วางสุข ก็ วางทุกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xtrem, 5 มีนาคม 2016.

  1. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    จิตที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในกุศล หรือ อกุศล เฝ้าถามหา "อัพยากฤตธรรม" จักเกิดจากสิ่งใด หรืออาจจักเกิดด้วยการ กดเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือป่าวนะ :cool:
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เห็นคำตอบ คนบางคน ที่ โบ้ยไปโน้น ไปโทษ สังขาร
    แล้วก็ นึกถึง "คนตั้งใจปฏิบัติ" เขียนคำถามไปถามพระราชรีว่า

    " จิตเป็นปัจจุบันของมันอยู่แล้ว มีแต่ไปเผลอหลงสังขาร ก็เลยทุกข์ "

    พระท่านเห็น ความพยายามในการกล่าวธรรมลงเป็น มุขนัย ขันธ์5 ก็เลย
    ให้คะแนนสงสาร ตอบแบบเกรงใจ ว่า ถูก

    แต่ถ้าหากฟังดีๆ พระท่านจะบอกว่า ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ภาวนายังไม่
    เป็น ยังหาจิตไม่เจอ ยังหลงสังขารปรักปรำขันธ์5 เพียงแต่ ปรารภ
    มุขนัยลงขันธ์5 ท่านจึงอนุโลมให้กำลังใจว่า ภาวนาได้ เพราะว่าเรียน
    ตามแบบ คันธุระ ท่านก็ไม่ห้าม

    ถามว่า ภาวนาเป็นไหม ฟังพระดีๆ พระท่านว่า ยังอีกไกลแสนไกลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล
     
  3. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    มาว่าต่อ ด้วยเรื่อง อาจมีคนอ่านไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด เอาว่าปรักปรำ สังขาร โทษสังขาร ( "ด้วยความหน้าสันติของมันเอง" อันนี้ศัพท์ใครไม่รู้ อ่านผ่านๆๆ เลยเอามาลงสักหน่อย เพื่อเขามาเห็นจะได้อนุโมทนา สาธุบ้าง ) อย่าเรียก หรือ เข้าใจเอาเองว่าโทษสังขาร อันนั้นมันเรื่องของคนภาวนาไม่เป็น ถ้าคนรู้สังขารตามความเป็นจริง ย่อมเห็น ทุกข์ โทษ ภัย ของสังขาร ว่าไม่ใช่ตน คน สัตว์ เรา เขา แล้วคลายความยึดติด ความหลง ความมัวเมา แล้วก็ปล่อยวาง เหตุมันดับ กิเลสตัณหา อวิชชามันจะมีไหม หรือจะย้อนไปภาวนาดับกิเลส ตัณหา อีกแสนกัปล์.
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไปไปมามา ต้องเรียนกันใหม่

    สังขารา เป็น ปัจจัยให้เกิดอวิชชา คลายยึดติด สังขารได้ อวิชชาหายจ้อย

    ฮิวววววววววววววววววววววววววววส์
     
  5. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    อวิชชา เป็น ปัจจัยให้เกิดสังขาร จะดับอวิชชาได้ต้องรู้อะไรละครับ ฮิวววววววววววววววววววววววววววส์
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พระพุทธองค์ ตรัสว่า อวิชชา มีอาหาร

    อาหารของ อวิชชา คือ นิวรณ์ ฮับ

    ไม่ใช่ ไปตะครุบเงาของจิต คือ สังขาร ไปดูมันเกิดดับ ก็ไม่ได้ ฮา อะไร
     
  7. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    สิ่งใดอาศัยปัจจัย ปรุงแต่ง สิ่งนั้นวางเปล่าจากตัวตน ทำไมมันเกิด ทำไมมันดับ
    พิจารณาด้วยปัญญาย้อนเข้าไปดู ไม่ใช่การเข้าไปตะครุบเงาของจิตแล้วทึกทักเอาเป็นตัวตน นั้นมันเรื่องคนหลงสังขารหรือเปล่าครับ
     
