ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

สาส์นจากหลวงปู่ใหญ่ ​

​

โดยคุณ Chat วันที่ 30/08/2550 เวลา 19:41:43

ด้วยมีบุคคลที่เคารพศรัทธาต่อหลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่เทพโลกอุดร) ได้กรุณาส่งเอกสารที่เป็นสาส์นจากหลวงปู่ใหญ่ มาถึงผู้เขียนอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อขอให้ช่วยเผยแพร่ด้วยนั้น ผู้เขียนจึงขอคัดลอกนำถ้อยคำของหลวงปู่ใหญ่มาให้อ่านกันดังนี้
​

 

อ่านข่าวการผจญภัยพิบัติของคุณ falkman แล้ว ลุ้นระทึกตามไปด้วย กลับมาน่าจะเอามาเขียนเป็นพอกเก็ตบุกได้เล่มหนึ่งเลยนะ พิมพ์จำหน่ายหาทุนเข้ากองทุนได้หลายตังค์แน่ ๆ

นับถือ น้ำใจนักสู้จริง ๆ ลุยไปด้วย รายงานข่าวสดๆ ร้อนๆ ไปด้วย

ขอให้พระคุ้มครองให้ฝ่าด่าน 18 อรหันต์ได้โดยตลอดรอดฝั่ง (ขอให้หลบได้ทันทุกภัย) แล้วกลับมารายงานข่าวไม่ค่อยสดต่อที่ห้องข่าว Thailand นะครับ เอาใจช่วย

 

สาส์นจากหลวงปู่ใหญ่ ​

สาส์นจากปู่ใหญ่ (หลวงปู่เทพโลกอุดร)ให้ไว้เมื่อปี พ.ศ. 2539 ผ่านทางทิพย์นิมิต พระอาจารย์เพลิน นนทโก ให้แจ้งต่อผู้ศรัทธาในปู่ใหญ่ หลวงปุ่เทพโลกอุดร ว่าในอีก ประมาณ 2 ปีข้างหน้านี้ จักเกิดภัยพิบัติอันใหญ่หลวงต่อมวล มนุษยชาติทั่วโลก (เหตุการณ์นี้ได้ถูกเลื่อนมา 10 ปี จากปี 2541 มาเป็นปี 2551 ดูได้จากสาส์นฉบับล่าสุด -เกษม-)


ขอให้ลูกหลานทุกคนจงพากันเตรียมตัว ร้บสถานการณ์ให้ดี โดยให้มีสติอันมั่นคงอย่าวิตกกังวล จงพา กันเร่งบำเพ็ญภาวนาทำสมาธิฝึกฝนพลังจิตให้เข้มแข็ง และ ให้พากันหาสถานที่อันสงบในป่าเขาแหล่งที่ห่างไกลความเจริญ ปลูกต้นไม้ให้มาก ๆ ล้อมรอบที่พักอาศัย แล้วบำเพ็ญภาวนา เก็บกักตุนเสบียงไว้ใช้ในยามขัดสนอันมีปัจจัยสี่ เช่น เครื่อง นุ่งห่ม อาหารแห้ง ยารักษาโรค

หากผู้ใดมีเงินขอให้เปลี่ยน เป็นของมีค่าอย่างอื่น เช่น ทองคำเป็นต้น อย่าฝากธนาคาร อย่าซื้อหุ้น ให้ฝังดินไว้ทำแผนที่ลายแทงไว้ในพื้นที่ที่ห่างไกล กรุงเทพฯ เชื้อเพลิงให้พากันกักตุนแบตเตอรี่แห้ง อย่าเป็นห่วงทรัพย์ในเมืองหลวง จงพากันไปหาที่ปลูกสร้างที่พักไว้ ตามวัดป่า วัดเขาในชนบท ตามถ้ำต่าง ๆ จึงจะพากันรอด จากภัยพิบัติ จงเร่งบำเพ็ญภาวนา

ผ่านกระแส เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 ณ ธรรมสถานวงษ์จิต บ้านนาคำน้อย หมู่ 7 ตำบลบ้านก้อง อาเภอนายูง จ้งหวัดอุดรธานี 41380​

<CENTER></CENTER>

ที่มา http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=274&page=18​

 

ตอนนี้ก็ขอให้ทุกคนจงตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิเถิด จงรวมใจกันเป็นหนึ่งขออ้างพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราว่า "รู้รักสามัคคี"
ขอให้ทุกคนทำตามที่ท่านรับสั่งเถิด อย่ามัวถกเถียงกันอีกเลย ก่อนที่จะสายเกินไป พวกท่านก็เป็นปัญญาชนกันทั้งนั้น(ขออภัยหากใช้คำที่แรงเกินไป)
ถ้าทำอะไรที่ล่วงเกินทางกาย วาจา ใจ ก็ขอขมาอภัยค่ะ เพราะอยากให้พวกท่านมีความรัก ความเข้าใจกัน เท่านั้นเอง เพื่อประโยชน์ของตัวพวกท่านเอง

 

*** หลัก ****

มีหลักยึด...คือ "หลักสัจจะธรรม"
เชื่อว่า .... ทุกการกระทำไม่สูญสลาย และมีผลตอบแทน

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** ความศักดิ์สิทธิ์ ****

ท่านต้องมี "สัจจะ"... เพื่อรักษาคำสัตย์ปฏิญาณ ที่พูดออกมาแล้ว
ท่านจึงจะสามารถรับ....พรศักดิ์สิทธิ์ได้
หาก ...ท่านไม่ทำตาม คำที่กล่าวไปแล้ว
สิ่งที่ท่านทำไม่ได้...จึงกลายเป็นคำสาป
ดินฟ้าอากาศ จะลงโทษท่าน
ปัจจุบันทันด่วน !!!!!!!

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** สัตย์ สัจจ์ โปรดสัตว์ ****

ความสัตย์
ความสัจจ์

สัญญาใจตนเอง
สัจจะ

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** มีน้อยมาก หายากมาก ****

ผู้มีสัจจะ...หาได้ยากยิ่งในโลกยุคนี้

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

ผมว่าลบกระทู้ของคุณดีกว่ามั้งครับ
ท่านอื่นเขาโพสต์เพื่อให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ได้โพสต์ให้ตื่นตระหนกซะหน่อย

 

[QUOTE=

 

คลิปประกอบคำบรรยายของคุณ falkman เกี่ยวกับทอร์นาโดที่อเมริกา

Video from the Devastating February 5, 2008 Tornado Outbreak

<object width="425" height="355"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/qMqY8LPSfhI&rel=1"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/qMqY8LPSfhI&rel=1" type="application/x-shockwave-flash" wmode="transparent" width="425" height="355"></embed></object>

Footage of supercells and tornadoes (courtesy of ViolentPlains.com) from the devastating February 5, 2008 tornado outbreak that struck parts of Arkansas, Tennessee, and Kentucky, including Downtown Memphis, TN; Atkins to Ash Flat, AR; Jackson, TN; and others... Sadly, 27 fatalities have occurred from these violent tornadoes. This footage features a classic tornadic supercell in Southeast Arkansas, and a large tornado in Atkins, AR (ViolentPlains.com).


In the middle of tornado in Memphis, TN 02/05/2008

<object width="425" height="355"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/NJBYGMsIOj8&rel=1"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/NJBYGMsIOj8&rel=1" type="application/x-shockwave-flash" wmode="transparent" width="425" height="355"></embed></object>


Tornado Damages Memphis Feb/06/2008

<object width="425" height="355"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/rsz23P0HONk&rel=1"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/rsz23P0HONk&rel=1" type="application/x-shockwave-flash" wmode="transparent" width="425" height="355"></embed></object>


poplar grove tornado damage ef3 1-7-2008

<object width="425" height="355"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/G67mynpw1vM&rel=1"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/G67mynpw1vM&rel=1" type="application/x-shockwave-flash" wmode="transparent" width="425" height="355"></embed></object>


FIRST ICE RAIN IN MY LIFE...

<object width="425" height="355"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Pz6HVZayeQs&rel=1"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Pz6HVZayeQs&rel=1" type="application/x-shockwave-flash" wmode="transparent" width="425" height="355"></embed></object>

IT HAPPENED ON 14TH JANUARY 2008

 

หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน บอกว่า
ถ้าคนเขาพูดไม่ดี เราไม่รับไว้ ความไม่ดี็้เป็นของเขา 100 %
ถ้าเรารับไว้ จริงไม่จริงก็เปื้อนเราแล้ว รับไปคนละครึ่ง
ตบมือข้างเดียว ก็ไม่มีเสียง ฉวัดเฉวียนผ่านหางตาน่ารำคาญเท่านั้น

บอกเพื่อนญาติธรรมนะคะ จะได้ไม่ต้องตบมือ เดี๋ยวมือเปื้อนค่ะ

 

ขอบคุณครับ

 

