ปิดกระทู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เตรียมตัว, 30 ตุลาคม 2015.

  1. เตรียมตัว

    เตรียมตัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +156
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2017
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ความเพียรถึงก็เป็นได้
    บุคคลจะล่วงพ้นทุกข์ ได้เพราะความเพียร
     
  4. ขง

    ขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +676
    พยายามครับ

    ตัดสังโยชน์ ข้อที่ 1 ด้วยพิจารณา ความตายเป็นอารมณ์ อย่างน้อยๆนะ

    อย่างมากๆ ก็พิจารณา กรรมฐาน 5 ไปเลย

    ตัดสังโยชน์ ข้อที่ 2 วันปกติ ถือศีล 5 วันพระศีล 8

    ตัดสังโยชน์ ข้อที่ 3 ยอมรับนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่สุด

    อธิษฐานขอให้ข้าพเจ้า ได้ไปนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

    และ ระลึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ " นิพพานัง"

    ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่วิริยะ กับ ขันติ ครับ
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    ทำได้แน่นอนครับ
    ถ้ามีพระอรหันต์ คอยชึ้แนะส่วนตัว

    ถ้าไม่มี ก็แค่เอาตัวรอดให้ได้
    เป็นพระโสดาบันก็พอ
    อันนี้ยิ่งง่ายดาย แค่เส้นผมบังภูเขา


    อีกทาง ก็เกาะติดสาย ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไว้
    เพราะเป็นสายเดียวในขณะนี้
    ที่ชี้แนะไปถึงพระนิพพานได้
    แม้ว่า ผู้ที่ชี้แนะจะเป็นฆราวาส ก็ตาม
    แต่สายนี้ มีข้อแม้ว่า ผู้ที่ฝึกต้องได้อภิญญาบ้าง
    แม้เพียงข้อเดียว ก็จะสามารถ ฝึกไปต่อเองได้
    โดยไม่ต้องมีครูส่วนตัว เพียงแค่อ่านคำสอนของท่าน
    ก็มีสิทธิ์กันทุกคน
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({)สวัสดีครับคุณเตรียมตัว ความอยาก มันก็เป็นตัณหา เพราะความอยาก การอยาก ผมขอพูดตรงๆเลยนะไม่อ้อมค้อม ให้อยากจนตัวคุณตายตัวคุณ ก็ไม่สามารถ ไปได้ ไม่ได้อะไรเลย ถ้าอยาก คุณต้อง ปฏิบัติ ตามแนวทางแห่งมรรค ที่มีองค์ประกอบ ด้วยสัมมาอาชีวะ ไปศึกษาเอาครับ ในพลังจิต มีไว้ ให้ครบถ้วน การเดิน ที่จะทำให้ถึงซึ่งพระนิพพานมีอะไรบ้าง คุณจับเฉพาะจุด เดี๋ยวก็ได้ ถ้าเอาจริง


    สายที่ ท่านสอน ให้ถึงซึ่งพระนิพพาน มีอยู่เยอะแยะ หลายสาย มีสาย หลวงปู่มั่น มีสายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ สายหลวงพ่อ สังวาลย์ สายหลวงพ่อ ฤาษี พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และ สายเล็กๆ อีกมากมายครับ ที่สอนตรงพระนิพพาน การจะไปพระนิพพานได้ ต้องทำเท่านั้นครับ ทำที่ใจ ปฏิบัติ ที่ใจ คุณทำได้เมื่อไหร่ คุณถึงพระนิพพานเมื่อนั้น ก็ว่าไปตามขั้น ครับ บันได มี ๔ ขั้น และแต่ละแบบ ก็มีอีก ๔ แบบครับ :cool:
     
  7. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    หากคุณเป็นพระ ทางย่อมเปิดหลายสาย
    แต่ถ้าหากคุณเป็นคนธรรมดา
    ทางที่เปิดย่อมมีน้อย
    ทางที่ยิ่งน้อยก็ต้องประกอบด้วยวาสนา
    เพราะฉะนั้นการเกาะกลุ่ม จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
    ช่วยกันเป็นกลุ่มๆ ไปนิพพานเป็นกลุ่มๆ ยังพอมีทาง
    ถึงวาสนาเราจะน้อย แต่วาสนาของกลุ่มย่อมมีมาก
    ก็อาจจะช่วยพอถูๆไถๆ ไปได้มั่ง
     