  8. patdorn

    patdorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +227
    คำที่มาโพสต์ท่านได้มาจากไหนครับ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    "อาหารของวิชชาและวิมุตติ"

    "๑. วิชชาและวิมุตติมีอาหาร อาหารของวิชชาและวิมุตติ คือ โพชฌงค์ ๗

    ๒. โพชฌงค์ ๗ มีอาหาร คือ สติปัฏฐาน ๔

    ๓. สติปัฏฐาน ๔ มีอาหาร คือ สุจริต ๓

    ๔. สุจริต ๓ มีอาหาร คือ อินทรียสังวร

    ๕. อินทรียสังวร มีอาหาร คือ สติสัมปชัญญะ

    ๖. สติสัมปชัญญะ มีอาหาร คือ โยนิโสมนสิการ

    ๗. โยนิโสมนสิการ มีอาหาร คือ ศรัทธา

    ๘. ศรัทธา มีอาหาร คือ การสดับสัทธรรม

    ๙. การสดับสัทธรรม มีอาหาร คือ การเสวนาสัปบุรุษ

    การเสวนาสัปบุรุษอย่างบริบูรณ์ย่อมยังการได้สดับสัทธรรมให้บริบูรณ์

    การได้สดับ (เล่าเรียน) สัทธรรมบริบูรณ์ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์

    ฯลฯ ฯลฯ

    โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาวิมุตติให้บริบูรณ์
    วิชชาวิมุตติมีอาหารอย่างนี้ มีความบริบูรณ์อย่างนี้"

    (องฺ. ทสก. ๒๔/๖๑/๑๒๒)
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    หลงแหละครับ ทำไมจะว่าไม่หลง

    หลงหยิบจับฉวยเอามาเป็นตนเป็นของๆ ตน และหลงสังขาร ตั้งแต่ประโยคที่ว่า "ทำไมมันเกิด ทำไมมันดับ พิจารณาด้วยปัญญาย้อนเข้าไปดู" แล้วนั่นแหละครับ

    ก็ว่าว่างเปล่าจากตัวตนอยู่ เวลาสังขารมันเกิด (เพราะยังมีอวิชชา) คนมีสติปัญญาระดับที่กล่าวว่า สิ่งใดอาศัยปัจจัย ปรุงแต่ง สิ่งนั้นว่างเปล่าจากตัวตน ก็ไม่ควรจะพลาดถึงขนาดออกมาเถียงว่า การพิจารณาด้วยปัญญาย้อนเข้าไปดู ทำไมมันเกิด ทำไมมันดับนั้น ไม่ใช่การเข้าไปตะครุบเงาของจิตไม่ใช่การหลงสังขารหลงทึกทักเอามาเป็นตัวตนครับ
     
