การสร้างพระบารมีเริ่มแรก ของพระพุทธเจ้าของเรา (พระพุทธสมณโคดม)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย plaspirit, 5 กันยายน 2016.

  1. plaspirit

    plaspirit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,118
    [​IMG]

    การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์เจ้า เพื่อบ่มพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนี “โคดม” พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภท “พระปัญญาธิกะ” คือ ทรงยิ่งด้วยพระปัญญา พระองค์ต้องทรงใช้เวลาสร้างพระบารมีถึง ๒๐ อสงไขย และอีก หนึ่งแสนมหากัป ซึ่งการสร้างพระบารมีของพระพุทธเจ้านั้นใช่จะสร้างกันได้ง่าย ๆ อย่างที่คิดกันไว้ และการที่จะแสดงเพียงพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระสุเมธดาบสนั้นก็ดูจะง่ายและสั้นเกินไป ทั้งนี้เพราะการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องทรงใช้ความพยายามอย่างยิ่งใหญ่ ต้องเสียสละใหญ่หลวง ต้องบำเพ็ญบุญและทานบารมีถึงชีวิต ดังนั้นการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้านั้นจะแบ่งได้เป็น ๓ ระยะ คือ ๑. พระบารมีเริ่มแรก ๒. พระบารมีตอนกลาง ๓. พระบารมีตอนปลาย

    การสร้างพระบารมีเริ่มแรก
    การสร้างพระบารมีเริ่มแรกของพระพุทธเจ้านั้น ทรงปรารถนาพระพุทธภูมิ โดยตั้งดำริความปรารถนาไว้ในพระหฤทัยแต่ยังมิได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาออกมา ต้องใช้เวลา นานถึง ๗ อสงไขย

    ปรากฏเมื่อโลกธาตุว่างจากพระพุทธศาสนา คือ ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้เป็นเวลานานถึง ๑ อสงไขย จึงทำให้ธรรมวิเศษ คือ อริยมรรคอริยผลอันเป็นโลกุตรธรรมนั้นว่างเว้นไป เพราะธรรมวิเศษนี้จะมีได้ก็แต่เฉพาะภายในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ซึ่งในครั้งนั้นบรรดาพระอริยบุคคลที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีในกาลก่อน จนได้บรรลุถึงมรรคผลเบื้องบนสำเร็จเป็น “พระอนาคามี” อริยบุคคล แล้วจึงจุติขึ้นไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมอนาคามี ณ พรหมโลกชั้นสุทธาวาสทั้งห้า คือ อวิหาพรหมโลก อตัปปาพรหมโลก สุทัสสาพรหมโลก สุทัสสีพรหมโลก และอกนิษฐพรหมโลก เมื่อพระอริยบุคคลเหล่านั้นไปอุบัติบังเกิดเป็นพระพรหมอนาคามีแล้ว ก็เจริญกรรมฐานต่อไปจนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุด คือ ได้สำเร็จเป็น “พระอรหันต์” แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน ณ พรหมโลก นั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้พระพรหมอนาคามีก็เหลือน้อยลง และผู้ที่จะมาอุบัติเกิดใหม่ก็ไม่มี เนื่องเพราะโลกนี้ว่างจากพระพุทธศาสนา

    เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าพระอริยบุคคล ณ พรหมโลกทั้งห้า จึงได้มีดำริปรึกษากัน เพื่อสอดส่องแสวงหาดูทั่วทั้งหมู่มนุษย์และเทวดาเพื่อจักหาบุคคลผู้มีใจผูกพันมั่นคงกล้าหาญ เต็มไปด้วยความพยายามอย่างยิ่งใหญ่ อาจประกอบกิจที่มุ่งมั่นให้สำเร็จลุล่วงได้ โดยมิย่อท้อ ไม่ได้อาลัยถึงร่างกายและชีวิต โดยประสงค์ว่า เมื่อพบผู้มีน้ำใจองอาจมั่นคงชนิดนี้แล้ว จักได้เข้าบันดาลดลจิตของผู้นั้นให้บังเกิดมีน้ำใจรักใคร่ในทางที่จะปรารถนาพระพุทธภูมิ เพื่อตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลภายภาคหน้า

