สามสิ่งที่ต้องมีสำหรับโสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นันทะชัยดี, 18 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,462
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    แหมเห็นเถียงกันอยู่นาน เลยขอกอปเอามาลงบ้างค่ะ(ตอนหนึ่งของหลวงพ่อฤาษี)

    อารมณ์พระโสดาบัน
    คือหนึ่งนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ไม่ประมาทในชีวิต ในข้อว่า สักกายทิฏฐิ เธอเข้าถึงแล้วในเบื้องต้น
    ข้อที่ ๒ เธอนึกถึงองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทุกวัน จัดว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน
    ข้อ ที่ ๓ นึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระชินวรทรงสอนไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต
    ข้อที่ ๔ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร มีศีล ๕ เป็นต้น ที่องค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนไว้ เธอจำได้ทุกอย่าง และปฏิบัติทุกอย่าง อย่างนี้ถ้าจะกล่าวกันไป ก็ชื่อว่าเธอเป็นโสดาปัตติมรรคแล้ว แต่ว่าอารมณ์จิตยังไม่มั่นคง
    ต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จมาสนับสนุนอีกวาระหนึ่ง เธอมีความมั่นคงในความรู้สึก จิตมีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย มั่นในความตาย คิดว่าเมื่อไหร่ก็เชิญ มันตายแน่ มั่นในศีลที่เธอรักษา แล้วก็มีศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในพระธรรมคำสั่งสอน
    อย่างนี้แหละบรรดาท่านทั้งหลาย องค์สมเด็จพระชินวรกล่าวว่า ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน
    เป็น อันว่าท่านพุทธบริษัททุกท่าน กาลเวลาที่เราจะแนะนำกันวันนี้ ก็รู้สึกว่าจะหมดเวลาเสียแล้ว เท่าที่พูดมาแล้วนี้ทั้งหมด เป็นปฏิปทาที่เราจะปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายมีความรู้สึกว่ายากไหม ถ้ายากก็ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำไป
    ดูตัวอย่าง เปสการีธิดา เป็น ตัวอย่าง ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร ท่านจึงกล่าวว่าเธอเป็นพระโสดาบัน ย้อนหลังไปนิด เธอนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ไม่ประมาทในชีวิต แล้วกาลต่อไปเธอนึกถึงวงพักตร์ของพระจอมไตรบรมศาสดา คือ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นธรรมดา เป็นเอกัคคตารมณ์ อารมณ์ทรงตัวแล้วเธอก็ปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน มีปฏิบัติศีลอย่างเคร่งครัดเป็นต้น อย่างนี้องค์สมเด็จพระทศพลยอมรับนับถือว่าเธอเป็นพระโสดาบัน เข้าใจว่าท่านทั้งหลายผู้รับฟังคำสอนคงจะเห็นว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระชินวรในตอนนี้เป็นของไม่หนัก แล้วก็เป็นของไม่ยากสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท
    สำหรับวันนี้ ก็หมดเวลาเสียแล้ว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทพยายามทรงอารมณ์ให้เป็นสมาธิ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จะนอนก็ได้ ให้จิตใจทรงอารมณ์ตามคำสั่งและคำสอน ที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นจนอวสาน ชอบใจตรงไหนทำตรงนั้นให้ทรงตัวและผลที่ท่านทั้งหลายจะพึงได้ นั่นก็คือ ความเป็นพระโสดาบัน
    และ ต่อจากนี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พยายามทรงอารมณ์และตั้งไว้ในความดีตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้เวลาที่ท่านจะได้พึงปรารถนา สวัสดี
    รวมคำสอนของ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=17

    ธรรมะสวัสดีทุกๆท่านค่ะ
     
  2. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    ขอบคุณค่ะ ที่เข้าใจเรา..:cool:
    แล้วเราก็เข้าใจคุณด้วยหล่ะ..ว่าทำไมเรียกหายาพารา อิอิ..:boo:

    สิ่งหนึ่งที่เคยแวบบบมาให้เราได้รู้ได้เห็น
    คือความเพริศแพร้วพรรณราย งดงาม เมื่อเราได้เปิดหนังสือ
    ของท่านหลวงปู่ชาโดยบังเอิญแล้วเจอคำว่า จิตประภัสสร

    ส่วนตัวเราจึงเชื่อว่า ทุกท่านเป็นตรงนั้นได้เหมือนกันเท่าเทียมกันทุกคน
    คำว่าแตกต่างกันด้วยช้าหรือเร็ว เรายังไม่กล้าพูดด้วยซ้ำ
    เพราะไม่แน่ว่า วันนี้ เวลานี้ เด๋วนี้ อาจจะมีบางคนเป็นเลยแบบเกินคาดฝัน
    หรือเนิ่นนานนนนนน ก็แล้วแต่บุคคล
    แต่สุดท้าย ทุกคนล้วนแต่เป็นสิ่งสวยงาม เพริศแพร้ว พรรณราย ค่ะ..
     
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ประภัสสรนั่นเขาไม่ยึดนะ

    เดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวผ่องใส นั่นเขาไม่ได้ให้ยึด คงเข้าใจนะ
    ให้รู้ตามความเป็นจริง ถ้าติดสุขติดสบายโลกมันจะสวยงามไปหมด
    สวยไม่สวย งามไม่งาม ฝ่ายไหนสิงสู่ ก็สังขารทั้งคู่ ชื่อว่าทุกข์ทั้งสอง

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

    เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ
    ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ.

    ท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการ ดุจราชรถ
    ที่พวกคนเขลาหมกอยู่, (แต่) พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่.
     
  4. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    ขอบคุณค่ะ ที่ชี้แนะ
    วันนี้เรารู้สึกว่า ใจเย็น นิ่งๆ ดี
    เสียดาย ไม่ค่อยมีเวลาได้มาร่วมสนทนาสักเท่าไร

    ณ เวลานั้น เป็นจุดเริ่มต้นได้พบท่านครูบาอาจารย์ค่ะ
    ส่วนยึดหรือไม่ยึด เราก็ไม่รู้
    แต่การได้พบท่านครูบาอาจารย์ แล้วพึ่งท่าน..เราว่าเหมือนมีโชค เน๊อะ..:cool:
     
  5. เมฆนา

    เมฆนา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +4
    สาธุค่ะ สำหรับกระทู้ดีๆ ท่านนันทะชัยดีจะได้โสดาบันรึไม่ ก็คงไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่แนวทางที่ได้ปฏิบัติเป็นแนวทางที่ถูกต้องค่ะ หนูเอาไปถามพระอาจารย์ที่หนูนับถือ ท่านบอกว่า ใช่ค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะค่ะ
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขออนุญาตนำบทความ"ปฏิบัติปุจฉาวิสัชนา" ระหว่าง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กับ พระธรรมเจดีย์ มาลงที่กระทู้นี้นะคะ เพื่อประโยชน์แก่กัลยามิตรทุกท่านค่ะ
    (คัดมาลงแค่บางส่วนนะคะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตอนที่ 5)

    พระธรรมเจดีย์ : ถามว่า ผู้ปฏิบัติศาสนาโดยมากปฏิบัติอยู่แค่ไหน?

    พระอาจารย์มั่น : ปฏิบัติอยู่ภูมิกามาพจารกุศลโดยมาก

    พระธรรมเจดีย์ : ทำไมจึงปฏิบัติอยู่เพียงนั้น?

    พระอาจารย์มั่น : อัธยาศัยของคนโดยมากยังกำหนัดอยู่ในกาม เห็นว่ากามารมณ์ที่ดีเป็นสุข ส่วนที่ไม่ดีเห็นว่าเป็นทุกข์ จึงได้ปฏิบัติในบุญกริยาวัตถุ มีการฟังธรรม ให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น หรือภาวนาบ้างเล็กน้อย เพราะความมุ่งเพื่อจะได้สวรรคสมบัติ มนุษยสมบัติ เป็นต้น ก็คงเป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่นั่นเอง เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว ย่อมถึงสุคติบ้าง ไม่ถึงบ้าง แล้วแต่วิบากจะซัดไป เพราะไม่ใช่นิยตบุคคล คือยังไม่ปิดอบาย เพราะยังไม่ได้บรรลุโสดาปัตติผล

    พระธรรมเจดีย์ : ก็ท่านผู้ปฏิบัติที่ดีกว่านี้ไม่มีหรือ?

    พระอาจารย์มั่น : มี แต่ว่าน้อย

    พระธรรมเจดีย์ : น้อยเพราะเหตุไร?

    พระอาจารย์มั่น : น้อยเพราะกามทั้งหลายเท่ากับเลือดในอกของสัตว์ ยากที่จะละความยินดีในกามได้ เพราะการปฏิบัติธรรมละเอียด ต้องอาศัยกายวิเวก จิตตวิเวก จึงจะเป็นไปเพื่ออุปธิวิเวก เพราะเหตุนี้แลจึงทำได้ด้วยยาก แต่ไม่เหลือวิสัย ต้องเป็นผู้เห็นทุกข์จริงๆ จึงจะปฏิบัติได้

    พระธรรมเจดีย์ : ถ้าปฏิบัติเพียงภูมิกามาพจรกุศล ดูไม่แปลกอะไร เพราะเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่แล้ว ส่วนการปฏิบัติจะให้ดีกว่าเก่าก็จะต้องให้เลื่อนชั้นเป็นภูมิรูปาวจรหรืออรูปาวจรแลโลกอุดร จะได้แปลกจากเก่า?

