เรื่องเด่น การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ ตามศาสตร์วิชาเปิดโลก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 24 ตุลาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    psychic-powers-meditation.jpg

    ขอนำเรื่องราวบางอย่างที่ผมได้เรียนรู้มาจาก
    หลวงตาม้าสมัยบวชเรียนอยู่กับท่านที่วัดถ้ำเมืองนะ
    นำมาถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทความนี้เป็นธรรมทานครับ
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

    การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ

    ร่างกายที่เราใช้ในการดำเนิน ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่
    ธาตุ 4 ที่รวมตัวกันขึ้นมา ประกอบเป็นสิ่งที่โลกๆเรียกว่า
    เราแต่แท้จริงแล้วนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายอันเน่าเหม็นสกปรกนี้
    ที่เป็นเราแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างกำลังแก่ตัวลงตามกาลและเวลาและในไม่ช้า
    จะสลายตัวคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุด

    กายทิพย์ คือรูปและนามที่ประกอบขึ้นจากจิต และมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์ของ จิต กายทิพย์คือกายที่ซ้อนอยู่ในกายเน่าๆกายนี้ กายเน่าๆกายนี้ที่กายทิพย์ซ้อนอยู่ เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทุกวันนี้เราเหมือนตัวทากที่อาศัยอยู่ในเปลือก ซึ่งเปลือกนี้แลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงอยู่ในภพมนุษย์ได้ เมื่อเปลือกแตกไป จิต กายทิพย์นี้ก็ไม่อาจทรงอยู่ในภพมนุษย์ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นที่ๆเราเอาร่างกายเนื้อมารับกรรม ใช้กรรม หรือ มาสร้างบุญบารมีมาปฎิบัติ ฯลฯ ต่อไปนี้จะลงลึกในส่วนกายทิพย์ ซึ่งเป็นรูปและนามที่ประกอบขึ้นถูกตกแต่งจาก อำนาจกรรม (ใครจะใหญ่เกินกรรม) และ สภาวะจิต ที่ส่งผลต่อกายทิพย์โดยตรงว่าจะมีรูปร่างเช่นไร

    images?q=tbn%3AANd9GcQp2FxNsZ5cZngKDhJKTuAtcbt0HdEL2UrnAOlQsMRsZsscNmtY.jpg

    กำหนดดูกายทิพย์

    หากกำหนดดู ให้ทำใจให้สบายๆ อธิษฐานขอกำลังบารมีรวมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ขอดูเพื่อศึกษา แล้วกำหนดไป จับอารมณ์แรก จิตจะเห็นถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็งวางใจสบายๆ ทรงอารมณ์กระแสหลวงปู่ที่ไหลผ่านเข้าสู่จิตเราให้มีกำลัง แล้วน้อมไปอารมณ์คล้ายการนึกแล้วเห็น แต่ไม่ใช่อุปาทาน ขอแค่ใจสบายและอาราธนากำลังหลวงปู่มาก่อนกำหนดทุกครั้ง แล้วไม่ต้องลังเลไม่ต้องสงสัย ให้มีความกล้า นึกกำหนดไป หลวงตาเมตตาสอนว่าอุปาทานต่างๆ หลวงปู่ท่านคุมปิดให้หมด เราไม่ต้องกังวล

    ?temp_hash=a1ae4baaeb6f3fb4a8f18a0330b08c85.jpg

    นิมิตที่เห็นนั้นจริงทุกประการ ซึ่งหลักการนี้ยังใช้กับการกำหนดดูภพภูมิด้วย และที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานหัวใจที่สำคัญที่สุดของวิชาเปิดโลกทั้งหมด คือ พรหมวิหาร ซึ่งหลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลยหลวงตาสอนว่า "รักทุกคน ไม่เกลียดใคร ไว้ใจบางคน" ซึ่งแปลถึงว่าเราไม่มีอคติใดกับใครๆ รักทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดแฝง แต่ในทางเดียวกัน ก็เป็นการมีเมตตาอย่างมีปัญญา ทั้งนี้ในการทรงอารมณ์หลวงปู่ ในการน้อมไปดูนั้น การกำพระผงจักรพรรดิ จะช่วยได้มากสำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ ที่อำนาจจิตยังทรงกำลังหลวงปู่ได้ไม่นิ่งพอ

    หลวงปู่ดู่เป็นพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้าบารมีรวม ทั้งก่อนและหลังรับพยากรณ์ถึง 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป และ สร้างบารมีพิเศษด้านกำลังจักรพรรดิ เราสามารน้อมนำพลังงานของท่าน มาเพื่อใช้ในการปฎิบัติได้ ตามศาสตร์วิชาเปิดโลก

    ประเภทของกายทิพย์

    images?q=tbn%3AANd9GcTCKB7oLLycCHUL3jJ3c71bnfL9zGSwfYzjZaK2A4rx8w5bu4MW.jpg
    กายสัตว์นรก
    - เป็นกายทิพย์ที่จะปรากฎกับผู้ที่อำนาจจิตใจอยู่ในกิเลศอย่างเข้มข้น มีจิตใจที่เร่าร้อน ไม่สงบ วุ่นวายมีความคิดที่น้อมไปสู่อกุศล กายสัตว์นรกยังจำแนกออกไป ตาม อบาย ขั้นต่างๆ เช่นเปรต หรือนรกชั้นต่างๆซึ่งความน่าเกลียดน่ากลัวของกายทิพย์เหล่านี้ก็แตกต่างกัน ออกไป
    ตามชั้นของสถาวะจิตที่อยู่ในอารมณ์แห่งบาปเพียงใดเมื่อเราสามารถที่จะกำหนดดูกายทิพย์เหล่านี้ได้ เมื่อเราเห็นกายสัตว์นรกเราก็สามารถ น้อมกระแสดูต่อได้ว่า เมื่อเขาตายไป จะไปตกนรก ชั้นใดแต่ในทางกลับกัน แทนที่จะปล่อยให้เขาตกนรก เราก็สัพเพครอบวิมาน ให้เขาเพื่อปรับพื้นฐานจิตใจเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบวิมานกำลังบารมีบุญตัวนี้จักไหลเข้าสู่กายทิพย์เขาทำให้เขาจะมี โอกาสที่จะดีขึ้นเรื่อยๆได้ หากไม่พ้นวิสัยของกรรมก็อาจรอดนรกได้ในที่สุด