    [​IMG]

    บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ

    กาลครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือกำเนิดเป็นบุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ มีความยากจนอย่างหนัก เมื่อถึงกาลเจริญวัยเป็นมานพหนุ่มแล้วบิดมารดาก็คิดจะปลูกฝังให้ออกเรือน แต่ด้วยความยากจนแร้นแค้นทำให้บุรุษหนุ่มต้องเรียนให้บิดามารดาทราบว่า ทรัพย์ในเรือนตนก็หสิ่งมีค่าอันใดไม่ การจะออกเรือนจึงเป็นสิ่งยากลำบาก สู้ขออุตส่าห์อยู่เลี้ยงดูบิดามารดาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ยังจะเป็นประโยชน์กว่า จนเมื่อบิดาท่านถึงแก่กาลกิริยาตายไป นับแต่นั้นมาบุรุษหนุ่มก็คอยอุปัฏฐากบำรุงเลี้ยงมารดาเป็นกิจวัตรตลอดมา

    ในวันหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้ยากไร้ได้ไปเที่ยวเสาะแสวงหาฟืนหาผักในป่า นำกลับมาระหว่างทางให้เกิดอาการเหนื่อยอ่อนจึงแวะเข้านั่งพักยังริมฝั่งน้ำใกล้ท่าเรือสำเภา พอเห็นเรือสำเภาก็ให้นึกในใจว่า ตนนั้นยังหนุ่มแน่นมีกำลังแข็งแรง หากตนจะสมัครเป็นคนงานเดินทางไปกับเรือสำเภาเหล่านี้ก็น่าจะดีคงจะทำให้มีรายได้มาเลี้ยงดูมารดาได้ไม่ลำบาก ครั้นคิดได้ดังนั้นแล้วก็ได้เข้าไปหานายเรือสำเภาใหญ่ แล้วกล่าวขึ้นว่า

    “ข้าแต่นายท่าน กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าถึงซึ่งความยากจนเข็ญใจนัก จึงเซซังมาสู่ สำนักท่านด้วยหวังใจว่า ถ้าท่านอนุเคราะห์ข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จักขอทำงาน อยู่กับท่านด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อไป”

    นายสำเภาเรือครั้นได้ฟังวาจาดังนั้นก็พลันเกิดความสงสาร จึงตกลงใจอนุเคราะห์รับไว้โดยไม่รังเกียจ ส่วนบุรุษหนุ่มเข็ญใจครั้นได้ฟังดังนั้นก็ให้เกิดความยินดีหนักหนา จึงขอลานายสำเภาเรือกลับไปบ้านเพื่อไปบอกเรื่องน่ายินดีนี้แก่มารดา พร้อมทั้งจะได้เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปกับเรือสำเภา

    ครั้นมารดาได้ทราบความดังนั้น จึงกล่าววาจาแก่ปิยบุตรว่า “ดูกรพ่อปิยบุตร ! ทุกวันนี้ชีวิตของแม่ย่อมเนื่องอยู่ด้วยเจ้าผู้เป็นลูกรัก เพราะฉะนั้นเจ้าจะไปไหนก็ตามใจเถิด แต่ว่าขอให้แม่นี้ได้ไปกับเจ้า ได้อยู่ใกล้ ๆ เจ้าเสมอไปก็แล้วกัน”

    บุรุษหนุ่มเข็ญใจเมื่อได้ฟังคำมารดาดังนั้นก็ให้วิตกกังวลเป็นยิ่งนัก ไม่รู้จะทำเช่นไรดี สุดท้ายเมื่อคิดไม่ตกก็ได้ไปพบนายสำเภาเรือผู้ใจดีแล้วได้เล่าถึงปัญหาที่ตนกำลังมีอยู่ และได้อ้อนวอนขอนำมารดาแห่งตนตามไปกับเรือสำเภานั้นด้วย ซึ่งนายสำเภาเรือเมื่อได้รู้ถึงปัญหาของมานพหนุ่มก็ออกปากอนุญาตให้นำมารดาติดตามไปด้วย

