กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 6 มกราคม 2015.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๖)

    Posted by ศูนย์พุทธศรัทธา on July 18th, 2011 Comments Off <center>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]</center> <center>หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน</center>
    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง”
    ผู้ถาม:- “ต้องใช้ดูวัตถุ ใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ใช่ ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ ถ้าเราจะตั้งก็ได้ แต่เป๋ ถ้าดูวัตถุยังไม่ค่อยจำ นี่เล่นมโนภาพ ระวังกสิณโทษจะเกิด
    อย่างเราเจริญปฐวีกสิณ จะต้องเอาจิตจับไว้เฉพาะปฐวีกสิณอย่างเดียว ถ้าภาพอื่นข้ามาแทรกต้องตัดทิ้งทันที นั่นเขาถือว่าเป็นกสิณโทษ จนกว่ากสิณกองนั้นเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็คล่องตัว จึงจะย้ายไปเป็นกสิณกองอื่นต่อไป
    ถ้ากสิณกองต้นเราได้แล้ว ถ้าภาพอื่นเข้ามา เราตัดเลย เพราะว่าเราเจริญปฐวีกสิณ ดูดิน ถ้าบังเอิญกสิณอย่างอื่นเข้ามาแทน เช่น กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ มันแจ่มใสกว่า เราจะยึดเอาไม่ได้ ต้องตัดทิ้งทันที จนกว่ากสิณกองนั้นจะจบถึงฌาน ๔ ให้มันคล่องจริง ๆ ไม่ใช่แต่ทำได้นะ
    คำว่าคล่องจริง ๆ หมายความว่า ถ้าเรากำลังหลับอยู่ ถ้าเราตื่นขึ้นมา เราจะจับฌาน ๔ ถ้าคนกระตุกพั้บเราจับฌาน ๔ ได้ทันที กสิณกองนั้นจึงชื่อว่าคล่อง
    ถ้าเหน็ดเหนื่อยมาแต่ไหนก็ตาม ถ้าจะจับฌาน ๔ ต้องได้ทันทีทันใด เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที ใช้ไม่ได้ ถ้าคล่องแบบนี้ละก็กสิณอีก ๙ กอง เราจะได้ทั้งหมด ไม่เกิน ๑ เดือน เพราะว่าอารมณ์มันเหมือนกัน เปลี่ยนแต่รูปกสิณเท่านั้น
    ฉะนั้นการได้ กสิณกองใดกองหนึ่ง ก็ต้องถือว่าได้ทั้ง ๑๐ กอง เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ยาก ของเหมือนกัน แต่เพียงแค่เปลี่ยนสีสันวรรณะเท่านั้นเอง มันจะขลุกขลักแค่ครึ่งชั่วโมงแรก เดี๋ยวก็จับภาพได้ แล้วจิตก็เป็นฌาน ๔ นี่เราฝึกกันจริง ๆ นะ ถ้าฝึกเล่น ๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง”
    ผู้ถาม:- “การปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าเราจะไม่ใช้กสิณ แต่เราใช้กำหนด อัสสาสะ ปัสสาสะได้ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ได้ ถือว่าอัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าออก
    คือ จริตของคน พระพุทธเจ้าทรงจัดแยกไว้เป็น ๖ อย่าง คือ ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต และก็พระพุทธเจ้าตรัสพระกรรมฐานไว้ ๔๐ แต่ว่าเป็นกรรมฐานเฉพาะจริตเสีย ๓๐
    อย่างพวก ราคะจริต ถ้าใช้ อสุภ ๑๐ กับ กายคตานุสสติ ๑ เป็น ๑๑
    และพวก โทสะจริต มีกรรมฐาน ๘ คือ มีพรหมวิหาร ๔ แล้วก็กสิณอีก ๔ สำหรับกสิณ ๔ คือ กสิณสีแดง กสิณสีเหลือง กสิณสีเขียว กสิณสีขาว
    สำหรับ วิตกจริตกับโมหะจริต ให้ใช้กรรมฐานอย่างเดียวคือ อานาปานุสสติ อย่างที่โยมว่า อัสสาสะ ปัสสาสะ
    แล้วก็ ศรัทธาจริต ใช้กรรมฐาน ๖ อย่าง คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ แล้วก็เทวตานุสสติ
    ต่อไปเป็น พุทธจริต พุทธจริตนี่ก็มีกรรมฐาน ๔ คือ มรณานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุตธาตุวัตถาน อุปสมานุสสติ
    รวมแล้วเป็น ๓๐ เหลืออีก ๑๐ เป็นกรรมฐานกลาง
    ฉะนั้นการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าหากเดินสายสุกขวิปัสสโก จะต้องใช้กรรมฐานให้ถูกกับจริต ถ้าไม่ถูกกับจริต กรรมฐานนั้นจะมีผลสูงไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังหักล้าง
    ทีนี้ถ้าหากว่านักเจริญกรรมฐานทั้งหมด ไม่ต้องการอย่างอื่น จะใช้อานาปานุสสติก็ได้ ถ้าคนทุกคนคล่องในอานาปานุสสติกรรมฐาน จะมีประโยชน์
    เมื่อป่วยไข้ไม่สบาย เมื่อทุกขเวทนามันเกิดขึ้น ถ้าใช้อานาปาเป็นฌาน ทุกขเวทนามันจะเบามาก จะไม่มีความรู้สึกเลย นี่อย่างหนึ่ง
    แล้วก็ประการที่สอง คนที่ชำนาญในอานาปาจะรู้เวลาตายของตัว แล้วก็จะรู้ว่าตายด้วยอาการอย่างไร
    แล้วก็ประการที่สาม อานาปานุสสติสามารถควบคุมกำลังฌาน สามารถเข้าฌานได้ทันทีทันใด ประโยชน์ใหญ่มาก”
    ผู้ถาม:- “เมื่อกำหนดลมหายใจด้วย ภาวนาด้วย สมาธิมันวอกแวก ๆ ครับ…”
    หลวงพ่อ:- “ก็แสดงว่าจริตของคุณโยมหนักไปในด้าน วิตกจริต กับ โมหะจริต ฉะนั้นคนที่มี วิตกจริต ต้องใช้ อัสสาสะ-ปัสสาสะ ไม่ต้องภาวนา ขืนภาวนาแล้วยุ่ง พระพุทธเจ้าทรงจำกัดไว้เลยว่า เรามีจริตอะไรเป็นเครื่องนำ ต้องใช้เป็นกรรมฐานอย่างนั้นเฉพาะกิจ ถ้าใช้ผิดก็ไม่ได้ ผลมันไม่มี ที่โยมถามก็เหมาะสำหรับคุณโยม”
    .
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๖๐-๖๒ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    Tags: กรรมฐาน, ปัญหาธรรม
    Posted in: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ขยายความหน่อย ครับ ผิด ถูกต้องแบบไหนครับ
     
