การงานทางโลกกการหาอยู่หาเลี้ยงชีพ ต้องขวนขวายในกิจการต่างๆ ทางโลก กลัวไม่เป็นตามเป้าบ้าง กลัวขาดทุนบ้าง กลัวผิดพลาดบ้าง...
ขอบคุณครับที่ชี้แนะ
"ร่างกายไม่ใช่เรา จิตนี่ก็ไม่ใช่เราแล้วอะไรล่ะที่เป็นเรา" เพื่อให้เชื่อมโยงกับธรรมภาคปริยัติให้ง่ายขึ้น ขอให้ยกคำว่า "ร่างกาย" และ"จิต"...
ขันธ์ 5 นั่นเองทำให้เราดำรงความเป็นเราอยู่ได้ทุกวันนี้ ถ้าไม่มีขันธ์ 5 ก็ไม่มีเรา ตายเมื่อไหร่ก็ไม่มีเราแล้ว ไปสวมขันธ์ 5 อันใหม่...
สัญญา ผมก็ว่ารู้เห็นมาพอประมาณกันแล้ว จะแยกจากจิตไม่แยกจากจิต มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรของจิต ปัญหาของจิตคือจิตไปยึดไปติดไปข้องในสิ่งใด...
การพิจารณาขันธ์ต่าง ๆ เป็นปากทางเข้ามาหาตัวจิต แต่จะแยกขันธ์ออกจากจิต ต้องปล่อยวางที่จิต
เห็นนิวรณ์ ก็เห็นเหมือนเราฟังวิทยุแต่มีคลื่นรบกวนฟังได้แต่ไม่ชัด หรือเหมือนเรามองพระจันทร์แต่มีเมฆเคลื่อนมาบดบังทำให้เห็นพระจันทร์ไม่ชัด
อย่างที่บอกแต่แรกผมไม่ได้ฌาน ไม่ได้สัญญาเวทยิตนิโรธอะไรครับ อ่านธรรมะมาจำมา เลยวิเคราะห์เอาเองจากที่อ่านครับ จึงได้นำมาถามในที่นี้ครับ
ตามที่ผมเข้าใจนี่ ในฌาณกระแสความรู้รวมเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกัคคตาอยู่ ส่วนสัญญาเวทยิตนิโรธนี่ ทุกอย่างดับหมด เวทนาที่มีอยู่ก็ดับ...
ผมก็ไม่ได้ฌาณ ไม่ได้นิโรธอะไรกับเค้าแหละลุง แต่หาเรื่องหาราวยกมากล่าว เข้าวงสนทนาด้วยเท่านั้นแหละ
ก็อ่านจากหนังสือแล้วเอามาแสดงความคิดเห็นต่อกัน ที่อ่านมาผมก็ไม่เห็นว่าที่โพสต์เถียงกันอยู่นี้ ใครจะได้ฌาณ ได้นิโรธสมาบัติกันที่ไหน...
ที่มา : Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ��
จะว่าไปแล้วผมนี่ก็นักอ่านเป็นหนอนแทะกระดาษตัวยงคนหนึ่งเช่นกัน ครูอาจารย์ในสมัยปัจจุบันที่ว่า ท่านเห็นเพียงเกิดดับแล้ว...
ความเข้าใจของผม ในท่านที่เห็นเกิดดับแล้วบรรลุเลย น่าจะเป็นท่านผู้เป็นขิปปาภิญญา ได้สั่งสมการปฏิบัติมาแล้วมากมายในอดีต...
ปล่อยวางความลังเลสงสัย แล้วเพียรปฏิบัติต่อไป น้อมนำแนวทางปฏิบัติของพระมหาชนก มาตั้งไว้ที่ใจเราสิ
เชื่อได้แน่เลยว่าแม้แต่พระพุทธองค์เอง หรือครูอาจารย์ที่ท่านบรรลุธรรมแล้ว พระองค์และองค์ท่านก็ยังมีความลังเลสงสัยในทางปฏิบัติมาแล้วทั้งนั้น...
เรื่องทุกข์กำหนดรู้ สำหรับผู้อื่นผมไม่รู้นะ แต่สำหรับผม เมื่อเกิดทุกข์ผมก็จะพิจารณาหาอุบาย ถอดถอนทุกข์ในเรื่องนั้น ๆ...
สติปัฏฐาน เป็น สัมมาสติ มั้ย พระคุณเจ้า
คราวนี้หลวมตัวเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน อเสวนา จ พาลานัง
ถึงว่าสิคนชั่วนี่มันหาเรื่องไปเรื่อย จริง ๆ ไม่น่าหลวมตัวไปเสวนากับมันเลย
พอเถอะไอ้วิธีีการแบบนี้ ด่าคนอื่นว่าชั่ว ผมไม่เห็นใครในนี้ด่าใครนะ แม้กระทั่งพระรัตนตรัย ก็ไม่มีใครด่า มีแต่คุณนี่แหละที่ด่าคนอื่นอยู่...
ผมขอตัวพักผ่อนก่อน
ผมกับคุณธรรมภูต ไม่แย้งแม้นิดเดียว ผมถึงบอกให้คุณไปอ่านให้ดี การปฏิบัติธรรมนั้นมีเงื่อนไข ไม่ได้ไปหน้าเดียวหรอก...
นี่แหละนักปฏิบัติธรรมยอมรับกันไม่ถือสาหาความ ผมนี่ไม่ใช่คนตะบี้ตะบันคัดค้านอะไรนะอินทรบุตร อย่างสนทนากับหลวงพี่โชแปงนี่...
แต่ผมว่าถูกนะ แต่สำคัญคือจิตต้องมีกำลังจากสมาธิให้มาก มันจะเห็นเป็นแต่เพียงสักแต่ว่าเท่านั้นแหละ อุบายไปได้แล้ว แต่จิตยังไม่มีพลังมากพอที่จะเห็น
ตกลงคือไม่ให้ไปหมายรู้ว่าเป็น ดิน เป็น น้ำ เป็นลม เป็นไฟ ใช่มั้ยหลวงพี่ เห็นเพียงสักแต่ว่าเวทนาใช่มั้ยหลวงพี่...
แต่โพสต์ก่อนหน้าทำไมบอกว่า"ลมที่กระทบแขน แท้จริงไม่ใช่ลม" ตกลงมันคืออะไรที่กระทบ
ดูเอานะโพสต์ที่ #273 นั่นแหละ ข้างบนนี้
ก็ดูเอาแล้วกัน
เออ แล้วจะสัมผัสลมได้ยังไงล่ะ
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา