ขอสอบถามหน่อยค่ะ..เรื่องเวลาหลับตานอนแต่มีอาการเหมือนเปลือกตาเปิดอยู่คือมันสว่างไสวคล้ายลืมตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oil-Nudchanat, 2 กรกฎาคม 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    อัตตาๆ นำมาพูดกันบ่อยๆ หมายถึงอะไร อัตตาๆๆ ที่ว่านั่น :cool:
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    คำว่าอาจารย์ คำว่าคุณ โดยนัยยะ เป็นคำเรียกที่
    เขียนเพื่อให้เกียรติบุคคลอื่นๆ ในเรื่องของการถ่ายทอด
    ไม่ใช่นัยยะที่บุคคลนั้นๆ มาสอนเคยมาสอนเรา
    เหมือนในโรงเรียนฝ่ายเดียวครับ.
    ไม่ว่าคนที่เคยว่าเรา. เคยแนะนำเรา หรือแม้กระทั่งมาร
    จะเปรต สัตว์นรกเดรัจฉาน. เทวดา เทพพรหม กะทั่งผู้สูงสุด
    เพราะถ้าไม่มีชั่ว เราก็ไม่รู้ว่ามีดี. เพราะฉนั้นมันจึงนัยยะซ่อนเร้น
    สัมพันธ์กันอยู่ ไม่งั้นเราก็จะไม่รู้นรกไม่รู้สววรค์ และทั้งสองฝ่าย
    ก็เป็นอาจารย์เราได้หมดครับเพียงแต่เราจะเห็นได้ในมุมไหน
    และเลือกในมุมไหนที่มันเป็นประโยชน์กับเรา. เราเป็นมนุษย์
    ไม่ใช่พวกชาวอุตกุรุทวีปถึงจะได้มีแต่ผู้ใฝ่ดีอย่างเดียวครับ
    นี่ประเด็นแรก.

    ประเด็นที่ ๒ ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เคยมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมาก่อน
    แล้วมันไม่ใช่ส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณได้คิดได้หันมาปฏิบัติธรรม.
    ชีวิตคุณตั้งแต่เด็กคงโรยด้วยกลีบกุหลาบ
    คุณคงผ่านชีวิตวัยรุ่นมาด้วยความสวยงาม
    ทำงานคงไม่เคยเจออุปสรรคใดๆไม่ว่ากับคนใกล้ตัว
    หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานอยู่ดีๆพอผ่านชีวิตวัยรุ่นอันแสนดี
    แล้วพอมาสวดมนต์หูดันได้ยินเสียงนามธรรมก็เลยยิ่งสนใจ
    ปฎิบัติธรรม. ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่ามาคุณคงเป็นบุคคลที่ดีโชคดีมาก
    ที่สุดคนหนึ่งในโลกใบนี้ครับ

    ประเด็นต่อมาแม้ว่าเราสนใจปฏิบัติธรรม แต่ทำไมมันถึงได้แป๊ก
    เป็นเวลาหลายๆปีหละครับ ตรงนี้เราจะอ้างอะไรก็ได้แต่คิดดีๆ
    ว่ามันใช่ว่าเพราะสติทางธรรมเรามันหายมันขาดไหม หรือเพราะอะไรครับ
    หรือวันดีคืนพอมีสัมผัสที่ยังไม่เข้าใจได้ด้วยตัวเอง
    ถึงอยากกลับมาถามเพื่อคลายความสงสัย
    จะได้ปฏิบัติต่อไปอีกหรือครับ.
    คุณสังเกตุดีๆ ส่วนตัวได้ย้ำได้แนะนำได้เตือนอะไรไปบ้าง
    แล้วก่อนหน้า. แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังแปลเจตนาผมผิด
    ผมถึงบอกว่าคุณยังไม่ทันไม่เห็นความคิดพวกนี้ไงครับ
    บรรทัดสุดท้ายถึงบอกว่าให้อ่านข้อ
    ความก่อนหน้าและข้อความล่าสุดให้ดีๆไงครับ.


    อะไรก็ตามที่มีการตัดสินไปแล้ว ไม่ว่าใช่ หรือไม่ใช่
    มีการชี้ชัดไม่ว่าดีหรือไม่ดี มีการแบ่งฝ่ายแบ่งข้าง
    นั้นคือได้มีการเลือกข้างไปแล้วครับ
    เลือกในที่นี้ก็คือเลือกตามมารหรือกระแสข้างๆตัวจิต
    เลือกตามความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์๕นามธรรม
    ที่ผมบอกว่ากำลังสติคุณยังไม่มากพอที่จะเห็นมันยังไงครับ


    อืมส่วนที่ใช้คำพูดแรงๆ กับคุณส่วนตัวต้องขอ
    อโหสิมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