  3. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ถูกต้องครับ กสินไม่ใช่มโนภาพนิมิต แต่เป็นนิมิตจริงที่เกิดขึ้น จากความสามารถของจิต
    ทางตรง ไม่ใช่มโนภาพที่ปรุงแต่งไปต่างๆนานาๆ หากเมื่อใดที่เกิดมโนภาพปรุงแต่งไป ให้พึงระวัง จะหลงทาง และก่อให้เกิดผลเสียหายของกสินสมาธิ

    แล้วจะทราบได้อย่างไร

    ให้ดูจากกำลังสมาธิ หรือกำลังจิต ที่เกิดพลังหนักแน่นยิ่งขึ้น มีปิติมาก เกิดอิทธิฤทธิ์ เบื้องต้น จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวสงบนิ่งมีกำลังแก่กล้านั่นเองครับ
     
  5. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    นับถือศาสนาอื่นรึป่าวครับถ้าใช่ก็อย่าป่วนถ้าไม่ใช่ก็อธิบายมาว่าผิดยังไง
     
  6. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ใจเย็นๆกันก่อน ทุกท่าน

    จริงๆแล้ว ก็เคยคุยกับคุณส่องตนมาบ้าง ก็พอทราบจะว่าแนวทางของการฝึกกสิณแบบของคุณส่องตนนั้น เป็นกสิณแนวฤาษี ที่มีข้อปฏิบัติที่ไม่เหมือนกับแนวทางการฝึกกสิณในแบบของพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