  8. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    ความอยากเป็นพระอรหันต์ อยากรักษาศีล เดินจงกรมนั่งสมาธิ เป็นทางเดิน ตั้งใจจริงใจ พอใจในธรรม อันถูกต้องดีงามแล้ว

    ใครบอกว่าเป็นกิเลส ผมคนนึงที่จะไม่เชื่อ ไม่ถือ คนที่พูดเช่นนั้น
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    บุคคลอาศัยความอยากละความอยาก
    บุคคลอาศัยกิเลสละกิเลส
    บุคคลอาศัยตัญหาละตัญหา
    บุคคลอาศัยความเพียรละความเพียร
    เมื่อถึงแล้วความอยากกิเลสตัญหาความเพียร
    นั้นย่อมหมดไปด้วยประการฉะนี้
     
  10. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ธรรมทั้งหลายรวมลงด้วย ความไม่ประมาท
    ไม่ประมาทอย่างไร?
    คือ ไม่เผลอเพลินไปกับผัสสะ ไม่หลงไปในความสุขแบบโลกๆ เห็นโทษภ้ย เห็นทุกข์ ของการเกิด

    เมื่อไหร่ที่เริ่มเห็นโทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อนั้นก็ได้ต้นทางเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์จริงๆ

    บางคนเจอความเปลี่ยนแปลงในชีวิต จนเห็นว่า "นี่ทำไมชีวิตกู มันทุกข์อย่างนี้"
    เมื่อเริ่มสังเกตุเห็นทุกขเวทนาแบบหยาบๆได้ แล้วอยากพ้นไปจากสภาวะแบบนี้
    บางคนใช้การกลบเกลื่อนทุกข์ ด้วยการกินเหล้า เพื่อให้ลืมทุกข์
    หรือบางคนทนสภาพบีบคั้นนี้ไม่ได้ ใช้วิธีฆ่าตัวตายไปก็มี ล้วนเป็นการพยายามพ้นทุกข์ที่ผิดวิธี

    แต่หากได้เห็นทุกข์ จนแสวงหาหนทางที่จะพ้นไปจากทุข์
    เมื่อได้เจอผู้ถึงอริยสัจ จะได้ยินได้ฟังธรรม
    ธรรมที่ชี้ให้เห็นทุกข์ เห็นเหตุ เห็นความดับไป เห็นทางปฏิบัติที่ทำให้พ้นไป
    เมื่อได้ยินธรรมนั้น จดจำธรรมนั้น ใคร่ครวญธรรม
    และธรรมที่เป็นความจริงของรูป-นาม นี้ ก็จะทนต่อการพิสูจน์
    ความพอใจก็จะเกิดแก่ผู้ต้องการพ้นจากทุกข์นี้ เห็นว่าธรรมนี้เป็นของจริง
    จะเกิดความเพียร แล้วตั้งอยู่ในธรรมนั้น
    เมื่อเพียรพิสูจน์ ก็จะเห็นสัจจะความจริงของรูป-นามนี้
    ก็จะทำให้พ้นไปจากทุกข์ พ้นการเกิดได้ เป็นพระอรหันต์
    นี้เป็นลำดับการเข้าถึงอริยสัจ ที่พระพุทธองค์ ทรงชี้ทางไว้

    แต่หากอาศัยตัณหา ในการอยากปฏิบัติ อยากนั่งสมาธิ เดินจงกรม ถามว่าจะได้ไหม?
    ก็ต้องบอกว่า "ได้" แต่ยาก
    ทำไมยาก?
    เมื่อไหร่อาศัยความอยากดี ในการปฏิบัติ
    ในระหว่างปฏิบัตินั้น "ตัวตน" มันขึ้นมาบังสภาวะความจริงของรูป-นาม
    มันจะมีแค่ "กูสงบ ก็นั่งเก่ง นั่งนิ่ง กูได้ฌาน กูไปปฏิบัติธรรม 7 วันได้บุญเยอะ"
    โดยไม่น้อมไปดูสภาพตามความจริง เพราะตัวตนมันบดบังการเห็นอริยสัจ การเห็นไตรลักษณ์ซะหมด
    นี้เป็นสภาวะธรรมทั่วไปของนักปฏิบัติ ที่มันตัดพ้อว่าทำไมตนเองไม่ก้าวหน้า แม้จะปฏิบัติมานาน

    พระอริยะตั้งแต่พระโสดาบัน ไปจนถึงพระอรหันต์ คือผู้พ้นไปจากความยึดมั่นว่าเป็นตัวตน
    แต่ที่เราปฏิบัติกัน คือ การเอา"ตัวตน" ไปเป็นโสดาบัน เป็นพระอรหันต์
    "การเอาตัวตนขึ้นไปเป็นอะไรซักอย่าง" ทางนี้ไม่บรรจบบนทางของอริยะ

    ถ้าจะให้บรรจบในทางอริยะ ก็ใช้ความไม่ประมาท ไม่หลงเพลิน เห็นโทษภัยของทุกข์ ของการเกิด เป็นต้นทาง
    แล้วธรรมทั้งหลายจะรวมลงในความไม่ประมาทนี้
     
  11. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    ไม่ยาก ...