    เมื่อเรือสำเภาแล่นไปในมหาสมุทรทะเลใหญ่ได้ประมาณ ๗ วัน สำเภานั้นต้องลมพายุใหญ่เหลือกำลังก็ถึงซึ่งกาลอับปางลง บรรดาลูกเรือและนายสำเภาเรือต่างก็สิ้นชีวิตลง ฝ่ายมานพหนุ่มก็ตั้งสติมั่นกระโจนลงจากเรือสำเภาแล้วพยายามว่ายน้ำหนีเพื่อรักษาชีวิตตน ครั้นหันกลับไปเห็นมารดายังไม่ตายก็ว่ายน้ำกลับมารับมารดาให้นั่งบนบ่าของตนแล้วก็พาว่ายน้ำไปในมหาสมุทร ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยหนักหนาก็สู้อุตส่าห์อดทนกระเสือกกระสนต้านทานคลื่นใหญ่และน้ำทะเลเชี่ยวเค็มนั้น ด้วยน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวเพื่อจะนำมารดาไปให้รอดชีวิต

    [​IMG]

    กล่าวฝ่ายท้าวสุทธาวาสมหาพรหมอนาคามี ซึ่งสถิตอยู่ ณ ชั้นอกนิษฐพรหมโลก ที่คอยเพ่งแลดูหมู่มวลมนุษย์ผู้มีใจองอาจเต็มไปด้วยอุตสาหะใหญ่ใจกล้าหาญสามารถที่จะกระทำ “พุทธการกธรรม”ได้ ครั้นทัศนาลงมาเห็นมานพหนุ่มเข็ญใจ ผู้อุตส่าห์พยายามจะนำมารดาให้รอดชีวิตจากคลื่นลมโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยนั้น จึงควรนับว่าเป็นผู้สามารถเพื่อที่จะบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้สำเร็จลุล่วงได้ เมื่อท้าวมหาพรหมคำนึงดังนี้แล้ว ก็เข้าดลจิตให้มานพหนุ่มเข็ญใจนั้นนึกปณิธานปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ

    ฝ่ายมานพหนุ่มเข็ญใจผู้แบกมารดาไว้บนบ่า ก็ฝ่าคลื่นลมจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรง จนร่างกายจมลงกลางทะเลใหญ่แล้วก็พยายามโผล่ขึ้นมาอีก จวนเจียนใกล้เวลานาทีอันเลวร้ายใกล้จะมรณะ ด้วยเดชะอำนาจแห่งน้ำพระหฤทัยที่ท้าวมหาพรหมผู้วิเศษให้นึกนั้น ก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า

    “ถ้าตัวเราถึงแก่ชีวิตพินาศขาดสูญลงไปในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่พร้อมกับ มารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ ขอเราพึงอาจนำสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในวัฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงฝั่งโน้น คือ อมตมหานิพพาน”

    ครั้นตั้งจิตคิดเป็นมหากุศลดังนี้แล้ว บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจนั้นก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า

    “เมื่อเราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ให้เปลื้องตนพ้นจากวัฏสงสารด้วยเถิด อนึ่ง..เมื่อเราข้ามจากวัฏสงสาร ได้แล้ว ขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้ด้วยเถิด”เมื่อนึกปณิธานดังนี้แล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ พละกำลังที่จวนจะหมดไปนั้น ก็พลันเกิดมีขึ้นมาอีกด้วยกำลังแห่งพรหมอนุเคราะห์ ภายในสองสามวันก็บรรลุถึงฝั่ง จึงไปอาศัยยังบ้านแห่งหนึ่งแล้วก็ทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยากต่อไป จนถึงแก่กาลกิริยาสิ้นชีวิตแล้วกุศลก็ส่งให้ไปบังเกิดในสุคติภูมิโลกสวรรค์

