การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์มันเป็นแบบไหนครับพี่ๆบอกหน่อยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย PraAraHun, 2 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. PraAraHun

    PraAraHun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +22
    ปกติผมก็คิดว่า สักวันเราก็ตายเหมือนคนอื่นๆเขา ก็นึกถึงงานศพ นึกถึงคนตาย นึกถึงอุบัติเหตุ หรือความเจ็บป่วยที่เคยเกิดกับผม และอาจจะเกิดอีก เพราะผมก็เบื่อๆไม่อยากเกิดมาอีก แต่จริงๆแล้วต้องนึกถึงอะไรถึงจะถูกต้องครับจะได้นำไปปฏิบัติ

    มีอีกอย่างที่พระท่านว่า ให้พิจารณาอาหาร ภาพที่เราเห็นต้องเป็นยังไงครับ

    ขอบพระคุณพี่ๆทุกๆท่านที่ช่วยตอบครับ
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    คงต้อง โยนิโสมนสิการ ในสัมมาทิฎฐิ จากการค้นคว้าสะสมสุตะจากพระสัทธรรม พระสูตร พระวจนะ เพื่อ ความรู้:cool:
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ให้น้อมนึกในทุกขณะที่เราทำสิ่งใดอยู่ว่าถ้าหากเราตายไปตอนนี้ ขณะนี้ ลมหายใจนี้ จะเป็นยังไง ตายแล้วจะไปไหน ภาระหน้าที่ต่างๆ ได้กระทำจนครบหมดสิ้นหรือยัง เรียกง่ายๆ ว่าหมดห่วง

    เช่น ระลึกถึงความตายในขณะที่นอนอยู่ หากเราตายในขณะที่หลับอยู่จะเป็นยังไง
    ระลึกถึงความตายในขณะที่เดินๆ อยู่แล้วรถวิ่งมาชนตาย เราจะเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร
    ระลึกถึงความตายขณะที่รับประทานอาหารอยู่ แล้วเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดทำให้ตายในเวลานั้น จิตวิญญาณจะไปไหน

    เมื่อน้อมนึกได้ในทุกขณะจิต คุณจะรู้ จะเห็นเองว่าคุณยังประมาทอยู่หรือไม่ และความดีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ เพื่อเป็นปัจจัยนำส่งไปสู่ภพภูมิที่ดี

    การระลึกถึงความตาย จะเป็นเครื่องตอกย้ำให้คุณไม่เป็นผู้ประมาท และเร่งความเพียรให้ถึงพร้อม ก่อนที่คุณจะตายจริง หรือการตายก่อนตายนั่นเอง
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การนึกถึงความตายนี้ ให้เรา ระลึกแล้วให้เกิดปัญญา ดับทุกข์ ไม่หลงไหลเคลิบเคลิ้มหรือ เศร้าโศกเสียใจไปตามเหตุการณ์ต่างๆ
    เวลาเราพิจารณาแล้วให้เห็นจริงตามนั้นเราจะได้ไม่ประมาท เช่น เราเกิดมาแล้วเราก็ต้องตายแน่นอน สิ่งที่เรารักก็จะต้องตายจากพรัดพรากกันแน่นอน หรือ หากเราทุกข์ใจ คิดอะไรแล้ววางไม่ลง หาทางออกไม่ได้ ก็นึกว่า หากเราตายไปวันนี้ พรุ่งนี้เดี๋ยวนี้ ไอ้ที่แบกไว้อยู่มันจะช่วยอะไรได้ไหม
    หรือ หากว่า คนรักพรัดพรากกันไปเราก็พิจารณาว่า ใครบ้างไม่ตาย แม้แต่พระศาสดา พระโมคคัลลานะล้วนก็ต้องละสังขารอันนี้ไปทั้งสิ้น

    การพิจารณาความตาย ให้พิจารณาจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เราจะได้ไม่ทุกข์ไม่โศก ไม่โลภ ไม่หลงจนเกินไป แต่หากว่า พิจารณาไปแล้วหดหู่เศร้าใจ อันนี้เราอย่าเพิ่งไปพิจารณามัน

    สรุป พิจารณาเพื่อไถ่ถอนความหลง พิจารณาเวลาระงับความทุกข์ใจของตนเองไม่ได้

    แต่ อย่าไปพิจารณาจนหดหู่เบื่อหน่ายโลกจนไม่ทำอะไร แบบนั้นจะเป็นกรสุดโต่งไปเสีย
     
  5. nmz123

    nmz123 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +29
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ที่พักก่อด้วยอิฐ ชื่อนาทิกะ ณ ที่นั้นแล
    พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระ
    ภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณสติอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก
    แล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เธอทั้งหลายย่อมเจริญ
    มรณสติหรือหนอ ฯ
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระ
    องค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมเจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสติ นี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ
    เราพึงเป็นอยู่คืนหนึ่งวันหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของ
    พระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
    ก็เจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ
    เราพึงเป็นอยู่ตลอดวันหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของ
    พระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
    ก็เจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ
    เราพึงเป็นอยู่เพียงครึ่งวัน พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของ
    พระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ แม้
    ข้าพระองค์ก็เจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ
    เราพึงเป็นอยู่เพียงชั่วเวลาบริโภคบิณฑบาตมื้อหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค
    เราได้ทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญ
    มรณสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระ
    องค์ก็เจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า
    โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาบริโภคบิณฑบาตครึ่งหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มี
    พระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
    ก็เจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า
    โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาเคี้ยวข้าว ๔-๕ คำแล้วกลืนกิน พึงมนสิการถึงคำสอนของพระ
    ผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้
    ข้าพระองค์ก็เจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า
    โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาเคี้ยวข้าวได้คำหนึ่งแล้วกลืนกิน พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มี
    พระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุแม้อีกรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้
    ข้าพระองค์ก็เจริญมรณสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความคิดอย่างนี้ว่า
    โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้า หรือหายใจเข้าแล้วหายใจออก พึง
    มนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง พึง
    มนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ
    ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ตลอดวันหนึ่ง พึงมนสิการถึง
    คำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ภิกษุใด
    เจริญมรณสติอย่างนี้ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ครั้งวัน พึงมนสิการคำสอนของพระผู้มี
    พระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า
    โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาบริโภคบิณฑบาตมื้อหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มี
    พระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า
    โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาบริโภคบิณฑบาตครึ่งหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค
    เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ และภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า
    โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาเคี้ยวข้าวได้ ๔-๕ คำแล้วกลืนกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้
    เรากล่าวว่าเป็นผู้ประมาทอยู่ เจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะช้า ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลา
    เคี้ยวข้าวคำหนึ่งแล้วกลืนกิน พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ และภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่
    ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้าหรือหายใจเข้าแล้วหายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้
    เรากล่าวว่าไม่ประมาทอยู่ ย่อมเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น
    แหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักไม่เป็นผู้ประมาทอยู่ จักเจริญมรณสติเพื่อ
    ความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
     
  6. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
  8. PraAraHun

    PraAraHun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบพระคุณพี่ๆมากครับ จะนำไปปฏิับัติครับ ขอบคุณครับ
     
  9. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    แถมให้อีกหน่อย .....คิดเลยว่า พรุ่งนี้จะต้องตาย แล้วคุณจะทำอย่างไร..วันนี้.
     

แชร์หน้านี้

Loading...