หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ตามพญางูยักษ์ไปเห็นเมืองใต้บาดาล

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย steel, 10 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. steel

    steel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2005
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +164
    เรื่องนี้คัดลอกมาจากหนังสือ พระอริยสงฆ์เผชิญพญานาค ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาตามความเชื่อของแต่ละท่าน(เป็นการพิมพ์คัดลอกด้วยมือตัวอักษรอาจผิดพลาดต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่าน)

    [​IMG]

    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ตามพญางูยักษ์ไปเห็นเมืองใต้บาดาล
    <O:p</O:p

    ย้อนหลังไปสัก 20 ปีที่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี พระหลวงปู่รูปหนึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านนามว่า คำคะนิง จุลมณี แห่งวัดถ้ำคู้หาสวรรค์ภิกษุรูปนี้ได้ยึด "ญายปฏิปันโน ภควโตสาวกสังโฆหลวงปู่คำคะนิงนั้น ท่านเป็นภิกษุที่ไม่เหมือนใคร ผ่านการเป็นฤาษีชีไพรมาก่อน 15 ปี จึงค่อยบวชเป็นพระ เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็มักแสวงหาธรรมอันแปลก ด้วยการธุดงค์ไปที่ต่างๆ ซึ้งส่วนใหญ่ก็อยู่ตามป่าเขา

    อย่างครั้งหนึ่ง...ที่เมืองเชียงตุง หลวงพ่อปานแห่งวัดบางนมโค อยุธยา ได้พาคณะศิษย์ท่องธุดงค์ในเขตป่าของเมืองนี้ ได้ปะหน้ากับชีปะขาวคำคะนิง หลวงพ่อปานเห็นสารรูปคนผู้นี้ถึงกับตะลึง เพราะตอนนั้นคำคะนิงมีผมยาวถึงเอว หนวดเครารกรุงรัง ห่มผ้าขาดวิ่นมองไม่ออกว่าเป็นสีอะไรจึงกล่าวขึ้นลอยๆ ว่า นี่พระหรือคนเนี่ย
    ชีปะขาวคำคะนิงได้ยินเกิดอยากลองภูมิกับพระรูปนี้ ถามออกไปว่า ไอ้พระนั้นมันอยู่ที่ไหน
    หลวงพ่อปานโต้กลับ ก็เห็นผมยาวเสื้อผ้าขาดปุปะมองไม่ออกว่าสีเป็นอะไร แล้วใครจะรู้ว่าพระหรือคน
    คำคะนิงตั้งคำถามใหม่ พระมันอยู่ที่ผมหรือไง
    หลวงพ่อปาน ไม่ใช่
    คำคะนิง พระมันอยู่ที่ผ้านุ่งหรือเปล่า
    หลวงพ่อปาน ไม่ใช่
    คำคะนิงใช้คำถามจี้ อ้าว..แล้วพระมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ
    หลวงพ่อปานตอบฉับพลันทันที พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาด
    คำคะนิงยิ้มก่อนบอกออกไป แล้วมาถามทำไมว่าพระหรือคน
    หลวงพ่อปานยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เห็นผมเผ้ารุงรังใครจะไปรู้พระหรือคนกันแน่
    คำคะนิง พระบ้านพระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี เห็นทีต้องเห็นดีกัน

