ที่ว่าต่างไปเพราะคนที่เห็นคนแรกเขาเห็นลึกและละเอียดมาก ในเชิงวิปัสสนา
     
  13. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    เรามีโอกาสที่รู้ว่ามีจิตแต่ไม่รู้ว่ามีอารมณ์ แต่เราจะไม่โอกาสเลยที่รู้ว่าอารมณ์ฺเป็นเช่นไร โดยไม่มีจิต อันนี้คุ้นๆไหม หมูเน่าเหม็นไหม้ เอ้า สาวๆ รึป่าวไม่รู้ คุณแนน อธิบายขยายความให้หน่อยว่า ข้อความนี้จริงและไม่จริงอย่างไร
     
  14. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    แนนเข้าใจ เพราะแนนทำอยู่ทั้ง 2 แบบที่คุณเกริ่น ระหว่างวันดูจิต ในรูปแบบก็ดูลม ดูพองยุบ

    แต่คุณหมูต่างหากไม่เข้าใจแบบที่แนนอธิบาย เพราะคุณไม่เคยไงเลยคิดเอง เออเอง




    จะไปดูอีกทำไม ดูอีกกี่ที แนนก็คงแย้งแบบเดิม


    แล้วแนนเคยบอกหรอ ว่าทำ อานาปานสติ แล้วมันผิด ไม่ดี นั่นนี่ มีแต่คนเขาก็บอกว่าดีทั้งนั้นแหล่ะ ไม่ว่าทางไหน

    สารพัดที่กล่าวมาเนี่ย มีแต่คุณนั่นล่ะ ชี้แต่แนวทางวิธีอื่นผิด วิธีที่ฉันทำเริ่ดสุด

    คนภาวนาจริงๆ ไม่มานั่งแบ่งแยกวิธีการหรอกค่ะ เวิ่นเว้อ มากที่จะมาบอกว่า วิธีนั้นดีกว่าทางนี้ บลาๆ สงบเพื่อมาเห็นปัจจุบันขณะชัดๆ แค่นั้น



    ทำแบบไหนล่ะคะ
    เพราะแนนทำหลายแบบไม่ได้ยึดติด
    รูปแบบ พองยุบ ดูลม หรือ กายเคลือน หรือดูจิต….ทั้งหมดพาไปที่เดียวกัน


    จั๊กใครไปสำคัญตัวรู้เด้อ เห็นมีแต่คุณพูดถึงมันอยู่นั่น
    เนี่ยๆๆไปสำคัญ ไปจับผิดแต่มัน ไม่รุ้ตัว…ตั้งท่าเข้าไป

    รู้ให้ละเอียด คำนี้ไม่เคยพูด เคยพูดตอนไหน เอาปากกามาวง

    มีแต่บอกว่าแค่กำหนดรู้ รู้แล้ววาง แตะเบาๆ เหมือนเอาหลังมือแตะน้ำเย็นแค่พอรู้สึก จบ แล้วปล่อย แค่นั้น




    ใครเขาจะไปสวดมนต์ จะไปปีนผา ไปดำน้ำ

    ก็เรื่องของเขาสิ

    จู้จี้จิงๆเชียว
     
  15. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    คุณป.ปราบไม่ใช่หรือครับ...
    ที่บอกว่าอานาปนสติ...การรู้ลม รู้กาย...
    .....เป็นแค่ของเด็กเพิ่งฝึกหัด

    ต้องดูจิต....กายไม่ต้องของเด็กฝึกหัด
    แต่พอถาม...
    ก็คือการกระโดดเข้าไปดูอารมณ์จิต
    แล้วสำคัญว่าเดินมรรคแปดอยู่

    ทั้งๆที่เข้าไปรู้ด้วยสติอย่างเดียว
    รวบมรรคแปด...เหลือแค่สติ
    บอกแล้วว่าไม่ใช่ยังไง

    ส่วนสมาธิ 55 อย่าง 1000 อย่างก็ตาม
    บอกไปแล้ว
    พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแน่นอน
    อย่าว่าแต่55 อย่างเลยครับ
    สมาธิฤาษี ...สมาธิพุทธ...
    พระพุทธองค์...ก็ไม่เคยแยก
     