    images?q=tbn%3AANd9GcSWeGVHoeYng4oDdYqXATx60AzWgZnVQvu4sr5xiBS2OGEYvv7S.jpg
    กายในของสัตว์
    - เมื่อพูดถึงกายในของสัตว์คนส่วนใหญ่คงนึกกันว่าจะมีลักษณะเหมือนสัตว์ชนิด นั้นๆ เช่นเมื่อสุนัขตายไป ก็ จะมีวิญญานในรูปร่างลักษณะ ของสุนัข แต่แท้จริงแล้วหาใช่เป็นยังงั้นเลย สุนัขที่เราเห็นนั้น แท้จริงกายในก็มีลักษณะคล้ายกับรูปร่างมนุษย์ที่ขดตัวลงไปคลาน 4 ขาในร่างของสุนัข และนับว่าเป็นความทรมานอย่างยิ่ง ภูมิของสัตว์พระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นอบายภูมิชนิดหนึง แต่ทั้งนี้กายทิพย์ที่อยู่ในร่างของสัตว์ก็ยังมีลักษณะความหยาบละเอียดแตก ต่างกันไป เช่นหากเห็นสุนัขเรื้อนตามวัดวา พวกนี้ส่วนใหญ่คือสัตว์นรกที่ขึ้นมาชดใช้กรรมต่อในภูมิของสัตว์ ส่วนสุนัขที่เราเห็นอยู่ดีกินดี ก็ จะมีกายทิพย์ที่ยังเป็นกลางๆอยู่ ส่วนหากเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบุญญาบารมีหรือผู้มีธรรม โดนกรรมวิสัยทำให้ต้องเกิดเป็นสัตว์ เช่นเกิดเป็นช้าง นก ฯลฯ จะมีความบริสุทธิ์ของกายทิพย์ที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป แต่ทั้งนี้สำหรับโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้วจะไม่มีการไปเกิดเป็นสัตว์ หรืออบายภูมิใดๆ อีกเลย จักขึ้นลงเพียง ภูมิมนุษย์ กับภูมิ เทวดา พรหม

    images?q=tbn%3AANd9GcTKYJegXymwV4ZOqGKxMgfc7o16qE5ZLiuDBZzQ8DpEHDlpoKvv.jpg
    กายมนุษย์
    - มีความคล้ายคลึงกับร่างกายที่เราครองอยู่ในชาติปัจจุบันมากที่สุด เพราะกรรมตกแต่ง กายทิพย์มนุษย์ คือกายที่อยู่ตรงกลางของประเภทกายทิพย์ทั้งหมด โดยกายทิพย์มนุษย์โดยทั่วไปสภาวะ อารมณ์จะอยู่กลางๆ คาบเกี่ยวระหว่างบาปและบุญ ขึ้นๆลงๆ ไม่คานกันมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังแตกต่างกันอยู่ในเรื่อง ความหมองคล้ำ หรือความใสของกายทิพย์ สำหรับกายทิพย์มนุษย์ที่หมองคล้ำนั้น เหตุเกิดจาก ศีล 5 ไม่ครบ ยิ่ง มากข้อก็ยิ่งหมองและสุดท้ายนำพาไปสู่การเป็นกายทิพย์สัตว์นรกในที่สุดส่วน สำหรับมนุษย์ที่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน กายทิพย์จะมีความละเอียดมากกว่ายิ่งสถาวะอารมณ์ดีด้วย ก็ยิ่งมาก และเข้าใกล้สู่การเป็นกายทิพย์เทวดาต่อไป

    images?q=tbn%3AANd9GcSXOXLON9_xUsSkNjlwHQYqOhvW1toOOBd5KryDfmTaLYvzKsLH.jpg
    กายเทวดา
    - คือผู้ที่สามารถทำสภาวะจิตจนตั้งมั่นอยู่ในบุญตลอดเวลา เป็นปกติ มีหิริโอตะปะ ความละอายในบาป เป็นปกติมีศีลบริสุทธิ์ และมี อารมณ์เมตตาระดับหนึง แม้จะมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างในบ้างครั้งแต่ก็เบาบางมาก และหายไปทันทีและจิตก็กลับมาทรงอารมณ์ที่อยู่ในบุญทันที กายทิพย์ตั้งแต่ระดับเทวดาขึ้นไปจะมีเครื่องทรงที่มาจากอำนาจบุญที่เคยกระทำ ไว้ ไม่ว่าทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาและรวมถึงความเข้มข้นของอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นในบุญและความละเอียดของ จิต ซึ่งจะส่งผลต่อความะเอียดของกายเทวดาว่าจะสามารถเข้าถึงสวรรค์ชั้นใดได้ จาก 6 ชั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบุญบารมี ด้วย จึงขึ้นอยู่กับเราที่จะทรงกายเทวดาได้ละเอียดแค่ไหนวิมานของเทวดาเองก็มี ความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญของเจ้าของวิมานนั้นๆ

    images?q=tbn%3AANd9GcS7zPFLwDOZFIFeAM2pEbqUtyXDCagmrw5OxCvRyHp8QmYnUu0P.jpg
    กายพรหม
    - มีความคล้ายคลึงกับกายทิพย์เทวดาแต่จะมีความละเอียดกว่ามากเครื่องทรงจะมี ความละเอียดกว่ามากและเบาบางลึกซึ้งสุขุม การจะทรงกายทิพย์ของพรหมได้จักต้องมีอารมณ์ตั้งมั่นและสมาธิของจิตที่ดีมาก อารมณ์ใจสบายอย่างที่สุด และ มีพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างเข้มข้นครบถ้วน ซึ่งเป็นพรหมวิหารธรรม ความหมายตรงตามชื่ออยู่แล้ว

    images?q=tbn%3AANd9GcT6KFLIS-Z3ZhyoAR0nhKME2Ws1Uiv7hwgDv9L3aRvIs2xs2x_B.jpg
    จิตพรหมลูกฝัก
    - ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเป็นเรื่องของคนที่เล่นณานสมาบัติขั้นสูงๆกัน พบมากในฤาษีและผู้ปฎิบัติบางสายที่เข้าใจผิดขั้นสุดท้ายว่านี้คือนิพพาน สถาวะนี้จิตจะไร้รูปไร้ร่าง ฯลฯ เมื่อตายไปจะไปติดแหง่กอยู่ในอรูปพรหม 4 ไปไหนไม่ได้ นิ่งอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหมดกำลัง พอหมด หากมีกรรมบาปที่เคยทำเผลอๆดิ่งลงนรกต่อภูมินี้ให้อธิษฐานไว้เลยว่านับแต่บัด นี้ ตราบเข้านิพพานเราขอ ปิด อรูปพรหม 4 อย่างเด็ดขาด รวมถึงอบายภูมิ 4 แต่อธิษฐานอย่างนี้ ก็ต้องปฎิบัติด้วยต้องทำด้วยไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    images?q=tbn%3AANd9GcQA74y3t9dbAPbQeZgFwZ65kQK7g4B-Xt9yiokvUdyjxwG-65ym.jpg
    กายทิพย์ของพระอริยะเจ้า
    - มีเครื่องทรงที่ใสคล้ายแก้วมีความบริสุทธิและละเอียดสูงส่ง ยิ่งตัดกิเลสมากข้อเท่าใดเข้าใกล้ความเป็นอรหันต์เพียงใดไล่ไปตั้งแต่ พระโสดาบัน พระ สกิทาคามี พระอนาคามีกายทิพย์รวมถึงเครื่องทรงก็ยิ่งใสเป็นแก้วมากขึ้นเท่านั้นส่วนถ้า ถึงกายทิพย์พระอรหันต์นั้นกายจะใสบริสุทธิ์หมดจดเป็นแก้วเป็นสภาวะกายทิพย์ ที่อยู่เหนืออำนาจของโลกสมมุติใดๆ และเมื่อละสังขารไป ก็จักเข้าสุ่แดนพระนิพพาน วิมานเป็นแก้วกายทิพย์ก็จักเป็นกายทิพย์พระวิสุทธิเทพ รูปลักษณ์กายพระอริยะเจ้านอกจากจะเป็นแบบมีเครื่องทรงโดยส่วนใหญ่ก็พบว่าจะอยู่ในลักษณะพระสงฆ์ได้ด้วย คือกายทิพย์ห่มบวชเป็นพระเลยก็อยู่ที่ความประสงค์ของพระอริยะองค์นั้นๆ แต่ส่วนมากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเวลาท่านไปโปรดใครท่านจะไปในรูปลักษณ์พระเป็นส่วนใหญ่