    คำคะนิงกล่าวเสร็จก็คว้าหวายยาวร่วมวา ขว้างไปเบื้องหน้าหลวงพ่อปาน จากหวายก็กลายเป็นงูใหญ่ท่าทางดุร้ายเตรียมฉกกัด หลวงพ่อปานท่านทำจิตเป็นสมาธิ เอาใบไม้ขว้างขึ้นสู้อากาศกลายเป็นนกขนาดใหญ่ โฉบเฉี่ยวเอางูขึ้นไปสะบัดพัดเหวี่ยงบนอากาศอยู่พักใหญ่ งูพลัดตกลงสู่ดินกลายเป็นช้างตัวใหญ่มหึมากำลังตกมัน ส่วนนกถลาลงสู่พื้นกลายเป็นเสือโคร่งใหญ่มีความดุร้ายไม่แพ้กัน สัตว์ทั้ง 2 ชนิดเข้าโรมรันพันตูกันฝุ่นคลุ้งไปหมด แต่จู่ๆ สัตว์ทั้ง 2 กลับสลายหายไป ฝ่ายหนึ่งกลายเป็นลูกไฟเข้าเผาผลาญ อีกฝ่ายกลายเป็นพายุฝนเข้าแก้ทางกันทั้งพระและชีปะขาวต่างหัวเราะด้วยความชอบใจในอิทธิอภิญญาของกันละกัน ต่างฝ่ายต่างชมกันและกันและถ่อมตนใส่กัน แต่ศิษย์ของหลวงพ่อปานที่ร่วมธุดงค์มาด้วยรู้ดีว่า ท่านทั้ง 2 ต่างมีอภิญญาด้วยกันทั้งคู่
    <O:p
    หลวงพ่อคำคะนิงเกิดที่บ้านหนองบัว แขวงคำม่วน ประเทศลาว เมื่อวันพุธ เดือน 4 ปีกุน พ.ศ 2437 โยมพ่อชื่อดิน ทะโนราช โยมแม่ชื่อนุ่น เพียงอายุ 18 ปี ท่านก็ได้แต่งงานและมีบุตรกับภรรยาด้วยกัน 2 คน ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ เดินตามทางโลกอย่างวิญญูชนคนทั่วไปพึงกระทำ มีทั้งสุขและทุกข์ สมหวังผิดหวัง มีพบมีพลัดพราก คำคะนิงไปอยู่วัดและไม่กลับบ้านอีกเลย วันๆ เอาแต่รับใช้พระและปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่พร้อมที่จะบวชอยู่อีกไม่นานก็พบเพื่อนอีก 2 คน ที่มีศรัทธาเดียวกันจึงปรึกษากันตกลงกันว่า จะออกสืบเสาะหาพระอาจารย์ด้านกรรมฐานที่เก่งๆ กันดีกว่า
    <O:p</O:p
    ทั้ง 3 ตัดสินใจแล้วในไม่ช้าก็พากันออกเดินทางเพื่อหาอาจารย์ดีๆ มีผู้รู้แนะนำทั้ง 3 ให้ไปพบอาจารย์สีทัตถ์ เมืองท่าอุเทน พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปหาอาจารย์สีทัตถ์ทันที แต่ก็ผิดหวังเมื่ออาจารย์สีทัตถ์กล่าวปฏิเสธแต่ก็แนะนำอาจารย์เหม่ยให้ ทั้งหมดรีบมุ่งหน้าไปหาอาจารย์เหม่ยเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ พร้อมกับกล่าวประวัติส่วนตัวให้อาจารย์เหม่ยฟัง ผู้เป็นอาจารย์นั่งนิ่งฟังจนจบแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงห้วนๆ ถ้าจะมาเป็นศิษย์เรา ทั้ง 3 คนนี้จะมีคนตาย 1 คนมีใครกลัวตายบ้างอาจารย์เหม่ยชี้ถามรายตัว เพื่อนอีก 2 คนยอมรับว่ากลัวตาย ครั้นมาถึงคำคะนิงเขาได้ตอบอกไปว่า ไม่กลัวตาย" อาจารย์เลยให้เพื่อนอีก 2 คนที่กลัวตายกลับไปแล้วหันมาทางเขาพร้อมพูดว่า การเรียนวิชากับอาจารย์นั้นมีทางตายจริงๆ เพราะมันทุกข์ทรมานอย่างที่สุด

    ซึ่งก็เป็นจริงการอยู่กับอาจารย์เหม่ยมีสภาพทุกข์ลำบาก ในสำนักมีแต่ข่าวตากแห้ง เวลานอนก็เอามะพร้าวต่างหมอน ในสำนักแห่งนี้มีผู้ชายเป็นศิษย์ไม่กลัวตายอยู่หลายคน การเรียนวิชาความรู้แม้จิตใจกล้าหาญเพียงใด แต่ถ้าสังขารไม่ไหวก็ไปไม่รอด คำคะนิงมาอยู่ได้ไม่นานก็มีการตายเกิดขึ้นซึ้งเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ คนนี้นั่งสมาธิจนตาย! อาจารย์สั่งคำคะนิงแบกศพที่ตายเข้าป่าโดยมีอาจารย์เดินนำหน้า ข้ามเขาลูกหนึ่งไปสิบกว่ากิโลเมตรไปถึงต้นไม้ใหญ่ขนาด 2 คนโอบ แล้วสั่งให้เขามัดศพกับต้นไม้จนเป็นที่เรียบร้อยจากนั้นจึงกำชับว่า เจ้าจงเดินเพ่งศพนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งวันทั้งคืนอย่าได้หยุด ให้พิจารณาอสุภกรรมฐานอย่างถ่องแท้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน
    <O:p</O:p
    นับเป็นเรื่องสาหัสทีเดียวที่ต้องปฏิบัติอสุภกรรมฐานกับศพจริงๆ ในป่าลึกเพียงลำพัง อาจารย์กลับไปแล้วหากเขาหลบไปอยู่ที่อื่นไม่ต้องปฏิบัติย่อมทำได้ แต่เขาคิดว่าเราได้ตัดขาดจากทางโลกเรียนรู้ทางธรรมเพียงแค่นี้จะยอมแล้วหรือ คิดได้เช่นนั้นจึงเริ่มปฏบัติพิจารณาศพตามที่อาจารย์เหม่ยสั่งไว้ คำคะนิงได้พิจารณาศพตามที่ตามเล่าเรียนมา ซึ่งมีอยู่ 40 อย่าง เช่น อนุสติ 10 อสุภ 10 กสิณ 10 พรหมวิหาร 4 อรูปนาม 4 ธาตุวัตถาน 1 หาเรปฏิกูลสัญญ 1 เป็นต้น