    ปล.ยังไงถ้าว่างๆค่อยๆอ่านที่ได้เคยแนะนำไปอีกรอบนะครับ
    จะเริ่มเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น ค่อยๆอ่านโดยความรวมของเนื้อหาแล้ว
    ก็จะเหมือนๆกับที่ผมแนะนำคนอื่นๆนั้นหละครับ. ข้อนี้คุณคง
    จะเคยสัมผัสมาแล้วจากลักษณะการแนะนำในอดีตหลายปีก่อน
    ทั่วไปถือว่าไม่มีอะไรครับ เพราะที่คุณเขียนมานั้น มันไม่ใช่คุณ
    แต่มันเป็นกะแสคลื่น กระแสความคิดที่เกิดจากจิต
    ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ส่วนนามธรรม
    กระแสอื่นๆที่มันอยู่ข้างๆตัวจิตที่มันจะคอยแหย่ความคิด
    เพื่อที่จะขวาง
    เรื่องการพัฒนาการปฏิบัติของเรา. ถึงมีชื่อสมมุติว่ามารไงครับ
    วันหนึ่งถ้าเราเห็นมันได้ และก็เอาชนะมันให้ได้ครับ.
    อย่าไปเล่นด้วยกับมัน เพราะเหมือนเราไปให้อาหารมัน
    มันก็จะแข็งแรงและเติบโตมีกำลังมากจนเราจะต้านทานไม่ไหวได้
    แล้วจะเข้าใจอะไรๆได้ดียิ่งขึ้นด้วยตัวเราเองครับ (^_^)
    ประมานนี้ โดยภาพรวมถือว่าไม่มีอะไรครับ
     
  3. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจไปค่ะคุณ จขกท ... สมัยก่อนดิฉันเองก็ไม่ทันสังขารปรุงแต่ง ไม่ทราบด้วยว่าอะไรคือใจเป็นกลางและอะไรคือการเลือกข้าง และอะไรคือความคิดที่มีมาจากจิต อะไรคืออีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่เราแต่มาแหย่ให้เราไปปรุงร่วมแล้วสรุปผลออกมาว่าใช่ จนสุดท้ายกลายเป็นว่าเราไปเสียแล้ว

    ส่วนตัวแล้วเมื่อก่อนไม่ชอบผู้ชายปากจัดปากไวปากห-าเช่นกันค่ะ ทั้งๆที่ดิฉันก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
    ก็เมื่อก่อนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรายึดอะไรแล้วมาตัดสินว่าใครปากห-านั่นเอง
    แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ชอบอยู่ดีค่ะ ส่วนคำพูดรื่นหูมันจะทำให้จิตเราเข้าใกล้หรือยอมฟังได้มากกว่า

    ตอนที่เข้ามาห้องนี้นั้นใหม่ๆความคิดเห็นในหลายๆๆๆกระทู้นั้นดิฉันข้ามไปเลยไม่อ่าน อ่านไม่ได้ อ่านแค่คำสองคำเจอคำไม่รื่นหูดูไม่รื่นตาก็เลยไม่อ่านต่อ

    เรื่องพวกนี้จะให้เราทันจริงๆ มันต้องฝึกให้มีสติทางธรรมให้ได้ก่อนจริงๆค่ะ มันเหมือนเราก้าวข้่ามขั้นบันไดอ่ะค่ะ เหมือนกับเราเรียนเลขบวกอยู่แล้วไปอ่านเจอคำถามข้อสอบที่ใช้สูตรคูณเข้า นอกจากจะให้คำตอบไม่ได้แล้วเรายังจะวีนข้อสอบนั้นๆอีก (ประมาณนี้ค่ะ)

    ดิฉันเห็นด้วยที่คุณว่าคุณนพใช้คำแรงไป ส่วนตัวถ้าสมัยก่อนโน้นก็รับไม่ได้เช่นกันค่ะ อันนี้ฝากคุณนพฯด้วย เป็นเหตุให้ดิฉันเข้าใจ จขกท ดี

    แต่ๆๆๆๆ ... คุณ จขกท คะ ดิฉันยังยืนยันในความหมายที่คุณนพต้องการจะสื่อนะคะ อยากให้คุณลองอ่านอีกรอบนะคะ หรือเดี๋ยวรอให้ไม่อะไรกับอะไร หรือให้ใจมันเป็นศูนย์ไม่บวกไม่ลบก่อนแล้วเข้ามาทำความเข้าใจอีกที ดิฉันว่าคุณอาจจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้นค่ะ

    ไม่มีใครหลอกด่าใครในนี้ค่ะ แต่ขอให้ท่านๆทั้งหลายที่ต้องการจะสื่อหรืออธิบายลองเบาๆเกีร์ยลงอีกนิด ตามภูมิธรรมและสติปัญญาที่จะสามารถตามทันกันค่ะ

    :cool::cool::cool:




     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ที่เตือนๆท้ายสุดตรงนี้ ส่วนตัวต้องขอขอบคุณครับ...
    อย่างว่าหละครับ เรามันไม่ใช่พระอรหันต์นะครับ..
    และผมก็ไม่ได้บรรลุปฏิสัมภิทาญานทางด้านที่จะมีความสามารถ
    ย่นย่อธรรมต่างๆเขียนออกมาให้มันดูแล้วง่ายๆด้วยนะครับ
    เพราะส่วนตัวตำรา ๑ เปอร์เซนต์ที่เหลือ ๙๙ มาจากการปฏิบัติ
    ที่ได้รับจากทั้งครูบาร์อาจารย์ทางโลกและทางภพภููมิ..
    เพราะฉน้้นก็ช่วยพยายามอ่านบ้าง และส่วนตัว
    ก็พยายามจะสื่อจะเขียนให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะสามารถเขียนได้แล้วนะครับ
    ถ้าผมเขียนแล้วคุณไม่เข้าใจ ก็ถือว่าเป็นความผิดของผมเองตรงนี้นะครับ
    เพราะเราก็ปถุชนคนธรรมดาๆเหมือนๆกัน..
    คุณเห็นที่ผมขีดเส้นใต้เอาไว้นะครับ..
    จะพยายามอธิบายให้ฟังนะครับ.แต่ผมไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจได้หรือเปล่านะครับ.
    แต่ก็จะเขียนให้ครบเท่าๆที่มีประสบการณ์นะครับ

    ที่คุณ บอกว่า ความคิดความเห็น มันแสดงโดยไม่มีตัวตนได้หรือครับ
    ตอบว่าได้ครับ..คือความคิดความเห็น ที่ไม่มีเราเข้าไปแทรกนั่นหละครับ
    ไม่มีเราไปตัดสิน ไปวิเคาระห์ ไปตีความ ไปใช้ความเห็นของเรา
    เพราะเราไม่ได้ไปตั้งท่า ไปเจตนาว่าจะต้องให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้และ
    ไปใช้ความพยายามในความเข้าใจนั่นหละครับ
    เป็นความคิดหรือความรู้ที่ผุดขึ้นมาจากตัวจิตของเราแบบอัตโนมัติครับ
    บางคนเรียกปิ๊งแว๊บ ไอ้ปิ๊งแว๊บแค่เสียววินาที คุณคงต้องเขียนเป็นหน้ากระดาษ
    เลยครับ..และความคิดอีกอย่างเป็นความคิด ที่ไม่มีตัวตนเราได้เช่นกัน
    คือ การถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆจากครูบาร์อาจารย์ข้างบน ลงมาที่จิตเรา
    และจิตเราก็ผุดความรู้ขึ้นมาต่างๆ ในลักษณะต่อเนื่อง ประเด็นนี้จบเท่านี้ก่อน

    ประเด็นต่อมา อ่านให้ดีๆก่อนนะครับ จะพยายามพูดให้เข้าใจง่ายๆ
    เท่าที่ผมจะพูดได้นะครับ จะอธิบายลักษณะความคิดทั้ง ๔ แบบให้ฟังนะครับ
    '' ความคิดมันคือสังขารปรุงแต่ง เป็นกระบวนการต่อจากเวทนา'' ตรงนี้ข้อ
    ความคุณนะครับ ถ้าจะบอกว่า ตรงนี้เป็นขั้นปลายๆแล้ว ไม่ทันตั้งแต่ต้น
    ยังไงๆรบกวนอ่านก่อนนะครับ....ความคิด เป็นนามธรรม ตรงนี้เข้าใจตรงกันนะครับ
    ๑.ทีนี้มันจะมีความคิด รูปแบบปกติทั่วๆไป ที่เราใช้อ่านตำรา ใช้คิดวิเคาระห์ทั่วๆไป
    หรือเราเรียกว่า ปัญญาทางสมมุติ หรือปัญญาทางโลกๆ จุดเริ่มต้นมันเกิด
    ขึ้นจาก เครื่องรับรู้ ตัวใดตัวหนึ่งที่เราเรียกตามตำรา ว่า วิญญาน ไม่่ว่าทางตา
    หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน และในลำดับต่อมามันถึง
    ผุดขึ้นมาจากตัวจิตของเราครับ นี่ครับ ลักษณะความคิดที่เกิดจากจิตครับ
    ลักษณะมันก็คือ แม้ว่าคุณจะวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยุกต์ แต่ว่า
    คุณจะคิดให้มันออกหัวก็ได้ ออกก้อยก็ได้ครับ..นี่ทั่วไปมันเป็นอย่างนี้ครับ

    ๒ อีกกรณีคือ ความคิดที่เกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดไว้ก่อน
    แล้วมันก็ขึ้นมาเฉยๆ เปลี่ยนแปลงเรื่องที่ขึ้นมาไม่ได้ ขึ้นมาไม่เลือก
    สถานที่ ไม่เลือกเวลา ที่สำคัญก็คือ เป็นความคิดที่เกิดจากอดีตครับ...
    ส่วนตัวเรียกว่า ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม (สัญญา วิญญาน
    สังขาร เวทนา) เช่น อยู่ดีๆคุณคิดถึง สนัขบางตัวที่ตายไปแล้ว..การที่เรา
    นึกถึงมันได้ทั้งที่มันตายไปแล้ว นี่คือ สัญญาครับ และที่คุณยังมีสัญญาอยู่
    ก็เพราะว่า เราเคยรับรู้ว่ามีสุนัขตัวนี้มาก่อนในอดีต จากเครื่องรับรู้ทางอายตนะ
    ของเราตัวใดตัวหนึ่งตรงนี้เรียกว่า วิญญาน ครับ..แล้วต่อจากนั้นก็คืออยู่
    กับว่าเราจะเริ่มปรุงแต่งไปทางไหน ตัวนี้เรียกว่า สังขาร ครับ และถ้าคุณปรุงแต่ง
    ไปในทางที่ดี ก็เรียกว่า สุขเวทนา ถ้าคุณปรุงแต่งไปในทางที่ไม่ดีก็เรียกว่า
    ทุกข์เวทนา นี่ครับ ระบบการทำงานมันเป็นอย่างนี้ครับ พอเข้าใจนะครับ
    ทำไมผมถึงบอกว่า มันเป็นขั้นปลายๆแล้ว เพราะว่ามันเร็วมากในการปรุ่งร่วม
    กับตัวจิตยังไงครับ.ปกติทั่วๆไปถ้าไม่ฝึกเจริญสติ พอนึกถึงจะเกิดอารมย์
    เลยครับ ประมาณนี้..ความคิดพวกนี้บางที่เราเรียกว่าวิบากกรรมครับ
    ๓ ความคิดอีกแบบหนึ่งก็คือ ความคิดที่จรเข้ามาเรื่อยๆ ที่เรียกว่า
    กระแสวิบาก
    คือความคิด ที่มาจากภายนอก
    มาปรุงร่วมกับจิตเราทำให้จิตเราเกิด ทำให้จิต
    เรานึกถึงแต่เรื่องนั้นๆ ทำให้จิตเราเศร้าหมอง
    ทำให้จิตเราไม่สงบ อย่างใดอย่างหนึ่ง นี่ก็เป็นความคิดรูปแบบหนึ่ง...
    ยิ่งเราไปใช้ความพยายามในการทำให้มันวาง
    เผลอๆก็จะทำให้เราหงุดหงิดครับ..
    ความคิดพวกนี้ประเด็นหลักๆคือ มันจะขวางการเข้าสู่
    การคลายตัวของจิตเรา ทำให้จิตเราไม่โปล่ง ไม่คลายครับ
    มันเป็นคลายๆความคิดที่ ๒ แต่ว่าแต่ละเรื่องที่มันจรมา
    มันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลของวิบากที่เราเคยสร้างไว้ในอดีตทั้งหมดครับ

    ๔ และอีกความคิดแบบหนึ่ง ที่มันมาจากภายนอกเช่นกัน เป็นกระแสที่มาคอยแหย่
    ว่าเราจะเล่นด้วยกับมันหรือไม่ ที่ส่วนตัวเรียกว่ามาร มันชอบมาแหย่เราในลักษณะ
    ที่ทำให้เราไปปรุงร่วมกับมันแล้วขวางการปฏิบัติ
    ให้เราออกนอกหลู่นอกทาง ในเชิงสร้างอัตตาให้ตนเอง
    เป็นเชิงยกตนเอง และเชิงปรามาส
    ต่างๆนาๆทุกรูปแบบครับ และเป้าหมายหลัก
    จะขวางการพัฒนาของเราทุกๆรูปแบบของเรา ยิ่งเห็นเรากำหลังไปได้ดี
    มันก็จะมาแหย่ทำให้เราเกิด อารมย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ไม่ว่า รัก โลภ โกรธ หลง.
    ถ้าเข้าใจระบบภาคทิพย์จะรู้จักความคิดลักษณะนี้ได้ดี.ครับ...


    คุณลองตอบตัวเองดูก็ได้ครับ ว่าคุณเข้าใจ
    หรือเห็นความคิดลักษณะต่างๆทั้ง ๔ แบบนี้ได้หรือยังครับ..
    พวกนี้ต้องใช้การฝึกเจริญสติ หรือฝึกสมาธิ จนกระทั่งตัวจิต
    มันสามารถแยกจิต แยกความคิด เห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมให้ได้ก่อน
    เป็น ๓ ส่วนว่ามันเป็นคนละตัวกัน
    คุณถึงจะเริ่มเข้าใจสภาวะที่เป็นกลางได้ครับจริงๆครับ คุณถึงจะทันมันครับ
    เพราะตอนนั้น คุณจะสัมผัสได้ว่า เวลาจิตที่มันเกิด คือมันมีความคิด ๑ แล ๒
    มันเข้ามาปรุงร่วมกับตัวจิตแล้ว...และพอเข้าใจสภาวะเป็นกลาง คุณก็จะเริ่ม
    เข้าใจและสัมผัสความคิด ที่ ๓ และ ๔ ได้ครับ
    นี่หละครับ เป็นเหตุที่ส่วนตัวพยายามบอกว่า
    ให้สร้างกำลังสติทางธรรมเอาไว้
    ให้มากๆ เพราะมันจะมีผลต่อความเข้าใจ
    ทางด้านนามธรรมต่างๆของเราในทุกๆเรื่งอนั่นยังไงครับ
    ปล. ลองค่อยๆอ่านดูก่อนนะครับ..คุณ ณฉัตร...(^_^)
     