  11. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    สิ่งใดอาศัยปัจจัย ปรุงแต่ง สิ่งนั้นย่อมเป็นสังขาร สิ่งที่ผมโพส คุณ Tboon โพส หรือ ใครโพส ก็ล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ตราบใดที่ธาตุขันณ์ยังอยู่ รูปนามยังไม่สูญสลายไป สังขารย่อมเกิด ดับ ตามธรรมชาติ ของเหตุ และ ปัจจัย ที่กระทบ ที่มันเกิด ดับ เพราะ มีปัจจัยเข้ามาปรุงแต่ง ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมันก็ไม่เกิด ไม่ดับ อวิชชาที่มันนอนนิ่งอยู่ในสันดาน มันรู้ไหม มันไม่รู้ มันยึดเอาสิ่งที่ถูกปรุงแต่งมาเป็นตัวตน กิเลสตัณหาก็ยกพวกตามมากระทืบซ้ำ ที่นี้ก็ทุกข์ละสิ คนที่ไม่รู้เรื่องสังขารมันจะพ้นจากทุกข์ได้ไหม ที่นี้สิ่งที่คุณ Tboon ว่าผมหลงสังขาร ถ้าคุณไม่มีญานหยั่งรู้วาระจิต ก็เป็นแค่เพียงเดาสุ่มจากสังขารที่ผมแสดงออกมา ซึ่งก็ไม่ต่างจากครั้งก่อนๆที่คุณพยายามจับเชื่อมโยงแล้วฟันธงไปตามความเห็นของตน
    คำสอนของ เซน นั้นดีอยู่นะครับ ผมก็เคยศึกษา เรื่องสูญญตา เรื่องว่าง จิตเดิมแท้ แต่คนที่จะเข้าถึงคำสอนจริงๆๆมีน้อย แบบเรียนแบบเดียว ใช้ไม่ได้กับ นักเรียนทุกคนหรอกครับ เพราะต่างคน ต่างจิต ต่างใจ คำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีมากมายถึง 84000 ธรรมขันณ์ กรรมฐาน 40 กอง แยกออกไป ตาม จริต 6 ประเภท สุดท้ายก็รวมลงที่ อนัตตา ทั้งสิ้น.
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ถ้าอ่านที่ผมเม้นท์ใน #50 ให้ดี จะเห็นว่า ผมไม่ได้ไปห้ามไม่ให้พิจารณา แต่ประเด็นจริงๆ มันไปอยู่ตรงที่ คุณโพสต์ความเห็นขัดแย้งกันเองนั่นต่างหาก มาดูกัน..

    ประโยคแรก คุณชักนำผู้อ่านไปสู่ความไม่มีตัวตน ความไม่หลงสำคัญมั่นหมายใดๆ ว่า
    "สิ่งใดอาศัยปัจจัย ปรุงแต่ง สิ่งนั้นว่างเปล่าจากตัวตน"

    ประโยคถัดมา คุณกลับตั้งคำถามชักนำผู้อ่านให้เกิดความสงสัยไปกับคุณ ด้วยคำถามที่ว่า "ทำไมมันเกิด ทำไมมันดับ พิจารณาด้วยปัญญาย้อนเข้าไปดู" อ้าว ผู้อ่านไม่ได้สงสัยสักหน่อย ผู้อ่านกำลังจะเริ่มน้อมไปสู่การเห็นตามความเป็นจริงในประโยคแรกบ้างแล้ว คุณดึงให้ผู้อ่านกลับไปวุ่นวายกับสังขารทำไมอีกล่ะ

    แถมประโยคถัดมา ยังสำทับการกระทำนั้นของตน ด้วยประโยคที่ว่า "ไม่ใช่การเข้าไปตะครุบเงาของจิตแล้วทึกทักเอาเป็นตัวตน"

    และประโยคสุดท้าย คุณถามว่า "นั้นมันเป็นเรื่องคนหลงสังขารหรือเปล่าครับ" ก็เลยตอบไปว่า หลงแหละครับ หลงสังขาร ดังนี้เอง
     
  13. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    คนที่ไม่รู้ว่าสังขารเกิด ดับอย่างไร ย่อมไม่เห็น ความเป็นอนัตตา ของสังขาร
    ถึงจะรู้ว่ามันเป็นอนัตตา ก็ยังไม่ใช่สภาวะ รู้แจ้ง อย่างแท้จริง แค่เห็นมันเกิด ดับ อย่างเดียว มีแต่หลงสังขาร.
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คำสอนของ Zen นั้นก็คำสอนของ Zen ครับ คำว่า Zen เพิ่งมาบัญญัติกันหลังพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ผมเป็นเพียงผู้ปฏิบัติไปเพื่อความสิ้นทุกข์ตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เท่านั้นครับ แต่ก็มีครูบาอาจารย์ที่ลงใจสนิทว่าท่านเป็นสัปบุรุษอย่างแท้จริง เมตตาแนะนำอบรมธรรมให้ตามสมควรแก่กาล ส่วนเรื่องแนวทาง ความคิดเห็น การปฏิบัติ ถ้าบังเอิญจะไปตรงกับใครสำนักไหน อันนี้ไม่รู้ แต่ถ้าพิจารณาแล้ว ไม่ขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธองค์ เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์อย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน ก็ไม่มีปัญหา ยอมรับกันได้โดยปริยายอยู่แล้ว
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ถ้ายังไม่สิ้นสงสัยก็ต้องเป็นอย่างนั้นเอง
    งมๆ ซาวๆ ไปตามอารมณ์ปรารถนาทั้งปวง
    พอดีความปรารถนาอยากหลุดอยากพ้น
    มันเป็นของดูดีเลยเห็นเป็นทุกข์เป็นโทษ
    ได้ยากหน่อยก็เท่านั้นเอง เลยพากันไหล
    ตามอารมณ์กันตะพรึด ไม่เห็นความหลง
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
    สังขารหลอกพระอรหันต์



