หลวงปู่อ่ำ ธมฺมทตฺโต(1ในอนาคตวงศ์ ทั้ง10 พระนามว่า พระสุมงคล )

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย รุธ, 10 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    ขอคาระวะหลวงปู่อ่ำก่อนนะครับ ผมเองมิบังอาจกล่าวถึงกาลที่ท่านจะมีประกาศศาสนาของท่านนะครับ(ด้วยความเคารพ)
    เพราะไม่มีอะไรมายืนยันแน่ชัด แต่ในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาและผู้ศัทธาทั้งหลาย เชื่อว่าท่านมีความเชื่อมโยงกับช้างป่าเลไลยกะโพธิสัตว์
    (1ในอนาคตวงศ์ ทั้ง10 พระนามว่า พระสุมงคล )
    ท่านเป็นผู้แปล จารึกโบราณ (กเบื้องจาร) เขียนด้วยอักษรโบราณ (ลายสือไทย)มาเป็นหนังสือชื่อ "พุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ์"
    ซึ่งเป็นจารึกถึงการตั้งถิ่นฐานเดิม
    ของคนไทยที่เกี่ยวข้องกับประเพณีและพระพุทธศาสนา ตลอดจนถึงการคิดประดิษฐ์อักษรไทย
    มีพวกเราบางคนก็ยังไม่เชื่อเลย​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    ต่อด้วยประวัติท่านแล้วค่อยต่อด้วยเนื้อ หาจารึกบางส่วนนะครับ

    พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต) วัดโสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
    เป็นบุตรของนายอาทิตย์และนางบุญมี ธรรมวิทยวงศ์<O[​IMG]</O[​IMG]
    เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีขาล จ.ศ. ๑๒๖๗ เวลาเช้ามืด<O[​IMG]</O[​IMG]

    ตรงกับวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๗<O[​IMG]</O[​IMG]
    พ.ศ. ๒๔๗๓ บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดโสมนัสวิหาร เมื่ออายุ ๑๖ ปี โดยมีท่านเจ้าคุณพระพุทธวิริยากร (จัทร) เป็นพระอุปัชฌาย์<O[​IMG]</O[​IMG]
    พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยและนักธรรมได้นักธรรมเอกและเปรียญธรรม ๓ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร สำนักเรียนวัดโสมนัสวิหาร<O[​IMG]</O[​IMG]
    และในปีต่อๆ มา ท่านศึกษาได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค ทั้งได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นต่างดังที่เรียกท่านว่า พระราชกวี

    ท่านเป็นผู้ที่มีความเพียรเป็นยอด ทำอะไรรวดเร็ว ตรงไปตรงมา และมีความอดทนเป็นเยี่ยม ท่านเป็นผู้มีความรู้มาก เป็นนักปฏิบัติกรรมฐาน เป็นนักคิด ค้นคว้า นักกวี นักเขียน งานเขียนของท่านที่ได้รับยกย่องและเชิดชูยิ่งคือหนังสือเรื่อง ลายสือไทยโบราณจารึกกเบื้องจารและพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ โดยใช้นามปากกาว่า พระธัมมทัตโตภิกขุ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ท่านมรณภาพในวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นวันอุโบสถ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ สิริรวมอายุของท่าน ๗๘ ปี (62พรรษา)

    <O[​IMG]</O[​IMG]
     
  3. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    วัดเพชรพลี เดิมชื่อวัดพริบพลี เป็นวัดที่ 9 สร้างขึ้นในเมืองไทย มีความสำคัญต่อ ประวัติยุคแรกของศาสนาพุทธในไทย จากจารึกลายสือไทย (อักขระไทยโบราณยุคแรก) ในกระเบื้องจาร และแผ่นหินทรายที่ขุดได้จากวัดพริบพลี และคูบัวราชบุรี ท่านเจ้าคุณ พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต) ได้อ่านและเขียนไว้ในหนังสือ "วัด-เมือง พริบพลี-เพชรบุรี" สรุปได้ว่า พุทธศาสนาเข้าสู่ดินแดนไทยสมัยต้นของสุวัณณภูมิ (ชื่อดั้งเดิมของ สุวรรณภูมิ) ตามลำดับเหตุการณ์สำคัญโดยย่อ ดังนี้
    *พุทธพัสสา 19 (หลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 19 ปี ก่อนปรินิพพาน 26 ปี)
    "บุน" หนุ่มไทยลว เป็นลูกชายคนโตของขุนกล่อม - แม่กุน แห่งเมืองสุนาปรันต พริบพลีื่ (ชื่อเมืองโบราณ ละแวกปราณบุรีถึงเพชรบุรี) เดินทางคุมกองเกวียนนำสินค้าไปขายถึงกรุงสาวัตถีอินเดีย พบชาวเมืองพากันมุ่งไป ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจึงลองตามไปฟังด้วย เมื่อรู้สึกซาบซึ้ง ในธรรมบรรยายจึงทูลขอบวชกับพระพุทธองค์ ได้พระอานนท์ เป็นอุปัชฌาย์ พระอุบาลีเป็นสรณศีล พระพุทธองค์ตรัสว่า "เอหิภิกขุ" (จงเป็นภิกษุ) ใช้ชื่อว่า "พระปุณณเถร" นับเป็นภิกษุไทยรูปแรก และได้บวชโดยตรงกับ พระพุทธองค์ พระปุณณเถระบวชเรียนอยู่ 3 ปี จึงทูลขอลากลับเมืองไทย (สมัยนั้นชื่อว่า "เมืองทองไทยลว" หรือไทยลว้า) เพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาเมื่อพุทธพัสสา 21
    *พุทธพัสสา 22
    พระปุณณเถระอัญเชิญเสด็จพระพุทธเจ้ามาโปรดแสดงธรรมแก่ชาวไทย ที่บ้าน แม่กุน พริบพลี และบริเวณอื่น เช่น บริเวณเขางู ราชบุรี เขาสัจจพันธคีรี สระบุรี ระหว่างวันขึ้น 8 ค่ำ ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย
    *พุทธพัสสา 23
    พระปุณณเถระ นำพระเจ้าทับไทยทอง ผู้ครองเมืองทองไทยลว ไปพบพระเจ้าพิม พิสารที่เมืองมคธ แล้วเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เวฬุวัน กรุงราชคฤห์ พระเจ้าทับไทยทองได้ ฟังเทศน์ อนุปุพพิกถา และธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรทรง "เห็นธรรมเบื้องต้น"
    *พุทธพัสสา 24
    พระเจ้าทับไทยทองกลับไทย เปลี่ยนชื่อเมืองทองไทยลว เป็นสุวัณณภูมิตามภาษามคธ (บาลี) ทรงรับพุทธศาสนา เป็นสถาบันศาสนาของสุวัณณภูมิ และเป็นของชนชาวไทยลว หรือไทยลัวะ ไทยลว้า ไทยเลาว๊ะ (เราว๊ะ) เป็นชื่อเดิมของชนเผ่าไทย เดิม ลาวเดิม ทวา หรือ ทวาย หรือ มอญเดิม สุวัณณภูมิเป็นที่รวมของชนเชื้อสายไทย มอญ ลาว ซึ่งภายหลัง ขุนฟ้าเมืองไทย เจ้าเมืองเถือมทอง หรือ ถมทอง (นครปฐม) ได้สร้างเมืองใหม่ระหว่าง พ.ศ. 1112 - 1122 ให้ชื่อเมืองไทยทวาลาว ซึ่งเป็นที่มาของ ชื่อทวาราวดี
    <!-- / message -->
     