ลองเพ่งที่เครื่องหมายบวกแล้วจะเห็นวงกลมค่อยๆ หายไปจนหมด

<!--MsgFrom=92-->จากคุณ : P^eZ!M <!--MsgTime=92--><!--MsgIP=92--> - [ 11 ก.ค. 48 18:32:43 ]

มันเกิดขึ้นได้เพราะอะไรครับ ช่วยอธิบายให้ฟังที ทำไมตามันถึงลวงเรา เพราะการสั่งการจากสมอง หรือว่าอย่างไร
เคยเห็นภาพพวกนี้บ่อยมากๆ แต่ก้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมอะครับ <!--MsgFile=42-->

จากคุณ : +>>GeToS<<+ - [ 8 ก.ค. 48<!--MsgFrom=42--><!--MsgTime=42--> 23:

มันเป็นข้อจำกัดของอวัยวะดวงตาไงครับ ดวงตามนุษย์มันก็เป็นแค่อวัยวะชนิด
หนึ่งเท่านั้นเองมันไม่ได้วิเศษ ถึงขนาดที่จะไม่สามารถหาจุดบกพร่องได้แม้
แต่น้อย เนื่องเพราะคนเราเคยชินมาตั้งแต่เกิดในการมองเห็น จึงอาจเผลอตัว
เข้าใจว่าอะไรก็ตามที่ตามองเห็น มันต้องเป็นไปตามที่สมองมันแปลออกมา
ดังนั้นพอเจอเรื่องภาพลวงตาเข้า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ความประหลาดใจ" แต่ถ้า
คิดดีๆ ก็ไม่น่าประหลาดใจแล้วล่ะครับ นี่มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง <!--MsgFile=43-->

<!--MsgFrom=43-->จากคุณ : Generals <!--MsgTime=43--><!--MsgIP=43--> - [ 9 ก.ค. 48 02:32:11 ]

นี้คือทฤษฎีของผมครับจากการสังเกตภาพ
การพิจารณาภาพของตามี 4 ระยะ
1.ระยะเพ่ง คือการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งนึงหรือเรียกว่าการโฟกัสนั้นเอง ลองนึกดูซิครับว่าจุดที่เพ่งมิได้หลอกตา
2.ระยะลาง คือระยะที่อัตราการมองเห็นภาพใกล้เคียงกับระยะเพ่ง แต่จะรับภาพแล้วไปตีความหมายได้ช้ากว่าระยะเพ่ง ระยะนี้เองก่อให้เกิดภาพลวงตา
3.ระยะเลือน คือระยะที่สัมผัสได้ว่ามีภาพแต่ไม่สามารถตีความหมายได้
4.ระยะหลุด คือระยะที่ไม่สามารถรับภาพได้

#40 เพราะมันเลยระยะลางไปแล้วจึงไม่เกิดภาพลวงตา

ปล.นี้เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นซึ่งอาจจะมีทฤษฎีที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้

<!--MsgFrom=44-->จากคุณ : ทะเลคราม (blueocynia) <!--MsgTime=44--><!--MsgIP=44--> - [ 9 ก.ค. 48 03:19:54 ]

ที่มา: ภาพลวงตา


<!--MsgIP=42-->35:21 ]

 

โกรธหนอ โกรธหนอ โกรธหนอ

 

ที่มา :เดอเมสธิด แมลงผีดิบ

<table id="post848396" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" height="1801" width="758"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;"> 05-12-2007, 05:04 PM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #1 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> koymoo <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_848396", true); </script>
สมาชิก



เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: 05-02-2008 07:44 PM
วันที่สมัคร: Dec 2004
สถานที่: นิสิตคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ข้อความ: 2,269 <!-- Start Post Thank You Hack -->
ได้ให้อนุโมทนา 1,350 ครั้ง
ได้รับอนุโมทนา 6,568 ครั้ง ใน 1,270 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
พลังการให้คะแนน: 918



</td> <td class="alt1" id="td_post_848396" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> เดอเมสธิด แมลงผีดิบ
<hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> "เดอเมสธิด" คือชื่อแมลงที่อันตรายที่สุดในโลกในขณะนี้ เพราะมันคือแมลงร้ายที่สามารถฉีกกินเนื้อหนังของสัตว์ต่าง ๆ จนถึงกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ซากศพที่ถูกมันรุมทึ้งกินเนื้อหนังและเลือดสด ๆ นั้นจะกลายสภาพเป็นโครงกระดูกสีขาวเนียนชวนสยอง ยิ่งกว่าการแล่เนื้อเถือหนังของยอดฝีมือถลกหนังรายใด ๆ ในโลกนี้