    .................................
    .....................................
    ตัวสังขารนี่ตัวสำคัญมากนะ เวลาถึงที่มันแล้ว มันก็มีลวดลายหลอกอยู่ในนั้น
    จนกระทั่งมันดับ ลวดลายของสังขารนี้ลวดลายหลอกทั้งนั้น กิเลสเสริมเข้ามาปั๊บ
    นี้เป็นตัวหลอกทั้งหมดเลย แม้แต่กิเลสหมดไปแล้ว กิริยาของมันยังมีลวดลาย
    หลอกอยู่งั้นแหละ เช่นอย่างตื่นรากไม้นึกว่างู พระอรหันต์ก็ตื่นได้ อย่าว่าแต่
    ปุถุชนตื่น พระอรหันต์ก็ตื่นได้ นึกว่างูเหมือนกัน ก็สังขารหลอกพระอรหันต์แต่ท่านไม่หลง
    ก็รากไม้ก็รู้ว่ามันหลอกอยู่แล้ว อันนี้ก็เชื่อมันแย็บหนึ่งเท่านั้น โห มึงหลอกกูนะ
    พากันจำให้ดี สังขารตัวนี้ตัวหลอกมากทีเดียว หลอกตลอดเวลา กิเลสไม่มี
    เป็นเครื่องมือของธรรมแล้วมันก็ยังมีลวดลายหลอกตามนิสัยของขันธ์อันนี้
    สังขารขันธ์มีแต่วาดภาพเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาหลอกไปเรื่อยๆ ถ้ามีกิเลสแล้ว
    ก็หลงไปตามเลย ถ้ากิเลสไม่มี หลอกก็รู้ว่าหลอก หลอกแล้วดับไปๆ ไม่มี
    อะไรจะหลงตามมัน เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้น


    อ้างอิง : [​IMG] กดแล้วจำไว้ให้ดี


    ปล.ลิง ตะลิงปิง ติ๊ดชึ่ง : หลวงตามหาบัว กล่าวว่า " ก็ดูสังขารมันเกิดดับ ....ไม่มีอะไรหลงตามมัน....."
    ตรงนี้น้องๆหนูๆ อ่านให้ดีๆ นะฮับ ต้องย้อนกลับไปอ่าน ปัจจัยอะไรที่ แตกต่าง .....ถ้าไม่มี ปัจจัยตัวนั้น
    ไปดู สังขารเกิดดับ อีกแสนกกัปปปป ก็ งมโข่งอยู่กับอาการ " เท่านี้ใช่ อย่างอื่นเปล่า " ไม่เลิก