  4. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    วัดแห่งแรกของไทย
    คือวัดปุณณารามดำรงอริยสงฆ์ ซึ่งพระเจ้าทับไทยทองสร้างในพุทธพัสสา 24 หลังกลับจากเวฬุวัน สร้างที่หนองยาว หรือหนองวัด ใกล้กับบ้านโพธิงามและหนองเกษร (คูบัวราชบุรี) ถวายพระปุณณเถระ ให้ใช้เป็นที่บรรยายธรรมเผยแพร่พุทธศาสนา (ตามจารึกกระเบื้องจาร แผ่นที่ 8 หน้า 2) ปัจจุบันไม่มีซากเหลือให้เห็น กลายเป็นพื้นนาที่เรียกว่าหนองวัด ในบริเวณเมืองโบราณคูบัว
    วัดแห่งที่ 2
    คือวัดศรีมหาธาตุแดนลว้า พระเจ้าโลกกนลว้า หรือโลกลว้าสร้าง พ.ศ.235-238 ห่างจากวัดแรกถึง 256 ปี ที่ย่าน "บ้านใหม่" บริเวณคูบัว ถวายคณะสง)์ปัญจวัคคีย์ ซึ่งมีพระโสณะเถระเป็นหัวหน้าคณะ ที่พระเจ้าอโศกมหาราช จัดส่งมาช่วยฟื้นฟูพุทธ ศาสนาในสุวัณณภูมิ (มีชื่อตามลำดับอาวุโส ดังนี้ โสณะเถระ ฌานียะ ภูริยะ อุตตระ มูนียะ บางตอนมีจารึกลำดับพระอุตตระเถระเป็นอันดับที่ 2) เมื่อแรกที่มาถึงสุวัณณภูมิคณะสงฆ์ ปัญจวัคคีย์พักที่วัดปุณณาราม แต่คงชำรุดมาก (256 ปี) พระเจ้าโลกลว้าจึงสร้าง วัดศรีมหาธาตุถวายเพื่อให้ ปฏิบัติสังฆกรรมและเผยแพร่ พุทธธรรมได้สะดวกกว้างขวาง พระโสณะเถระได้ประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาติ และพระธาตุของพระอรหันต์ใน พระเจดีย์ในวัดศรีมหาธาตุ วัดนี้ร้างไปเมื่อ พ.ศ.1080 เศษๆ ไม่ปรากฏหลักฐานให้เห็นกัน พ.ศ.264 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 พระโสณะเถระดับขันธ์นิพพาน (ชันษา 110) 12 วันก่อนท่าน ดับขันธ์ได้สั่งความ และให้คำแนะนำกับตวันอธิราช พระนางสิริงามตัวเทวี พระโอรส เดือนเด่นฟ้า และคณะสงฆ์ปัญจวัคคีย์ให้สร้าง หรือเสริมแต่งเมืองและวัดอีก 7 แห่ง ซึ่งได้ รับการทำให้เป็นไปตามนั้น ดังต่อไปนี้
    วัดแห่งที่ 3
    พ.ศ.265 วัดบรมธาตุเจดีย์ใหญ่ ที่เมืองเถือมทองหรือถมทอง คือ วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ในปัจจุบัน
    วัดแห่งที่ 4
    พ.ศ.268 วัดมหาธาตุอู่ทอง (สุพรรณบุรี)
    วัดแห่งที่ 5
    พ.ศ.268 วัดป่าเรไร นอกเมืองอู่ทอง (สุพรรณบุรี)
    วัดแห่งที่ 6
    พ.ศ.269 วัดมหาธาตุนองทอง (กาญจนบุรี)
    วัดแห่งที่ 7
    พ.ศ.269 วัดดงสักมหาธาตุ เมืองขอมพงตึก (นอกกาญจนบุรี)
    วัดแห่งที่ 8
    พ.ศ.271 วัดมหาธาตุเมืองธัมมราช ตัวเมืองเสริมสร้างจากเมืองเดิมชื่อเมือง ช้างค่อม ปัจจุบัน คือ นครศรีธรรมราช
    วัดแห่งที่ 9
    พ.ศ.272 เดือน 4 วัดพริบพลี เมืองเพชรพริบพลี (เพชรบุรี)
    จากจารึกลายสือไทยในกระเบื้องจาร สมัยตวันอธิราชแห่งสุวัณณภูมิ บรรยายว่าพระโสณะเถระหัวหน้าคณะสงฆ์ ปัญจวัคคีย์สั่งความก่อนท่านดับขันธ์นิพพาน 12 วัน เมื่อ วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.264 ให้พระนางสิริงามตัวเทวี พระมเหสีของตวันอธิราช รับเป็นผู้จัดสร้างเมืองเพชรพริบพลี (เพราะเป็นธิดาของขุนเมืองนั้น) เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ พระปุณณะเถระผู้นำพุทธศาสนามาสู่สุวัณณภูมิ แดนชาวไทยลว้า และให้สร้างวัดพริบพลี ที่บ้านมกุนหรือแม่กุนคือบ้านแม ่ของพระปุณณเถระ
    "ปุณณมุนีนำพุทธมาพัก 2 วันคืน เมื่อก่อนจุลลปุณณ (น้องชายของพระ ปุณณเถร) ส้างสาลาห้าร้อยห้อง ภิกขุมาพัก (พระอรหันต์ 500 องค์ ที่ตามเสด็จ พระพุทธองค์) เมื่อคราวนั้น (พุทธพัสสา 22 เดือนอ้าย ขึ้น 8 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ) เมื่อพุทธพร้อมสงฆ์ไปแล้ว ปุณณอยู่ (ให้) ตั้งชื่อ วัดพริบพลี"
     
