การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวิวัฒน์, 7 ธันวาคม 2019.

  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,012
    FB_IMG_1575699746264.jpg

    พวกเราทุกคนเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างมหาศาล เพราะการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากเป็นอย่างยิ่ง อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนกับเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง โยนไปในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ขนาดพอที่จะสวมหัวเต่าได้ทิ้งเอาไว้ในทะเลนั้นด้วย ประมาณร้อยปี เต่าตัวนั้นลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง..ร้อยปีลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าบังเอิญหัวเต่าสวมแอกเมื่อไร ก็คือบุคคลหนึ่งที่มีโอกาสจะได้เกิดมา

    กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ การที่จะรักษาชีวิตให้อยู่รอดมาได้ก็แสนยาก เพราะชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หรือว่าเกิดเป็นตัวเป็นตนแล้วต้องเอาชีวิตรอดในสังคมนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

    กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็แสนยาก ถ้ายิ่งในตอนท้ายของพระพุทธศาสนา ขนาดขอฟังธรรมแค่ประโยคเดียว ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ ถ้าเกิดในช่วงที่โลกว่างพระพุทธศาสนา ไม่มีศีลไม่มีธรรมเลยก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

    และท้ายสุด สิ่งที่ลำบากที่สุด ก็คือ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดของพระพุทธเจ้านั้นยากที่สุด อย่างน้อยต้อง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป กว่าที่พระองค์ท่านจะสร้างบารมีแล้วบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราว่าพระองค์ท่านต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น เป็นแค่ตอนปลายเท่านั้น

    ในบาลีบอกว่า จิตฺติตํ สตฺตสงฺเขยฺยํ แค่คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๗ อสงไขยกัป

    นวสงฺเขยฺย วาจกํ ออกปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาอีก ๙ อสงไขยกัป รวมเป็น ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว

    หลังจากนั้นจึงทำกาย วาจา ใจ ทุกอย่าง สร้างบุญสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เป็นอย่างน้อย รวมแล้วก็ ๒๐ อสงไขยกัปเศษ ๆ เพราะฉะนั้น.. ไม่ใช่แค่ ๔ อสงไขยกัปแล้วจะจบ

    ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัว คือ ๔๐ กว่าอสงไขยกัป
    ถ้าเป็นแบบวิริยาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัวหนึ่งของศรัทธาธิกะ คือ ๘๐ กว่าอสงไขยกัป แค่กัปเดียวก็เกิดจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าโครงกระดูกของเราไม่เสื่อมสลาย เชื่อว่าคงท่วมจักรวาลไปนานแล้ว

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ายากเย็นแสนเข็ญทั้งหมดนี้ พวกเราทั้งหลายสามารถผ่านพ้นมาได้ เกิดมายากเราก็เกิดมาแล้ว รักษาชีวิตให้อยู่รอดได้ยาก เราก็อยู่รอดมาแล้ว การฟังธรรมหาฟังได้ยาก เราทุกคนก็ได้ฟังและปฏิบัติตามอีกด้วย การเกิดของพระพุทธเจ้าที่ว่ายาก เราก็เกิดทันพระพุทธศาสนาของพระองค์ท่าน จึงถือว่าพวกเราทั้งหมดเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างยิ่งที่เรารู้จักและพบพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันก็รู้จักธรรมะ อะไรดีอะไรชั่วเราก็รู้ เพราะฉะนั้น..อย่าให้เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสเกิดมาแล้ว รู้ว่าทานดีอย่างไร ? ศีลดีอย่างไร ? ภาวนาดีอย่างไร ? ก็ต้องพยายามทำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นการสั่งสมกำลังของเรา

    เนื่องเพราะว่าวัฏสงสารนี้ ประกอบไปด้วยแรงดึงดูดอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเรื่องของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ที่จะดึงดูดเราให้ติดอยู่ ให้ทุกข์อยู่ตลอดไป ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเบื่อเสียที ถ้าเราสั่งสมความดีไม่เพียงพอ กำลังของเราก็ไม่พอที่จะส่งให้เราหลุดพ้นไปได้ เราก็ยังต้องทุกข์อยู่ไม่รู้จบ