และตอนนี้พวกมันกำลังถูกนำตัวมาใช้ในงายวิจัยของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ของสหรัฐอเมริกาอยู่โดยที่งานหลัก ๆ ของมันก็คือทำหน้าที่กัดกินซากสัตว์หลายชนิดจนเหลือแต่โครงกระดูกที่สมบูรณ์ที่สุดเพ
ื่อท่จะได้ทำงานวิจัยอย่างสบายมือ และเมื่อทำงานเสร็จแต่ละชิ้นงานนั้นพวกมันก็จะถูก "ทำลาย" ด้วยสารเคมีรุนแรงเพื่อให้แน่ใจว่า พวกมันจะไม่กระจัดกระจายออกไปก่อกรรมทำเข็ญกับสิ่งมีชีวิตนอกพิพิธภัณฑ์นั่นเอง

แมลงที่มีชื่อว่า เดอเมสธิด นี้เรื่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักวิจัยของพิพิธภัณฑ์ The American Museum of Natural History (พิพิธภัณฑ์อเมริกันเพื่อประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) ในช่วงทศวรรษที่ 1930 (ราว 70 ปีก่อน) โดยที่ช่วงเวลานั้นทางพิพิธภัณฑ์กำลังรอรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดที่ถูกส่งตัว
มาจากทวีปแอฟริกาอย่างใจจดใจจ่อ

หากแต่การส่งสัตว์ที่ต้องการมาทางเรือนั้นใช้เวลาในการเดินทางนานพอใช้ และเมื่อเรือมาถึงอเมริกาก็ปรากฏว่าสัตว์ที่ถูกส่งมาทางเรือนั้นกลายสภาพเป็นกองกระด
ูกขาวโพลนไปหมด เรียกว่าตอนออร์เดอร์กันได้ออร์เดอร์สัตว์เป็น ๆ แต่พอมาถึงจุดหมายปลายทาง ก็กลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนแหงแก๋เสียนี่

ที่น่าตกใจก็คือนักวิจัย(ในสมัยนั้น)ได้พบกับแมลงกินเนื้อหนังสุดโหดที่ชื่อ เดอเมสธิด



จากการทดลองและวิจัยเกี่ยวกับแมลงนี้อย่างเนิ่นนาน ทำให้ได้ข้อสรุปหลายประการจากแมลงที่มีความยาวราว 5-7 มม.เหล่านี้ว่าพวกมันมีประโยชน์ต่อพิพิธภัณฑ์ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะมีแต่อันตรายอย่างเดียว

นั่นก็คือทางส่วนงานที่เรียกว่า กองพิพิธภัณฑ์ปลา ภายในพิพิภัณฑ์ The Museum of Natural History แห่งนี้จำเป็นจะต้องใช้แมลงกินเนื้อเหล่านี้ในการกำจัดซากปลาหายากบางพันธุ์ ที่ต้องการเก็บเฉพาะแต่โครงกระดูกเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก นั่นคือเมื่อปล่อยพวกมันลงไปกินเนื้อปลากันอย่างตะกละตะกรามกันแล้ว พวกมันจะแทะเนื้อเถือหนังปลานั้นอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยเป็นที่สุด และสุดท้ายซากปลานั้นก็จะกลายเป็นกระดูกที่สวยงามพอที่จะดำเนินการขั้นต่อไปได้ทันที





แต่ถ้าไม่มีแมลงพวกนี้มาช่วยงาน เหล่าเจ้าหน้าที่ของกองฯนี้จะต้องลำบากในการนำปลาไปต้ม เคี่ยวจนกระทั่งเนื้อหนังหลุดร่อนออกไปและยังต้องมาวุ่นวายกับการต่อกระดูกปลารวมกัน
เป็นตัวปลาอย่างลำบากลำบนคล้ายการต่อจิ๊กซอว์อีกด้วย



นอกจากการให้มันสวาปามซากปลาแล้วยังมีกสัตว์อื่น ๆ ที่ทางพืพืธภัณฑ์ได้อาศัยแมลงเดอเมสธิด ในการช่วยกัดกินเลือดเนื้อของมันพวกมันเหล่านั้นก็คือ สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กหรือ แม้กระทั่งหัวอันใหญ่ โตของช้างที่ตายแล้วก็เป็นเหยื่ออันโอชะของแมลงพวกนี้