  5. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    วัดพริบพลี เป็นวัดแรกของเมืองเพชรพริบพลี (ชื่อเดิมของเพชรบุรี) ขอมทอง เมือง นายช่างใหญ่ของสุวัณณภูมิ (น้องชายของสิริงามตัวเทวี) และเดือนเด่นฟ้าพระโอรสเป็นผู้ ดูแลสร้างวัด และพระเจดีย์ ระหว่าง พ.ศ.272-273
    ในเวลาห่างกันเล็กน้อย ขุนศรีเมือง ผู้เป็นขุนเมืองพริบพลีและเป็นบิดาของ สิริงามตัวเทวี ก็ได้สร้างวัดศรีมหาธาตุ (คือวัดมหาธาตุในปัจจุบัน) โดยให้ขอมทองเมือง และเดือนเด่นฟ้าควบคุมการก่อสร้างพร้อมกับวัดพริบพลี
    การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์อาจทำเมื่อเดือน 5 ขึ้น 5 ค่ำ พ.ศ.273 เมื่อตวันอธิราชนำพระบรมธาตุ ที่ได้มาจากอินเดียเมื่อคราวเสด็จไปช่วยห้ามศึกลูกหลาน อโศกมหาราช ที่ทะเลาะกันหลังการสวรรคตของอโศกมหาราช มอบให้พระโอรสเดือน เด่นฟ้าแบ่งบรรจุไว้ทั้งสองวัด (จารึกกระเบื้องจารแผ่นที่ 54 หน้า 1) หรือ อาจบรรจุเมื่อ พระนางสิริงามตัวเทวีนิมนต์พระฌานียะ (หนึ่งในคณะสงฆ์ปัญจวัคคีย์) ประกอบพิธีบรรจุ พระบรมธาตุเข้าเจดีย์เมื่อเดือน 8 ปีมะโรง พ.ศ.275 (ตามจารึกกระเบื้องจาร 53 หน้า 2)
    เจดีย์บรรจุพระบรมธาตุดั้งเดิมของวัดพริบพลี คือ พระสุวรรณเจดีย์ที่วัดพริบพลี ขณะนี้เป็นเจดีย์พระบรมธาตุที่เก่าแก่ ที่สุดแห่งหนึ่ง ที่เหลือตกทอดมาจนทุกวันนี้ ส่วนที่ วัดมหาธาตุ เจดีย์เดิมคงพังทลายหายไป เพราะมีการสร้างเป็นพระปรางค์ 5 ยอด สูงใหญ่ ขึ้นแทน แต่ไม่ปรากฎจารึกว่าสร้างตั้งแต่สมัยใด ท่านเจ้าคุณอ่ำเขียนว่า เคยเห็นฐาน เจดีย์เดิมบริเวณใกล้พระปรางค์
    <!-- / message -->
     
  6. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    ตัวอย่างรูปลักษณะ อักษรครับ
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Faith04.jpg
      Faith04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      203.3 KB
      เปิดดู:
      950
  7. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    ในจารึกมีการกล่าว ถึงยุคของพระเถรโสณะ ที่เรารู้ว่าท่านเป็นธรรมทูต กันนะครับ ว่า มีการสร้างพระพุทธรูป และ สลักพระไตรปฎกลงหิน (หน้า389ของหนังสือ )

    แล้วก็มีบางส่วนเกี่ยวข้องกับพระเมตไตรยพระโพธิสัตว์ด้วยว่าท่านลงมาช่วยพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่น (หน้าที่500ของหนังสือ)

    สนใจเพิ่มเติมนะครับที่
    ทุนนิธิพระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต) วัดโสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร โทร. ๐-๒๒๘๑-๑๔๘๑
    หนังสือทีท่านแปลจากจารึกมา ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์มีนะ
    (แถวนี้ข้ามไปวัดระฆังไม่ไกลครับ กราบหลวงพ่อโตได้ด้วย)[​IMG]

    ม.เกษตรก็น่าจะมีนะครับ จุฬาก็อาจจะมี
    ไปวัดน่าจะชัวนะครับ สนใจก็ลองสอบถามกันดูครับ

    ด้วยความเทอดทูน ใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระโพธิสัตว์ครับ
     
  8. yoottapong

    yoottapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +761
    ท่านคืออนาคตวงค์องค์ที่10 100%
     
  9. รากแห่งธรรม

    รากแห่งธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,173
    หลวงปู่อ่ำท่าน หลวงพี่เล็กเราท่านเคยกล่าวถึงนะครับ ว่าหลวงปูท่านเป็นพระโพธิสัตว์ จริงๆๆและภูมิธรรมท่านเองก้อเทียบได้กับพระอนาคามีนะครับ และอีกอย่างีท่หลวงพี่เล็กเล่าไว้คือหลวงปู่ท่าน จะมาเป้นพระพทธเจ้าถัดจากพระศรีไปอีก4องค์ครับ
     
  10. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ว่าแล้วก็ลงซะเลย
    [FONT=AngsanaUPC, MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]พระสุมงคล (ช้างปาลิไลยกะ) [/FONT]


    ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้วฯ ในลำดับนั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวรี้ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอันมาก จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสุมงคลในอนาคตกาล พระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น
    - มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก
    - พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด
    - ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ
    - ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน
    - แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆด้วยพระพุทธานุภาพ
    ฝูงมนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทานฯ

    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร แต่กาลก่อนล่วงลับไปแล้วช้านาน ช้างปาลิไลยตัวนี้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นสมเด็จพระบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่าพระเจ้ามหาปนาทบรมจักร ในภัทรกัปป์อันนี้ และมีแก้ว ๗ ประการคือ
    - จักรแก้ว ๑
    - นางแก้ว ๑
    - แก้วมณีโชติ ๑
    - ช้างแก้ว ๑
    - ม้าแก้ว ๑
    - ปรินายกแก้ว ๑
    - คฤหบดีแก้ว ๑
    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักร ได้เสวยศิริราชสมบัติอยู่ในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒ พันเป็นบริวาร พระองค์ทรงพระสำราญอบู่เป็นปรกติ มาจนถึงกาลสมเด็จพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดในโลก กาลครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสในโลกแล้ว