    ในข้อที่ว่าพิจารณาอสุภและพิจารณาร่างกายว่าเป็นของสกปรกไม่สวยไม่งาม ซึ่งกรรมฐานกองนี้สอนในเฉพาะร่างกายว่าความเกิดนั้นเป็นทุกข์ ถ้าเกิดแล้วมีแก่ มีเจ็บ มีป่วยไข้ไม่สบายและมีการพลัดพรากจนถึงความตายในที่สุด หากเอาจิตไปเกาะจิตมันก็เป็นทุกข์ เอาจิตเข้าไปเกาะในร่างกายก็แสดงว่าเราไม่พ้นจากโลกธรรม ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็แสดงว่าเรายังรักโง่ เกลียดดี ถ้าเรารักดีต้องเกลียดโง่ ก็ต้องทิ้งวัฏฏะ
    <O:p</O:p
    ถึงรุ่งเช้าจึงไปที่สำนักตามที่อาจารย์กำหนด อาจารย์ถามขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อเจอหน้า เป็นยังไงบ้าง
    คำคะนิงตอบ ศพนั้นก็เหมือนตัวศิษย์ครับอาจารย์ ไม่มีแตกต่างกันตรงไหนเลย
    อาจารย์เหม่ยถามอีก กลัวไหม
    คำคะนิง ไม่กลัวครับ เพราะเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา
    <O:p
    อาจารย์ไม่ถามอะไรอีกสั่งให้ไปเอามีดเล่มหนึ่ง ทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างเดินกลับไปที่หาศพ ณ ที่เดิม พอไปถึงก็สั่งให้แก้มัดเอาศพมานอนราบกลับพื้นแล้วสั่งให้เขาผ่าท้องศพออก จากนั้นอาจารย์ก็กล่าวให้หยิบอะไรออกมา ต้องอธิบายอวัยวะนั้นได้และต้องบอกดังๆ เมื่อคำคะนิงชำแหละศพ ตัดหัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ และสิ่งต่างๆ ก็จะตะโกนบอกอาจารย์ด้วยเสียงอันดังจนครบหมดถูกต้อง อาจารย์เหม่ยสั่งต่อ เอ้า..คราวนี้ชำแหละเนื้อลอกออกให้เหลือแต่กระดูกเอากองเนื้อและเครื่องในไปเผาให้หมด แล้วเอากระดูกไปต้มล้างให้สะอาดเหลือแต่กระดูกล้วนๆ อย่าให้มีอะไรติดอยู่ คำคะนิงปฏบัติตามที่อาจารย์สั่งทุกประการ

    เนื้อตัวของคำคะนิงเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือด น้ำเหลือง ยังมีกลิ่นศพเหม็นติดตัวคละคลุ้งแต่เขาหาได้สนใจ อาจารย์เหม่ยยังไม่เลิกหาสั่งให้นับกระดูกและเรียงให้ถูกต้อง กระดูกมี 280 ท่อนครับอาจารย์ คำคะนิงบอกเมื่อนับเสร็จ อาจารย์เหม่ยอธิบายอีกว่าคนที่จะบรรลุธรรมด้วยเพียรบำเพ็ญ ต้องมีกระดูกครบ 300 ท่อน กระดูกคือพระวินัย เนื้อหนังมังสาคือพระวินอก ส่วนระเบียบคือ หู ตา จมูก ปาก มือ เท้า ที่อาจารย์เหม่นสอนคำคะนิงเช่นนี้เพื่อให้จิตเป็นสมาธิด้วยการเพ่งศพคนตาย ทำให้มีจิตใจที่กล้าหาญสามารถสร้างพลังจิตได้ สามารถทำสมาธิภาวนาด้วยการเจริญอานาปาณสติเป็นมาตรฐาน

    เรียนวิชากับอาจารย์เหม่ยหลายสิ่งหลายอย่าง อาจารย์ก็ไล่ให้ไปสืบเสาะหาวิชาความรู้เอาเอง คำคะนิงจึงยึดเอาโยคีเป็นรูปแบบภายนอก และถือศีลภาวนาอย่างพระภิกษุตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้คำคะนิงจึงมีสภาพคล้ายคนไม่เต็ม ผมยาวถึงก้นหนวดเครารุงรังเสื้อผ้ามอมแมม ชาวบ้านเห็นก็หลีกทางให้ไม่มีใครเข้าใกล้ เพราะโยคีคำคะนิงมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็มักมีเรื่องเข้าใจผิดอยู่เสมออย่างเช่นครั้งหนึ่ง...โยคีลองทรมานกายยืนตรงอยู่กลางป่าเขาใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นสมาธิไม่ทราบว่านานเท่าใดแต่มีชาวบ้านมาพบและเข้าไปตรวจสอบไม่เห็นว่าหายใจ ตัวก็แข็ง แมลงวี่แมลงวันเกาะตามตัวเต็มไปหมดหลายคนลงความเห็นว่า คงตายมาหลายวันแล้วจึงพากันกลับหมู่บ้านพาพวกพ้องมาจัดการเผาศพให้ เพราะเขามีความเชื่อกันว่าการเผาศพพวกนักบุญนั้นได้กุศลแรงถึงขั้นขึ้นสวรรค์
    <O:p</O:p
    ชาวบ้านได้นำร่างโยคีคำคะนิงนอนราบกับพื้น แล้วจัดแจงนำผ้ามาเช็ดถูกายก่อนทำการเผาเพียงครู่เดียว ร่างเย็นอยู่ก็อุ่นขึ้นชาวบ้านพากันร้องแตกตื่นขึ้นว่ายังไม่ตาย มีคนหนึ่งแนะนำให้เอาน้ำหยอดปากร่างกายที่แข็งเย็นเริ่มอุ่นขึ้นตามลำดับ ในที่สุดคำคะนิงฟื้นขึ้นมาเห็นตัวเองนอนอยู่กับพื้นมีชาวบ้านมามุงดูถึงกับงง เลยสอบถามดูชาวบ้านจึงเล่าให้ฟังคำคะนิงจึงบ่นเสียดาย ชาวบ้านงงจึงถามคำคะนิงเสียดายอะไรคำคะนิงจึงเล่าให้ฟังว่า กำลังทดลองถอดจิตให้ครบ 7 วันแต่นี่ยังไม่ครบขาดอีก 2 วันเท่านั้นก็จะสำเร็จแล้ว ชาวบ้านไม่น่าจะมาช่วยเหลืออะไรเลยเท่ากับนำคำคะนิงที่ยืนอยู่มานอนตาย คือการตายจากการนิพพาน

    โยคีคำคะนิงดั้นด้นไปยังภูอีด่างซึ้งสมเด็จรุณ พระอริยเจ้าแห่งราชอาณาจักรลาวจำพรรษาอยู่ พร้อมทั้งแจ้ง จุดประสงค์ของตนให้ท่านรับรู้ สมเด็จรุณท่านก็ปราณีมอบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้โยคีคำคะนิงได้ศึกษาค้นคว้า ครั้นคำคะนิงศึกษาธรรมจากพระคัมภีร์เรียบร้อยก็นำไปเก็บไว้ที่เดิมไม่ได้นำมาเป็นสมบัติส่วนตัว โยคีคำคะนิงลงจากภูเขาก็ได้พบกับชาวบ้านขอให้รักษาคนป่วยเพราะนึกว่าเป็นหมอผี ท่านปฏิเสธว่าไม่ใช่หมอผีแต่รู้เรื่องการรักษาและก็รักษาผู้ป่วยจนหายไข้ ท่านเดินทางไปเรื่อยเจอใครก็รักษาดะไปหมดใครให้ค่ารักษาก็ไม่รับ เพราะไม่รู้จะเอาไปใช้อะไรแค่ขออาศัยข้าวชาวบ้านกินไปวันๆ ท่านทำเช่นนี้มาตลอด จนผู้คนศรัทธาแล้วกระพือข่าวว่าท่านเป็นผู้วิเศษ

    โยคีคำคะนิงเดินทางมาถึงตอนใต้ของนครจำปาศักดิ์ ชื่อเสียงของท่านกระจายไปสู่หมู่ผองชนอย่างกว้างขวาง แต่ท่านหาได้สนใจมีอยู่ 2 สิ่งที่ท่านยึดปฏิบัติ คือรักษาศีลภาวนาและรักษาคนป่วยเท่านั้นอย่างอื่นท่านไม่สนใจ โดยเฉพาะลาภสักการะท่านไม่ยอมแตะต้องแม้แต่น้อย เรื่องของโยคีตนนี้ทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา เจ้ามหาชีวิตของประเทศลาวทรงถึงกับสนพระทัย วันหนึ่งพระองค์เสด็จพร้อมพระญาติฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ ไปยังปากเซแขวงเมืองจำปาศักดิ์ อันเป็นที่ตั้งของภูอีด่างโปรดให้โยคีชีปะขาวเข้าเฝ้าท่ามกลางพระญาติและเสนาอำมาตย์
    พระองค์ตรัสถามว่า ท่านเก่ง มีอิทธิฤทธิ์มากหรือไร
    คำคะนิงตอบสั้นๆ ไม่
    ตรัสถามอีก ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนจึงลือไปทั่วประเทศ
    คำคะนิงถามกลับ ใครพูด
    พระองค์ทรงบอก ประชาชนทั้งประเทศ"
    คำคะนิง นั่นคนอื่นพูด อาตมาไม่ได้พูด
    พระเจ้าศรีสว่างวัฒนาทรงแย้มพระสรวลในการตอบแบบตรงๆ ของโยคี จึงตรัสถามอีก ขอปลงผมท่านที่ยาวถึงเอวออกได้ไหม
    คำคะนิงอึ้งไปชั่วครู่จึงได้กราบทูลไปว่า ถ้าปลงผมและหนวดเครา ก็ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    เจ้ามหาชีวิตยื่นข้อเสนอ ยินดีจะจัดพิธีอุปสมบทให้ท่านเป็นราชพิธี
    <O:p</O:p
    คำคะนิงตรองอยู่อึดใจแล้วกล่าวเจริญพรเป็นการยินยอม ประชาชนลาวต่างยินดีและแซ่ซ้องสรรเสริญที่โยคีจะบวช พิธีการกำหนดพระราชพิธีอุปสมบทจัดขึ้นที่วัดหอเมืองเก่าแขวงจำปาศักดิ์ มีประชาชนมาร่วมงานอย่างมืดฟ้ามัวดินเมื่อถึงเวลาปลงผมจริงๆ มีประชาชนแน่นขนัดคอยยื้อแย่งผมโยคี เมื่อบวชเสร็จได้รับฉายาว่า สนจิตโตภิกขุ หรือพระคำคะนิง สนจิตโต บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมเยี่ยงพระป่าที่ภูเขาอีด่าง แต่มีชาวบ้านพากันไปกราบนมัสการอยู่บ่อยๆ จนไม่มีเวลาปฏิบัติสมาธิพระคำคะนิงจึงตัดสินใจออกธุดงค์โดยไม่บอกใคร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2008
  2. steel

    steel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2005
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +164
    พระพุทธรูปทองคำใต้น้ำ