    images?q=tbn%3AANd9GcROlVjTIeADZi82_VKYXWsJTlQvlK7JttsfFS2no97Dnam9elhc.jpg
    กายทิพย์พระวิสุทธิเทพที่ประทับที่พระนิพพาน
    - เครื่องทรงแตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกันวิมานที่พระนิพพานก็แตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ สภาวะนิพพานทุกอย่างเป็นแก้ว บริสุทธิ์ลักษะเหมิอนเพชรประกายพรึกเมื่อต้องแสงแดด เป็นแดนทิพย์และสภาวะทิพย์พิเศษที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา ไม่ไช่สูญ เป็นวิมุติเหนือโลกเฉพาะผู้เข้าถึงจักเข้าใจถึงอารมณ์นี้อย่างถ่องแท้ปถุชน ทั่วไปก็ฟังเอาตามผู้ที่เข้าถึงแล้ว แต่ทั้งนี้พระวิสุทธิเทพหากท่านจะโปรดใครหรือใครกำหนดไปหาท่านท่านก็จะแสดง เป็นรูปลักษณ์พระพุทธเจ้าห่มจีวร(หากเป็นพระวิสุทธิเทพพุทธภูมิ)หรือเป็นรูป ลักษณ์พระสงฆ์หากเป็นพระวิสุทธิสาวกภูมิ เรื่องวิมานนี้ก็นิยามได้ว่าพลังงานนั้นต้องมีทั้งรูปและนามถึงจะทรงตัวอยู่ ได้วิมานแต่ละแบบที่จะรองรับกายทิพย์เรา ณ สวรรค์แต่ละชั้นนั้น ก็เป็น เหมือนภาชนะรองสภาวะจิตตามกำลังนั้นๆ เป็นทั้งรูปและนามเกาะกันอยู่ แต่นั้นยังเป็นแบบสมมุติ วิมานแก้วที่พระนิพพานนั้นก็เป็นเหมือนภาชนะรองรับสภาวะธรรมที่เป็นที่สุด แล้ว มีทั้งรูปและนามประกอบกัน แต่เป็นรูปนาม แบบวิมุติและสุดท้ายจริงๆแล้ว รูปนามแบบวิมุตินี้ก็คือไม่มีอะไร นิพพานคือนิพพาน สภาวะอันปราศจากทุกข์ แต่ไม่ใช่สูญ ที่สูญไปคือกิเลศ

    ?temp_hash=e2b2d69a9c35829516e4e5aaacb34781.jpg

    วิธีการทรงกายจักรพรรดิ

    ก่อนจะเข้าสุ่การทรงกายจักรพรรดิ ให้ฝึกการบวชจิตให้เป็นปรกติ

    การบวชจิต-บวชใน

    หลวงปู่ปรารภว่า... จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆคน มีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด
    ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....

    " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว " กายทิพย์ของเรานั้นหาก่อนภาวนาเราได้ตั้งจิตบวชพระแล้ว ระหว่างที่ภาวนาอยู่กายทิพย์เราก็เป็นพระมีรัศมีกายทิพย์สว่างมากอย่างนี้จะมีอานิสงส์พลังบุญสูงมาก

    ภาวนาได้ง่าย เนื่องจากตั้งจิตไว้ในศีลและฐานะอันสูง อย่างนี้เรียกว่าบวชจิต ซึ่งการบวชจิตด้วยใจกุศลศรัทธานั้น มีอานิสงค์ดีกว่าผู้ที่บวชรูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่บวชจิตเสียอีก แต่หากบวชได้ทั้งนอกและในอานิสงค์ก็ทวีคูณแต่สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนนั้น เวลาสวดมนต์หรือภาวนาทำสมาธิ ตั้งจิตบวชเป็นพระแล้วอานิสงค์มากภาวนาได้ง่าย หลวงตาท่านสอนไว้ว่าหากเราภาวนาคาถาจักรพรรดิสบายๆ ทรงไว้ ภาวนาบ่อยๆ กายทิพย์จิตจะทรงเครื่องจักรพรรดิ เพราะว่าเป็นไปตามพลังงานที่เราสวด พอเป็นเช่นนี้แล้วอารมณ์สภาวะทิพย์นั้นจะทรงตัวได้เข้มขึ้นส่งผลดีต่อการปฎิบัติ

    upload_2019-10-24_9-54-29.jpeg

    การทรงกายจักรพรรดิ

    เราสามารถจะทรงกายพระจักรพรรดิได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับสภาวะจิตให้เข้าถึงกายทิพย์ตั้งแต่กายเทวดาขึ้นไป คุณสมบัติพิเศษของกายทิพย์ คือ เมื่อเราทรงกายเทวดา หรือ พรหม เราก็ทรงเครื่องจักรพรรดิเข้าไปอีกซึ่งจะทำให้มีกำลังบุญมาก เครื่องทรงจักรพรรดินี้ก็จะทรงที่กายทิพย์ ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไปตราบใดที่อารมณ์จิตยังไม่ตก สำหรับผู้ที่ฝึกบ่อยๆเข้าจนชำนาญแล้ว ก็จะสามารถทรงเครื่องจักรพรรดิเป็นปกติไปเลย เวลา ไปที่ไหน เมื่อเราทรงกำลังบุญเปิดโลก รัศมีจะแผ่ในโลกทิพย์กว้างไกล การสัพเพมีกำลังมาก ฯลฯเรียกได้ว่าหากจะชำนาญในวิชาขั้นสูงของวิชาเปิดโลกได้ก็ต้องฝึกทรง เครื่องจักรพรรดิให้ชำนาญ ที่สำคัญอารมณ์ต่างๆ อย่าไปหมายมั่นว่าฉันจะทรง ให้เราทำอารมณ์ใจสบายๆ ก็พอ พยายามทำใจให้ถึงสภาวะของกายทิพย์ที่อธิบายไว้ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไป ทำไปเพื่อความดี เพื่อความระงับกิเลศ เดี๋ยวก็ได้เองถึงเอง การทรง คือการทรงคาถาจักรพรรดินั้นเอง คาถาจักรพรรดิหลวงปู่เข้าถึงได้หลายระดับเมื่อเราเข้าถึงระดับที่ทรงคาถาจักรพรรดิจน เป็น อารมณ์ เราไม่ต้องมานั่งไล่ กายทิพย์ เพราะศีล อารมณ์ สภาวะกำลังบุญ พระไตรรัตน์ อยู่ในคาถาจักรพรรดิ หมดแล้ว ขอเพียงทำใจให้สบาย นึกถึงหลวงปู่ ขอบารมีท่าน ตั้งท่านเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าทรงเครื่องจักรพรรดิ อยู่บนหัว หลวงปู่ทวดอยู่บ่าซ้ายหลวงปุ่ดุ่อยู่บ่าขวา ภาวนา คาถาจักรพรรดิให้ใจสบายๆ อารมณ์สบายๆ คาถาจักรพรรดิเป็นอารมณ์ยิ่งดีเข้าเท่าไร โดยไม่ต้องสนใจว่าถึงไหนๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆทรงได้เอง