    จึงตรัสประกาศสั่งจักรแก้วว่า ดูก่อนจักรแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังท้องพระมหาสมุทรถือเอาซึ่งดวงแก้วมณีมาให้แก่เรา จักรแก้วนั้นก็ไปยังท้องพระมหาสมุทร ดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ นำเอาแก้วมณีมาถวายฯ
    แล้วอยู่มาภายหลังพระองค์จึงตรัสสั่งช้างแก้วว่า ดูก่อนช้างแก้วผู้เจริญท่านจงไปที่ฉัตรทันต์สระ แล้วพาช้างแก้วมาให้แก่เราฯ ครั้งนั้นช้างแก้วก็เหาะไปยังฉัตรทันต์สระ พาเอาช้างชาติฉัตรทันต์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นมาถวายฯ
    แล้วพระองค์จึงสั่งกับม้าแก้วว่า ดูก่อนม้าแก้วผู้เจริญท่านจงไปยังท่าสินธพนที แล้วพาม้าแก้วทั้งหลายมาให้แก่เรา ม้าแก้วนั้นก็เหาะไปในอากาศ ถึงริมฝั่งสินธพนที แล้วพาม้าแก้วมาถวายฯ
    แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งนางแก้วพระราชมเหสีนั้นว่า ภทฺเท ดูก่อนเจเาผู้มีพักตร์อันเจริญ เจ้าจงไปยังแว่นแคว้นอุดรกุรุทวีปพานางแก้วทั้งหลายมาให้แก่เราฯ ขณะนั้นนางแก้วผู้เป็นพระราชมเหสีก็เหาะไปยังอุดรกุรุทวีป พาเอานางแก้วทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นมาถวายฯ
    แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งแก้วมณีโชติว่า ดูก่อนแก้วมณีโชติผู้เจริญ ท่านจงไปยังเขาวิบุลบรรพต นำเอาแก้วมณีมาให้แก่เราฯ อันว่าแก้วมณีโชติก็เลื่อนลอยไปยังเขาวิบุลบรรพตพาเอาแก้วมณีทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นดวงมาถวายฯ
    แล้วพระองค์ตรัสสั่งปรินายกขุนพลแก้วของพระองค์ว่า ดูก่อนปรินายกแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังอุดรกุรุทวีป และอมรโคยานทวีป และบุพพวิเทหทวีป ทั้ง ๓ ถอดเอาดวงแก้วในยอดเขากัมพูฉัตรมาให้แก่เราฯ ฝ่ายขุนพลแก้วผู้เป็นปรินายกรับพระราชโองการแล้ว ก็เหาะไปยังทวีปทั้ง ๓ จึงถอดเอาดวงแก้วมณีที่ยอดเศวตฉัตรแห่งมหากษัตริย์ผู้เสวยศิริราชสมบัติในทวีปทั้ง ๓ มาถวายฯ
    แล้วพระองค์ก็ตรัสสั่งคฤหบดีแก้วผู้เป็นขุนคลังว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว ท่านจงไปในโสฬสมหานครใหญ่ทั้ง ๑๖ เมืองนั้น นำเอาดวงแก้วมณีมาให้แก่เราฯ คฤหบดีแก้วก็เหาะไปในโสฬสมหานคร ครั้นถึงแล้วได้ทัศนาการเห็นสมเด็จพระพุทธกุกกุสนธสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอยู่ในพระวิหารในกาลนั้น คฤหบดีแก้วก็มิได้รู้จักซึ่งสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้า ว่าเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทโธ จึงเข้าไปยังสำนักกุกกุสนธเจ้าแล้วถามว่า มณว ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ตัวท่านนี้มีนามชื่อไร จึงมีรูปโฉมงามบริสุทธิ์เป็นอันดีฯ

    ครั้งนั้นสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้า จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว เราหรือมีนามชื่อว่าพระศาสดาจารย์ คฤหบดีจึงถามอีกว่าฯ ดูก่อนมาณพผู้เจริญท่านมีนามชื่อว่าศาสดาจารย์ด้วยเหตุเป็นดังฤาฯ จึงทรงพระมหากรุณาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว เราชื่อพระศาสดาจารย์นั้นเพราะเหตุประกอบไปด้วยอาจริยคุณ ๓๑ ประการฯ คฤหบดีจึงถามว่า คุณ ๓๑ ประการแห่งท่านปรากฏเป็นประการใด จึงได้ชื่อว่าอาจริยคุณฯ สมเด็จพระกุกกุสนธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว คุณเป็นอาทิคือ อิติปิ โส ภควา นี่แหละเป็นคุณแห่งเรา ปรากฏกิตติศัพท์ไปทั่วโลก จึงมีนามว่า พระศาสดา จริยคุณทั้ง ๓๑ ประการฯ เมื่อคฤหบดีแก้วได้สดับพระพุทธวจนะดังนั้น จึงจารึกเอาพระ อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ ลงไว้ในแผ่นทองเป็นตัวอักษรเสร็จแล้ว จึงถามพระผู้ทรงพระภาคเจ้าว่า ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ท่านรู้คุณวิเศษมีประมาณเท่านี้แลหรือ หรือว่าคุณวิเศษอย่างอื่นยังมีอยู่เป็นประการใดฯ จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่าดูก่อนคฤหบดีแก้ว อันว่าคุณวิเศษอย่างอื่นแห่งเรามีอยู่เป็นอันมากฯ คฤหบดีแก้วก็ให้พระกุกกุสันธเจ้าแสดงต่อไปฯ สมเด็จพระพุทธเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา ทรงแสดงซึ่งคุณในกายคตาสติกัมมัฏฐาน บอกอาการ ๓๒ มี เกศา โลมา เป็นอาทิ ให้แก่คฤหบดีแก้ว คฤหบดีแก้วก็จารึกพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้าอันงาม พร้อมด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะเป็นอันดีลงในแผ่นทอง แล้วจึงกำหนดพระองค์สูงประมาณ ๖๐ ศอก ลงในแผ่นทองทั้ง ๒ เสร็จแล้ว คฤหบดีแก้วก็เหาะนิวัตตนากลับมายังสำนักสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทถวายซึ่งแผ่นพระสุวรรณบัตร ให้ทอดพระเนตรพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้า กับทั้งตัวอักษรที่จารึกพระพุทธคุณมานั้นฯ