    หลวงปู่คำคะนิงยังคงธุดงค์อยู่ในเขตราชอาณาจักรลาว ด้วยพอใจในความสงบวิเวกเหมาะที่จะบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะในลาวอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร หมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างกันไม่พลุกพล่านเป็นชุมชนใหม่ๆ เช่น ฝั่งไทย หลวงปู่ธุดงค์มาถึงเมืองบูรพาก็ได้ยินชาวบ้านโจษขานกันว่า ที่แม่น้ำสายหนึ่งที่เป็นแม่น้ำกว้างและลึกมากตรงบริเวณน้ำลึกที่สุดนั้น มีพระพุทธรูปองค์มหึมาจมอยู่ก้นแม่น้ำวันดีคืนดีจะมีแสงสว่างพวยพุ่งขึ้นจากแม่น้ำ แสงนั้นเจิดจรัสเป็นฉับพรรณรังสีสว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ หลวงปู่คำคะนิงรับฟังเช่นนั้นก็เกิดความสงสัยเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จึงตกลงจะไปพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองหลวงปู่คำคะนิงได้เดินทางมาถึงใกล้บริเวณแม่น้ำ ซึ่งเชื่อว่าตรงกลางแม่น้ำแห่งนี้มีพระพุทธรูปทองคำจมอยู่ หลวงปู่จึงตกลงใจจำพรรษาที่นี่เพื่อต้องการดำน้ำลงไปดูพระพุทธรูปทองคำให้ได้

    ในพรรษาแรก...หลวงปู่ได้เตรียมตัวรักษาสุขภาพจนแข็งแรงพอสมควร เมื่อเห็นว่าพร้อมแล้วท่านก็ทำพิธีตั้งจิตอธิฐานอาราธนาบารมีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เทพยดา พญานาค พญาครุฑ พระแม่ธรณี พระแม่คงคาขอได้โปรดรักษาให้พ้นภัยทั้งหลาย เพราะเจตนาที่จะดำลงไปดูพระพุทธรูปทองคำครั้งนี้ไม่ได้เจตนาโลภ หลง หรืออยากได้มาเป็นสมบัติของตนเองแม้แต่น้อย หากแต่ต้องการลงไปดูพระพุทธรูปทองคำด้วยตาตัวเองเท่านั้นครั้นอธิฐานจิตจบสิ้นแล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้นำเหล็กแหลมสั้นๆ ติดตัวไปด้วย คิดว่าถ้าจำเป็นต้องขุดต้องแงะจะได้ใช้เหล็กแหลมนี้ทำประโยชน์ เมื่อหลวงปู่คำคะนิงดำลงไปปรากฏว่าน้ำลึกมากรู้สึกปวดแก้วหูจนทนไม่ไหวจึงต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ และยังต้องรักษาตัวนานนับเดือนอาการเจ็บปวดหูถึงได้หายไป กระนั้นหลวงปู่ก็ไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจ
    </O:p
    เข้าพรรษาที่สอง...หลวงปู่คำคะนองเห็นว่าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีแล้ว ท่านจงดำลงไปอีกแต่ยังไม่ทันถึงก้นแม่น้ำ ก็ต้องกลับขึ้นมาอีกเพราะเจ็บปวดแก้วหูจนทนไม่ไหวและต้องรักษาตัวเป็นเดือนเหมือนครั้งแรก แต่หลวงปู่ไม่ท้อแท้คิดมามะพยายามจะดำลงไปอีก
    </O:p
    เข้าพรรษาที่สาม...หลวงปู่คำคะนิงก็ดำลงไปอีกแต่ก็ไม่สำเร็จเช่นเดิม เนื่องจากแรงกดดันของน้ำทำให้ท่านเจ็บปวดแก้วหูสุดทน หากเป็นคนอื่นคงเลิกรายอมแพ้ไปแล้วแต่สำหรับหลวงปู่ไม่ยอมสิ้นมานะ