    ?temp_hash=e2b2d69a9c35829516e4e5aaacb34781.jpg
    คาถาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ คือ คาถาทรงกายจักรพรรดิ

    เมื่อ ภาวนาคาถาจักรพรรดิจนเป็นอารมณ์ ฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัย ให้เป็นปกติ ฝึกให้ชำนาญ ใช้เวลา มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของคุณเอง ข้อคิดที่ฝากไว้คือ อย่าเหลิง ไม่ว่าได้ถึงไหน อย่าหลงตนเอง ไม่ว่าคนจะสรรเสริญตนเช่นไร ให้มีสติ ตั้งใจภาวนา ไม่ประมาท ไม่มีใครจะใหญ่เกินกรรมเมื่อทำได้ คุณก็จะได้ พลังเหนือพลัง ที่จะสร้างประโยชน์สืบไป กำลังพระ+จักรพรรดิ หลวงตาท่านเองก็ทรงเครื่องจักรพรรดิ กายในท่านก็บวชพระจึงเป็นกำลังเหนือกำลัง และที่สำคัญที่สุด อย่าทิ้งหลวงปู่เป็นอันขาด ไม่งั้นทุกอย่างที่กล่าวมา คุณจะไม่มีกำลังของตนเองที่จะทำได้แม้แต่ข้อเดียว

    เราปฎิบัติไปโดย ตั้งให้ท่านคุมเราทุกขณะจิตให้อธิษฐานไว้ยังนี้เลย วิชาต่างๆที่อธิบายมานี้ให้ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่มีจริตแบบนี้ เป็นตัวเลือกหนึ่งในการฝึกปฎิบัติในสายเปิดโลก ไม่ปฎิบัติแบบนี้ก็ไปต่อถึงจุดหมายได้เหมือนกันบางคนชอบแบบลึกซึ้งบางคนชอบ แบบเรียบง่ายก็ว่ากันไปเสมือนว่ามีถนน 10 สาย ที่จุดสุดท้ายถึงที่เดียวกันไม่ว่าปฎิบัติไปแบบไหน ขอให้ถูกตามที่หลวงปู่หลวงตาสอนเป็นพอ ถนนแต่ละสายจะแตกต่างกันที่ลีลาการเดินทางและประโยชน์ที่ สร้างทิ้งไว้ระหว่างเดินทาง มากน้อย แตกต่างกันอยู่ที่ตัวเรา ใครที่เน้นอยากจะช่วยผู้อื่นให้มากๆ ช่วยสรรพวิญญาณอย่างลึก ส่วนมากเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิพิเศษก็จะเดินอีกสายหนึง กับท่านที่มุ่งตัดกิเลศเพื่อพระนิพพานซึ่งทุกสายทุกทางย่อมถึง ที่หมายเดียวกัน บริสุทธิ์เหมือนกัน ขอโมทนา

    ?temp_hash=e2b2d69a9c35829516e4e5aaacb34781.jpg

    จะอ่านไว้เป็นความรู้ หรือจะอ่านเอาข้อที่ตนสนใจลองปฎิบัติดูก็ได้
    ไม่ว่าปฎิบัติเน้นแบบใด สายใด ถ้ายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
    จุดสุดท้ายก็เหมือนกัน อยู่ที่ความสบายของใจและความหมั่นเพียร หมั่นทำนั้นแหละ


    ธรรมรักษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2019
  2. aeziss

    aeziss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +1,294
    โมทนา สาธุ ด้วยครับ
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=e4b6c2af989ae80691bd53301f22ba87.jpg


    ?temp_hash=9e9f78e01d6a45032050f50266305a30.jpg


    ?temp_hash=e4b6c2af989ae80691bd53301f22ba87.jpg

    ?temp_hash=e4b6c2af989ae80691bd53301f22ba87.jpg

    ?temp_hash=e4b6c2af989ae80691bd53301f22ba87.jpg

    ?temp_hash=e4b6c2af989ae80691bd53301f22ba87.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2019
  4. ThinkThink

    ThinkThink สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2019
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +20
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=59fe41f6448e8f1051c8c545d86d55c2.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=5691102d076fa888430744db0d2acb95.jpg

    ?temp_hash=5691102d076fa888430744db0d2acb95.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เรื่องเครื่องทรงจักพรรดิ มันเป็นพลังงานที่มีความเป็นสากลอยู่ แต่ถ้าถามว่าแล้วมันเป็นยังไง เป็นแบบไหน เรามาเสวนากันด้วยคำพูดเป็นร้อย เป็นพันปี ท่านก็ไม่เข้าใจหรอกครับ หากท่านเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่ เรื่องแบบนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่อ่าน เพราะท่านสามารถพิสูจน์เองได้ หากท่านวางทิฐิลง แล้วเปิดใจปฎิบัติดูนะครับ แต่หากท่านไม่ทำเช่นนั้น ผมก็คงไม่อาจเปลี่ยนใจท่านได้ครับ ส่วนที่ถามว่าทำแบบนี้แล้วได้บารมีหรือไม่ อย่าลืมว่าการสั่งสมบารมี มีถึง 10 ทัศ นะครับ มีอะไรบ้าง ก็เสิชกูเกิลได้เลยครับ แต่ท่านคงทราบอยู่แล้ว

    ธรรมรักษาครับผม
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ประโยชน์ก็คือ เป็นอุบายให้จิตเข้าถึงต้นกระแสที่ดี
    เพราะเชื่อได้ว่า ท่านบริสุทธิ์แล้ว พ้นแล้ว
    การเข้าถึงระลึกถึงต้นกระแสที่ดี เป็นบุญอย่างหนึ่ง
    เหมือนเราเข้าใกล้คนที่มีเมตตา
    แล้วใจเราก็จะรู้สึกสบายนั่นหละครับ
    ความสบายของใจนี่หละคือบุญ
    และเมื่อจิตได้เข้าถึงต้นกระแสที่ดีอยู่เนื่องๆจน
    เกิดความเคยชิน ก็ยากที่จะไป
    ในทางอกุศลด้านต่างๆได้....