  5. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมของทุกท่านครับ

    ช่างเฟอร์นิเจอร์หวายคนหนึ่ง ได้ทำเก้าอี้หวายจากตำราที่มีผู้ออกแแบบไว้ก่อนแล้ว ขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วนำออกแสดงโชว์เพื่อดูความสนใจของบุคคลก่อนวางขายจริง

    แต่ผลงานนั้นเป็นทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจ บางคนยังแนะนำวิธีการทำเสริมอีก เพื่อให้ผลงานออกมาดูดีกว่านี้

    ช่างเฟอร์นิเจอร์รู้สึกดีในคำชมผลงานของตัวเอง
    ช่างเฟอร์นิเจอร์รู้สึกไม่พอใจคนที่ตำหนิผลงานของตัวเอง
    ช่างเฟอร์นิเจอร์รู้สึกขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ตัวเองเห็นว่ามีประโยชน์แก่ตน (ทั้งที่ความจริงมีประโยชน์แก่ตนหรือไม่มีประโยชน์แก่ตน)
    ช่างเฟอร์นิเจอร์รู้สึกไม่พอใจในคำแนะนำที่ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์แก่ตน (ทั้งที่ความจริงมีประโยชน์แก่ตนหรือไม่มีประโยชน์แก่ตน)

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เก้าอี้หวายนี้ เขาเป็นผู้ทำขึ้นมาด้วยตัวเอง มันเป็นผลงานของตัวเอง ตัวตนของเขาจึงอยู่ในเก้าอี้หวายตัวนั้น

    จะทำอย่างไรหนอ ช่างเฟอร์นิเจอร์ผู้นี้จึงจะเห็นว่าเก้าอี้หวายตัวนี้ ไม่ใช่เขา

    ตอนที่เราอ่านข้อความถามตอบของผู้อื่น เรารู้สึกเช่นไร
    ตอนที่เราอ่านข้อความถามตอบของเรากับผู้อื่น เรารู้สึกเช่นไร ทำไมจึงต่างกันหนอ

    เปรียบจิตเสมือนดวงไฟ
    เมื่อเรากำลังเติมพลังงานให้ดวงไฟนั้น ดวงไฟนั้นก็จะมีกำลังไฟมากขึ้น แสงสว่างย่อมสาดส่องออกไปได้กว้างขึ้น มองเห็นอะไรๆ ได้มากขึ้น เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น
    แต่เมื่อเราไปสนใจในสิ่งที่แสงสาดส่องไปถึงแล้ว เท่ากับว่าตอนนั้นเราหยุดเติมพลังให้ดวงไฟนั้น แสงสว่างจึงจางลง สิ่งที่เราเห็นด้วยแสงไฟก็ค่อยๆหายไป

    เมื่อดวงไฟนั้นไม่มีพลังงาน มันดับอยู่ แต่เราจะหาสิ่งที่เราเคยเห็นจากการที่ดวงไฟส่องแสงไปเห็น เราจะเห็นได้อย่างไร ในเมื่อเรายังไม่ได้เปิดไฟ

    สิ่งต่างๆ ที่เราเห็น ที่เราสัมผัสได้ เกิดจากจิตที่มีกำลัง ถ้าเราไปสนใจในสิ่งที่เห็นในสิ่งที่สัมผัสได้ จึงเป็นการสนใจที่ผิด เพราะไปสนใจในสิ่งที่เป็นผล ไม่ได้สนใจที่เหตุ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    "ส่วนตัวตำรา ๑ เปอร์เซนต์ ที่เหลือ ๙๙ มาจากการปฏิบัติที่ได้รับจากทั้งครูบาร์อาจารย์ทางโลก และทางภพภููมิ"

    คุณนพพูดถึงอาจารย์ ซึ่งก็มีทั้งอาจารย์ทางโลก นี่พอเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงอาจารย์ในโลกมนุษย์นี้ แต่ที่ไม่เข้าใจ คือ อาจารย์ทางภพภูมิ อ. จากภพภูมิไหนครับ
     
  7. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ขอบคุณ คุณ nopphakan ครับ ที่ได้อธิบายกระบวนการคิดที่หลากหลาย เป็นประโยชน์อย่างมากแก่ทุกรูปทุกนาม ที่ผมอธิบายอย่างย่นย่อ และตั้งคำถามตรงนั้น เพราะนั้น คือ ปัญหา แค่นั้นครับ
     
  8. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    คุณ Cearati ครับ การที่บุคคลไม่ก้าวหน้าในธรรมเป็นเรื่องธรรมดา การที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเรื่องอัศจรรย์เกิดได้ยาก ไม่ต้องลงลึกกว่านี้ ก็ทราบว่า คนจะบรรลุธรรมต้องมีครูบาอาจารย์หรือผู้ชี้ทาง แม้คนๆ นั้นจะป่าวประกาศว่าตรัสรู้เองโดยชอบ แต่หากไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้นั้น ชื่อว่า สาวกภูมิทั้งสิ้น และพระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้เป็นพุทธ ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกล้วนมีผู้ชี้ทาง คือ พระพุทธเจ้าในอดีต พระอริยะเจ้าในอดีตทั้งสิ้น ดังนั้น การที่เข้ามาหาความรู้ หาอาจารย์นั้นถูกแล้วครับ