    เต็มเปี่ยมด้วย มรรค8 แบบ บริบูรณ์
    <ol>
    <li> เห็น
    <li> ลงมือกระทำ
    <li> กำหนด
    <li> สมุฏฐาน
    <li> ผ่องแผ้ว
    <li> ประคองไว้
    <li> ตั้งมั่น
    <li> ไม่ฟุ้งซ่าน
    </ol>
    มรรคย่อม เกิดอย่างนี้ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2015
  12. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    มีคนขัดใจ มีคนตัดหน้ารถ ฯลฯ แล้วก่อให้เกิดความบีบคั้นภายในใจ อย่างนี้ทุกข์แล้ว
    คนส่วนใหญ่ไม่เห็น คิดว่านี้เป็นเรื่องธรรมดา คิดว่าใครก็เป็นกัน คนส่วนใหญ่จึงชินไปกับทุกข์
    แต่เมื่อไหร่ มีความทุกข์หนักๆเข้ามาบีบคั้นสักครั้ง
    จะคนที่รักเสียชีวิต อกหัก หรือจะล้มละลาย คนจะสะดุ้งกับความทุกข์กันสักทีหนึ่ง
    แล้วไม่นานรสอร่อยของโลกก็กลบเกลื่อนทุกข์นั้นไป
    โดยไม่ตระหนักถึงความไม่แน่นอนของทุกข์ในภายหน้าที่จะเกิดขึ้นมากอีก
    เพราะความที่โลกนี้มีแค่รูป กับนาม และรูปนามนี้ไม่เสถียร ไม่คงที่
    พร้อมจะเกิดความเปลี่ยนแปลงสภาพไปได้ตลอด
    และใครก็ตาม ไปยึดเอารูปนามนี้มากอดไว้ นั่นก็เป็นที่มาของความทุกข์บีบคั้น
    เพราะการที่พยายามเข้าไปยึดให้สิ่งที่ไม่คงที่ สิ่งที่แปรปรวน ให้เป็นของแน่นอน ถาวร
    ซึ่งมันไม่เคยทำได้จริง