    การนำไปช่วยเหลือผู้อื่นก็มาจาก
    การได้แนะนำให้บุคคลอื่นๆได้เข้าถึงต้นกระแสที่ดี
    เปรียบเหมือนกับการที่เราชวนคนไปทำบุญที่วัดนั่นหละครับ
    แม้ว่าดี หรือแม้ว่าเราทำแล้วได้ผล
    แต่ไม่ใช่ว่า ทุกคนจะชอบทำบุญที่วัดเหมือนๆกันทุกคน
    เพราะการทำบุญ ยังมีอีกหลายวิธี
    ต่างคนต่างชอบไม่เหมือนกัน. วันนี้ไม่ชอบวิธีนี้
    ไปชอบวิธีอื่นๆ แต่ในอนาคตอาจจะชอบวิธีนี้ก็ได้


    ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางภพภูมินั้น
    เป็นอานิสงค์ เป็นผลพลอยได้ เป็นบารมี ที่ก่อให้เกิด
    เฉพาะบุคคล ที่มาจากการเข้าถึงต้นกระแสที่ดีนั้นเอง
    ซึ่งพลังงานทางด้านนามธรรมต่างๆ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
    กับภพภูมิต่างๆนั้น จะส่งผลในเรื่องอื่นๆ หรือด้านใดๆ
    ก็แล้วแต่เหตุและปัจจัยของบุคคลนั้นๆนั่นเอง


    ส่วนเรื่องจะแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างไรก็ตาม
    ก็เป็นหลักแห่งการเข้าถึงต้นกระแสของตัวจิต
    เพราะถ้าไม่มี สัญลักษณะอะไรเลย
    ไม่มีสัญญาอะไรเลยในเบื้องต้น

    ก็ยากที่จิตจะโน้มเข้าถึงได้นั่นเอง
    เหมือนเราเห็นรูปบรรพบรุษที่สร้าง
    ความดีไว้ในอดีต. รูปที่เห็น ทำให้จิตระลึก
    ถึงความดีที่ท่านทำไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่า
    รูปนั้นเป็นตัวท่านในอดีตจริงๆ
    ดังนั้น อย่าไปยึดในสัญลักษณ์
    ว่าต้องแบบนั้นแบบนี้เท่านั้น
    ขอให้เป็นสัญลักษณ์อะไรก็ได้
    ในการเข้าถึงต้นกระแส ที่เชื่อว่า มีคุณความดี
    มีความบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้ว ก็ถือว่าดีหมดครับ...


    ศาสนาพุทธ ถือได้ว่าเป็นกลางที่สุดศาสนาหนึ่ง
    สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือ.

    การเผลอไปยึดในสิ่งที่คิดว่า ดีและไม่ดี.

    เพราะถ้า จิตยึดว่าสิ่งนี้ดี แสดงว่า มีอีกสิ่งหนึ่งไม่ดี
    ถ้าจิตยึดว่าสิ่งนั้นไม่ดี ก็แสดงว่า มีอีกสิ่งนั่นดี....

    ถ้าสังเกตุ จะพบว่า ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี
    แต่จิตก็ยึดทั้งนั้น.....

    การอยู่ร่วมกันได้อย่างแยบยล ต้องระวัง
    เรื่องการไปยึดสื่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    ปัญหาจะเริ่มเกิดเพราะความเห็นต่าง หรือ
    ทำไม่เห็นเหมือนเราได้ครับ

    แต่อยู่ร่วมกันได้ ด้วยการรู้จักให้
    ความเคารพนับถือ
    ซึ่งกันและกัน. ไม่ว่าจะสายไหนก็ตาม
    เพราะทุกสายก็บอกว่า
    ปลายทางเหมือนกัน ครับ


    ปล. มุมมองส่วนตัว เล่าสู่กันฟังครับ.
     
  9. pattcmt

    pattcmt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +195
    461C9473-AC27-4656-94CE-0770CDDC4438.jpeg
    การเอาหลักธรรของสายหนึ่งๆที่ตนเองเคารพนับถือก็ต้องเอามาให้ครบจบกระบวนความเพราะบางทีเอามาตามความชอบเราอาจเอามาไม่ครบถ้วนและหากมีคนอ่านแล้วเชื่อบางทีคนเขาเลิกทำเลิกปฏิบัติไปก็อาจจะเป็นกรรมของท่านนะอาจขัดขวางเหนี่ยวรั้งวิถีทางเดินที่ท่านปรารถนา
    ที่ผมจะบอกคือคาถาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่นี่น้อมนำมาช่วยเหลือโลกวิญญาณที่เป็นสัมภเวสีที่เขาทนทุกข์อยากไปภหภูมิใหม่ได้จริง สวดแล้วอธิษฐานได้จริง ครั้งหนึ่งที่เราไม่สวดเขายังมาเข้าฝันหรือมีเหตุให้เราต้องผ่านเส้นทางที่ช่วยเขาได้ผมเขียนมาจากประสบการณ์ว่าคาถาจักรพรรดิช่วยได้อธิษฐานได้จริง
     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,806
    ค่าพลัง:
    +4,672
    เช้านี้ผมขออนุญาตส่งเรื่องเล่าข้างล่างนี้ให้ทุกท่านอ่าน
    ...เพื่อใช้ประกอบกระทู้นี้...เท่านั่น

    ************************************

    จุดพลิกเปลี่ยนในชีวิต 'เบญฟีเวอร์'
    • วันที่ 27 ม.ค. 2562 เวลา 11:34 น.
    3Line
    0Comment
    464F64FC4C7C43A4B9A978DAB71BCEB8.jpg

    เรื่อง วันพรรษา อภิรัฐนานนท์
    ภาพ อมรเทพ โชติเฉลิมพงษ์

    บางเรื่องราว หากไม่เกิดกับตัวเอง ก็คงพูดเหมือนกันว่าเหลือจะเชื่อ เรื่องราวต่อไปนี้คนเล่าขอให้ผู้อ่านโพสต์ทูเดย์อ่านอย่างมีวิจารณญาณ ขอให้อ่านอย่างมีหลักมีข้ออรรถข้อธรรมนำมาพิจารณาแยกแยะ ก็เชื่อว่าทุกท่านจะได้เห็นในสิ่งที่ต้องการเห็น ได้พบเจอในสิ่งที่ต้องการพบเจอ

    เรื่องของจุดพลิกเปลี่ยนในชีวิต ที่มาในรูปของโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องราวของหญิงสาวขี้โรคที่เปลี่ยนพลิกชะตาแห่งตน จากสุขภาพแย่มาก กลายมาเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สำคัญกว่านั้น คือสุขภาพจิตใจจิตวิญญาณที่ได้กลับมาด้วย อีกปณิธานตั้งมั่นแห่งชีวิต ที่จะได้ทำงานเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนาจนกว่าจะหาไม่

    6ECBFAFF4A8A4A80AF2A3CD1770855BE.jpg

    “เบญฟีเวอร์” คือผู้หญิงคนนั้น

    เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบวันละสังขารของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา (17 ม.ค. 2533) ครูบาอาจารย์ผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นพระสุปฏิปันโนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ลูกศิษย์ลูกหาผู้เคารพเลื่อมใสมากันเป็นจำนวนมากที่สถานสวดมนต์สาขาพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) บางเขน ที่นี่เองที่เราได้พบกับเบญฟีเวอร์