  16. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    อันนี้ก็อยากตอบและตอบแบบข้างๆคูๆนี่แหละ ป.ปราบ ไม่ได้ด้อยค่าว่านั่นเป็นแค่มรรค เพราะนั่นมันคือมรรค เป็นมรรคแม้ว่า องค์รวมแล้วจะให้เป็นสมาธิมรรคสัมมา ไปเรียงเอาเองเถอะ อันนี้มันเรื่องจริง ป.ปราบ ไม่ได้รวมมรรคแปดให้เลือมรรคเดียว เพียงแต่ว่า ป.ปราบ กำลังพูดกับหมูไหม้ว่า การจะพ้นจากวัฏฏะนั้น จะต้องมีมรรคสมังคี หรือมีครบองค์ และขาดไม่ได้เลย คือ สัมมาสมาธิ เป็นมรรคที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่รวมกันหมดเหลือมรรคเดียว ส่วนสมาธิพุทธหรือฤษี เขาไม่ได้ให้แยก เขาแค่ให้รู้ว่าอันไหนคืออะไร เพราะว่า จุดสุดท้ายของสมาธิมันลงเอยไม่เหมือนกัน เขาแค่เป็นห่วง ผมก็ห่วง เพราะหมูเน่าเมือนคนที่ ไม่รู้อะไรบ้างเลย
     
  17. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    จิตไม่มีที่ตั้งค่ะ

    แต่ที่มันเห็นกระเพื่อมกลางอกตอนอารมณ์เกิด คือตัวสติมันจดจำสภาวะระหว่างที่เกิดอารมณ์นั้นได้ แล้วมันแล่นไปเอง ไม่ได้ไปบังคับให้มันแล่น มันระลึกได้เอง ด้วยความเคยชิน

    สติมันระลึกได้ไม่เต็ม 100% หรอกคะ คุณคาดหวังว่าแนนจะเห็นแบบเต็ม 100 เลยหรอ

    เห็นแนนเก่งขนาดนั้นเชียว
     
  18. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626

    เข้าใจคำถามหรือเปล่าครับ
    เมื่อจิตไม่ได้ไปรู้อารมณ์...เอาจิตไปรู้อะไร?
     
  19. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ผมว่าคุณนั่นแหล่ะ ที่ฝึกแบบเด้กพึ่งหัด ที่ต้องคอยแต่มารู้ลม

    ส่วนเรื่อง สมาธิ ท่านแยกมาให้ 55 ชนิด

    ส่วนที่มาเรียกเป็นฌานฤษี นั่นเพื่อให้เข้าใจง่าย
    ในชั้นครูบาอาจารย์ ท่านก้ยกว่าเป้นสมาธิฤษี

    แม้ในพระไตรปิฎกชั้นหลังก็ยัง แยก

    นี่คุณภาวนาเป้นหรือเปล่า รู้จักหรือเปล่า สมาธิ
    ....................................................................

    ชัดว่าเป้น คัมภีร์ชั้นต้นๆ ไม่ใช่ คัมภีร์ใน วิสุทธิมรรค

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
    [​IMG]
    [๙๒] ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ด้วยดี
    เป็นสมาธิภาวนามยญาณอย่างไร

    สมาธิอย่างหนึ่ง คือ เอกัคคตาจิต

    สมาธิ ๒ คือ
    โลกิยสมาธิ ๑
    โลกุตรสมาธิ ๑

    สมาธิ ๓ คือ
    สมาธิมีวิตกและวิจาร ๑
    สมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ๑
    สมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจาร ๑

    สมาธิ ๔ คือ
    สมาธิมีส่วนเสื่อม ๑
    สมาธิเป็นส่วนตั้งอยู่ ๑
    สมาธิเป็นส่วนวิเศษ ๑
    สมาธิเป็นส่วนชำแรกกิเลส ๑

    สมาธิ ๕ คือ
    สมาธิมีปีติแผ่ไป ๑
    สมาธิมีสุขแผ่ไป ๑
    สมาธิมีจิตแผ่ไป ๑
    สมาธิมีแสงสว่างแผ่ไป ๑
    สมาธิมีการพิจารณาเป็นนิมิต ๑

    สมาธิ ๖ คือ
    สมาธิคือเอกัคคตาจิตมิได้ฟุ้งซ่านด้วยสามารถพุทธานุสสติ ๑
    ธรรมานุสสติ ๑
    สังฆานุสสติ ๑
    สีลานุสสติ ๑
    จาคานุสสติ ๑
    เทวตานุสสติ ๑

