อนุโมทนาครับ ขอบพระคุณมากครับ งงเหมือนกัน ผมก็เห็นด้วยครับว่าดูให้หมดว่าสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ตามรู้ว่าตั้งอยู่แล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา สาธุ พระธรรมของพระศาสดาน่าอัศจรรย์จริงหนอ
ขอบคุณครับคุณโพธิ์แก้ว แล้วจิตกับเจตสิก เป็นเช่นไรครับ พอคุณโพธิ์แก้ว บอกว่าให้ศึกษาผม เลยชักไม่ค่อยเห็นแสดงที่เคยเห็นตอนรู้แนวทางการดูจิตใหม่ๆ ตอนนี้ดูเหมือนไกลเหลือเกินที่จะเข้าใจ ยากไหมครับ (ขอสั้นๆง่ายแบบ ย่อยแล้วนะครับ5555) จำเดิมแต่ไรมา บุคคลไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผมก็ต้องสู้ๆต่อไป ดูเหมือนผมมักง่ายเลยนะครับ แต่ขออาศัยกัลญาณมิตรละกันนะครับ555 -_-" แล้วหาอ่านได้ที่ไหนครับ(เป็นตัวเลือกให้ถ้าคุณขี้เกียจอธิบายยาวๆ55 ) หรือต้องศึกษาที่ไหนครับ อ่านในประทีปส่องทางหรือทางเอกมีไหมครับ ผมเคยโหลดมาเก็บไว้ด้วย ถ้าคุณบอกว่ามีเด๋วลองไปเปิดดูครับ
ไม่มีไรครับ ผมชอบใจในคำสอน ดูจิต ก่อนหน้านี้ ผมเคยคิดจัดการอารมณ์โดย เมื่อรู้ว่าผัสสะมากระทบ จะทำความรู้สึกเหมือนว่า เราเป็นอีกคนที่ดูตัวเองข้างๆเหมือนเพื่อนที่ดูเพื่อนอีกคนโดนด่าเพื่อนลด อารมณ์ที่เกิดไม่ให้มีร่วมไปกับประโยชน์ที่จะได้รับคำแนะนำนั้น พอมาฟังท่าน ผมก็รู้สึกว่าเราเป็นฆารวาส ทำสมถะไม่ค่อยได้บ่อยนัก อาศัยดูตามจิตโดยล้อมกรอบด้วยศีลน่าจะเป็นสิ่งที่สนุกกว่า จึงลองๆทำดูก็ดีครับ แต่ก็หลุดๆบ้าง ตามสติ กำลังต่อไป จึงคิดว่าจะไปกราบท่านซักหนเท่านั้นเอง กะว่าจะไปช่วงปีใหม่นี้ ถ้าไม่เคยฟัง ว่างๆลองโหลดมาฟังดูนะครับ http://www.wimutti.net/pramote/ อ้อ ล่าสุดท่านจะมาแสดงธรรมที่บ้านอารีย์วันที่สามมกราผมจะเข้ากรุงเทพพอดี แล้วก็วันที่เจ็ดก็มีที่http://www.supkcenter.com/ติดต่อสอบถาม/orangeablum/Prapramote/prapramote1.html ไงถ้าว่างก็เชิญร่วมฟังธรรมนะครับ ถ้าไม่มีเหตุอันขัดข้องผมเองก็ว่าจะไปฟังธรรมหมือนกัน จึงได้บอกว่าเพื่อนกัลญาณมิตร เพราะคิดว่าเป็นสิ่งดี เจริญในธรรมครับ
มาทักทายครับผม แล้วมีบทความมาฝากด้วยครับ ขอบคุณครับ เรื่องชำระหนี้สงฆ์ล่วงหน้าป้องกันการตกนรกครับ อ่านได้ที่นี้น่ะครับ http://board.palungjit.com/showthrea...24#post1707324 [IMG]
มาทักทายครับผม แล้วมีบทความมาฝากด้วยครับ ขอบคุณครับ เรื่องชำระหนี้สงฆ์ล่วงหน้าป้องกันการตกนรกครับ อ่านได้ที่นี้น่ะครับ http://board.palungjit.com/showthrea...24#post1707324 [IMG]
ผมเองเคยปราถนาพุทธภูมิเหมือนกันเพราะมีความประทับใจในพระพุทธเจ้า แต่ พุทธภูมินั้นยิ่งใหญ่เกินไป อีกทั้งยังต้องสั่งสมบารมียาวนานอีกด้วย ผมเองไม่ได้อยากบริหารหมู่สงฆ์ ไม่ได้อยากมีพระสาวกติดตาม ผมปราถนาตรัสรู้เองเท่านั้น และเมื่อเราปราถนาใหญ่มานะย่อมติดตัวเราไปเช่นกัน จึงลดความยึดมั่นในการสั่งสมปารมี แต่ก็ยังมีจิตประสงค์จะสั่งสอนเหมือนกันนะ จึงตั้งความหวังไว้ว่าเราจักเป็นผู้โปรดสัตว์ตามสมควรแก่เหตุ ตามวิสัย ตามปัจจัย