    เบญฟีเวอร์ (benfever) คือใคร ก็ต้องบอกว่า เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ตั้งใจปฏิบัติบูชา รับใช้พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสะแก และศิษย์หลวงปู่ดู่ ได้แก่ หลวงตาม้า วรงคต วิริยธโร แห่งวัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ สำหรับชื่อเบญฟีเวอร์เรียกขานในหมู่ญาติธรรม ใช้ชื่อตัวคือ เบญ ส่วนนามสกุลละไว้ จงใจไม่เปิดเผย ส่วน “ฟีเวอร์” คือความปรารถนาที่อยากให้ธรรมะเผยแพร่และแผ่ไปในหมู่ชน

    เบญฟีเวอร์เล่าถึงตัวเองว่า ขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเป็นครอบครัวคนจีน ที่ยึดการไหว้เจ้าเป็นสรณะ มีเข้าวัดบ้างพอเป็นธรรมเนียม แต่ก็เป็นการเข้าวัดเพื่อกราบไหว้ขอพร มิได้มีแก่นแกนการปฏิบัติอันใด ถึงกระนั้นในวัยเด็ก ก็ต้องถือว่าเป็นเด็กที่ชอบสวดมนต์ ทั้งๆ ที่สวดแล้วมีอาการ “แปลกๆ” ในแบบที่ใครเห็นต้องอ้าปากค้าง

    EE082A6AF3244D129F9096A3A288999E.jpg

    “ที่ชอบสวดมนต์ก็ชอบเอง ไม่มีหรือคิดอะไรเป็นพิเศษ สิ่งที่พิเศษหรือจะพูดให้ถูกคือสิ่งแปลกประหลาด ที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อสวดมนต์ จะมีอาการตัวสั่นพั่บๆๆๆ เหมือนที่เราเห็นคนตัวสั่นเวลาทรงเจ้าเข้าผี เจ้าเข้าทรง ผีเข้าร่าง”

    วัยเด็กเรียนหนังสือที่โรงเรียนราชินี อายุ 13-14 ปีก็เริ่มสวดมนต์ แต่ตัวจะสั่นจนครูทักและเพื่อนๆ กลัว เป็นการสวดมนต์ที่ทุกคนทักว่า ช่างน่ากลัวน่าหวั่นใจกระไร นอกจากจะสั่นเทิ้มไปทั้งร่างกายแล้ว ก็มีอาการเหมือน “เลื้อย” ร่างกายท่อนบนประหนึ่งไหลเลี้ยวได้ เลื้อยไปเลื้อยมาลงไปกองพับรวมกันอยู่ที่ด้านหน้า ควบคุมตัวเองไม่ได้

    เบญเรียกพ่อว่า ปะป๊า เรียกแม่ว่า หม่าม้า ทั้งคู่กราบไหว้พวกร่างทรงมาแต่เดิม โดยมีจิตศรัทธาเชื่อถือเช่นนั้น กับเชื่อตามร่างทรงที่คุ้นเคยกันว่า อาการแบบนี้หมายถึงลูกสาวถูกร่างทรง มีองค์เทพอย่างนั้นอย่างนี้มาประทับตามที่ร่างทรงอ้าง จากนั้นก็ให้ไปรับขัน อันเป็นศัพท์เฉพาะแวดวงทรงเจ้า ที่เมื่อรับขันแล้ว ผู้รับก็จะเป็นร่างทรงของเจ้าองค์นั้นตลอดไป หายเจ็บหายไข้

    “เมื่อก่อนเบญเจ็บออดแอด เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ เจ็บป่วยบ่อย ประเภทสามวันดีสี่วันไข้ ร่างกายอ่อนแอผ่ายผอม ปวดหัวตลอดเวลา บางทีก็ปวดหลังมาก เดินตากแดดตากฝนไม่ได้ แค่นิดเดียวนี่กลับมาบ้านก็ไข้ขึ้นแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโตคือความยากลำบาก หายใจแต่ละทีจะเหมือนมีมีดมากรีดที่กลางอก ต้องค่อยๆ หายใจเบาๆ แผ่วๆ เพื่อไม่ให้เจ็บหัวใจมาก”

    C52FB8960C764328B88792B9DF0F4E90.jpg

    เบญฟีเวอร์เล่าว่า เธอเริ่มมีอาการแปลกๆ น่าจะเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตัวของเราป่วยหรือเปล่า ก็แอบคิดแบบนั้นบ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก สวดมนต์เพราะอยากสวดทั้งที่ตัวสั่น ลืมถามไปว่า ได้รับขันหรือไม่ หากการสวดมนต์ได้ท่องบทพระพุทธคุณตามปกติ (อิติปิโส) ได้สวดต่อไปอย่างไม่อินัง ปรากฏว่า ผลการเรียนดีขึ้น จากเด็กที่เคยได้เกรด 1.2 จะตกมิตกแหล่ ก็กลายเป็นเกรด 3.9

    จากเด็กที่ร่างกายอ่อนแอ สติปัญญาต่ำ ท่องอ่านอะไรก็ไม่จดจำ เทอมหนึ่งตกทีละ 8 วิชา กลายเป็นเด็กที่ขยับมาเรียนรู้ได้ อ่านหนังสือก็พอจะพากเพียรเข้าหัว ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาที่ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เรียนได้เลยหรือได้ก็น้อยมาก จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เทอมสุดท้ายด้วยเกรดเกือบ 4 แต่นั่นไม่ทันแล้วเพราะเกรดเฉลี่ยโดยรวม (ม.1-ม.3) ต่ำมาก ครูแนะนำให้ไปศึกษาต่อที่อื่น

    เบญเรียนต่อที่โรงเรียนกรุงเทพการบัญชี แต่ก็เป็นไปภายใต้คำแบ่งรับแบ่งสู้ของสถาบันที่อนุญาตให้เข้าเรียนว่า ถ้าเรียนอ่อนอย่างนี้ ต่อไปหากเกรดไม่ถึงมาตรฐานที่กำหนด ก็ต้องขอให้ออกไปเรียนที่อื่นนะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่เบญได้รู้ว่า การสวดมนต์ทำให้เธอมีสติและมีปัญญาที่ดีขึ้น นั่งสมาธิได้ ไม่เลื้อยอีก

    การทำสมาธิในเวลาต่อมาใช้หลักดูลมหายใจ พุท-โธ ก็ถือว่าก้าวหน้า การเรียนดีขึ้นโดยลำดับ จิตใจดีขึ้นโดยลำดับ มีกำลังกายกำลังใจที่จะใช้ชีวิตต่อไป แต่แล้วก็เกิดเหตุ เมื่อ “ปะป๊า” ซึ่งป่วยเป็นโรคไต จู่ๆ เกิดอาการปัจจุบันต้องหามส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน เบญตามไปที่โรงพยาบาล ทันได้ปอกผลไม้ให้ปะป๊ากินเป็นครั้งสุดท้าย