    ชีวประวัติของบุรุษหนุ่มเข็ญใจนี้ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดั้งเดิมเริ่มแรก เพื่อต้องการพระพุทธภูมิขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดม พระองค์ทรงเริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    [​IMG]

    บุรุษหนุ่มนายช่างทอง

    หลังจากที่ได้อุบัติเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์แล้ว ก็มาบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยอำนาจแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร พระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือกำเนิดเป็นมานพหนุ่มที่ทรงรูปลักษณะงามล้ำเลิศในตระกูลช่างทอง ในวันหนึ่งได้มีคหบดีเศรษฐีได้มาว่าจ้างให้ไปทำเครื่องประดับให้แก่ธิดาสาวสวยซึ่งกำลังจะทำการวิวาห์ครั้นไปถึงคฤหาสน์ท่านเศรษฐีก็ได้ถามว่า “ดูกรนายช่างทองผู้เจริญ ถ้าท่านได้เห็นเพียงมือและเท้าเท่านั้น ท่านยังจะสามารถทำเครื่องประดับได้หรือไม่?

    เมื่อช่างทองรับว่าทำได้ เศรษฐีจึงให้ธิดาของตนยื่นแต่มือและเท้ามาแสดงให้ปรากฏ ช่างทองหนุ่มก็กำหนดทำด้วยความชำนาญ

    ฝ่ายธิดาเศรษฐีให้นึกสงสัยว่า “เหตุไฉนหนอ บิดาจึงมิให้เราปรากฏกายต่อหน้าช่างทอง ให้แสดงแต่เพียงมือและเท้าเท่านั้น” ครั้นคิดดังนั้นก็ลอบแอบดูตามช่องไม้ พอได้เห็นสิริรูปสมบัติของบุรุษหนุ่มช่างทองก็ให้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่เป็นกำลัง คลุ้มคลั่งในดวงใจด้วยอำนาจราคะดำกฤษณา ธิดาสาวจึงมีจารึกอักษรเป็นใจความว่า “ดูกรพ่อช่างทองผู้เป็นที่รัก! หากท่านมีจิตใจรักใคร่เราแล้ว ณ ด้านหลังเรือนใหญ่นี้มีต้นบุพชาติสูงใหญ่ต้นหนึ่ง ในค่ำคืนนี้ท่านจงมานั่งซุ่มคอยท่าเราอยู่บนพุ่มคบไม้นั้นเถิด ถึงราตรีกาลเราจะไปพบกับท่าน” บุรุษหนุ่มช่างทองครั้นได้รับจารึกนั้นก็กลับบ้านเตรียมตัวเพื่อจะพบกับนาง ในราตรีนั้นบุรุษช่างทองก็ไปนั่งคอยจนกระทั่งเผลอไผลหลับไป ฝ่ายธิดาเศรษฐีนั้นก็เฝ้าคอยจนบิดามารดาหลับเสียก่อนจึงจะแอบลงจากเรือนได้ แต่ก็เป็นเวลาดึกดื่นยิ่งนัก พอมาพบชายหนุ่มตามนัดหมายก็ได้เห็นชายหนุ่มหลับใหลมิยอมตื่น และลัทธิสมัยนั้นให้ถือกันว่า “ถ้าบุคคลหลับสนิทอยู่ ผู้ใดปลุกให้ลุกตื่นขึ้นแล้ว ผู้ปลุกนั้นย่อมมีบาป ตายไปต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดกาลกัปหนึ่ง” เมื่อนางไม่สามารถปลุกช่างทองให้ตื่นขึ้นมาได้ นางจึงกลับไป

    ในวันที่สองและสามนี้ก็เช่นกัน เมื่อบุรุษหนุ่มช่างทองได้ไปทำงานยังบ้านเศรษฐี ก็ได้รับอักษรจารึกนัดหมายนั้นอีกเช่นเคย ชายหนุ่มก็ได้ไปรอดังคืนที่ผ่านมารวมเป็นเวลา ๓ คืนด้วยกัน และชายหนุ่มก็หลับใหลไม่รู้ตื่น