แนะนำกัลญาณมิตรตามสมควร บ่มเพาะ เตือนสติเหล่าหน่อพุทธางกูรที่ยังอ่อนๆอยู่ ให้ตั้งมั่นในทศบารมี เป็นโอกาสให้ได้ทำอธิการและโปรดสัตว์ในคราที่พระพุทธเจ้ามิได้บังเกิดขึ้นเท่านั้นเองครับ เพราะช่วงกาลนั้นมนุษย์ย่อมมิรู้กรรมที่ควร และมิควร ในส่วนหลังนั้นขออนุโมทนาครับ เหตุย่อมสมควรแก่ผล ขอความตั้งหวังของท่านจงสำเหร็จเทอญ สาธุ แต่หากกระผมเองยังต้องท่องเที่ยวในสังสารวัฎยาวนานกว่า จนท่านผุ้ปราถนาพุทธภูมิเช่นท่านได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พึงได้กรุณาให้โอกาสแห่งกาลพยากรณ์ข้าพเจ้าเพื่อถึงความแห่งนิตยปัจเจกโพธิสตว์ผู้เที่ยงเเท้ด้วยเช่นกันเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
ปณิธาณ เราไม่ควรยึดติดว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นของเรา หรือทำสิ่งใดแล้วจะได้อย่างนั้น จงทำให้ดีที่สุดกับทุกคน ไม่ควรถือตัวว่าเราดีกว่า เสมอหรือเลวกว่าเพราะการยึดติดย่อมมีความคาดหวัง เมื่อหวังไว้มากก็ย่อมเสียใจมาก เพราะเหตุที่ว่า คนเราย่อมมีการพลัดพรากเป็นธรรมดา จึงควรตั้งจิตกลางๆรู้เท่าทันสัจจะธรรม ดั่ง คำสอนของพระศาสดา ที่ว่า การประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของเจริญใจก็เป็นทุกข์ มีความปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์ นั่นเอง หากเปรียบเทียบกับทุกข์ที่จะเกิดขึ้นจริงๆ คือการเกิด การแก่ การเจ็บไข้ และการตาย เรื่องเหล่านั้นย่อมเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อพิจารณาตามสัจจะธรรม นั้นแล้ว เราพึงไม่ยึดถือตัวตน เพราะเราเป็นแค่จิตดวงเดียวที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกายเนื้อจากบิดาและมารดา เกิดมาเพื่อประกอบกรรมดี สร้างกุศลเสริมบารมีเพื่อเป็นเสบียงจนกว่าจะข้ามพ้น สังสารวัฏ มนุษย์ผู้เข้ามาในชีวิตล้วนเป็นไปตามอำนาจของกรรม ที่มีเหตุและปัจจัย เพียงแค่เราใช้ปัญญาพิจารณาว่าจะก่อกรรมใดร่วม ยับยั้ง หรือวางเฉยกรรมใดเพื่อไม่ให้เกิดกรรมใหม่ เท่านั้น ต่อไปหากควบคุมไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ตามเหตุตามปัจจัยของมันเท่านั้นเอง หากไม่แน่ใจก็ให้ยึดถือความดี ประกอบกรรมดีกับทุกตน ทุกคน ซึ่งท่านหรือสัตว์เหล่านั้นต่างก็ เวียนว่ายตายเกิด ไปด้วยกัน ย่อมมีสุข มีทุกข์ มีเสียใจ มีดีใจ มีผิดหวัง ต่างดิ้นรนไปตามผลกรรมและอำนาจของกิเลส ต้องเผชิญทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ควรถือโทษโกรธเคือง ไม่พึงสร้างศัตรู เราควรก่อแต่มิตร และกัลญาณมิตรที่ดีงาม หยิบยื่นสิ่งดีๆให้กัน ไปจนกว่าจะ ข้ามพ้นความทุกข์ได้ หากแต่บางเวลาเราจะมีโอกาสได้ประสพ พบบุคคลที่ลอยบาปบำเพ็ญบุญ พบผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเราจะอาศัยคำชี้แนะและแนวทางของผู้รู้แจ้ง แล้วเดินตามรอยพระศาสดา ผู้เรามั่นใจว่ารู้จริงรู้แจ้ง นั่นคือพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เดินทางไปสู่พระนิพพาน ตามทางที่เราได้เลือกไว้ หากไม่พบพระผุทรงคุณอันยิ่งใหญ่เหล่านั้น ด้วยอำนาจกุศลกรรม ที่เราได้ปฎิบัติจะชักนำให้ เรามีอุปนิสัย ปัจจัยในการเดินทางสูพระนิพานเบื้องหน้า ดังนั้นเมื่อเรากำหนดทางได้แล้ว จึงมุ่งสู่พระนิพพาน บำเพ็ญกุศลตามอัตภาพ แม้ไม่บรรลุในชาตินี้ก็ขอให้บรรลุในชาติต่อๆๆไป จงตั้งใจอธิฐานว่าขออย่าได้ห่าง ทางแห่งพระนิพพานด้วยเทอญ หากยังไม่ถึงนิพพานให้ยึดความดี ยึดธรรมของพระอริยะเจ้าทั้งหลายเป็นที่เกาะ เป็นที่พึ่ง
เป็นข้อคิดเล็กน้อยจากการอ่านหนังสือ การคิดและการใช้ชีวิต และความเชื่อนะครับ อย่าคิดมากแต่รู้ไว้ว่ามันเป็นเช่นนี้คนที่รู้เรื่องพวกนี้เป็นพุทธdeep พวกลึกซึ้ง ความจริงคนที่รู้เรื่องพวกนี้มีเยอะ บางคนรู้เยอะแต่งมงาย(ศรัทธาเกินเหตุ) บางคนรู้น้อยแต่มัปัญญาคิดเองเข้าใจง่าย พออ่านและฟังๆ คิดๆแล้วเข้าใจด้วยเหตุและผล ผมเชื่อว่าคนเหล่านั้นเคยรู้เคยทำมาแต่ปางก่อน แต่คนที่ไม่รู้เลยกลับมีเยอะกว่ามากๆ ผมมีความเชื่อและภูมิธรรมแบบนี้ นายอาจรู้อยู่แล้วหรือรู้มากกว่าก็ได้ ไม่รู้จะเหมือนกันไหม ไงก็ลองๆอ่านดูแล้วกันนะครับ ถ้าเป็นพุทธแบบdeepจริงๆจะต้องมีทางเดินที่ได้เลือกไว้เเล้วว่าไปสู่ทางพ้นทุกข์โดยวิธีใด โดยตั้งใจว่าเราจะไปพระนิพพานทางสายไหน ในทางเดินที่มีอยู่สี่ทางหลัก(ไม่ได้เอาทางสู่สุขติ เช่น สวรรค์ พรหม มารวมด้วยเพราะยังไม่ได้พ้นทุกข์) คือ 1.ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองและโปรดสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบำเพ็ญบ่มเพาะบารมีมานาน นานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขึ้นกับว่าเป็นแบบไหน(มีการจำแนกประเภทไว้ตามบารมีการบำเพ็ญเพียร) 2.เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองแต่ด้วยเห็นว่าธรรมนั้นสู่งส่งยากเกินที่มนุษย์ในยุคนั้นจะรู้ตามได้จึงรู้เองไม่ได้สั่งสอนผูอื่น ชาติอื่นๆก็บำเพ็ญบารมีเองบ้าง บำเพ็ญตามผู้อื่นเป็นครูเช่นพระพุทธเจ้าบ้าง แต่ชาติสุดท้ายต้องสู้คนเดียว บำเพ็ญเองตรัสรู้ รู้เอง 3.เป็นพระอรหันตสาวกผู้ตรัสรู้ตาม พระพุทธเจ้า 4.เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป(เช่นพระอนาคามีที่จะเป็นอรหันต์ในพรหมชั้นสุทธาวาสและนิพพานในชั้นนั้น) สัตว์ใดรู้ทางและพยายามเดินไปตามทางระมัดระวังตนไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ต่ำ บำเพ็ญบุญละบาป บ่มเพาะบารมี เราเรียกหมู่สัตว์เหล่านั้นว่าโพธิสัตว์ ซึ่งจำแนกได้สองประเภทคือ นิตยโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพวกที่จะได้ตรัสรู้แน่ๆ มีกำหนดชัดเจนว่าเหลืออยู่เท่าไหร่กี่ชาติกี่ภพ กับอนิตยโพธิสัตว์ผู้ไม่เที่ยงแท้ยังมีโอกาสตกไปสู่โลกที่ชั่วช้าได้(ยังมีจิตหลงไปทำกรรม ทำบาป ทำสิ่งไม่ดี)อันหลังเนี่ยใครจะเป็นก็ได้แต่ต้องอาศัยความพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างเเรกให้ได้ ในปัจจุบันสมัยเราสบายหน่อยเพราะมีพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้และมีพระมหากรุณาโปรดสั่งสอนสัตว์ได้ชี้ทางให้โดยตรัสถึงหลักธรรมและคุณธรรมเหตุแห่งโพธิสัตว์ไว้และการตั้งความปราถนาไว้เพื่อเป็นแนวทางให้แก่หมู่สัตว์ผู้ยังบารมีไม่พอที่จะตรัรู้ตามธรรมะของพระองค์ในชาติหรือในกาลสมัยนี้ถ้าสนใจก้ต้องศึกษาต่อไปอีกนะ(นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สัตว์โดยแท้) ใครที่บารมีเต็มพร้อมและต้องการออกจากทุกข์ก็ตรัสรู้ตามพระองค์ไป สรุปว่าเราเกิดมาเพราะอวิชชา(ความไม่รู้)เป็นเหตุ การออกจากทุกข์คือการหยุดเกิด การหยุดเกิดคือพระนิพาน ดังนั้นเราถ้าเห็นภัยในสงสารวัฏ(การเวียนว่ายตายเกิดแล้ว)เรามีชีวิตและการดำเนินอยู่เพื่อเดินไปสู่พระนิพพาน โชคดีที่เราได้เกิดในสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น พระองค์ได้ตรัสสอนถึง อริยมรรค กุศล กรรม ทั้งหลายเหตุและปัจจัยทั้งหลาย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สัตว์จริงๆ(คือแบบว่าพระองค์ตรัสรู้แล้วไปดีแล้ว สามารถที่จะเดินไปโดยไม่ได้บอกใครเฉกเช่นปัจเจกพุทธทั้งหลายแต่ด้วยตวามที่มีพระมหากรุณาจึงได้ประกาสศาสนาพุทธขึ้น) ทำให้เราเหล่าสัตว์ผู้ตาบอดด้วยความหลง รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร บางพวกรู้ตามบางพวกยังไม่รู้ตามเพราะเหตุคือ จำพวกแรกมีปัญญาบารมีแก่กล้าพอที่จะตรัสรู้ตามแต่ได้ตั้งความปราถนาไว้ว่าจะตรัสรู้เองพวกนี้จะเรียนรู้หลักธรรมเพื่อพัฒนาตนให้ดีขึ้น สะสมบารมีให้มากขึ้นจนเต็มเปี่ยม จำพวกนี้มีความรักและเคารพพระพุทธเจ้ามากเพราะท่านเป็นผู้ชี้แนวทางไม่ให้เหล่าสัตว์ที่บารมีอ่อนอยู่หลงทาง คนเหล่านี้เรียกว่าพุทธภูมิและปัเจกพุทธภูมิโดยมีการจำแนกประเภทไปอีกโดยอาศัยบารมี ปัญญาวิริยะ ศรัทธา ส่วนมากเป็นนิตยโพธิสัตว์ จำพวกที่สองคือเหล่าสัตว์ที่เคยรู้ทางแล้วจะตั้งความปราถนาไว้หรือไม่ได้ตั้ง หรือตั้งไว้แต่ไม่มั่นคง และบารมียังไม่เพียงพอที่จะตรัสรู้ตามต้องสะสมบารมีต่ออีก ถ้าโชคดีก็บังเกิดในภพดีมีกัลญาณมิตร(จะว่าโชคดีก็ไม่ใช่ เพราะทุกอย่างมีเหตุและปัจจัย บารมีเข้าขั้นมากกว่า เพราะบารมีอ่อนยังมีโอกาสทำชั่วก็ต้องตกไปสู่โลกที่ชั่วได้) จำพวกที่สามเหล่าสัตว์ที่ยังไม่เคยรู้สัจธรรมและทางนี้เลย ยังต้องศึกษาอีกยาวไกล(อันนี้น่าสงสารอย่างแรง จะดีขึ้นได้ต้องอาศัยสองจำพวกแรก และพระผู้ไปดีพ้นแล้วทั้งหลาย แสดงธรรมให้เป็นนิสัย และปัจจัย แต่ก้ขึ้นกับปัญญาของผุนั้นด้วยว่าจะเห็นว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ เฮ้อเหนื่อยใจ ได้แต่วางอุเบกขาถ้าเราได้เมตตาและกรุณาสงเคราะห์แล้ว ก็ปล่อยไปตามกรรม ตามเหตุตามปัจจัย ไม่เสียใจที่ได้บอกกล่าว) เมื่อฟังคำบอกเล่าแล้ว จงตอบคำถามในใจตัวเองคือ เราเห็นภัยในสงสารวัฎหรือไม่ ชีวิตมีความทุกข์หรือไม่ มีใครบ้างที่ไม่มีควาทุกข์ เรามีความเบื่อหน่ายในการเกิดหรือไม่ หากจะตรัสรู้หรือบรรลุธรรม และออกจากทุกข์แล้วเราขอตั้งความปราถนาไว้ว่าจะเดินไปทางสายใด แล้วแนวทางเดินไปสู่พระนิพพานทางนั้นทำอย่างไร