    หากใครตระหนักได้ว่า อนาคตมีความไม่แน่นอน ทุกข์หนักที่เกิดกับเรานี้ ไม่นานก็ต้องมาอีก เป็นอีก
    กำหนดเห็นว่าทุกข์ ปฏิบัติตามมรรคแปด
    การที่เห็นทุกข์ แม้หยาบๆในทุกขเวทนา ก็ตามได้ต้นทางของสัมมาทิฐิ
    เริ่มเห็นทุกข์ เห็นโทษภัยของการเกิด สัมมาทิฐินี้จึงเป็นองค์นำให้เกิด มรรคในองค์อื่นๆ
    คนจะไม่พยายามออกจากทุกข์ ถ้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองทุกข์
    เมื่ออยากพ้นทุกข์ ออกเดินตามมรรค จะเกิดความพอใจ ความพยายามในการเดินมรรค
    เริ่มละความพอใจ หรือ แม้แค่พยายาบาท เบียดเบียน ใจจะเริ่มเป็นปกติ เป็นการเจริญสัมมาสังกัปปะ
    แล้วเริ่มมาดูแลกาย วาจา ไม่ให้ไปเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น สัมมาวาจา กับสัมมากัมมันตะก็จะถูกเจริญขึ้น
    ข้อนี้ทำให้จิตผู้เดินตามมรรคนี้ เป็นปกติ และไม่ก่อภัยเวร ระหว่างการทางด้วย
    มาถึงข้อสัมมาอาชีวะ เลือกการเลี้ยงชีพโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพราะเราใช้ชีวิตอยู่กับการทำงานเป็นส่วนใหญ่
    ถ้าการเลี้ยงชีพของเรา ต้องคอยเบียดเบียนผู้อื่น จิตเราจะมุ่งแต่อกุศลทั้งวัน ไม่เอื้อต่อมรรคองค์อื่นๆ
    เพราะธรรมชาติของรูปนามนี้ปกป้องตัวเอง จะพยายามดิ้นรนหาทางให้ กายใจนี้มันอยู่ได้
    ถึงตรงนี้วิถีชีวิตของผู้เดินมรรค จะเป็นปกติ
    ผู้เดินตามมรรคเจริญสัมมาวายามะ โดยเพียรทิ้งอกุศล ไม่ใช่แค่อกุศลภายนอกแบบหยาบๆ
    แต่เป็นการทิ้งอกุศลที่อยู่ในจิต เพียรละ แล้วเกาะกับกุศลคือ ลมหายใจ หรือ กาย
    เป็นฐานที่อยู่ให้จิตทิ้งอกุศล ก่อให้เกิดเป็น อุเบกขา คือกุศล สัมมาวายะมะย่อมเกิดขึ้น
    ละลงที่จิตแล้ว ไม่มีทางที่จะออกมาทางกาย วาจาได้เลย เป็นการละเอาที่ต้นเหตุ
    แล้วมรรคในข้อสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ จะบริบูรณ์เองโดยไม่ต้องพยายามให้เกิด
    มาถึงตรงนี้กายวาจา ใจ จะละจากอกุศลทั้งหลาย พ้นจากความเถื่อน ฝืนสันชาตญาณในการเบียดเบียน
    ชำระอนุสัยภายใน ให้เอื้อต่อการที่จิตจะเห็นความจริงของ รูปนามนี้
    โดยใช้การเจริญสติปัฏฐาน เพื่อเข้าไป ระลึก เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม
    จิตที่จดจ่ออยู่การรู้เห็นการใจนี้ จะก่อให้เกิด สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
    เป็นสมาธิที่พอดีต่อการเห็นความจริง จะเห็นรูปนาม แยกออกจากกัน
    เริ่มเห็นความจริงไปเรื่อยๆ และอาศัยความเป็นปกติภายในกายใจนี้ จากการเจริญมรรคในข้อแรกๆ
    เป็นตัวหนุน เป็นปัจจัยให้เกิด ความตั้งมั่นเป็นกลาง ง่ายขึ้น
    เมื่อไหร่ ความตั้งมั่นเป็นกลางเกิดขึ้น น้อมไปเห็นตามธรรมพระพุทธองค์
    ธรรมทั้งหลายก็จะเห็นความจริง เห็นธรรม จิตจะเกิดปัญญา กระทั่งถึงที่สุด
    คือ สลัดคืนตัณหา บอกลาอุปทาน ที่มั่นหมายกายใจ เป็นตัวตนได้
    ย้อนไปเห็น เห็นรากเหง้าของทุกข์ เห็นสภาวะเดียวกันทั้งโลก ทั้งจักวาล
    จิตที่ไม่หยิบเอามาเป็นตน ของตน จะทำเกิดทุกข์ได้อย่างไร นี้เป็นจิตที่พ้นไปในพระอรหันต์

    ให้มองพระอรหันต์คือผู้ไม่เบียดเบียน เป็นผู้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง
    ให้เอาแง่นี้เป็นตัวอย่าง เป็นปลายทางให้เราตั้งธงไว้ถึงความสิ้นทุกข์ พ้นจาการเวียนว่ายตายเกิด
    เพราะเมื่อไหร่ต้องเกิด ก็ไม่อาจพ้นไปจากทุกข์ได้
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เมื่อไหร่จะเลิก คิด จ้าวความคิด จ้าวความเห็นคร้าบ คุณ ซีฟ๊อด

    เขียนมาดิบดี แรกๆ ก็พอประทัง อนุโลม แต่พอ ระบุว่า

    " แล้วเกาะกับกุศลคือ ลมหายใจ หรือ กายเป็นฐานที่อยู่ให้จิตทิ้งอกุศล "

    แบเบอร์เลย ไม่ยอมลงมือปฏิบัติ มัวแต่วาดภาพ แต่งหน้าแต่งตา ทาปาก
    เป็น " เห็ดสด " กายเป็นกุศล ระหัสพ่อรหัสแม่ใคร กายเป็นกุศล กล่าว
    ธรรมด้วยการวาดภาพ เจ้าความคิด เจ้าความเห็น ก็ ตายน้ำตื้น บัญญัติใน
    สิ่งที่ไม่มีใครเขาองค์กรอิสระ บัญญัติแบบนั้น ...ไม่เชื่อ จับเห็ดสด มาดูหน้าสิ