    เข้าพรรษาที่สี่...หลวงปู่คำคะนิงทำพิธีตั้งจิตอธิฐานขอบารมีคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย ให้คุ้มครองเช่นทุกครั้งแล้วท่านก็ดำดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำด้วยพลังจิตที่หาญกล้า คราวนี้อาการปวดแก้วหูไม่ปรากฏท่านจึงดำลงไปเรื่อยๆ ยังไม่ถึงก้นแม่น้ำเท้าก็เหยียบกับสิ่งหนึ่ง เมื่อพิจารณาดูแล้วปรากฏว่าท่านกำลังยืนอยู่บนพระอังสะของพระพุทธรูปองค์ใหญ่โดยไม่รู้ตัว หลวงปู่คำคะนิงประมาณว่าพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ ต้องมีความสูงไม่ต่ำกว่า 20-30 เมตรแน่ส่วนความใหญ่โตของพระพุทธรูปนี้มหึมายากจะประมาณ หลวงปู่อยู่ใต้น้ำก็จริงแต่มองรอบด้านได้ชัดเจนพอสมควร ทั้งนี้เพราะบริเวณรายรอบพระพุทธรูปทองคำมีแสงทองคำส่องสว่างเป็นปริมณฑล เวลาพื้นน้ำกระเพื่อมไหวและรัศมีทองคำส่องกระทบมองคล้ายฟ้าแลบแปลบปลาบตลอดเวลา

    ด้านหลังพระพุทธรูปทองคำต่ำลงไปที่ก้นแม่น้ำมีปากอุโมงค์ใหญ่ปรากฏอยู่ ตรงปากอุโมงค์นั้นมีปลาขนาดใหญ่มหึมาหลายตัวว่ายวนเวียนอยู่ ประหนึ่งคอยพิทักษ์รักษาปากอุโมงค์ไว้ปลาที่หลวงปู่คำคะนิงเห็นอยู่นั้น ใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าปลายักษ์ปากที่อ้ากว้างสามารถฮุบคนได้ทั้งคนในลักษณะขวางได้สบายๆ จากรัศมีแสงทองคำที่ส่องไปถึงในอุโมงค์กว้างใหญ่ ทำให้มองเห็นสิ่งอัศจรรย์ซึ่งหลวงปู่คำคะนิงไม่คาดคิดว่าจะเจอนั้นคือมีคนอยู่ในอุโมงค์ ลำตัวท่อนบนเหมือนคนทั่วไปแต่ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมาเป็นปลา หลวงปู่แปลกใจและสงสัยว่าใต้น้ำเช่นนี้มีคนอาศัยอยู่ได้เช่นไร ท่านจึงตันสินใจว่ายไปยังปากอุโมงค์เพื่อขอดูให้ถนัดตาว่าคนครึ่งปลาที่เรียกกันว่าเงือกนั้นเป็นอย่างไร เพราะที่เห็นแรกๆนั้นนางเงือกหันด้านข้างให้

    เมื่อเข้าใกล้ปากอุโมงค์พวกปลายักษ์ได้แสดงอาการไม่ยินยอมให้หลวงปู่คำคะนิงเข้าไปในถ้ำ โดยพวกมันว่ายรี่เข้ามาปิดกั้นปากอุโมงค์ไว้ ในฉับพลันทันทีก็เกิดปรากฏการณ์อันไม่คาดคิด นั้นคือแสงสว่างจากทองคำด้านบนหายไปดื้อๆ หลวงปู่แหงนหน้าขึ้นไปดูก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งตัวใหญ่มหึมาคล้ายกับปลากระเบนหรือนกยักษ์กำลังรอยอยู่เหนือศีรษะท่าน ความมืดใต้น้ำที่ท่านเผชิญอยู่นี้เป็นเพราะลำตัวสัตว์ประหลาดกางกั้นแสงเอาไว้ และสัตว์ตัวนั้นได้ทิ้งดิ่งลงมาทับร่างหลวงปู่คำคะนิงอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นหลวงปู่คำคะนิงอยู่ก้นแม่น้ำท่านพยายามจะคลานหนี แต่สัตว์ประหลาดกลับกดน้ำหนักตัวทับลงมาประหนึ่งจะให้ร่างท่านบี้แบนอยู่ตรงนั้น
    <O:p</O:p
    หลวงปู่คำคะนิงไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่เอามือยันเอาไว้ กระทั้งควานมือไปถูกส่วนหนึ่งของลำตัวมันมีลักษณะเต้นตุบๆ คล้ายกับหัวใจเต้น พร้อมกันนั้นท่านก็รู้ว่าสัตว์ประหลาดเป็นนกยักษ์แน่ๆ เนื่องจากตัวของมันห่อหุ้มด้วนขนลักษณะขนนก ขณะที่ท่านกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความตายทำให้ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด หลวงปู่จึงใช้เหล็กแหลมสั้นที่ถือติดมือมาแทงสวนขึ้นไปโดยไม่มีเจตนาฆ่ามัน กะว่าให้เจ็บจะได้ถอยห่างออกไปทันใดนกยักษ์ก็ทะยานพรวดขึ้นไปคล้ายกระพือปีก ทำให้เกิดแรงดึงดูดร่างของหลวงปู่ตามขึ้นไปด้วยก่อนที่หลวงปู่จะขึ้นสู่ผิวน้ำ มีชาวบ้านกำลังพายเรือหาปลาอยู่ใกล้ชายฝั่งชาวบ้านพวกนั้นต่างตกใจสุดขีด เมื่ออยู่ๆ เกิดเสียงตูมสนั่นหวั่นไหวขึ้นกลางแม่น้ำประหนึ่งมีระเบิดตกลงมา แล้วปรากฏคลื่นใหญ่กระจายม้วนเข้ากระแทกฝั่งทั้ง 2 ด้าน และที่กลางแม่น้ำชาวบ้านเห็นหลวงปู่คำคะนิงลอยคออยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น พวกนั้นจึงรีบพายเรือไปช่วยหลวงปู่คำคะนิงขึ้นมาบนเรือแล้วกลับเข้าฝั่ง ชาวบ้านถามว่าเหตุใดท่านถึงมาโผล่ที่กลางแม่น้ำ หลวงปู่คำคะนิงได้แต่ตอบเลี่ยงๆ ไปไม่ตอบตามความจริง และท่านก็ถามชาวบ้านว่าเห็นอะไรผุดขึ้นจากแม่น้ำบ้างไหม ชาวบ้านก็บอกไม่เห็นอะไรนอกจากเสียงดังคล้ายระเบิดตกแล้วก็เกิดคลื่นใหญ่ซัดกระแทกเข้าหาฝั่ง
    <O:p</O:p
    เมื่อหลวงปู่คำคะนิงกลับมาถึงกลด เปลี่ยนผ้า อาบน้ำแล้วมาห่มครองจีวรจนเรียบร้อย ท่านก็เข้าเจริญสมาธิเพื่อดูว่านกยักษ์นั้นเป็นอะไรเหตุใดจึงลงไปน้ำลึกเช่นนั้น ต่อมาท่านได้ทราบว่าเป็นพญาครุฑหรือพระอุปคุตจำแลงแปลงร่างลงไปช่วยท่าน น่าเชื่อว่าอันตรายกำลังจะบังเกิดแก่หลวงปู่หากหลวงปู่จะดึงดันเข้าไปในอุโมงค์ นางเงือกและปลายักษ์เหล่านั้นคงไม่ไว้ชีวิตท่านแน่ เหตุนี้หลวงปู่คำคะนิงจึงนับถือพระอุปคุตอย่างที่สุด เมื่อถึงคราวขับขันหรือเจอเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ จะต้องอาราธนาอธิฐานขอให้ท่านช่วยทุกครั้ง สำหรับการลงไปดูพระพุทธรูปทองคำก้นแม่น้ำ ไปพบปลายักษ์และนางเงือกอยู่ในอุโมงค์ใหญ่ กระทั่งพระอุปคุตหรือพญาครุฑช่วยชีวิตเอาไว้ หลวงปู่คำคะนิงสรุปถึงความอัศจรรย์อีกข้อหนึ่งในตอนท้ายว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2008
  3. steel

