การทำงานมีแต่กำไรไม่มีขาดทุน เป็นการสั่งสมประสบการณ์

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 กันยายน 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    E80FB87D-33C9-468D-828E-36C1BB6B9FA0.jpeg

    พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำงานมีแต่กำไรไม่มีขาดทุน เป็นการสั่งสมประสบการณ์ เมื่อสั่งสมประสบการณ์ มีความชำนาญ มีความคล่องตัว ต่อไปงานระดับเดียวกันก็ไม่มีอะไรที่เราต้องหนักใจ

    พวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วก็คือ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำงานก็หวังว่าเขาจะเห็นผลงาน พอคนอื่นได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนขั้นเงินเดือนแล้วเราไม่ได้ ก็เฉาหมดสภาพ ไม่คิดที่จะทำต่อ

    เราลองมานึกถึงในหลวง ร.๙ ทรงงานสิ พระองค์ท่านทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนมาตลอด ๗๐ ปีที่ครองราชย์ แม้กระทั่งเคลื่อนไหวลำบากก็ยังทรงงาน คิดงาน มีพระราชดำริให้คนอื่นไปทำแทน ระดับของพระองค์ท่านไม่ต้องทำก็ได้ แต่ก็ยังคงทำอยู่เป็นปกติ เราลองมานึกดูว่าการทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยากตลอด ๗๐ ปี ไม่มีวันพักผ่อน หรือมีวันพักผ่อนน้อยมาก ถ้าไม่ใช่หัวใจที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติและประชากร แล้วใครจะทำได้ ?

    เราจะเห็นว่าสมัยนี้พอไปถึงระดับหนึ่งก็ทำเพื่อพวกพ้องหรือตัวเอง แต่ในหลวง ร.๙ ของเราไม่เคยทำอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้นต่างประเทศเขาถึงไม่เข้าใจเรา ถ้าพูดในสายตาของเขาก็คือคนตายไปคนหนึ่ง ทำไมต้องร้องไห้กันทั้งประเทศ ? เพราะว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะมีในหลวงอย่างนี้ ส่วนใหญ่ราชวงศ์ของต่างประเทศครองราชย์ก็อยู่ในลักษณะของการเสวยสุข โอกาสที่จะทำเพื่อประชาชนมีน้อยมาก"

    "เมื่อเช้ามีโยมถามว่า ทำไมบุคคลที่บรรลุโสดาบันตั้งแต่สมัยพุทธกาลยังไม่เข้าพระนิพพานยังมีอยู่เยอะแยะ ? ส่วนหนึ่งก็คือติดสุข เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมอยู่ ติดอยู่กับความสุขในทิพยสมบัติ ก็เลยไม่ได้ขวนขวายหาความก้าวหน้า

    แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้เปรียบพวกเราตรงที่ว่า อบายภูมิปิดสำหรับท่านแล้ว โอกาสพลาดลงต่ำไม่มีแล้ว มีแต่เจริญขึ้น ช้าอย่างไรก็ก้าวไปข้างหน้า ส่วนพวกเรานี้โอกาสถอยหลังมีเยอะ ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง

    เราต้องไปดูว่าสิ่งที่เราทำ ถ้าเรารู้สึกว่าเหนื่อย รู้สึกว่าท้อ ต้องนึกถึงว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำคืออะไร ? หลายอย่างพระองค์ท่านไม่มีโอกาสเห็นตอนที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดดอกออกผลในรัชกาลนี้ แล้วคำทำนายโบราณที่บอกว่า "ชาววิไล" ก็คือช่วงรัชกาลที่ ๑๐ เกิดจากดอกผลที่พระองค์ท่านทุ่มเทเงินต้นด้วยกำลังกายกำลังใจตลอด ๗๐ ปีที่ผ่านมา