    “เบญไม่เคยเข้าครัวหรือจับมีดทำอาหาร แต่ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้ปอกผลไม้ให้ปะป๊ากิน ผลไม้ที่ปอกกลายเป็นผลไม้เละๆ เพราะเราปอกไม่เป็น ปอกให้ป๊ากิน แล้วป๊าก็กิน ป๊าเสียใน 3 ชั่วโมงถัดมา”

    E48AD5D7F321447CBFA3C0A14BD0C927.jpg

    เบญขณะนั้นอายุเข้าเบญจเพส รู้สึกเสียใจที่สุดที่ปะป๊ามาเสียชีวิต ความรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกทลายลงตรงหน้า พ่อลูกรักกันแค่ไหนแต่ถึงที่สุดก็ไม่อาจยื้อยุดฉุดรั้ง ต้องปล่อยให้เป็นตามที่เป็นไป ญาติคนนั้นคนนี้พากันพูดว่า เห็นปะป๊ามาหาที่บ้านบ้าง หรือมายืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าง แต่ไม่อาจเข้ามา ใบหน้าคล้ำดำมีเงามืด ก็จิตตกกันไปหมด

    “อยากรู้ว่า ปะป๊าไปไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร เบญอยากรู้มาก อยากรู้ขนาดที่ว่า แทบทำอะไรไม่ได้เลย”

    ในช่วงนั้นได้ไปดูการทำนายทายทักตามที่ต่างๆ แม้การทรงเจ้าที่ครอบครัวคุ้นเคยก็ดูไม่ขาด แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าปะป๊าไปไหน จนเมื่อกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ได้แนะนำผู้รู้ที่ดูและรู้ได้ ผู้เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงตาม้า โดย “ผู้รู้” ได้ทักเบญถึงถ้อยคำหรือสำนวนที่ปะป๊าเท่านั้นที่จะพูด บอกกล่าวในบางเรื่องที่เบญกับปะป๊าเท่านั้นที่รู้กัน 2 คน ชอบทำชอบกินอะไรตอบถูกหมด 99%

    “ก็ทำให้เชื่อว่า เราได้มาเจอกับคนที่เป็นสะพาน และเชื่อมต่อไปถึงปะป๊าได้จริง ได้ถามหลวงปู่ดู่ผ่านผู้รู้ท่านนั้นว่า ปะป๊าอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง คำตอบที่ได้ทำให้เย็นเยียบ จับขั้วหัวใจ เพราะท่านตอบว่า ปะป๊าเป็นสัมภเวสี ล่องลอยอยู่ระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล”

    หญิงสาวผู้ชะตาพลิกผันเล่าต่อไปว่า นี่มันอะไรกัน นี่หรือการตอบแทนของการที่ครอบครัวเราได้ประพฤติปฏิบัติไหว้เจ้าทุกปี ปะป๊าไหว้เจ้าปีละ 4 ครั้ง แต่ละครั้งหมดเงินเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ที่สุดได้เป็นสัมภเวสี ลอยไปลอยมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลที่เสียชีวิต ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า จากนี้ไปจะต้องทำอย่างไรเพื่อผลดีที่สุดสำหรับปะป๊า

    759630000147471BB13D07B2BC910A22.jpg

    “หลวงปู่” แนะนำผ่านผู้รู้ให้สวดมนต์คาถาจักรพรรดิ์ ซึ่งเป็นคาถาที่มีทิพยอำนาจปรับภพภูมิแก่ผู้วายชนม์ได้ จากนั้นมาจึงถือปฏิบัติสวดคาถาจักรพรรดิ์เป็นลมหายใจแห่งตน เพื่ออุทิศบิดา แต่ขณะที่สวดมนต์ให้ปะป๊านั้น ก็เหมือนกับได้สวดให้ตัวเองด้วย ภายใน 1 เดือน อาการเจ็บป่วยของตนที่เป็นมาแต่เดิม ก็ทุเลาเบาบางอย่างเห็นได้ชัด

    จากที่ตั้งสัจจะสวดคาถาจักรพรรดิ์ให้บิดา หญิงสาวสวดมนต์ตลอดเวลาที่สวดได้ ช่วงหนึ่งเดือนที่ว่านี้เป็นขณะเดียวกับที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิต เบื่อและเลิกกินยาที่กินมาตั้งแต่เด็ก คิดว่าครั้งสุดท้ายขอทำเต็มที่ สวดเต็มที่ ตายเป็นตาย ก็กลายเป็นหายจากโรค ทุกอาการที่เป็นมาตั้งแต่เด็กปลาสนาไปภายใน 1 เดือนที่สวดมนต์คาถาบทนี้

    “มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่หัวใจของเบญ”

    ต่อมาได้รู้จักการแผ่บุญ รู้จักที่มาที่ไปของบุญ (และกรรม) ดีขึ้น ก็สวดจักรพรรดิ์แผ่บุญตลอดมา อาศัยบารมีหลวงปู่ดู่และหลวงตาม้า เพื่อส่งต่อบุญไปให้ปะป๊า และเพื่อเปลี่ยนภพภูมิให้ดีขึ้น ปะป๊าทุกวันนี้ “สว่างขึ้น” เบญกำหนดจิตบอกให้ปะป๊ะรู้ว่าขอให้ติดตามบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงตาม้าตลอดไป กับขอให้ตามอนุโมทนาบุญกับเบญไปชั่วชีวิต

    จากที่เจ็บหัวใจเหมือนมีดกรีดอก ก็ไม่เจ็บหัวใจอีกต่อไป จากที่เคยมืดมนหนทาง ก็ “สว่าง” จากนี้ไป เบญฟีเวอร์ปวารณาตัวว่าเธอจะขอรับใช้พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ดู่และหลวงตาม้า จัดทำและแจกจ่ายพระผงพิมพ์จักรพรรดิ์ (พระพุทธรูปปางพระมหาจักรพรรดิ์) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้กระทั่งสถานสวดมนต์สาขาพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) แห่งนี้ ก็ถือกำเนิดจากดวงจิตที่อาสานี้

    8417F585E4B6400DB68FC0847230AAA6.jpg

    สถานสวดมนต์สาขาพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) กรุงเทพฯ เบญฟีเวอร์ได้ตั้งความปรารถนาไว้เมื่อ 12 ปีก่อน ได้กราบเรียนหลวงตาม้าด้วยวาจาว่าจะสร้างวัด ถ้าสร้างสำเร็จ จะขออัญเชิญพระแก้วแดงองค์ใหญ่จากกุฏิเก่าท่านมาประดิษฐาน หลวงตาม้าตอบว่า “ได้ ถ้าสร้างสำเร็จ” และแนะนำให้อธิษฐานขอเพื่อสร้างสถานปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ดู่ ปรากฏว่าสำเร็จภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี

    เบญฟีเวอร์วัย 39 ปี ตั้งสัจจะที่จะอุทิศตัวช่วยงานหลวงปู่หลวงตาตลอดไปทุกภพทุกชาติ เผยแพร่รูปลักษณ์คำสอนของท่านอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ทำเต็มที่โดยไม่หวังลาภสักการ แม้ลาภคนนิยมก็ไม่หวัง ยึดหลักทำฟรีอย่างเดียว พระผงจักรพรรดิ์แจกฟรี และสถานสวดมนต์ฯ ก็เชิญมาปฏิบัติบูชาหลวงปู่หลวงตาโดยไม่ต้องกำเงินมาแม้แต่หนึ่งบาท