    ซึ่งทั้งการฝึกกสิณแนวฤาษีและแนวพระพุทธศาสนา ที่แตกต่างกันอย่างนี้เอง ถึงทำให้การสนทนา บางทีก็อาจจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน ก็อาจเป็นได้ เพราะถ้าอย่างเรื่องพื้นฐาน เช่น เรื่องของฌาน ก็จะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกันแล้ว ดังนั้น การจะคุยในเรื่องที่ลึกซึ้งอื่นๆ ให้มากกว่านี้ ก็คงจะค่อนข้างลำบาก

    แต่ก็ดีที่มีการมาพูดคุยกัน ทั้งจากผู้ฝึกกสิณทั้งสองแนว แต่ยังไงลองปรับใจเข้ามาหากัน และยอมเปิดใจรับฟังกันให้มากขึ้น ก็คงพอจะคุยกันได้ต่อไปนะครับ

    โดยเฉพาะสมาชิกบางท่าน คือคุณ tjs ก็มีประสบการณ์กับกสิณแนวฤาษีมาพอสมควร เพราะมีท่านผู้ประสิทธิ์ประสาทกรรมวิธ๊ทางกสิณ ที่เป็นท่านที่หาตัวจับยาก ทำการสอนให้ ก็น่าจะพอเข้ามาพูดคุย เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันด้วยได้ต่อไป

    ส่วนผมความรู้น้อย ด้อยปัญญา ขอฟังอย่างเดียวล่ะกันครับ
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]

    ว่าจะตอบซะหน่อย อดเลย สงสัย ....ไม่ให้โพสต์

    โพสต์สั้นๆก็แล้วกัน

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ นำมาจาก วิสุทธิมรรค นะครับ ถ้าคุณค้าน ก็แสดงว่า ค้าน ตำรา วิสุทธิมรรค นั้นเองครับ

    จบ คงเข้าใจนะครับ ไม่ขอพูดมาก คงพิจารณากันได้ด้วยตัวเองครับ
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แล้วปัจจุบัน คุณสำเร็จอะไรบ้างครับ
     
  9. zaff

    zaff Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2014
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +56
    คุณก็คุ้นเคยกับฤาษีมาก็มากนี่ครับ ก็สมัยที่ยังปลีกวิเวกตามแถบเทือกเขาตะนาวศรีนั่นไง น่าจะร่วมวงมาคุยด้วยกันบ้างก็ดีนะครับ

    จะถ่อมเนื้อถ่อมตัวไปทำไมมากมาย เอาความรู้มาแบ่งปันกันดีกว่าครับ

    แต่จะไม่คุยในที่นี้ก็ไม่เป็นไร เพราะเห็นคุณเน้นแนวทางของพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ซึ่งผมเองก็มีข้อขัดข้องส่วนตัวอยากจะขอคุยด้วยสักหน่อย เกี่ยวกับนิมิตเรื่องพรหมฤาษีที่เข้ามาข้องแวะ ยังไงรบกวนช่วยเช็ค PM ด้วยนะครับ ขอขอบคุณ
     
  10. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    โม้
     
  11. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    กสิณไม่ไช่มโนภาพ
    แต่กสิณคือจดจำภาพ

    ถามง่ายครับ ตอนฝึก เอากายใจจิต ฝึกเหมือนกันนะครับ

    มโนคือใจคิด ใจจำ ใจทำ
    แล้วจดจำนี่ เอาอะไรจำครับ สมองล้วนๆหรือครับ ทั้งที่เหมือนกันแท้ๆ มันต่างกันที่ความเข้าใจและเจตนาของการฝึกต่างหากครับ

    ไม่น่าจะเป็นประเด็นอะไรเลย
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กสิณ นิมิตตรง ครับ

    ผมว่าหลวงพ่อ ก็เทศน์ชัดเจน แล้วนะครับ


    ว่าแต่ แยกออกไหม ระหว่าง จดจำภาพ กับ มโนเอาเองขึ้นมาเอง
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253