    สมาธิ ๗ คือ
    ความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ ๑
    ความเป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิ ๑
    ความเป็นผู้ฉลาดในการตั้งสมาธิ ๑
    ความเป็นผู้ฉลาดในการออกจากสมาธิ ๑
    ความเป็นผู้ฉลาดในความงามแห่งสมาธิ ๑
    ความเป็นผู้ฉลาดในโคจรแห่งสมาธิ ๑
    ความเป็นผู้ฉลาดในการน้อมไปแห่งสมาธิ ๑

    สมาธิ ๘ คือ
    สมาธิ คือเอกัคคตาจิตมิได้ฟุ้งซ่านด้วยสามารถปฐวีกสิณ ๑
    โปกสิณ ๑
    เตโชกสิณ ๑
    วาโยกสิณ ๑
    นีลกสิณ ๑
    ปีตกสิณ ๑
    โลหิตกสิณ ๑
    โอทาตกสิณ ๑

    สมาธิ ๙ คือ
    รูปาวจรสมาธิส่วนเลว ๑
    ปานกลาง ๑
    ส่วนประณีต ๑
    อรูปาวจรส่วนเลว ๑
    ส่วนปานกลาง ๑
    ส่วนประณีต ๑
    สุญญตสมาธิ ๑
    อนิมิตตสมาธิ ๑
    อัปปณิหิตสมาธิ ๑

    สมาธิ ๑๐ คือ
    สมาธิคือเอกัคคตาจิตมิได้ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถอัทธุมาตกสัญญา ๑
    วินีลกสัญญา ๑
    วิปุพพกสัญญา ๑
    วิฉิททกสัญญา ๑
    วิกขายิตกสัญญา ๑
    วิกขิตตกสัญญา ๑
    หตวิกขายิตกสัญญา ๑
    โลหิตกสัญญา ๑
    ปุฬุวกสัญญา ๑
    อัฏฐิกสัญญา ๑
    สมาธิเหล่านี้รวมเป็น๕๕ ฯ

    [๙๓] อีกอย่างหนึ่ง
    สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิ ๒๕ ประการ
    คือ
    สมาธิเพราะอรรถว่าอันสัทธินทรีย์เป็นต้นกำหนดถือเอา ๑
    เพราะอรรถว่าอินทรีย์เป็นบริวารแห่งกันและกัน ๑
    เพราะอรรถว่าสัทธินทรีย์เป็นต้นบริบูรณ์ ๑
    เพราะอรรถว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว ๑
    เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ๑
    เพราะอรรถว่าไม่แส่ไป ๑
    เพราะอรรถว่าไม่ขุ่นมัว ๑
    เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว ๑
    เพราะอรรถว่าหลุดพ้นจากกิเลส ๑
    เพราะความที่จิตตั้งอยู่ด้วยสามารถความตั้งมั่นในความเป็นจิตมีอารมณ์เดียว ๑ เพราะอรรถว่าแสวงหาความสงบ ๑
    เพราะอรรถว่าไม่แสวงหาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ ๑
    เพราะแสวงหาความสงบแล้ว ๑
    เพราะไม่แสวงหาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว ๑
    เพราะอรรถว่ายึดมั่นความสงบ ๑
    เพราะอรรถว่าไม่ยึดมั่นธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ ๑
    เพราะยึดมั่นความสงบแล้ว ๑
    เพราะไม่ยึดมั่นธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว ๑
    เพราะอรรถว่าปฏิบัติสงบ ๑
    เพราะอรรถว่าไม่ปฏิบัติไม่สงบ ๑
    เพราะปฏิบัติสงบแล้ว ๑
    เพราะไม่ปฏิบัติไม่สงบแล้ว ๑
    เพราะอรรถว่าเพ่งความสงบ ๑
    เพราะอรรถว่าเผาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบ ๑
    เพราะเพ่งความสงบแล้ว ๑
    เพราะเผาธรรมอันเป็นข้าศึกแก่ความสงบแล้ว ๑
    เพราะอรรถว่าเป็นธรรมสงบ เป็นสภาพเกื้อกูลและนำสุขมาให้ ๑
    สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิเหล่านี้รวมเป็น ๒๕ ฯ

    ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น
    ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
    เพราะเหตุนั้น

    ท่านจึงกล่าวว่า
    ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็น
    สมาธิภาวนามยญาณ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2021
  20. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    แนนก็บอกไปแล้ว ขณะ อะไรที่เด่น กำหนดรู้สิ่งนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...