    ฝ่ายสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาททอดพระเนตรพระอักษร ซึ่งจารึกพระพุทธคุณในแผ่นพระสุวรรณบัตรนั้นฯ ทรงอ่านแล้วก็มิได้ทรงรู้จักว่าเป้นพระพุทธคุณจึงตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ อันว่าอักษรที่คฤหบดีจารึกมานั้น จะเป็นพระพุทธคุณจริงแลหรือประการใด ฝ่ายว่าพราหมณ์ปุรหิตนั้น เป็นผู้ทรงคุณวิชชาไสยศาสตร์ จึงกราบทูลว่า มหาราชข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐอันว่าอักษรนี้เป็นคุณอันวิเศษแน่แล้ว เป็นยอดคุณทั้งปวงสิ้น ก็คุณวิเศษอย่างอื่นๆนั้นจะได้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้หาบ่มิได้ อักษรนี้เป็นพระพุทธคุณเที่ยงแล้ว สมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทำด้ทรงฟังพราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัส ปิติ ปลาบปลื้มพระทัย สลบลงกับที่ฯ ครั้นพระองค์ฟื้นสมประดีแล้ว ตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ เราได้ฟังว่า คุณวิเศษนี้เป็นพระพุทธคุณจริงดังนั้นหรือประการใด ปุโรหิตก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ อันว่าคุณวิเศษนี้ พระองค์อย่าได้สงสัยในพระกมลหฤทัยเลย เป็นพระพุทธคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเที่ยงแท้แล้ว ครั้นได้ทรงสดับฟังพราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลซ้ำอีกดังนั้น พระองค์ทรงปิติ ปลื้มพระทัย สลบลงอีกครั้งหนึ่งเป็นคำรบ ๒ แล้วพระองค์ก็ฟื้นขึ้น จึงตรัสถามปุโรหิตอีกว่ารูปภาพที่คฤหบดีแก้ววาดเขียนมานี้ เป็นอย่างพระพุทธรูปจริงหรือประการใด ปุโรหิตก็กราบทูลว่าพระรูปพระโฉมที่คฤหบดีแก้ววาดเขียนมานี้ คือ พระรูปพระโฉมของสมเด็จพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์อย่าได้สงสัยเลยฯ สมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทได้ทรงฟังว่าเป็นพระพุทธรูปของสมเด็จพระพุทธเจ้าจริงแน่ ก็สลบสิ้นสติสมปฤดีไปอีกครั้งหนึ่งเป็นคำรบ ๓ ฯ

    ครั้นได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสแก่คฤหบดีแก้วว่า บัดนี้เราได้ฟังประพฤติเหตุแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอันเป็นดวงแก้วหาค่ามิได้ เพราะเหตุตัวของท่านอันเราใช้ไป เครื่องสักการบูชาสิ่งอื่นหาควรจะกระทำสักการบูชาแก่ท่านไม่ ด้วยท่านมีความชอบครั้งนี้แก่เราเป็นที่สุด เราจะยกสมบัติจักรพรรดิอันยิ่งในมนุษย์โลกนี้ กระทำสักการบูชาแก่ตัวท่าน ตรัสประภาษสรรเสริญคฤหบดีแก้วดังนี้แล้ว จึงอภิเษกคฤหบดีแก้วให้เสวยศิริราชสมบัติจักรวรรดิยศ ยกให้เป็นบำเหน็จความชอบแก่คฤหบดีแก้ว ในครั้งนั้นคฤหบดีแก้วก็ตั้งอยู่ในศิริราชสมบัติบรมจักร เสวยอิสริยยศสมบัติสืบต่อไปฯ

    ส่วนสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทนั้นแต่พระองค์เดียว ก็เสด็จบทจรไต่เต้าไปตามมรรคาหนทางโดยทิศาภาค ในที่สถิตแห่งสมเด็จพระบรมครูกุกกุสนธเจ้านั้นฯ ครั้นไปถึงมหานิโครธไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ก็ทรงประทับนั่งอาศัยอยู่ใต้ต้นไทรนั้นพอหายเหนื่อยเป็นอันดีแล้ว ก็ยกอัญชลีประนมถวายนมัสการลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์อันได้สดับว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ ทรงกระทำอธิษฐานปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม ความปิติโสมนัสแห่งข้าพระพุทธเจ้าบังเกิดมีในพระองค์แล้ว ด้วยเดชะความสัตยืนี้ขอให้เครื่องอัฏฐบริขาร ๘ ประการ อันเป็นทรัพย์มรดกแห่งพระภิกษุสงฆ์ จงเลื่อนลอยมายังสำนักแห่งข้าพระพุทธเจ้า ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกกุสนธสัพพัญญูทรงทราบวาระน้ำจิตแห่งบรมจักรมหาปนาท ปรารถนาจะบรรพชาบวชในพระพุทธศาสนา จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนอัฏฐบริขาร ๘ ประการ บัดนี้บุคคลมีชื่อโน้น ปรารถนาจะทรงบรรพชา ท่านจงไปยังสำนักแห่งบุคคลผู้นั้นเถิดฯ ขณะนั้นเครื่องอัฏฐบริขารทั้ง ๘ ประการ ก็ลอยมาตกลงตรงพระพักตร์แห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทด้วยพุทธานุภาพฯ

    ครั้นสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาท ทรงเห็นเครื่องอัฏฐบริขาร ๘ ประการพร้อมแล้ว ด้วยพระเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ก็ทรงยกเครื่องอัฏฐบริขารขึ้นทูนเหนือพระเศียรเกล้าแล้วออกพระวาจาว่า ดูก่อนอัฏฐบริขาร ๘ ประการผู้เจริญ เราอาศัยซึ่งท่านจักใคร่ออกจากสังสารทุกข์ ให้ได้พบเห็นพระนิพพานอันประเสริฐสุดโลกวิสัย ตรัสเท่านั้นแล้วก็เปลื้องเครื่องราชอาภรณ์ของพระองค์ออกจากพระสรีรกาย ทรงสบง จีวร สังฆาฏิ คาดกายพันมั่นคง ทรงบรรพชาเป็นพระภิกษุภาวะเสร็จแล้ว จึงเอาพระมงกุฎแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์ตรัสว่า ดูก่อนมงกุฏแก้ว ท่านจงไปยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า กราบทูลแจ้งประพฤติเหตุข่าวศาสน์แก่พระองค์ว่า บัดนี้พระเจ้ามหาปนาทบรมจักร เสียสละศิริราชสมบัติออกทรงบรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความปรารถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณ ท่านจงไปกราบทูลศาสน์แด่องค์สมเด็จพระพุทธองค์ด้วยประการดังนี้ฯ พระองค์ทรงพระอธิษฐานฉะนี้แล้ว มงกุฏแก้วก็ลอยเลื่อนไปในอากาศเวหาประดุจว่าพระยาสุวรรณราชหงส์ลงยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่แทบฝ่าพระบาท กราบทูลประพฤติเหตุดังนั้นแก่สมเด็จพระกุกกุสนธ ประดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ สมเด็จพระบรมโลกุตตมาจารย์ก็มีพระพุทธฎีการับว่าสาธุฯ

    ลำดับนั้นพระยามหาปนาทซึ่งทรงเพศเป็นภิกษุ ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามบ้าน ได้อาหารพอเป็นยาปนมัตต์ บริโภคสำเร็จแล้วก็เจริญพระกัมมัฏฐานอยู่ในที่อันสมควร พิจารณาซึ่งพระพุทธคุณมีพระ อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ และพระกายคตาสติกัมมัฏฐาน มีเกศาเป็นต้น เจริญไปด้วยความอุตสาหะดังนั้น ยังโลกียฌานให้บังเกิดขึ้นในขณะนั้นแล้วเหาะไปโดยอากาศเวหาถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า ได้ทัศนาการพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธ อันประดับไปด้วยพระทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ และพระอสีตยานุพยัญชนลักษณะ งามบริบูรณ์พร้อมทุกประการ ก็บังเกิดความปิติเต็มตื้นซาบทั่วสรรพางค์ ตลอดสิ้นสกลกายก็สลบลงในที่นั้น สมเด็จพระภควันตบพิตรเจ้าก็ทรงเอาอุทกวารีมาประพรมลงเหนือพระอุระ ก็ฟื้นสมปฤดีขึ้นมา แล้วถวายนมัสการกราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาท กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาฯ

    ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกกุสนธบรมทศพลญาณ ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า ดูก่อนภิกษุ ท่านจงพิจารณาซึ่งสภาวธรรมที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานเถิด มีพระพุทธบรรหารตรัสดังนี้ ฝ่ายพระเจ้ามหาปนาทบรมพุทธางกูรได้ทรงสดับกระแสพระพุทธฎีกาตรัสเป็นนัย ดังนั้นพระองค์ก็มีปิติซาบซ่านทั่วสกลกาย จึงทรงพระอธิษฐานเด็ดพระเศียรเกล้าด้วยเล็บของพระองค์ ทรงกระทำสักการบูชาแทบพระบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายพระเศียรเกล้านั้นจึงกราบทูลพระกรุณาว่า ภนเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเจ้า พระองค์ได้โปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อนข้าพระบาท ข้าพระบาทก็มีความปรารถนาเป็นเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อภายหลัง ด้วยผลศีลทานของข้าพระบาทในครั้งนี้ ขอเชิญองค์อัครมุนีผู้ทรงพระภาคเจ้าจงเสด็จเข้าสู่พระนิพพานก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทขอตามเสด็จพระพุทธองค์เจ้าเข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง พอขาดคำลงแล้วพระเจ้ามหาปนาทก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตอินทรีย์ ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์ เสวยทิพยศิริสมบัติเป็นสุขสถาพร ไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะได้ตรัสเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสุมงคลฯ

    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ฝูงสัตว์ทั้งหลายไม่ได้มรรคและผลธรรมวิเศษในศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระตถาคตเป็นต้น มีพระติสสะเป็นปริโยสานแล้ว ก็ให้มหาชนปรารถนาไปให้พบเห็นพระศาสนาช้างปาลิไลยหัตถี ที่ได้เป็นพระบรมจักรมหาปนาทนี้ ซึ่งจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลทรงพระนามว่า พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะได้มรรคและผลธรรมอันวิเศษสิ้นสังสารทุกข์ทั้งปวง เข้าสู่พระอมตะมหานครนิพพานฯ แสดงมาด้วยเรื่องราวช้างปาลิไลยหัตถีบรมโพธิสัตว์เป็นคำรบ ๑๐ ก็สิ้นความยุติแต่เพียงนี้ฯ
     
  11. บัวเกี๋ยง

    บัวเกี๋ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    549
    ค่าพลัง:
    +431
    อนุโมทนาด้วยครับบุญกุศลขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกจงมีแต่ความสุขเข้าสู่นิพพานทั่วนหน้าเทอญ
     
  12. changtai

    changtai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +298
    ขอบคุณครับอยากได้หนังสือท่านมากแต่ไม่รู้ว่าจะไปเอาที่ไหนดี คงถึงเวลาที่จะได้ซะที
     
  13. สิงหนาท

    สิงหนาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    673
    ค่าพลัง:
    +4,805
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7rv0f.jpg
      7rv0f.jpg
      ขนาดไฟล์:
      155.4 KB
      เปิดดู:
      456
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  14. is

    is เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +388
    สาธุพระคุณเจ้า สาธุในธรรมพระพุทธองค์ สาธุชั่วกาลนาน.............
     
  15. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,268
    ปัจจุบัน
    ผลงานทั้งหมด...ของพระราชกวี(อ่ำ ธมฺมทตฺโต)
    ยังคงเก็บรักษาไว้ที่
    คณะ๑ วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ
    ดูแลโดย เจ้าคุณพระสิริปัญญามุนี(เจ้าคุณเต็ม)

    สนใจเยี่ยมชม โทร.02-281-1481 (เจ้าคุณเต็ม) ได้ทุกวัน ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2016
  16. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ผมได้ไปกราบท่านครั้งแรกเมื่อปี 2534 เนื่องด้วยหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุงได้บอกไว้ว่าท่านคือช้างปาลิไลยกะมาเกิดและจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย(องค์ที่10)ในกัปนี้
    ครั้งแรกที่ไปหาท่าน เมื่อท่านออกมาจากกุฏิท่านทักว่า "มาจากท่านลิงดำใช่ไหม"(ผมยังไม่ทันบอกเลย) และท่านบอกว่าให้เข้าไปในกุฏิท่าน
    ซึ่งเมื่อเข้าไปภายในกุฏิของท่านก็พบว่าเต็มไปด้วยกระเบื้องจารจากสมัยโบราณ และพระพุทธรูปโบราณมากมาย

    คราวแรกๆที่ไปหาท่าน ฟังท่านพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนท่านจะพูดไม่ค่อยชัดเหมือนลิ้นพันกันคงเนื่องจากอาการป่วยของท่าน แต่ต่อมาครั้งหลังๆท่านพูดจาเป็นปกติเหมือนไม่ได้ป่วยอะไร
    แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านเป็นตลอดคือเมื่อนั่งแล้วจะลุกขึ้นยืนต้องขยับตัวอยู่สักครู่จึงจะยืนได้ ซึ่งท่านพักอยู่บนกุฏิซึ่งอยู่ชั้น2 เมื่อจะเข้าห้องน้ำต้องเดินลงมาชั้นล่าง
    ซึ่งเมื่อสอบถามท่านได้ความว่าเป็นอาการเกี่ยวกับเส้น(คงจะเป็นเส้นเอ็นกล้ามเนื้อพวกนี้จำไม่ค่อยได้หลายปีมาแล้วครับ) ผมจึงซื้อยาขยายเส้นจากบ้านซอยสายลมที่หลวงพ่อไปสอนกรรมฐานต้นเดือน ไปถวายท่าน ท่านก็บอกว่ายาช่วยได้บ้างแต่ไม่หายขาด

    เท่าที่สังเกตุดูท่านเป็นพระที่ไม่จับเงิน ในกุฏิของท่านจะมีภาชนะไว้สำหรับใส่เงิน ถ้าถวายเงินท่าน ท่านจะบอกให้เอาไปใส่ในนั้น และเมื่อจะซื้ออะไรท่านก็จะให้ไวยาจักรนำไปซื้ออีกที
    คราวหนึ่งผมได้ถวายเงินท่าน100บาท (ตอนนั้นมีติดตัว100กว่าบาท) ท่านก็บอกประมาณว่า ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องถวายก็ได้เงินก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว(จำคำพูดทั้งหมดไม่ได้แต่ความหมายอย่างนี้) คือท่านรู้ได้โดยที่ผมไม่ได้บอก