    พระมหาเปรียญมาจับผิดหลวงปู่มั่น <---- ที่มา

    ครูบาอาจารย์เล่าว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังไม่เลิกทิฎฐิที่จะเอาชนะพระกัมมัฎฐานให้ได้
    ในคราวงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ
    ท่านไปเป็นประธานในงานนี้ หลวงปู่มั่น ก็ได้รับนิมนต์ไปในงานนี้ด้วย
    พอตกเย็น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็พาพระมหาเปรียญจากกรุงเทพฯ ๒-๓ รูป ไปสนทนา
    ธรรมกับหลวงปู่มั่น ทราบกันดีว่าในครั้งนั้น ต้องการจะให้พระเปรียญที่คงแก่เรียนนั้น ไปไล่ต้อน
    ให้หลวงปู่มั่นจนมุมให้จงได้

    พระมหาเปรียญเหล่านั้นไม่มีใครกราบหลวงปู่มั่นตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกัน คงจะถือว่าพวกท่าน
    เป็นพระของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ หรือถือตัวว่าเป็นพระมหาเปรียญผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก
    ส่วนพระป่าที่เอาแต่นั่งหลับตา ไม่น่าจะรู้ธรรมะได้แตกฉานลึกซึ้งเท่า

    เบื้องแรกมีการสนทนาไต่ถามทุกข์สุข ทำความคุ้นเคยกันพอสมควรแล้ว พระมหากลุ่มนั้นก็ตั้ง
    ปัญหาถามหลวงปู่มั่นว่า

    “ในฐานะที่ท่านมีความชำนาญในสมาธิภาวนา จึงอยากจะถามท่านเกี่ยวกับเรื่อง กสิณ ว่าท่าน
    ใช้วิธีเพ่งกสิณอย่างไร เช่น การเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีเหลือง แดง ขาว พวกนั้นมันเป็น
    อย่างไร ท่านใช้เพ่งอย่างไร ขอให้อธิบายด้วย?”

    ตั้งคำถามเหมือนกับข้อสอบ พระมหากลุ่มนั้นหวังจะให้หลวงปู่มั่น ท่านตกหลุมพราง จะได้เป็น
    หลักฐานกล่าวได้ว่า หลวงปู่มั่นและศิษย์ ประพฤติปฏิบัติตนออกนอกรีตนอกรอย ของพระพุทธศาสนา

    ฝ่ายหลวงปู่มั่น ท่านไม่ต้องรอคิดหาคำตอบ ท่านตอบทันทีว่า :-

    “อ๋อ ! นั่นก็กสิณเหมือนกัน ที่เพ่งภายนอกนั้น แต่มันเป็นกสิณของพวกฤๅษีชีไพร
    ส่วนกสิณของพระพุทธเจ้า ท่านให้เพ่งน้อมเข้ามาในกายตน เช่นเพ่งไฟ ก็ไฟธาตุในตน เพ่งน้ำ
    ก็น้ำเลือด น้ำดี น้ำหนอง น้ำเสลด เพ่งดิน ก็ดูผม ขน เล็บ ฟัน เพ่งลม ก็ลมหายใจเข้าออก
    ลมระบายออกทางทวาร ลมวิ่งไปในกระเพาะ ลมตีขึ้นเบื้องสูง ลมตีลงเบื้องต่ำ

    ส่วนการเพ่งสีนั้น ก็เพ่งในร่างกายของเรานี้เอง สีแดงก็เลือด สีเหลืองก็หนอง สีขาวก็กระดูก
    สีเขียวก็น้ำดี

    เพ่งให้เป็นธาตุปฏิกูล ความเปื่อยเน่า ความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนเราเขา
    นี่คือกสิณของพระพุทธเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส สำหรับผู้ไปเพ่งอย่างอื่นที่อยู่นอกตัว ยังเพ่งไม่ถูกแน่...”

    เมื่อได้ฟังคำตอบขอหลวงปู่มั่น เช่นนั้นพระมหาเปรียญผู้ถามถึงกับตลึงงัน เพราะไม่คิดว่าจะ
    พลิกผันไปเช่นนี้ แถมยังเป็นสุดยอดของคำถามคำตอบ ซึ่งอ่านในตำราจนจบก็ไม่สามารถหาได้

    ทุกองค์ยอมจำนน ไม่มีใครกล้าถามต่อไปอีก



    *******************************************

    แนวคำถามแนวข้อสอบ น้าจรเอาไปเติมถัง !!