    ดังนั้น..อย่างน้อย ๆ ทุกคนต้องรักษาตนโดยการยึดหัวหาดความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบันเอาไว้ คือ ต้องมีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

    ไม่ละเมิดด้วยความตั้งใจของตน ยกเว้นพลั้งเผลอโดยไม่เจตนา และท้ายสุดมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้ต้องตายแน่นอน ถ้าตายเราขอไปพระนิพพาน

    ถ้าเรายึดหัวหาดตรงนี้ไว้ อย่างเก่งเราก็เกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น และเกิดอยู่ในสุคติภูมิ ก็คือ ระหว่างมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมเท่านั้น แต่ถ้าเราสามารถก้าวล่วงขึ้นไปสูงกว่านั้นได้ ก็ไม่ต้องลงมาเกิดอีก ก็คือไปอยู่ที่สุทธาวาสพรหม เป็นพระอนาคามี แต่ก็ยังมีความทุกข์อยู่ ก็คือ ต้องลำบากในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น

    เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ ก็ว่ากันให้จบไปในชาติเดียวเลย เห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ เห็นความไม่ดีของโลกนี้ ในเมื่อมีความทุกข์อย่างนี้ เราขอทนอยู่แค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มาทุกข์อย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไรจบกันแค่นี้ เราขอไปอยู่พระนิพพานกับพระพุทธเจ้า อยู่กับหลวงพ่อของเรา

    ถ้าเราตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้ แล้วภาวนาเอาจิตเกาะพระนิพพานไว้ให้มั่นคง เช้าสัก ๕ นาที เย็นสัก ๕ นาทีก็พอ มั่นใจว่าความดีที่เราสะสมนี้ ถ้าถึงวาระสุดท้าย สติ สมาธิ ปัญญาที่สั่งสมมา น่าจะมีกำลังเพียงพอ แต่ถ้าเรามีโอกาสก็กอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เจอเขาทำบุญที่ไหน เล็กใหญ่แค่ไหนเราทำหมด เจอการปฏิบัติภาวนาที่ไหน เราก็ร่วมทำกับเขาทุกครั้ง หรือในแต่ละวัน เรานึกถึงลมหายใจเข้าออกของเราครั้งหนึ่งก็ใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง เพราะฉะนั้น..เราใช้วิธีนี้ วิธีที่เดินเข้าไปพระนิพพานด้วยลมหายใจตัวเอง หายใจเข้าออกครั้งหนึ่งเราก็เข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจเข้าออกครั้งหนึ่งเราก็เข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง โดยอาศัยพระนามของพระพุทธเจ้า คือ พุทโธก็ได้ นะมะพะธะก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้ เป็นเครื่องนำทางเราไปสู่พระนิพพาน

    หลังจากนั้น ก็พยายามใช้ปัญญาดูให้เห็นว่า สภาพร่างกายก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของก็ดี สภาพของโลกนี้ก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ อาศัยไม่ได้เลย เดี๋ยวก็พังหมด มีความทุกข์เป็นปกติการดำรงชีวิตอยู่ ไม่มีสักวันเลยที่มีความสุขสบายอย่างแท้จริง

    และท้ายที่สุด ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้ สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ที่เรามาอยู่มาอาศัยตามสภาพของเวรกรรมที่สร้างมา ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด ในเมื่อสภาพของร่างกายเป็นอย่างนี้ เราก็ขอคบแค่ชาตินี้ชาติเดียวแล้วจบกัน
    ถ้าตั้งใจอย่างนี้ไว้ แล้วเอาจิตสุดท้ายเกาะพระพุทธเจ้าหรือเกาะพระนิพพานเอาไว้ ทำให้เคยชินแล้วทุกคนจะไม่เสียทีที่เกิดมา เรามีโอกาสที่จะหลุดพ้น เราเป็นบุคคลจำนวนน้อยนิดที่มีโอกาสสมบูรณ์มากกว่าคนอื่นเขา จงใช้โอกาสของตนให้สมกับความโชคดีของเรา
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...