    ต่อมาท่านก็ให้ผมเอาเงิน100บาทที่ผมถวายท่านไปแล้วนั่นแหละไปร่วมสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมซึ่งสร้างเป็นครั้งแรกในโลก(ในพุทธันดรนี้)ที่วัดท่าซุง โดยท่านบอกให้เอาไปหยอดในกล่องในอะไรก็ได้ที่เขาทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐม

    แต่เมื่อผมนำไปถวายหลวงพ่อที่ซอยสายลม ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี2534 ปรากฏว่า เมื่อไปถึงซอยสายลม หลวงพ่อท่านนั่งเข้าสมาบัติอยู่ จึงนำเงินนั้นใส่ซองเขียนว่าสร้างสมเด็จองค์ปฐม และถวายหลวงพ่อซึ่งนั่งเข้าสมาบัติอยู่นั้น

    ต่อมาเมื่อหลวงพ่อออกจากสมาบัติแล้ว คุณลุงยกทรง ได้พูดประมาณว่า ใครถวายหลวงพ่อหลังจากออกสมาบัติอานิสงค์แสนเท่า หลวงพ่อได้พูดว่า "ไม่ใช่แสนเท่านะ หลายแสนเท่า"(ผมคิดว่าน่าจะหลายล้านเท่า) ยังความปลาบปลื้มใจให้แก่ผมเป็นอันมาก ซึ่งนอกจากถวายเงินสร้างสมเด็จองค์ปฐมนั้นผมได้ถวายสังฆทานด้วยหลายชุด แม้จะเป็นชุดละ100ตามกำลังทรัพย์ในขณะนั้น แต่ก็ถวายจนหมดตัว

    ภายหลังเมื่อไปกราบหลวงปู่อ่ำอีก ได้เรียนให้ท่านทราบถึงการถวายเงินที่ท่านให้นำไปทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมโดยถวายขณะที่หลวงพ่อเข้าสมาบัติ รู้สึกว่าท่านก็ปลาบปลื้มปิติในผลบุญนั้นด้วย
    แต่เมื่อผมบอกท่านว่า สร้างสมเด็จองค์ปฐมนี้ลงบัญชีไปไม่กลับ รู้สึกท่านชะงักและถามผมทันทีว่า "ยังไงไปไม่กลับ" ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ถ้าคนที่หวังไปนิพพานในชาตินี้ก็คงไม่ได้กลับมาครับ

    นอกจากถวายยาแล้วผมได้ถวายพระคำข้าวและเหรียญทำน้ำมนต์แด่ท่าน ในใจก็หวังเพื่อช่วยรักษาอาการป่วยของท่านอีกทางหนึ่ง
    ในช่วงนั้นเองเพิ่งปรากฏมีสูตรยาพระประทานลงในธัมมวิโมกข์ว่าต้องใช้หญ้าแห้วหมู สมุนไพรอะไรต่างๆมาผสมน้ำผึ้งปั้นเป้นลูกกลอน (ตอนนั้นยังไม่ได้ทำออกขายที่วัดและซอยสายลม) ซึ่งเมื่อไปกราบหลวงปู่อ่ำท่านได้พูดถึงยาตัวนี้โดยเปิดหนังสือธัมมวิโมกข์ให้ดูว่า หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านฉันยาไปแล้วกินข้าวได้เยอะอ้วนขึ้น

    เมื่อฟังแล้วก็คิดว่าการที่ท่านบอกมาเช่นนี้คงเป็นยาที่จะช่วยรักษาอาการป่วยและบำรุงของท่านได้กระมัง แต่ก็จนใจที่ไม่มีปัญญาจะหาสมุนไพรต่างๆตามสูตรที่บอกไว้และอีกอย่างเงินก็มีน้อยนิดไม่มีหนทางที่จะทำยาพระประทานเองได้ ซึ่งกว่าที่จะมียาพระประทานออกจำหน่าย หลวงปู่อ่ำก็ได้มรณภาพไปแล้ว

    จากการที่ได้ไปกราบท่าน หลายครั้งท่านได้เทศน์ให้ฟัง เช่น เรื่องการถือกำเนิดของมนุษย์ในต้นกัป การเทศน์ของท่าน ท่านก็นั่งพับเพียบกับพื้นกุฏินั่นแหละ ผมก็ได้แต่ก้มตัวค้อมลงต่ำๆกลัวบาปว่านั่งเสมอท่าน และแม้จะเทศน์ให้ผมฟังเพียงคนเดียว แต่ท่านก็พูดให้ฟังบางทีเป็นชั่วโมงๆ
    บางคราวผมก็ไต่ถามถึงเรื่องที่สงสัย เช่น เรื่องนายเรืองนายนก ผู้เผาตัวตาย ท่านก็บอกหมดว่า คือพระอนาคตวงศ์ท่านนั้นท่านนี้ อดีตท่านเป็นช้างเป็นอะไรตามหนังสือพระอนาคตวงศ์นั้น จำไม่ค่อยได้แล้วว่า ท่านเรืองท่านนก เป็นองค์ไหน จำได้ว่ามีหนึ่งท่านในนี้(ท่านเรืองหรือท่านนก)เป็นพญาช้างที่สละงาถวายเป็นที่เผาศพพระอรหันต์(พระเทวเทพ สุภพราหมณ์) และหลวงปู่อ่ำได้บอกว่า ท่านมีบารมีเต็มแล้วและเมื่อมาเผาตัวนี้บารมีก็ยิ่งเปี่ยมขึ้นไปอีก
    และท่านได้บอกว่า การที่ท่านบอกเรื่องการเผาตัวของท่านเรืองท่านนกนี้ ถ้าทำให้คนตาย(คงหมายถึงถ้าผมไปเผาตัวแบบท่านเรืองท่านนกโดยอาศัยคำพูดท่านเป็นเหตุ ความหมายประมาณนี้ครับจำคำพูดไม่ค่อยได้) อาจจะทำให้หลวงปู่อ่ำท่านต้องอาบัติเพราะเหตุพูดแล้วทำให้คนไปเผาตัวตาย เมื่อได้ฟังดังนั้นผมจึงกราบขอขมาท่าน และบอกท่านประมาณว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเหตุที่ท่านบอกกล่าวเรื่องท่านเรืองท่านนกหรอกครับ (ความหมายประมาณนี้)