    steel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2005
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +164
    ถ้ำมืด-ถ้ำพญานาค

    หลวงปู่คำคะนิงเคยรับฟังเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2008
  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,156
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,352
    เรื่องนี้เคยอ่านแล้ว ตื่นเต้น มากครับ

    ขออนุโมทนาครับ
     
  5. เสรีชน

    เสรีชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +727
    เคยอ่านมาแล้วเช่นกันค่ะ ขออนุโมทนาบุญที่นำเรื่องมาลงให้ได้อ่านกันนะค่ะ
    ความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้ฝักไฝ่ในธรรมทุกเมื่อเทอญ..สาธุ
     
  6. dark-green

    dark-green เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +310
    Sa - tu - ka _/l\_
     
  7. bouy_tinanya

    bouy_tinanya Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +25
    สายทางน้ำ...ไหลเข้าสู่มหาสมุทร
    สายทางการปฏิบัติ... ไหลเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน
     
  8. 100ลีลา

    100ลีลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +1,855
    llสนุกมากเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. วังพญา

    วังพญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +373
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ไม่เคยอ่านมาก่อนเลย ตื่นเต้นดี และก็เหลือเชื่อมากๆ โลกนี้มีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากมายจริงๆ คนธรรมดา ศีลน้อยๆ อย่างเราๆ คงไม่มีโอกาสได้ชมเป็นแน่

    ที่สำคัญ ได้เรียนรู้ว่า คนโลภ นั้น ไม่สามารถเข้าถึงอะไรได้เลยจริงๆ เราจะต้องพยายามกำจัดเจ้าตัวกิเลส ความอยากได้ อยากมี ในตัวเราให้มากขึ้น(i)
     
  10. wutti

    wutti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +150
    อนุโมทนา สาธุครับ พึ่งรู้ว่าโลกของเราลึกลับซับซ้อนมากมาย อ่านไปก็รู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่รับรู้เรื่องราวต่างๆเหล่านี้
     