    คำว่า อาจารย์ ก็ได้เห็นความหมายอันไร้ตัวตนแล้ว และอาจารย์ใหญ่ที่สุด คือ ขันธ์ ๕ ของเราเอง ซึ่งต้องทิ้งไปในที่สุด

    ที่ไม่ก้าวหน้าเพราะเราไม่รู้จะวางจิตยังไง แค่มีคนมาชี้แนะนิดนึง เราจะวางจิตถูก มันก็จะเจริญในธรรม

    เราเริ่มต้นด้วยสวดมนต์ไหว้พระ อ่านตำราต่างๆ แต่เรายังไม่ทราบจริตของตน จึงยังไม่เลือกกรรมฐานลงไปแน่นอน ประคองตัวในสิ่งที่เราเห็นว่าดีงามไปก่อนเท่านั่น

    กรรมฐานมีหลายกอง มีผลช้าเร็วแตกต่างกัน ไม่ผิดที่จะสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ แต่หากประสงค์ก้าวหน้าเร็วในธรรมต้องเลือกสายที่เกิดปัญญาเร็ว แม้นั่งสมาธิก็ต้องพิจารณาอย่างไรให้เกิดปัญญาเร็ว การสวดมนต์ไหว้พระแค่เริ่มต้น และเน้นไปที่ศรัทธามากกว่าปัญญาไม่ใช่ไม่มีปัญญา แต่ศรัทธาแรงกว่า

    ตั้งต้นให้ถูกคือ ถามว่าอะไร คือ ปัญญา มีบทสวดตอบคำถามแล้วครับ เมื่อใดเห็นสังขารแปรปรวนไป เมื่อใดเห็นสังขารเป็นทุกข์ เมื่อใดเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา นั่นคือ ปัญญา ขั้นต้นแล้ว ที่เหลือคือทำให้มากๆ ทำให้ชำนาญๆ ในการเห็นการพิจารณา

    แล้วเราจะพิจารณาสังขารยังไง จะเห็นสังขารได้ยังไง การสวดมนต์คือก่อสร้างศรัทธา ศีล และสำรวมจิตให้เป็นสมาธิ จะเกิดปัญญาหรือไม่ต้องเลือกบทสวด การสวดมหาเมตตาใหญ่ มีสองขั้นใหญ่ในการภาวนา สวดตามอักขระและทรงอารมณ์อบรมอารมณ์เมตตาให้ออกมา กับการพิจารณาเพ่งจิตไปยังสัตว์โลก เห็นทุกข์ ความแปรปรวน ความไร้ตัวตนของสัตว์โลก จัดเป็นปัญญากว่า เมิ่อผ่านสองขั้นใหญ่ๆ ต้องระวังการติดอารมณ์ฌาณที่เกิดจากภาวนา เพราะจะทำให้หยุดภาวนา ต้องถอยลงมา เราเห็นสังขารชัดเจนหรือไม่

    เมื่อไหว้พระสวดมนต์ เสร็จ จับอารมณ์สมาธิได้ หรือฝึกนั่งสมาธิ จนจับอารมณ์สมาธิได้ ต่อไปให้ฝึกเรียกอารมณ์สมาธิ มาใช้ สัพเพสังขารา ใครอธิบายยืดยาว ก็ศึกษากันไป แต่ตั้งต้นวางจิตที่เห็นสรรพสิ่งที่เข้ามาสู่การรับรู้ นั้นเอง จะภายนอกภายในเมื่อเข้าสู่การรับรู้ คือ ที่เราจะพิจารณา เห็นเป็นคร่าวๆ ก่อน รูป เวทนา สัญญา สังขาร(ตัวเล็ก) วิญญาณ มโน จิต เอกัคคตา เมื่อฝึกอย่างนี้ ก็จะเห็นกระบวนการคิด กระบวนปัจจัยาการ แค่นี้ครับ ส่วนถ้าไม่เข้าใจ ต้องการละเอียด ผู้รู้อื่นตอบได้หมดครับ ตั้งคำถามเข้ามา เดียวมีผู้ตอบ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าไปเชื่อ พวกโง่ๆ ที่ไม่รู้หนทาง มีปัญญาด้วยตัวเอง

    พระโพธิสัตว์ พระปัจเจก ท่านทั้งสองนี้ ปราศจากคนเข้าไปสอน ทั้งนั้น

    ท่านทั้งสอง ย่อมเป็นผู้ เรียนรู้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่เบื้องต้น ไม่ว่าจะกี่แสนอสงไขยก็ไม่เคย
    เสียเชิงในเรื่องนี้ เด็ดขาด เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ฐานะจะเป็นได้


    ทีนี้ คนโง่ๆ มันอาศัยอะไรในการ ปรักปรำ พระโพธิสัตว์แม้นอินทรีย์อ่อน หรือแม้น
    แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า