    มีครั้งหนึ่ง ผมแสดงความโง่ด้วยการถามท่านไปว่า หลวงปู่ปรารถนาพุทธภูมิหรือครับ
    ท่านบอกประมาณว่า ไม่มีใครเขาพูดกัน และก็ชี้ไปที่หนังสือพระอนาคตวงศ์
    (ความหมายประมาณว่า ให้ดูสิ่งที่ท่านทำมันบอกอยู่แล้วว่าท่านเป็นอย่างไร ไม่สมควรที่จะมาถามกันดื้อๆ ยิ่งผมเป็นเด็กยิ่งไม่ควรเข้าไปใหญ่่)
    เมื่อท่านกล่าวดังนั้น ก็กราบขอขมาท่าน
    แต่ก็ปรากฏคำอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะในบางที่ท้ายบทประพันธ์ของท่านในหลายแห่ง

    ในหนังสือที่ระลึกงานศพของท่าน (นิพนธ์ต่างเรื่อง) หน้า27 ท่านได้กล่าวไว้ในงานศพพ่อของท่าน ว่า
    "และคงจะเข้าใจแล้วว่า ลูกคนหนึ่งมีสถานะเช่นไรในปรโลก จะไม่พูดถึงในที่นี้เพราะถ้าพูดไปแล้ว จะต้องเสียเวลาพูดให้คนโง่ๆฟังตำรา จะปรับเป็นอุตริมนุสธรรม พร้อมกับพวกบ้าจะประณามว่าละเมอเกินไป"

    ซึ่งต่อมาท่านได้มอบหนังสือพระอนาคตวงศ์และปฐมมูลลีให้กับผม โดยหนังสือปฐมมูลลีนี้ท่านบอกว่าเป็นเรื่องราวของพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า

    มีอยู่คราวหนึ่งหลวงปู่อ่ำท่านได้บอกว่าได้พบกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (คำพูดท่านบอกว่าฝันไป จริงๆกายเนื้อไม่เคยเจอกัน) บอกได้เจอและหลวงพ่อเหมือนในหนังสือธัมมวิโมกข์นั้นที่หัวเราะยิ้มแย้มแจ่มใส(ความหมายประมาณนี้)

    ส่วนทางผมได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับประมาณปี 2535 ก็ได้พบข้อความที่บ่งถึงเรื่องราวที่ผมไปพบหลวงปู่อ่ำว่าท่านรู้ว่าเราเคารพท่านจริง...ฯลฯ
    ซึ่งข้อความในหน้านั้นผมอ่านแล้วได้แต่คิดว่า เอ๊ะนี่เรื่องราวของผมคนเดียวนี่นา หลวงพ่อท่านรุู้และนำมาบอกผมในธัมมวิโมกข์ แต่หนังสือธัมมวิโมกข์นี้คนอ่านจำนวนมากและคนอื่นใครจะรู้เรื่องนี้
    ซึ่งต่อมาผมได้ย้อนกลับไปเสาะหาข้อความนั้นในหนังสือธัมมวิโมกข์แต่ก็ไม่พบอีกเลย

    มีอยู่คราวหนึ่งหลวงปู่อ่ำท่านพูดว่า "นี่(หมายถึงหลวงปู่่อำ)กิเลสยังเต็มตัวอยู่" ผมก็คิดว่า ก็ไม่แปลก เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ยังไงก็เคารพท่าน

    และอีกครั้งหนึ่งเมื่อผมได้ไต่ถามเรื่องราวเกี่ยวกับพระไตรปิฎก จำได้คร่าวๆว่า ท่านจะไปที่ลังกาอีก (คงไปเกิดที่นั่นอีก)

    ช่วงสุดท้ายปลายปี2534ต่อต้นปี2535 ผมไม่ได้ไปกราบท่านเป็นเดือน อยู่ๆวันหนึ่งฝันว่าพบหลวงปู่อ่ำ ได้กราบท่าน 1ครั้ง 2ครั้ง ยังไม่ทันครบ3 ท่านก็ลุกไปนั่งอีกที่หนึ่ง
    และท่านบอกว่า "ให้หมั่นขยันปฏิบัติ"
    ก็ฉุกคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไปซอยสายลมพบหลวงพ่อท่านพูดถึงเรื่องของพระอโนมทัสสีทรงทรมานช้างพระโพธิสัตว์(ที่เป็นช้างปาลิไลยกะ)เป็นองค์แรก และหลวงพ่อได้พูดว่า ช้างตัวนี้ตายเมื่อวานซืนนี้ ซึ่งเมื่อหลวงพ่อพูดเรื่องนี้ได้มองมาที่ผม ผมจึงคิดว่า ชะรอยหลวงปู่อ่ำคงจะมรณภาพกระมังแต่เมื่อไปหาครั้งสุดท้ายก็ยังดูปกติดีอยุ่นี่นา
    จึงนั่งรถเมล์ไปที่วัดโสมนัสก็ได้พบว่า หลวงปู่อ่ำท่านมรณภาพแล้ว และภายหลังเมื่อเผาแล้ว ผมก็ไปวัดโสมนัสอีก ได้พบเพียงกระดูกของท่านซึ่งพระลูกศิษย์หลวงปู่อ่ำท่านเก็บไว้ และพระลูกศิษย์หลวงปู่อ่ำได้มอบหนังสือพุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ และหนังสือที่ระลึกงานศพ(นิพนธ์ต่างเรื่อง)ให้ผม โดยไม่คิดเงินเลย (ถ้าคิดเงินผมก็ไม่มีเงินซื้อเล่มละตั้งหลายร้อย แต่ผมก็ไม่ได้บอกท่านนะว่าไม่มีเงินพอ)

    หลังจากท่านมรณภาพไปแล้วยังฝันถึงหลวงปู่อ่ำอีกหลายคราว มีอยู่คราวหนึ่ง นิมิตฝันว่า สมัยที่ท่านลงมาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ผมก็ลงมาเกิดด้วย (เป็นกษัตริย์จักรพรรดิอะไรสักอย่าง) ลอยลงมาพร้อมๆกันแต่ผมพนมมือไหว้ท่าน (อย่าลืมว่าเป็นความฝันนะครับ)

    หลายปีหลังจากนั้นผมก็คิดว่าจะเผยแพร่หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณเป็นสาธารณะให้ได้รู้กัน ก็คิดอยู่ในใจหลายเดือนแต่ก็ขี้เกียจบ้าง ไม่มีอารมณ์ทำบ้างผัดผ่อนไปเรื่อยๆ จนมาถึงวันหนึ่งมีอารมณ์ที่จะทำ ก็เพียรทำจนเสร็จ มารู้ทีหลังวันที่ทำนั้นคือวันที่ 19 มกราคม ตรงกับวันมรณภาพของหลวงปู่อ่ำ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

    อ่านพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ(พิมพ์เป็นตัวอักษร คัดลอกข้อมูลได้ง่าย)
    [URL="http://palungjit.org/posts/4281946[/URL]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 ธันวาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...