    อ่านกลับไป โพส สัทธรรมของพระพุทธองค์ก่อนหน้า ...ว่าด้วยเรื่อง เสพกุศลให้มากๆ อย่าได้อิ่ม
    พระพุทธองค์สำเร็จธรรมแล้ว ก็ยังปรารภกับ สาวกว่า จิตท่านไม่เคยอิ่มจากการเสพกุศลเลย มีการ
    อยู่สุขตลอดเวลา ไม่ได้ทิ้งสุข ทิ้งสุขก็ตกฝ่าย ประมาท ทันที .....ทีนี้ น้องๆหนูๆ งง ไหมตรงที่
    "ไม่อิ่มจากกุศล" ......ถ้าไม่งง กำหนดรู้ ทุกขสัจจ ไปเลยฮับ จิตมันไม่มีคำว่าพอ มันหิวอารมณ์
    ไปเรื่อย ต่อให้สำเร็จแล้ว ขันธ์ก็ทำหน้าที่ของขันธ์ แต่ต่างกันตรงที่ เข้าใจ วิมุตติก็มีอาหาร วิมุตติ
    ก็ปรุงได้ แต่ต้องหมั่นสดับธรรมถึงจะฉลาดในการปรุง


    ยกตัวอย่าง หลวงตามหาบัว ไง ท่านเห็น กิ่งไม้ ปรุงว่า งู !!! กระโดดโหยงตัวลอย จิตงี้สว่างทั่วสามโลกธาตุ !!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2016
  17. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    รูป-นาม เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่ถือ
    ใจปล่อยวาง และสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2018
  18. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ถ้าเคยฟัง ธรรม จากหลวงปู่หล้า เขมะปัตโต
    ท่านจะกล่าวว่า เห็น อนิจจัง ขณะจิตเดียว ก็เห็นรอบโลกแล้ว

    .........

    หากเคยอ่าน ประโยค นี้จากหลวงตามหาบัวนะ

    ...คำว่าพิจารณาจิต จะพิจารณาอย่างไร.. จิตก็พิจารณาเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นจากใจนั่นเอง ....


    ลองทำความเข้าใจต่อดูว่าจะเข้าจะอย่างไร
    ( เจตสิก เป็นสังขารหรือเปล่า เจตสิกเป็นอาการของจิตหรือเปล่า
    เจตสิกเป็นอารมณ์หรือเปล่า เจตสิกเกิดดับพร้อมที่จิตหรือเปล่า)

    สำหรับผมแล้ว สัญญาเวทนาตกแต่งก็เรียก เจตสิก
    เป็นสังขารปรุงแต่งชนิดนึง

    ล้วนเกิดดับ ไม่หยุดหย่อน
    ในการภาวนา ขั้นปรมัตถ์ มีแต่จะเห็น อะไรเกิดขึ้น อะไรดับไป ไม่มีชื่อเรียก
    ย่อลงมาก้เรียกว่า มีแต่เกิดดับ เกิดดับ

    ทีนี้ การเจริญสติ มันจะทำให้จิตเห็นตรงนี้ บ่อยขึ้น
    ยิ่งสติ ต่อเนื่อง ความเห็นเกิดดับยิ่งต่อเนื่อง

    ยิ่งต่อเนื่อง ในการเห็น ปัญญา ของจิต มันจะพิจารณาไปเอง
    ผลการตัดสิ้นของวิปัสนา คือ รู้เห็นตามความเป็นจริง
    มันก้จะปรากฎขึ้น ตัดสิน
    สิ่งที่เป็น ไตรลักษณ์ได้ ด้วยตัวเอง

    หากสนใจเต็มๆ ที่หลวงตามหาบัวกล่าว

    อ่านต่อที่นี่ ʵԻѯ
     
  19. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    อันนี้เป็น บริบทการอธิบาย
    ที่หลวงปู่พุธ ฐานิโย อธิบาย

    สิ่งที่ เกิด ดับ

    ........................................