    คนโง่ๆ นั้นอาศัย สิ่งที่เรียกว่า " หู กับ สมอง " หรือไปเข้าใจว่า ใช้ใจ มโนยุกยิก ใน
    การสดับรับรู้ ถ่ายทอด

    ทำให้ คนโง่ๆ เยี่ยงนี้ มองไม่ออกว่า พระโพธิสัตว์ พระปัจเจก เรียนรู้ธรรมอย่างไร

    อาศัยความที่ ตนเอา มโนทวารออกไม่เป็น เอาหูออกไม่เป็น เอาก้านสมอง ไขสันหลัง
    ออกไม่เป็น ก็เลย สรุปเหมาเข่ง กล่าวบริภาษ จาบจ้วง โพธิสัตว์แม้นอินทรีย์อ่อน
    พระปัจเจกว่า เป็นพวก เรียนตามขี้ปากชาวบ้านทั้งโลกทิพย์ โลกกุ๊ก

    เจ้าของกระทู้ หากจะรับฟังคน ติชม สรรเสริญ เยินยอ หรือหลอกด่า จงระวัง
    พวกที่ ไม่เคยรู้จักธรรมะ ไม่เคยภาวนาเข้าไปเห็นเอง รู้เอง ไม่เคยเอาหู เอา
    ตา เอาจมุก เอาปาก เอาใจ(แม้นใจ ก็ต้องเอาออก เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อไม่ได้) ออก

    เพราะ คนเช่นนี้ เป็น เดียรถีย มาช้านานนนนนนนน ไม่มีทางเห็น มรรค ได้
    ปิดนิพพานอนันตชาติ แน่นอน



    ******************************************

    ต่อไปนี้ เป็น ภาษาแบบง่ายๆ

    การฟังธรรมนั้น เราไม่ได้ใช้หู เพราะ หูเป็น สิ่งที่ได้จากอวิชชา หากเรา
    เอาหู เอาสมอง เอาจิตใจรับสดับธรรมะ เราจะไม่พบ หรือ ไม่ได้สดับ ธรรมที่
    พระพุทธองค์ทรงแสดง แม้นแต่นิดเดียว

    อนึ่ง พึงทราบว่า โสดาปฏิมรรค หรือ บุคคลที่กำลังเดินมรรคเพื่อการเป็นโสดาบัน
    ท่านจะเอา หู เอา ตา เอาจมูก ลิ้น กาย และ แม้นกระทั่ง "ใจ" ที่เรียกว่า อยาตนะ6
    ออกจากตนได้แล้ว การสดับธรรมทีพ้นการใช้อยาตนะ ใช้ขันธ์5 มาเป็นตัวรับธรรมนั้น
    ท่านจะเห็นหนทางของท่านแล้ว

    แม้นการฟังธรรม ที่ไม่ได้ใช้อยาตนะ6 ยังจัดว่า เป็นการสดับธรรม เยี่ยงสาวก

    พุทธวิสัย อีกทั้ง วิสัยของพระปัจเจก ย่อมพ้นยิ่งไปกว่า การสดับธรรมของสาวกอีก แสนเท่า
    ล้านเท่า หรือ ....หากจะกล่าวให้ถูกก็ต้องยกย่องว่า เทียบกันไม่ได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2015
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การสดับธรรมะ โดยไม่ใช้ อยานตนะ6 ฟังแล้ว หากเผลอไปตรึก แล้วไม่ทัน
    กำหนดรู้ ทิฏฐิกำลังเกิดในมโนทวาร แล้วไปเชื่อ การขยับออกของจิตจากรัตนบัลลังก์
    ก็จะรู้สึกว่า ยาก และ ร่างกายมันพยายามออกท่า ไม่เข้าใจ

    สัตว์โลกที่ไมฉลาดใน ธรรมของสัตบุรุษ ย่อมไหลตาม อาการทางทิฏฐิ การกาย ทางใจ
    นั้น แล้วแล่นตามไปด้วยอุปทานในขันธ์ แล้วสำคัญตนตามขยะที่ไปโกยเข้ามาว่า
    " ตนไม่เข้าใจธรรมะ ตนบารมีอ่อน แล้วก็ หลง เพลินไปเชื่อมัน "

    จริงๆแล้ว การฟังธรรมนั้น มันไม่ได้ยากเกินวิสัยมนุษย์ ผู้มีศรัทธาในพระผู้มีพระภาค
    และ ทุกครั้งที่กระทบผัสส ขอเพียงแต่ มีโยนิโสมนสิการ และ เฝ้นหา อาหารของ
    โยนิโสมนสิการให้เป็น ก็จะ สดับธรรมะของพระองค์ได้ทันที ไม่จำกัดเวลา สถาณที่

    ธรรมฤทธิ์ของพระพุทธองค์ ย่อมไม่มีอะไรขวางกั้นได้ และปราศจาก "ผู้แสดง"