    อาตมาถือว่าโชคดีเป็นคน ๒ แผ่นดิน ในเมื่อเหยียบแผ่นดินเก่าด้วย แผ่นดินใหม่ด้วย ก็จะเห็นชัดเจนถึงความแตกต่าง ถ้าคนไม่ได้อยู่ในรุ่นเก่านานพออาจจะมองความต่างไม่เห็น สมัยก่อนทางบ้านของอาตมาเป็นทางลูกรัง ไม่มีคลองชลประทาน ไม่มีสาธารณูปโภค โครงการพระราชดำริต่าง ๆ เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำ พระองค์ท่านสอน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลได้จริง ๆ "

    "เราลองไปนึกดูหุบกะพงสมัยก่อนสิ จะไปทำอะไรกินได้ ? พระองค์ท่านทำโครงการพระราชดำริหุบกะพง แคนตาลูป เมล่อน อะไรต่าง ๆ ที่สมัยนี้ฮิตนักฮิตหนา รู้ไหมว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่หุบกะพง จากพื้นดินที่ซึ่งไม่น่าจะทำกินได้

    โครงการหุบกะพง โครงการห้วยทราย โครงการพิกุลทอง ล้วนแต่เป็นแผ่นดินที่ไม่มีสภาพให้ทำกินได้เลย แต่พระองค์ท่านก็สามารถที่จะปรับปรุงจนกระทั่งทำกินได้ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกที่ในพระราชวังมีนา มีบ่อเลี้ยงปลา มีโรงเลี้ยงวัว ทั้งหมดนี้ทำเพื่อใคร ? เพาะพันธุ์พืชและสัตว์ที่ดีที่สุดให้ชาวบ้านรับไปเอาไปเพิ่มผลของตนเอง เพื่อที่จะได้อยู่ดีกินดี

    เราจะเห็นว่าพระองค์ท่านประกอบไปด้วยบารมี ๑๐ อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะวิริยบารมี ความพากเพียรที่จะทำให้ชาวบ้านดีอยู่ดีกินดี มีประเทศไหนในโลกที่สามารถปราบฝิ่นได้ราบคาบโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารตำรวจ ก็มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ โครงการพระราชดำริเปลี่ยนจากฝิ่นมาเป็นพืชเมืองหนาว โครงการต่าง ๆ ไปดูสิ ไม่ว่าจะเป็นดอยอ่างขาง ห้วยฮ่องไคร้ ดอยมูเซอ ทำให้เราเห็นว่าพืชผักทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วเป็นที่ต้องการมาก แต่ว่าต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ"

    "เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ได้ดูในระยะยาว ๆ ก็จะไม่เห็นผล คราวนี้เราดูในระยะยาวที่เห็นผลแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ กำลังใจที่ทุ่มเททำเพื่อคนอื่นโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย พวกเราทำเพื่อตัวเองเราไปบ่นว่าเหนื่อย พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนหลายล้านคน ไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำ

    ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เล่าให้ฟังว่า ตอนท่านเป็นร้อยโท อนุศาสนาจารย์กองทัพบก ได้มีโอกาสใกล้ชิดพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป ท่านบอกว่าตอนนั้นเพิ่งปฏิวัติใหม่ ๆ ประเทศชาติยังลำบาก แล้วพลเอกอิสระพงศ์ท่านก็ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ต้องออกตรวจเยี่ยมทหารแนวหน้า ก็แปลว่าตรากตรำกันเป็นวันเป็นคืน เพราะว่าชายแดนยาวเหยียด แต่ละฐานแต่ละแห่งอยู่ที่ไหนต้องพยายามเข้าไปให้กำลังใจ

    วันหนึ่งกลับมาถึงที่พัก ท่านบ่นว่า “เฉลิมชัย...พี่เหนื่อยฉิบหา...เลย” แล้วก็หลับไปเลย ข้าวปลาไม่ได้กิน ลองดูว่านั่นทำแค่กองทัพ แต่ในหลวงท่านทำให้ทั้งประเทศ"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...