    1. หลวงปู่มั่นบอกให้เพ่ง เลือด เป็น กสิณสีแดง ......นิมิตตรงของเลือด จะเพ่งยังไง ?
    2. ...................
    3. ...................
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จดๆ :cool:
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    จดส่วนจด ฝึกส่วนฝึกหน่าคร้าบ

    คล่องอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ชินเมื่อไหร่ ค่อยเปลี่ยน เพื่อ รื้อค้น !
     
  16. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    นิมิตรตรงของเลือดจะเพ่งยังไง ก็สติปัฏฐานดูกาย คือดูการทำงานร่วมกันทั้งหมดของทุกชิ้นส่วนที่ประกอบกันเป็นกาย เพ่งสีแดงถ้าเอามาเปรียบว่าเพ่งเลือด ก็ไม่ไช่ว่าเพ่งเลือดเพื่อ ให้รู้ว่าเลือดคืออะไรหรือเลือดเกิดมาจากไหน เขาเพ่งเพื่อให้เห็นว่าเลือดมันทำงานยังไง มันอยู่เฉยๆใหม แล้วถ้าเลือดมันไหลเวียนถ่ายเทจะเป็นเกิดเวทนาอย่างไรยังไง และถ้าเลือดไหลเวียนถ่ายเท ผลของมันทำให้ร่างกายเกิดเวทนาอะไร แล้วเวทนาเหล่านั้นมันทำให้จิตเกิดปฏิกิริยาอะไรตามมาต่างหาก
     
  17. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    กสิณเขาไม่ได้ฝึกแล้วให้ดูให้ค้นในสิ่งที่ถูกเพ่ง แต่กสิณฝึกแล้วให้ดูรู้ในจิตในกายใจว่า มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นต่อสิ่งที่มีให้กระทบ แล้ว กายใจจิตเราเกิดความสงบรู้ทันอะไรบ้างมั้ย
     
  18. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    หลักการพื้นฐานเลยก็คือ ฤาษีเขาถือเรื่องของ "อัตตา อาตมัน" ในขณะที่ชาวพุทธเราไม่ได้ยึดถือในเรื่องดังกล่าว แต่ชาวพุทธเรายอมรับนับถือในเรื่องของ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" นั่นเอง นี่คือความแตกต่าง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดและก่อให้เกิดแนวทางการปฏิบัติเพื่อฝึกฝนตัวเองที่แตกต่างกันตามมาครับ

    เอากันหลักๆ เท่านี้ก่อน สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ขอให้นำเอา Keyword ที่ให้ไว้ไปค้นคว้าเพิ่มเติมได้ต่อไป

    สำหรับเรื่องที่คุณถามมา ได้ตอบให้ทราบแล้ว ถ้ามีสิ่งใดอื่นๆอีก ขอเชิญทาง PM เถิดครับคุณ ขออย่าได้มารบกวนกระทู้ของคุณ Saber เลยครับ
     
  19. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,633
    ด้วยคำสอนเรื่องมโนมยิทธิของหลวงพ่อทำให้ผมได้มีโอกาสได้เห็นพระพุทธรูป เห็นบ้านลอยอยู่กลางอากาศนอกโลก ได้เข้าไปเดินเล่นในบ้านนั้น เห็นคนเหาะไปมา ที่นั้นไม่มีทั้งร้อนและหนาว สบายๆ สว่างตลอดเวลา ที่เห็นทั้งหมดนี้คือเห็นด้วยใจในสมาธิ

    และได้ประสบการณ์ความรู้ต่างๆอีกมากมายที่ถ้ามีแต่คิดเอาเองก็ไม่มีทางรู้ได้จากการปฏิบัติตามคำสอนของท่าน

    ผมเชื่อว่าหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา สิ่งไหนที่ท่านไม่รู้ท่านก็จะไม่พูด ดังนั้นคำสอนของท่านจึงเป็นคำสอนที่ท่านรู้เท่านั้น ซึ่งเป็นคำสอนที่เชื่อถือได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...