แล้วปัจจุบันเรากำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตเป้นสิ่งไม่แน่นอน ความตายเป้นสิ่งแน่นอน วันนี้เรายังโชคดีที่ยังเห็นรอยพระบาทของพระศาสดา หากต่อไปจิตดับลง กายแตกแล้ว จะเสียดายที่ปล่อยให้รอยพระบาทจางหายไป เพราการเกิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป้นสิ่งยากยิ่ง เราต้องหลงทางไปอีกนาน หากไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติเป็นประจำ แค่ท่องจำวันนี้พรุ่งนี้ยังลืมเลยนับประสาอะไรกับชาติหน้า อย่างน้อยวันนี้เราได้อะไร ถ้าเราปฏิบัติและศึกษาอยู่เป็นนิจ แม้นไม่ได้บรรลุในชาตินี้ขอให้ติดเป้นนิสัยเป็นปัจจัย ในชาติหน้าๆ หากเคราะห์ร้ายด้วยกรรมใดก็ตามเราได้เกิดในยุคหรือภพที่เราเกิดไม่มีโอกาสได้ยินหรือได้เห็นพระสัจธรรม จากพระพุทธเจ้าหรือไม่ได้เกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซ้ำร้ายกว่านั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น ก็ขอให้ให้รู้ว่าสิ่งใดเป้นบุญสิ่งใดเป็นบาป รู้ทุกข์เข้าใจสัจจธรรม ไม่หลงทำสิ่งชั่วช้าสามาน ตกนรกหรือเกิดในพรหมโลกที่มีอายุไขเนิ่นนานเกินไปก็พอ แต่ที่แน่ๆ ด้วยสติที่มีอยู่ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอริยบุคคลทั้งหลาย ตั้งแต่สมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้นมาจนถึงองค์ปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอผูกขาดจองขาดเกิดในศาสนาพุทธทุกชาติภพ ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาดี มีกำลังและโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติธรรมะ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไปทุกชาติภพจนกว่าจะบรรลุปัจเจกโพธิญาณด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ เพราะทางเดินของเรายังอีกยาวไกล สู้ต่อไป นะสัตว์ผู้ดิ้นรนออกจากทุกข์
เออ ขออนุญาติถามภูมิธรรมและคติธรรมนะครับว่า นายยึดมั่นในคติแบบใด หีนยานหรือมหายาน นายชอบใจธรรมหรือแนวทางแบบใด มองพุทธศาสนาแบบใด ศึกษาเพื่ออะไร
ครับ เมื่อมีคนพูดขึ้นมา พึงวางใจให้เป็นกลาง แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำที่เป็นกลางครับ อธิบายตามใจคิด(ใจที่เป็นกลางแล้วอ่ะนะ) หากก่อกรรมทำให้มีผู้ไม่สบายใจ ก็เพราะเกิดแต่ใจของเขาเอง เพราะเราได้วางใจให้เป็นกลางแล้ว เมื่อใจบริสุทธิ์กรรมทั้งหลายย่อมไม่ตกกับเรา
สีหราชเดโชชัย เป็นตำแหน่งทางทหาร แม่ทัพหน้า มีหลายคนหลายสมัย เช่นพระยาพิชัยดาบหักท่านก็เคยดำรงตำแหน่งสีหราชเดโชชัย แต่ตอนหลังท่านได้เป็นเจ้าเมือง เลยได้เป็นพระยาพิชัย ส่วนที่ใช้นี่ก็สมัยพระนารายณ์ โอเคป่ะ อิอิ
ดีครับ เห็นออนอยู่เลยเเวะมาทักทาย ทำไมยังไม่นอนเหรอครับ (พอดีเข้าไปอ่าน กระทู้อนุตรธรรม เปิดจุดตรัสรู้มาครับ 555)
หวาดดี ครับ เป็นกระทู้แรกของผม ช่วยเข้าไปอ่านด้วยนะ ครับ ;welcome2ผิด หรือ ถูก ใคร คือคนกำหนด ;welcome2 http://board.palungjit.com/showthread.php? p=1520181#post1520181