    ถ้าผู้ชำนาญ ในการบริกรรมภาวนาแล้ว
    เรามีวิธีการจะพึงปฏิบัติได้ดังนี้
    ในตอนแรกๆ
    ท่านอาจจะภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่
    อ่าว พอพุทโธ พุทโธ ไป จิตมันไม่นึกพุทโธไปนิ่งว่างอยู่เฉยๆ

    ให้กำหนดดูความว่าง
    อย่าไปนึกคิดอะไรขึ้นมา

    เมื่อจิตมีความคิดขึ้นมาให้มีสติรู้ความคิดทันที
    เมื่อจิตคิดทำสติรู้ความคิด
    จิตมันจะหยุดนิ่งมันไม่คิด ก็ดูความนิ่งของมัน
    เมื่อนิ่งไปสักหน่อยนึง มันจะคิดของมันขึ้นมา
    เราก็ดูความคิด
    นิ่ง ดูความนิ่ง
    คิด ดูความคิด
    สลับกันไปอย่างนี้

    ในเมื่อสติสัมปชัญญะของท่านดีขึ้น
    พลังจิตมันดีขึ้น
    ตัวคิดมันก็จะคิดไม่หยุด
    ตัวตามดูมันก็จะตามดูของมันไม่หยุด
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น

    ความคิดก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
    สติก็ทำหน้าที่รู้เองโดยอัตโนมัติ
    จิตมันก็เดินไปในภูมิแห่งวิปัสสนา
    เพราะความคิดมันย่อมมีความเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับอยู่ทุกขณะจิต
    เมื่อเรามีสติตามรู้ความคิดที่เกิดดับอยู่นั้น

    เมื่อสติสัมปชัญญะตัวนี้มีพลังแก่กล้าขึ้น

    จิตสามารถที่จะกำหนดรู้ ความเกิดดับของความคิด
    ในแง่แห่งพระไตรลักษณ์
    จะมองเห็นพระไตรลักษณ์
    อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวของตัว
    ปรากฏเด่นชัดขึ้นมา

    ทีนี้

    เมื่อจิตรู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    รู้พระไตรลักษณ์
    เรามีสติตามรู้อยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ

    ในบางครั้งจิตอาจจะไปยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    พอเกิดคิดขึ้นมาแล้ว มันก็เกิดความยินดี
    ถ้าเกิดความยินดีขึ้นมา
    ความยินดีมีแนวโน้มให้เกิดกามตัณหา
    มองเห็นตัวกิเลสแล้วมั้ยหล่ะ

    บางครั้งเกิดความยินร้าย
    ความยินร้ายมีแนวโน้มให้เกิดวิภวตัณหา
    มองเห็นตัวกิเลสแล้ว

    ถ้าไปยึดเอาไว้ทั้งสองอย่างก็กลายเป็นภวตัณหา
    เมื่อจิตมีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาอยู่พร้อม
    ความสุขย่อมบังเกิดขึ้นในขณะที่จิตยินดี
    ความทุกข์ย่อมบังเกิดขึ้นในขณะที่จิตมีความยินร้าย
    เมื่อเป็นเช่นนั้น สุข ทุกข์เกิดขึ้นสลับกันไป
    ผู้มีสติสัมปชัญญะเฝ้าดูอยู่ที่จิตตลอดเวลา
    ในที่สุดสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้น

    ก็จะเกิดญาณคือปัญญา
    เกิดวิชชาความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมา
    ว่านี่คือทุกข์ อริยะสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้


    เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดดูอารมณ์จิตของตัวเอง
    ซึ่งมีสุข มีทุกข์สลับกันเรื่อยไป
    ลงผลสุดท้ายก็จะมองเห็นว่า

    นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
    นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ

    เมื่อจิตละเอียดลงไปแล้วจะมองเห็นแต่ อะไรล่ะ

    “ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ”
    สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

    ก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม
    เช่นเดียวกันกับท่านอัญญาโกณฑัญญะ
    ซึ่งฟังเทศน์ธรรมจักกัปปวัตนสูตรจบลงแล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรม
    ดังที่กล่าวแล้ว

    พระพุทธเจ้าจึงเปล่งอุทานขึ้นว่า
    อัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ
    อัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ

    นี่มันจะเป็นไปอย่างนั้น


    อ่านเต็มๆที่นี่ http://palungjit.org/threads/จิตตะภาวนา-หลวงปู่พุธ-ฐานิโย.280415/
     

แชร์หน้านี้

Loading...