    ในวันรุ่งขึ้นถึงวันวิวาห์มงคล ฝ่ายบิดาเจ้าบ่าวก็ได้นำสมบัติมหาศาลหลายร้อยเล่มเกวียนและได้ฉลองกันอยู่สิ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนจึงเสร็จ บิดาเจ้าบ่าวก็พาบริวารกลับ

    ฝ่ายบุรุษหนุ่มช่างทอง ก็ให้ครุ่นคิดมิตกด้วยเห็นว่าธิดานั้นควรจะเป็นของตนเพราะนางได้ผูกสมัครรักใคร่ที่ตน ตนจึงควรจะได้ครอบครองนาง คิดดังนั้นก็คิดหาอุบายโดยได้ทำเครื่องประดับประกอบไปด้วยแก้วมุกดาวิจิตรบรรจง แล้วนำไปถวายพระมหาอุปราชเจ้า

    เมื่อพระมหาอุปราชได้รับของกำนัลอันเป็นที่ถูกใจ ก็ได้ตรัสถามนายช่างทอง ซึ่งก็ได้ขอร้องให้พระมหาอุปราชช่วยในอุบายของตนโดยให้ตนปลอมตัวเป็นกนิษฐาภคินีน้องหญิง แล้วก็ดำเนินอุบายไปยังบ้านท่านเศรษฐี เมื่อพระมหาอุปราชไปถึงก็ได้ตรัสถามท่านเศรษฐีว่า

    “ปราสาทหลังใหม่นั่นเป็นของใครอีกเล่า” “เป็นปราสาทแห่งธิดาของข้าพระพุทธเจ้า” “ดีละ..บัดนี้พระบรมชนกดำรัสให้เราไปปราบโจรร้ายในชนบทประเทศ เราจะขอฝากน้องหญิงแห่งเราไว้ให้อยู่กับธิดาท่านเป็นการชั่วคราว” ท่านเศรษฐีจึงว่า “แต่ว่าธิดาเกล้ากระหม่อมนั้น นางได้สามีแล้ว” พระมหาอุปราชจึงตรัสว่า “จะเป็นไรไปเล่า ..ท่านจงให้ธิดาของท่านงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวก่อน” “...ถ้ากระนั้นก็พอจะผ่อนผันรับพระธุระสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าข้า”นับแต่นั้นมานพหนุ่มช่างทองก็ได้อยู่ร่วมอภิรมย์กับธิดาเศรษฐีเป็นเวลานานสิ้นกำหนดสามเดือน

    ด้วยพระโพธิสัตว์เจ้าพระบารมียังอ่อน จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถต้านทานอำนาจแห่งกิเลสนั้นได้ ประกอบโทษล่วงเกินภรรยาผู้อื่น เป็นกายทุจริตเช่นนี้ ครั้นดับขันธ์สิ้นชีวิตในครั้งนั้นแล้ว ก็ต้องสืบปฏิสนธิไปบังเกิดในนรกหมกไหม้ ต้องได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายครั้งหลายหน เวียนวนอยู่ในภูมิอันต่ำช้านานนับเป็นเวลาได้ ๑๔ มหากัป

    ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่าย ๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว จึงต้องไปสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็น ลา เป็นเวลา ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปเกิดเป็น โค อีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็น คนพิการ ตาบอด หูหนวก อีกอย่างละ ๕๐๐ ชาติ แล้วก็ถือกำเนิดเป็น กะเทย อีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็น สตรี อีก ๕๐๐ ชาติ

    [​IMG]

    เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

    ในพระชาติสุดท้ายที่ ๕๐๐ ที่ถือกำเนิดเป็นสตรีนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้เกิดเป็นขัตติยกุมารีธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี

    ในสมัยนั้น เป็นกัปที่ชื่อว่า “สารกัป” เพราะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุปปบุตามหาราช จึงทรงเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดากับพระโพธิสัตว์เจ้าของเราที่เป็นกนิษฐาภคินี คือ เจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี

    เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกครั้งนั้น ยังหมู่มนุษย์และอาณาประชาราษฏร์รวมทั้งพระพุทธบิดา ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก

    วันหนึ่งเป็นเวลาเย็นค่ำ เจ้าหญิงสุมิตตาซึ่งประทับอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีกิริยาอาการอันสงบเสงี่ยมน่าเลื่อมใสยิ่งนักได้มายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูทวารวัง ก็ให้สงสัยยิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปกราบเรียนถามท่านถึงสิ่งที่ประสงค์จะได้ในการบิณฑบาตนั้น ซึ่งก็ได้คำตอบว่า พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อความทราบดังนั้นแล้วพระนางก็ทรงให้กราบอาราธนาพระคุณเจ้าท่านเพื่อสอบถามว่า

    “พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด” “ขอถวายพระพร พระราชธิดา อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมายนักหนา ทำสักการบูชาแด่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกร สัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้นเวลาสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมกัน ณ สำนักแห่งสมเด็จพระบรมครู อาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวก ทั้งหลายอีก ซึ่งอาตมาภาพเฝ้ากระทำอยู่เช่นนี้เสมอมา ขอถวายพระพร”ครั้นพระราชธิดาได้ฟังดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสยินดีนักหนา จึงทรงถือเอาขันสุพรรณภาชน์ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธ์ผักกาดจนเต็มขัน แล้วก็ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา แล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่า

    [​IMG]

    “สมเด็จพระเชษฐาธิราชของเรา ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไป เบื้องหน้า ขอจงข้าพเจ้าได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่ออนุกูล แก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด”

    เมื่อทรงอธิษฐานดังนั้นแล้ว ก็ทรงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้นลงจากพระเศียรเกล้า แล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า

    “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลเตลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัย ให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจ้าท่าน ขอพระ คุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัส เป็นองค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณท่านจงมีจิตการุณ ช่วย กราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรีกนิษฐภคินีขององค์สมเด็จพระพุทธ เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า “สุมิตตากุมารี” มีกมลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนัก ขอ น้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้ง ปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า “ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัย นานไปใน อนาคต จึงขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้ทรงพระนาม ว่า “สิทธัตถะ” เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด”

    เมื่อพระคุณเจ้าได้รับน้ำมันมากมายนั้น ก็นำมาจุดประทีปบูชาให้สว่างกว่าเดิม ครั้นได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปุราณทีปังกร ก็ได้กราบทูลว่า

    “ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิปณิธานว่าด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ ขอความปรารถนาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “สิทธัตถะ” ในอนาคต

    ข้าพระองค์ขอโอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระนางเจ้าจักสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า”

    “ดูกรภิกษุ! บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพ เป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับคำลัทธยาเทศพยากรณ์ก่อน” “พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไม่มี โอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า”

    ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าปุราณทีปังกรจึงทรงพิจาณาดูในอดีตภาคก็ทรงทราบว่า พระกนิษฐภคินีสุมิตตาเจ้าได้เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้แต่ครั้งเป็นมานพหนุ่มเข็ญใจแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเป็นประเดิม เมื่อทรงพิจารณาส่วนอนาคตก็ทรงทราบว่า พระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฏีกาว่า

    “ดูกรภิกษุ! กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขย เศษหนึ่งแสน มหากัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระทีปังกร ซึ่ง เป็นนามเสมอด้วยกับเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคินีของเรา พระน้องนาง จักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

    เมื่อได้รับคำพุทธฏีกาดังนั้น พระคุณเจ้าก็ได้นำไปบอกแก่เจ้าหญิงสุมิตตาให้ทราบ ซึ่งในพระชาติ ที่ ๕๐๐ นี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้หมดวิบากกรรมจากการล่วงกาเมสุมิฉาจารนั้น ล่วงภรรยาผู้อื่น ได้ใช้กรรมโดยเกิดเป็นหญิงชาติสุดท้าย ในการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าในระยะเริ่มแรก

    ที่มา: การสร้างพระบารมีเริ่มแรก | ปฐมบทเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า | พระพุทธเจ้า :: เว็บไซต์พุทธะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...