    เอิ่ม ไปเห็นหน้ามัน แล้วไปเห็นว่า เอ๋ หรือจะอกุศล อีก ..ก็จะ ขำก๊าก
    เลยนะ กลายเป็นว่า ไม่เคยสัมผัสการ " เห็น " ที่เป็น การยก การนมสิ
    การกรรมฐาน เอาเลย

    พอขาขวิดกันเอง ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยรู้รสธรรม พอบอกว่า กายเป็นธรรม
    ฝ่ายกุศล หลังจากนั้น ก็ มั่วไปหมด เอา ตูดมาเป็นหัว

    จิตตั้งมั่นจะเกิดได้ ต้องแยกโน้น แยกนี่ก่อน ........เจอ พระป่า ไปพูด
    แบบนี้ ท่าน ปั่นสามล้อฟอร์แดด ตกกุฏิท่านแน่นอน

    ไม่เชื่อลองทบทวนสิ คุณบอกว่า ให้ทำสติปัฏฐาน แยกโน้นแยกนี่
    เสร็จแล้ว ได้สัมมาสมาธิแล้ว....แล้ว...แล้ว วกกลับมา แยกโน้นแยกนี่ [ ช่วงทำสีแดง ]

    วกไป วกมา เหมือนๆ จะใช่ แต่มันต่างกัน วกไปวนมา เพราะ ขาขวิด
    พยายามพูดให้เหมือน ให้ลง หนึ่ง .... กับ หนึ่งมาตั้งแต่ต้น หญ้าปาก
    คอก(ภาวนามาตามความเป็นจริง) มันต่างกันตรงนี้ ......



    สมมติว่า จะให้ การตรึกแบบนี้ ตรึกต่อเพื่อ ความเป็น หมัดอุดร

    ขอแนะนำว่า สังเกตเวลา ขมวดลงมาที่หนึ่ง พยายามขมวดลงมาที่หนึ่ง
    มันจะ ข้ามขั้นตอนของ ลำดับสังโยชน์ มันจะ เห็นหนึ่ง แล้วก็ โน้นนนนน
    ไปโน้น ไปอรหันต์เลย สันติ !!!!! ล้าน% ให้กำหนดรู้ไปเลย หลักลอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2015
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออนุญาติ แยกแยะ ให้ น้องๆ หนูๆ ดู

    ท่อนข้างบนเนี่ยะ บรรยายการปฏิบัติด้วยมรรค8 ครบถ้วน


    ท่อนนี้บอกว่า มรรค8 ข้างต้น ที่บรรยายไปก่อนหน้า จะเป็นปัจจัย
    ให้เกิดการภาวนาที่เรียกว่า สติปัฏฐาน4 แล้วส่งผลกลับไปขวิดขา
    ที่ วกไปเป็น สัมมาสมาธิ กลับไปกลายเป็น มรรค [ คงระลึกได้ว่าปริยัติ
    เนี่ยะ อะไรเป็นปัจจัยของอะไร ]

    อันนี้ก็ วนอยู่ มรรค8 ไปสติปัฏฐาน สติปัฏฐานวนไป มรรค
    แล้วชักหาทางออกในการ บรรยายธรรมไม่ได้ แต่เดชะบุญ
    นึกคำว่า จิตตั้งมั่นขึ้นมาได้ ก็เลย แล่นไปในเรื่องใหม่

    พอระลึกหาทางออกได้ ก็ รู้แล้วหละว่า เยอะและ ต้องรีบสรุป จบ ซึ่ง จบแล้ว บอกลา
    แล้วแต่ ท่อนถัดไปเนี่ยะ ย้อนไปเห็นรากเง้าอีก ฮานาก้า !!!!