    ธรรมที่มี ผู้แสดง และ ผู้รับฟัง นั่นมันโลกของ มาร ธรรมยังเป็นของคู่

    คนฉลาดในธรรม จะอาศัยธรรมคู่ นั้นเพื่อน้อมไปเห็น สุดขอบโลกของมาร และพรหม
    ดังนั้น จงพยายามทำความเข้าใจ อุบายที่กำลังใช้อาศัยระลึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2015
  12. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    วันนี้ ทำงานหนักมาก ขุดดินอยู่ จะเอารากไม้ไมยราพณ์ทิ้ง ขุดยังไงก็ขุดไม่ขึ้น มันขึ้นใต้หิน เวรกรรม จอยเสียมจะพังเอา ต้องหยุดไว้ก่อน ทิ้งรากไว้ ให้คนอื่นมาทำดีกว่า ไปตรงนู้นดีกว่า ไอ้รากนี้วางให้ไอ้ดำมันทำดีกว่า แต่สงสัยไอ้ดำจะไม่ทำ ปล่อยเจ้าของที่ทำของมันเองบะกัน รับค่าจ้างแค่วันละ 300 บาทเอง ขืนจอบเสียมพังโดนปรับเงินอีก 555

    เอ ไอ้หมาเจ้าของที่ผูกไว้นี่ มันเห่าอยู่นั้น แค่คนแปลกหน้า ก็ต้องเห่าตามประสาหมา คนสมัยก่อนพูดกับหมาแบบนิทานอีสปได้จริงป่าว ถ้าได้จะได้พูดกับมัน เรามาทำงานให้เจ้านายของแก่นะโว้ย ไม่ได้ทาตบกระโหลกเจ้านายแก่ อย่างว่าหมาก็คือหมา

    บ้านนี้ ดูเจ้าบ้านใจแคบแถมขี้เหนียว น้ำดื่มยังไม่เอ่ามาให้ ตูต้องซื้อกระทิงดื่มเอง จะซื้อน้ำเพิ่มกลัวเปลืองตัง ยิ่งจนอยู่ ต่อไปจะไม่มารับจ้างมันล่ะ ไปบ้านอื่นดีกว่า บ้านตาลุงทวีแก่ใจดีใจกว้างกว่าเยอะ บ้านไอ้ตากวางนี่ ไม่เอาล่ะ ขอลาขาด
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    #จบข่าว #เจี๊ยกเงียบด่วน #หดสับ
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พักกลางวัน นิด เหนื่อยจริงแดดก็ร้อน อ้าว ไอ้ฟักนั้น เมื่อกี้ มันเอาชุดเทวดามาสวม ทำท่าเทวดาได้ไม่ทันไร ไหงถอดชุดไปเล่นกับหมาของตาลุงทวี

    เวรกรรมบ้านนี้หมาก็เห่าไม่หยุด ไอ้ฟักนี่ก็เล่นอะไรไปเรื่อยตามประสาคนบ้า มิน่า เค้าว่าอย่าถือคนบ้าอย่าสาคนเมา แต่ไอ้ฟักนี่เวลาเจอเรามันชอบมาเล่นกับเราอย่างเราเป็นหมา ต้องหลบก่อน วุ่นวายจริง

    อ้าว หมดเวลาพักอีกล่ะ ไปดายหญ้าต่อดีกว่า ทำมาหากินตามประสาสัตว์โลก เหมือนหมามันก็หากิน อ้าว สงสัยไอ้ฟักมันเห็นเราไม่ต่างกับหมาเพราะมันคิดยังงี้ป่าวว่ะ ท่าจะบ้่าแล้วเรา พยายามเข้าใจหมากับคนบ้า ไปดายหญ้าอยู่งานดีกว่า เดียวงานเสียพอดี เงินกฌจะพาลอด โดยนายจ้างด่า
     
  15. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เรียนเจ้าของกระทู้
    แสงที่เห็นเรียกว่าโอภาสครับมันจะเกิดเฉพาะเวลาเกิดปีติของขณิกสมาธิ
    แต่ถ้าเกิดบ่อยนั่นคือดวงกสิณที่อาจเป็นของเก่าของคุณ
    จะทำกสิณต่อเลยก็ได้ครับเค้าเรียกกสิณแสงสว่าง
    ขออภัยที่ไม่รู้คำบาลี
     
  16. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณค่ะสำหรับคำอธิบาย..จริงๆดิฉันก็สนใจทางด้านกสิณอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน..เดี๋ยวจะลองศึกษาดูนะคะ:cool:
     
  17. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    น้องออย พี่สุดหล่อที่แนะนำเยอะๆ ใช้ตัวอักษรหลายๆสี ท่านเล็งเห็นแล้วว่าถ้าเข้าไปยึดต่อไปจะขัดขวางพัฒนาทางจิตของเราครับ เมื่อก่อนพี่ก็เป็นครับ พี่ชายสุดหล่อว่าอยู่บ่อยๆ เพราะฟังบ้างไม่ฟังบ้าง สุดท้ายเกือบตายสลบเหมือดกลางงานไหว้ครูร่างทรง ก็เพราะไอ้ที่รับรู้โดยการฟังบ้างไม่ฟังบ้างนี้หล่ะครับ ตอนนี้หายซ่าเลย หุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2015
  18. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณค่ะศิษย์พี่..หนูจะรับฟังและค่อยๆพิจารณาไปค่ะ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...