กรรมทำแท้ง : หลวงปู่ชอบ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 16 ธันวาคม 2019.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,291
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    องค์ท่านหลวงปู่ชอบและหลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านได้มาพักที่ บ้านเรือนไทยของคุณจงรักษ์หลังโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา กรุงเทพมหานคร

    มีหญิงสาวท่านหนึ่งเธอมากับลูกชาย เธอมีความทุกข์ใจมาก เพราะสมัยที่ตนเรียนนี้นได้เคยทำแท้ง พอได้ยินเสียงพระเทศน์เกี่ยวกับบุญบาปก็รู้สึกมีความทุกข์ใจ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่ชอบ

    หลวงปู่ชอบท่านบอกหญิงสาวคนนี้ว่า

    “ ธรรมชาติกิเลสมันบ่เคยส่งเสริมผู้ใดไปในทางดี มันมีแต่สิพาเฮาคิดไปในเรื่องบ่ดีไห่ใจเจ้าของเศร้าหมอง อดีตผ่านไปแล้วเอามาคิดใจเจ้าของกะเป็นทุกข์ เหตุปัจจุบันเป็นทุกข์ อนาคตมันกะผลเป็นทุกข์ ไห่ปฏิบัติดีเอาในปัจจุบันที่ตนเองมีอยู่ ปฏิบัติตนในศีลธรรม แล้วใจเจ้าของกะเป็นสุข "

    องค์หลวงปู่พูดจบ หญิงสาวก็ร้องไห้ เธอบอกหลวงปู่ชอบว่า

    “ ลูกตามกราบหลวงปู่มาสามปีไม่เคยได้ยินเสียงหลวงปู่พูดซักคำเลย วันนี้หนูได้ยินเสียงหลวงปู่พูดกับหนู หนูตื้นตันใจเป็นที่สุด ทุกข์ในใจของหนูในเรื่องนี้ที่มีมาโดยตลอดมันเหมือนถูกล้างออกไปจากใจโดยคำพูดของหลวงปู ”..

    องค์หลวงปู่ชอบท่านบอกหญิงสาวว่า

    “ เฮาสิบอกไตรสรณะคมน์ศีลห้าไห่นำไปปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติตนในไตรสรณคมน์ศีลห้านี่ได้แล้ว เฮารับรองไห่เลยว่าสิบ่ตกอบายภูมิ ”..

    หญิงสาวรับพระไตรสรณคมน์ และศีลห้ากับองค์หลวงปู่ชอบ

    หลวงปู่ชอบท่านบอกให้หญิงสาวภาวนาโดยเอาจิตเอาใจของตนเอง อย่าไปสนใจอะไรข้างนอก ทุกอย่างเราจัดการให้หมดแล้ว..

    หลวงปู่ชอบท่านหันไปบอกหลวงปู่บุญฤทธิ์ให้สอนหลักการภาวนาเบื้องต้นให้กับหญิงสาวคนนี้โดยองค์ท่านจะภาวนาไปด้วย..

    หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านสอนภาวนาให้กับหญิงสาวว่า..

    “ เรื่องที่ผ่านมานั้นไม่ต้องไประลึกถึงมัน อดีตมันก็คืออดีต ให้มีสติกำหนดระลึกภาวนาในใจให้เป็นปัจจุบันพอ ไม่ว่าเราจะบริกรรมคำภาวนาว่าพุทโธ หรือจะกำหนดดูลมหายใจเข้าออกของตนเองก็ตาม ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งที่ใจของตนเองรักและถนัดในเรื่องนั้น ๆ

    สิ่งที่ใจเรารักใจเราถนัดนั้นคือ เวลาเรากำหนดหรือบริกรรมไปแล้ว ใจของเราจะเกิดความสุขุมเยือกเย็นสงบลงได้อย่างรวดเร็ว นั่นแหละคือความถนัดที่มาจากวาสนาดั้งเดิมของตนเอง

    ข้อสำคัญในการภาวนานั้น คือการมีสติอยู่กับจิตกับใจของตนเองอยู่ตลอดทุกเวลานาที ให้มีสติจดจ่อลงไปในคำบริกรรมของตนอย่างถี่ ๆ พอสติเรามีกำลังเข้มแข็งอย่างเต็มที่แล้ว จิตมันก็จะนิ่งสงบลงไปในธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงใจเราไม่อยากจะรู้ แต่จิตมันจะรู้ ”..

    หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านสอนธรรมหลักการภาวนากับหญิงสาวเพียงสั้น ๆ ท่านก็บอกหญิงสาวคนนี้ให้ภาวนา หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านก็หลับตาภาวนาไปด้วย..

    หญิงสาวก็นั่งหลับตาภาวนาอยู่ต่อหน้าองค์ท่านหลวงปู่ชอบและหลวงปู่บุญฤทธิ์.

    เมื่อหญิงสาวเกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมาในใจเมื่อไหร่ องค์หลวงปู่ชอบท่านก็จะเอามือตบหมอนพักแขนขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เพื่อเตือนสติให้หญิงสาวคนนี้ทราบ ให้กำหนดรู้จิตของตน

    เวลาผ่านไปเกือบร่วมชั่วโมงหลวงปู่ชอบท่านก็ไม่ตบหมอนพักแขนอีก องค์ท่านหลับตาลงไม่แสดงกิริยาจ้องมองตบหมอนพักแขนใส่หญิงสาวคนนี้อีก..

    หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านก็นิ่งในกิริยาหลับ ทุกๆอย่างเวลาที่อยู่ในท่ามกลางมหานครกรุงเทพตอนนั้น มันเงียบสงบทั้ง ๆ ที่มันเป็นเวลาบ่ายกลางวัน..

    เป็นสิ่งที่แปลกมาก ในเวลาร่วมจะสามชั่วโมง ลูกชายของหญิงสาวคนนี้เขาก็ไม่ขึ้นมารบกวนแม่ ไม่มีใครคนข้างนอกมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบแม้แต่คนเดียว เหตุการณ์ทุกอย่างทั้งภายในภายนอกถูกองค์ท่านหลวงปู่ชอบคุมกำกับไว้ภายในบารมีขององค์ท่านทั้งหมด..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบลืมตาขึ้นมาในเวลาไล่เลียงกันกับหลวงพ่อบุญฤทธิ์ ทั้งสองท่านยิ้มให้กัน หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านก็กอดนวดขาองค์ท่านหลวงปู่ชอบและต่างยิ้มให้กัน..

    พอหญิงสาวคนนี้ลืมตาขึ้นมองหลวงปู่ชอบกับหลวงปู่บุญฤทธิ์ กิริยาเขานั่งนิ่งน้ำตาไหลซึ่งต่างจากกิริยาก่อนที่เขาบอกหลวงปู่ชอบกับหลวงปู่บุญฤทธิ์..

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบยิ้ม บอกกับหญิงสาวว่า..

    “ ธรรมแท้มันเป็นจั่งซี้หล่ะ ฮาก (ราก) มันมีแล้วกะไห่รักษาต้นของมันไปหาดอกหาผล ”

    หลังไหว้สวดมนต์ปลอดผู้ปลอดคนเขากลับกันไปหมดแล้ว พระอุปัฏฐาก (คูบาวีระศักดิ์ โพธิสัตย์) ได้กราบเรียนถามองค์หลวงปู่ชอบว่า

    " แต่ก่อนแต่ไรครูบาอาจารย์ก็เจอผู้หญิงคนนี้เขามากราบครูบาอาจารย์ตั้งหลายครั้ง ทำไมครูบาอาจารย์ถึงไม่บอกแก้ทุกข์ทางใจของเขาให้แล้วไปตั้งนานกว่านี้ ? "..

    หลวงปู่ชอบท่านบอก..

    " โบ้ย..เรื่องบางอย่างนั้นมันต้องรอเวลาให้วาสนาเรา วาสนาเขาบรรจบกันก่อนจึงจะสงเคราะห์กันได้
    เปรียบคือเฮานึ่งข้าวหุงข้าวยังไม่ทันสุกดีก็เอาให้เขากิน เมื่อเขากินข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบหม้อนั้นหวดนั้นแล้ว ข้าวหม้อนั้นหวดนั้นมันก็จะกลายเป็นข้าวเสียประโยชน์..
    พระพุทธเจ้า พระอริยะสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านจะพิจารณาจนเห็นว่าข้าวสุกปลาตายแล้วท่านจึงจะป้อนข้าวใส่คำ ป้อนธรรมใส่ใจ ธรรมก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อทุกอย่างของข้าวนั้นมันสุกแล้ว ผู้ที่ได้กินข้าวคำนั้น เขาก็เป็นสุข ".....

    หลวงปู่ชอบ

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56855
     

แชร์หน้านี้

Loading...