    “บาทเดียวก็ไม่เอา ที่นี่ไม่รับบริจาคเป็นส่วนตัว ไม่จัดจำหน่ายวัตถุบูชา ใครที่มีจิตศรัทธาช่วยสนับสนุนก็หย่อนตู้ด้วยตัวเองที่หน้าเคาน์เตอร์ แต่ไม่ต้องให้เป็นส่วนตัวกับเบญฟีเวอร์ ขออนุญาตไม่รับ”

    เรื่องการทำพระผงแจกผู้มีจิตศรัทธา เคยมีผู้ต่อว่าเพราะเห็นเป็นสีกาแต่มายุ่งขิงเรื่องสร้างพระ หากเจ้าตัวมองว่า ได้ปรึกษาครูบาอาจารย์ซึ่งอนุญาตให้ทำได้ โดยเมื่อเป็นเรื่องการสร้างศรัทธาในวงกว้าง และถือปฏิบัติเช่นเดียวกับ “สูตร” ที่หลวงตาม้าได้ให้โอวาทไว้ ก็ถือว่ามีฤทธิ์มีอานุภาพเท่ากับที่หลวงตาทำแจกเอง พระผงที่ทำขึ้นนี้แจกฟรีทั่วโลก

    “เพราะเบญเคยได้รับมาก่อน ทั้งในเรื่องของปะป๊าด้วย และเรื่องการสวดมนต์หายโรคด้วย ก็อยากส่งต่อให้คนอื่นๆ ในช่วงแรกคนต่อต้านว่า ทำไปก็ไม่รอดหรอก แต่ก็ทำต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว ไม่มีเงิน แต่ก็ทำมาได้ถึงวันนี้”

    สิ่งที่ทำทั้งหมด เพียงอยากให้ญาติธรรมทั้งหลาย ได้พบได้เจอสิ่งดีๆ เหมือนกับที่เธอเคยได้พบ เหมือนกับที่เธอเคยได้เจอ เห็นผลวันนี้คือความชื่นใจในความดีงามความบริสุทธิ์ หวังเพียงหลักธรรมคำสอนของหลวงปู่หลวงตาจะได้ขจรขจายสืบไป ทุกวันนี้เบญฟีเวอร์เป็นผู้นำสวด-อธิษฐานและดูแลสถานสวดมนต์สาขาพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) เขตบางเขน กรุงเทพฯ 



    ขอบคุณที่มา....
    https://www.posttoday.com/life/healthy/578317
     
  11. nuttyone

    nuttyone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +404
    นี่เขาเรียกว่าหลงประเด็น ตอบไม่ตรงตามความเป็นจริง ในปัจจุบัน ความร้ายกาจของการมโน
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=2c58716589b7b638aae09d322d11c603.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. 8-0-4-0

    8-0-4-0 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2019
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +49
    ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
    ลมพัด เหินฟ้า เหยียบเมฆา อากาศ ผ่านยอดดอย ขุนเขาเขียว
    สรรพสัตว์ เริงร่า ต่างๆนาๆ สุขทุกข์ ซึมเศร้า คละเคล้ากันไป
    สังสารวัฏ ประดุจพยับแดด เกิด-ดับ ตั้งอยู่ หมุนเวียนเปลี่ยนไป
    สัมมาทิฐิ เป็นไฉน? เหตุใดจึงพบ น้อยนัก
    สัมมาสมาธิ เป็นไฉน? เหตุใดจึงพบ น้อยนัก
    สัมมาสติ เป็นไฉน? เหตุใดจึงพบน้อยนัก
    พละ๕ เป็นไฉน? เหตุใดจึงพบน้อยนัก
    ใจมนุษย์ ช่างเปราะบาง
    หาสิ่งแอบอิง เป็นสรณะ
    ภพชาติ ไม่สิ้นสุดหากไม่หยุดที่ใจ
    ยิ่งสร้าง ยิ่งก่อ ยิ่งต่อ ยิ่งยาว
    ลมหายใจนี้ มีคุณไฉน?
    รูป นาม กาย ใจ นี้ มีคุณไฉน?
    รู้เห็นตามจริง ใสซื่อ สดใส
    ทาน ศีล ภาวนา รวมลงที่ใจ
    บารมีทัศ ไม่ไกล จากกรรมทั้ง๓
    หนึ่งมโน หนึ่งวจี หนึ่งกายกรรม
    เร่งทำ ตามจริง ทุกสิ่งสม
    โพธิสัตว์แท้ ไม่พร่ำเพ้อ ละเมอตน
    แต่เป็นคนธรรมดา ว่าตามจริง.
     
  14. 8-0-4-0

    8-0-4-0 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2019
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +49
  15. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,675
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    74314994_2465541203769495_1017206435043344384_o.jpg

    เรื่อง.*หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พบ สมเด็จองค์ปฐมครั้งแรก ที่โคราช*

    *หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าให้ฟัง*

    ..." เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนั้นอาตมา มาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ. อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็น นาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่า อาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น.

    ~ ตอนกลางคืน สามีภรรยา ก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้ว ก็ทำสมาธิ.

    * ขณะที่ทำสมาธิ.. บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึึง ก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ : เห็นเป็นพระพุทธเจ้า ในปาง นิพพาน ยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ.

    ~ จึงมีความรู้สึกในใจ ว่า : บางทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร.

    ~ แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็สูงขึ้น แต่เวลานี้ เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปทาน คือ กิเลส คงกินใจมาก.

    * เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ "หลวงพ่อปาน" ปรากฏขึ้นข้าง ๆ

    ~ ท่านบอกว่า : "คุณ ไม่ใช่อุปทาน ประเดี๋ยว "พระพุทธเจ้าองค์ปฐม" จะเสด็จมา..

    * อีกประมาณ ๕ นาที ปรากฏว่า : มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของ "ปางนิพพาน" เดินมาระหว่างช่องกลาง.

    ~ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว.

    * พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า : "ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า.. ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน"

    * ก็เลยนั่งบนหัว.. แล้วท่าน ก็บอกว่า..

    " นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น "

    ~ ก็เป็นความจริง บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาจะสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี.. บางทีคิดว่า : วันนี้จะพูดเรื่อง อย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง.. อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์.

    * การเทศน์ของพระพุทธเจ้า มุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพัน ก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า : บุคคลใดจะรับคำเทศน์ของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่า คนที่มีความดีใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน.

    * อันนี้ก็เช่นเดียวกัน.. อาตมา เวลาเทศน์ หรือ สอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะ ท่านดลใจ.

    ~ ถ้าจะถามว่า : เป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก.. ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะว่า ท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคน อาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา.

    ~ ก็จึงมาคิดว่า : ในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา..."

    ( จากหนังสือ *ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม* หน้าที่ ๑ - ๓ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..คัดลอกโดย ยุพยง พัฒนเจริญ )
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...