    ก็เลย โน้นนนนนนน ไป โน้นนนนนนน ไปอรหันต์เลย ทั้งๆที่ ปากพึ่งจะ
    พูดเรื่อง สังโยชนเบื้องต้น ......ทั้งนี้เพราะ ด้นเด้า เดาเอา ว่า อะไรคือ
    การเห็นอริยสัจจ4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2015
  15. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    1.ต้องเป็นผู้มีศีล
    2.ทำสมาธิดูลมหายใจเข้าออก กำหนดสติที่องค์สมาธิ วิมุติแล้วรู้เอง
    3.ภาวนาสติปัฐฐาน 4 เชิญท่านอื่นเสริม
    4.อย่าดื่มบ่อยนัก ของฟางว่านนี้ดื่มปีละ 2-3 ครั้ง
    5.อยู่ที่เราเป็นที่ความเข้าใจ
    6.ปฏิบัติธรรมดูธาตุขันธ์ตัวเองด้วย
    7.ดูแลกาย วาจา ใจของตนให้เรียบร้อย
    8.สติ
    9.ทำบุญด้วย
    10.พยายามละความไม่พอใจ ทำสมาธิภาวนาไม่มีความไม่พอใจหนอๆๆๆๆ
     
  16. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ก็เริ่มกันเลยซิ ไม่ต้องขอความเห็นใครก็ได้ เอาจริงเอาจัง ไปสรรหาครูบาอาจารย์ได้ก็จะดีมาก ถ้าเป็นผู้ชายก็บวชสิ พระอรหันต์จะเป็นได้ก็ต้องบวช
     
  17. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    [ame]www.youtube.com/watch?v=WOOjuzU1swA[/ame]

    ความอยากเป็นมรรคก็มี
    พระธรรมเทศนาหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒
    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=893&CatID=3
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ต้องฉลาดในการ ใช้บัญญัติ

    พระพุทธองค์ เคยตรัสกำชับ หรือ อนุโลมลงไปไหมว่า " ความอยากเป็นมรรค "

    ถ้าไม่เอา มุมบัญญัติ หรือ ไม่สามารถจริงๆจะใช้คำใด ต้องพินาตรง อาการของจิต
    รสของจิต รสของธรรม

    คนเราเวลาประสบทุกข์ จะเกิด สภาวะธรรมเพียงแค่สองอย่าง คือ

    1. หาที่พึ่ง
    2. หาอุบายนำออก

    กรณีที่เป็น การหาที่พึ่ง เพื่อบรรเทา เพื่อสับขาหลอก หากไปยกว่าเป็น มรรค ก็ เรือหาย !! สถาณเดียว

    แต่ถ้า เป็นการวางจิตวางใจ เพียงแค่ หาอุบายนำออก มันจะเป็น การสลัดออก ทำทาน
    เพื่อสลัดออก มีศีลเพื่อสลัดออก สลัดอะไร ไม่ใฃ่สลัดตัวทุกข์ ตัวบาป หน่าคร้าบ จะต้อง
    หมายถึง ทำทานเพื่อสลัดทานนั้นออกจากจิต รักศีลเพื่อสลัดศีลนั้นออกจากจิต ทำสมาธิก็เพื่อ
    สลัดฌาณนั้นออกจากจิต เมื่อสลัดธรรมแม้นในกุศลออกไปได้ ตรงนี้จะเป็น " อุบายในการนำออก "
    จะต่างกับ ทำทาน มีศีลทำสมาธิเพื่อเอา เพื่อเป็น อยากสันตี !!! เป็นมรรค


    ปล.ลิง อ่านคำสอนหลวงตา ก็ต้องอ่านให้ดีๆ หลวงตาท่านระบุชัดว่า ปฏิบัติเพื่อออกจากสังสารวัฏ
    ชำระกิเลส อ่านแบบจับคำจะอ้าง " นี่ไงหลวงตาบอกอยากได้ดีมีบุฯ อยากนิพพาน เป็นมรรค "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2015
  19. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
  20. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    อยากไปเหมือนกันค่ะ
    แต่แค่ฝึกพรหมวิหาร๔ 3เดือน ก้อไม่ไหวแล้ว
    พุทโธแล้วจิตสงบ มีอกุศลขึ้นมาจากอก ก้อตกใจแล้ว
    ดูลมหายใจเข้า-ออก ได้ปิติ ก้อเต็มที่แล้ว
    อยากถือศีล8 ก้อทนหิวไม่ไหว
    พระอาจารย์บอกให้หยุดใช้เงินเพราะความอยาก ก้อหยุดไปได้แป๊บเดียว
    ยังติดอุปสรรควิบากกรรมอีก2เรื่อง
    อยากจะเข้าวิมุตติ แต่กลัวเจออกุศลจิตจากมโนทวารอีก
    พระอาจารย์บอกว่าชั่งมัน แล้วอย่าเติมเข้าไปอีก
    ก้อไม่หยุดทำร้ายตัวเองสักที เรียกร้องความรักจากทุกคน
    ..ยกเว้นตัวเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...