  11. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ผมชอบเมืองนี้ที่สุดในโลก

    <TABLE id=table59 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#cfc3bd border=0><TBODY><TR><TD style="FONT-SIZE: 9pt; PADDING-BOTTOM: 5px; COLOR: #443231; PADDING-TOP: 5px" vAlign=top bgColor=#ffffff colSpan=4 rowSpan=3><TABLE id=table119 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px" width="100%" background=images/bg_wat.gif border=1><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="84%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="7%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="78%">พบเมืองมหัศจรรย์</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="7%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="78%"> เณรคำกับหลวงปู่ได้เดินธุดงค์มาถึงภูเขาช้างแฮ เขตเมืองพระลานที่บริเวณตรงนี้แปลกอยู่ที่ว่า มีบ้านเมืองรกร้างตั้งอยู่ประมาณ 50 หลังคาเรือน และบ้านเรือนเหล่านี้เป็นหินไปหมดอยู่เชิงเขาหิน และมีทางเดินขึ้นไปบนหินมีประตูหินปิดอยู่ เณรคำจึงเอามือตบประตูหินนั้น 3 ครั้ง ทันใด ประตูหินที่ปิดก็เปิดออก เณรคำกับหลวงปู่ก็เดินเข้าไปในห้องอีก ภายในห้องมีหีบเป็นหินขนาดใหญ่ 4-5 หีบ เณรคำจึงเรียกหลวงปู่เข้ามาดู แล้วต่อไปเณรคำจึงเอามือตบฝาหีบหินใบใหญ่ใบหนึ่ง 3 ที ฝาหีบหินใบใหญ่นั้นก็เปิดออก ภายในหีบนั้นมีแต่แก้วแหวนเงินทอง ภาชนะของใช้เป็นทองคำหมด หลังจากนั้นเณรคำจึงได้บอกหลวงปู่ค้างแรมอยู่ในห้องนั้น 3 วัน 3 คืน

    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="84%" colSpan=2> พอรุ่งเช้าวันที่ 4 เณรคำและหลวงปู่ก็เห็นหญิงสาวแต่งตัวเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์ออกมาปรากฏตัวให้เห็น แล้วบอกให้เณรคำกับหลวงปู่รีบหนีออกไปจากที่นี่ อยากจะได้แก้วแหวนเงินทองอะไรก็เอาไป พูดจบนางฟ้าองค์นั้นก็หายเข้าไปในประตูหินอีกด้านหนึ่ง</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="7%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="78%"> เณรคำกับหลวงปู่เดินตามไป เณรคำได้เอามือตบประตูหินนั้น 3 ที ประตูหินนั้นจึงเปิดออก เณรคำกับหลวงปู่เดินผ่านประตูหินและใช้มือตบทำอย่างนี้จนกระทั่งผ่านเข้าไปถึง 7 ชั้น พบนางฟ้ากำลังทอผ้าอยู่ (ผ้าทองคำ) เณรคำจึงเดินเข้าไปถามพร้อมหลวงปู่ว่า ทอผ้าให้ใคร และนางฟ้าชื่ออะไร นางฟ้าองค์นั้นตอบว่าชื่อนางสีดาที่กำลังทอผ้าอยู่นี้จะเอาไว้ ให้พระศรีอาริยเมตไตรย จะลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์ อีกไม่นานนี้ นางสีดาพูดจบก็บอกให้เณรคำและหลวงปู่รีบออกจากที่นี่ เพราะนางสีดากลังจะมีอันตราย
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="85%" colSpan=2>ผลสุดท้ายเณรคำและหลวงปู่จึงออกจากที่นั่น มาพักอยู่ใต้ถุนเรือน (บ้านหิน 50 หลัง) ข้างนอก

    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="84%" colSpan=2> พอพักไปได้สักระยะหนึ่ง เณรคำและหลวงปู่เห็นพวกยักษ์เดินก้าวมาเป็นกลุ่ม (ลักษณะยักษ์นี้ใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดามาก) เดินผ่านมาตรงเณรคำกับหลวงปู่พักอยู่ได้ยินพวกยักษ์พูดกันว่ากำลังเดินหาพวกมนุษย์ที่เข้ามาในบริเวณนี้ เมื่อยักษ์เดินผ่านไป เณรคำกับหลวงปู่จึงได้พากันเดินลงจากเขานั้นมา ระหว่างเดินลงเขาพบแต่กองกระดูกเรียงรายสองข้างทางไปหมด เณรคำก็พาหลวงปู่ลงมาถึงเชิงเขา พบพระกรรมฐานองค์หนึ่งปักกลดอยู่

    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="7%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="78%"> เณรคำบอกกับพระกรรมฐานองค์นั้นว่า ขอฝากโยมผ้าขาวคนนี้ด้วย พอพูดจบเณรคำก็หายตัวไปอย่างอัศจรรย์</TD></TR><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="14%"> </TD><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none" width="85%" colSpan=2>[​IMG][​IMG][​IMG] [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top background=images/n.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=28 background=images/l.gif>[​IMG]</TD><TD width=36 background=images/n.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=28 background=images/l.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom width=36 background=images/n.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top background=images/r.gif colSpan=2>[​IMG]</TD><TD background=images/r.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=right background=images/r.gif colSpan=3>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=28 bgColor=#8b7f7a>[​IMG]</TD><TD width=71 bgColor=#8b7f7a>[​IMG]</TD><TD width=719 bgColor=#8b7f7a>[​IMG]</TD><TD width=64 bgColor=#8b7f7a>[​IMG]</TD><TD bgColor=#8b7f7a colSpan=2>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE id=table61 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#eeeeee height=4>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE id=table62 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 border=1><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none"><TABLE id=table64 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#8b7f7a height=4>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE id=table65 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top background=images/i.gif colSpan=2>[​IMG]</TD><TD width=719 background=images/i.gif height=29> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    โมทนา สาธุ กับหลวงปู่ และ คุณ Steel ที่นำเรื่องมาให้อ่านกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...