ไม่มีใครรู่ว่าถ้ามันกลุ้มรุมกัดกินสัตว์เป็น ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร แต่กับซากสัตว์ที่ตายแล้วจำเป็นจะต้องนำซากสัตว์(โดยเฉพาะปลา)ไปผึ่งลมให้ความชื้นระ
เหยไปเสียก่อน พวกแมลงเหล่านี้จึงจะกินซากสัตว์อย่างร่าเริง แต่ถ้านังมีความชื้นอยู่มาก มันก็จะละเลยเสีย




แต่ถ้าเป็นกรณีสัตว์เป็น ๆ นั้นทางพิพิธภัณฑ์ยังอุบเงียบอยู่ เพียงแต่บอกว่า ถ้าปล่อยให้แมลงเหล่านี้เป็นอิสระหรือโบยบินสู่โลกภายนอกแล้วล่ะก็ มันคงสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงได้ไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้อง "สังหาร" พวกมันเสียทุกคราวที่นำแมลงเดอเมสธิดจำนวนหนึ่งนี้ออกมาใช้งาน โดยที่ยังเก็บส่วนที่เหลือไว้ในที่เก็บอย่างดี ในคลังเก็บของพิพิธภัณฑ์เพื่อเอาไว้กัดกินซากสัตว์ต่าง ๆ กันต่อไป

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องร้ายแรงแบบนี้จะถูก "ปิดเงียบ" มานานถึง 70 ปีมาแล้ว และเมื่อชาวโลกส่วนใหญ่ได้รับรู้เรื่องราวนี้เข้าไปแล้วจะมีความคิดเป็นเช่นไร ? </td></tr></tbody></table>

 

เดอเมสติส เป้นแมลงกินขนสัตว์ กินพรมขนสัตว์ กินเก้าอี้โซฟาเก่าๆ ตามบ้านคุณก็มี ไม่ต้องตกใจหรอก

Dermestidae เป็นชื่อวงศ์ของมัน เป็นแมลงปีกแข็งกลุ่มด้วง ตัวเล็กกว่าข้าวสาร

ไม่ต้องกลัวว่ามันจะมากินคุณ ถ้าคุณไม่ถุกขังอยู่กับแมลงนี้คู่หนึ่ง (เพศผู้ และ เมีย) ในลังไม้

ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ได้ศัพทือย่าจับมากระเดียด เพราะคนจะตกใจเกินเหตุเพราะคุณที่ไม่รู้อะไรแล้วเอามาขยาย

ป.เอก สาขาอณูสรีรวิทยาแมลง University of Maryland
Class of 1996

 

ขอบคุณอีกครั้ง และขอโทษที่ทำให้ทุกท่านตระหนกตกใจกัน

 

เห็นคนโพสเรื่องแมลงตัวนี้ในเนตกันเยอะเหมือนกัน[ผลการค้นหา 1 - 10 รายการจากประมาณ 1,750 สำหรับคำว่า เดอเมสธิด (จากกูเกิล)] แต่ดูๆ แล้วก็คงก๊อปมาจากที่เดียวกัน ก็เลยลองหาข้อมูลของไอ้ตัวนี้ดูก็ได้ข้อมูลมาประมาณนี้

dermestes
<zoology> A genus of coleopterous insects, the larvae of which feed animal substances. They are very destructive to dries meats, skins, woolens, and furs. The most common species is D. Lardarius, known as the bacon beetle.

Origin: NL, from Gr.; skin + root of to eat.

Source: Websters Dictionary

(01 Mar 1998)

http://cancerweb.ncl.ac.uk/cgi-bin/omd?Dermestes



Dermestidae
From Wikipedia, the free encyclopedia

The skin beetles or Dermestidae (Gyllenhaal 1808) are a beetle family. The family includes about 700 species found worldwide. The common names "carpet beetle", "larder beetle", "bacon beetle", "pantry beetle", "museum beetle", or "bow bug" apply more specifically to some of the sub-groups of this family.

.
.
.
They are used in natural history museums to clean animal skeletons.

http://en.wikipedia.org/wiki/Carpet_beetle


น่าจะเป็นชนิดเดียวกันกับที่คุณ Sutatip ว่าไว้

แต่ยังไงมันก็ไม่น่ากลัวอย่างที่เค้าเขียนมาหรอก เพราะถ้ามีบางชนิดที่กินเนื้อ ก็คงกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่ไล่กินสัตว์ที่เป็นๆ หรอก

Dermestids have a variety of habits; most genera are scavengers(สัตว์กินซาก) that feed on dry animal or plant material such as skin or pollen, animal hair, feathers, dead insects and natural fibers.