    พระอาจารย์มั่น : ถูกแล้ว ถ้าคิดดูคนนอกพุทธกาล ท่านก็ได้บรรลุฌาณชั้นสูงๆก็มี คนในพุทธกาล ท่านก็ได้บรรลุมรรคแลผล มีพระโสดาบัน แลพระอรหันต์ โดยมากนี่เราก็ไม่ได้บรรลุฌาณเป็นอันสู้คนนอกพุทธกาลไม่ได้ แลไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันสู้คนในพุทธกาลไม่ได้

    พระธรรมเจดีย์ : เมื่อเป็นเช่นนี้จักทำอย่างไรดี ?

    พระอาจารย์มั่น : ต้องทำในใจให้เห็นตามพระพุทธภาษิตที่ว่า มตฺตาสุขปริจฺจาคา ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ ถ้าว่าบุคคลเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย์ เพราะบริจาคซึ่งสุขมีประมาณน้อยเสียไซร้ จเช มตฺตาสุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ บุคคลผู้มีปัญญาเครื่องทรงไว้ เมื่อเล็งเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย์ พึงละเสียซึ่งสุขมีประมาณน้อย

    พระธรรมเจดีย์ : สุขมีประมาณน้อยได้แก่สุขชนิดไหน?

    พระอาจาย์มั่น : ได้แก่สุขซึ่งเกิดแต่ความยินดีในกามที่เรียกว่า อามิสสุข นี่แหละสุขมีประมาณน้อย
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ก็ลองพิจารณากันดูนะคะ....

    การตรวจสอบว่าเองตนบรรลุโสดาบันแล้วหรือไม่?

    การตรวจสอบตนเอง ก็มี 2 แบบ
    แบบแรกเป็นการทราบชัดทันทีที่ผ่านการเกิดมรรคผลแล้ว โดยผู้ที่ผ่านมรรคผล ที่เกิดผลญาณยาวนาน และเคยเรียนรู้ปริยัติธรรม ว่าพระโสดาบันละสังโยชน์ใดได้บ้าง และพระโสดาบันมีองค์คุณใดบ้าง (คือการเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้น การมีศีลบริสุทธิ์ และการไม่เที่ยวแสวงหาบุญกิริยาอื่นนอกหลักของพระศาสนา)

    ในขณะที่ผ่านผลญาณออกมานั้น จิตจะพิจารณาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทันที แล้วรู้ชัดด้วยตนเองในขณะนั้นเลยว่า เกิดอะไรขึ้นแล้ว บุคคลชนิดนี้ จะไม่สนใจกระทั่งการไปสอบถามครูบาอาจารย์ แต่ก็จะคิดถึงครูบาอาจารย์ เพราะคิดถึงคุณของท่าน เมื่อไปกราบครูบาอาจารย์ ก็จะไม่ไปเพื่อขอคำรับรอง เพราะธรรมรับรองตนเองเรียบร้อยประจักษ์ใจไปแล้ว (พวกที่ทำผิดแล้วมั่นใจมากๆ ก็มีเหมือนกันนะครับ โดยเฉพาะพวกที่พลาดไปติดวิปัสสนูปกิเลส)

    การตรวจสอบตนเองอีกชนิดหนึ่ง เป็นการสังเกตตนเองในภายหลัง คือบางคนบรรลุพระโสดาบันโดยมีผลญาณเกิดในช่วงสั้นๆ หรือผู้ที่ไม่เคยรู้ตำราเกี่ยวกับพระอริยบุคคล แม้รู้ธรรมแล้ว สังโยชน์ขาดแล้ว แต่ก็พูดไม่ได้อธิบายไม่ถูก ประเภทนี้ก็ต้องคอยสังเกตเอาในภายหลัง และแม้ผู้ที่เกิดผลญาณยาวดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ควรตรวจสอบตนเองในภายหลังด้วย เพื่อกันความเข้าใจผิดไปหลงติดวิปัสสนูปกิเลส

    วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบตนเองภายหลังก็คือ สังเกตที่จิตตนเอง โดยรู้ลงไปที่จิตตนเอง ว่ายังเหลือ “ความเห็นว่าจิตเป็นตัวเรา” หรือไม่ เพราะพระโสดาบันนั้น ไม่มีความเห็นผิดว่าจิตเป็นเราเหลืออยู่เลย และกระทั่งจิตยังไม่เป็นตัวเรา ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร เพราะสิ่งเหล่านั้น จะถูกเห็นเป็นตัวเราไปไม่ได้เลย ถ้าไม่เห็นว่าจิตเป็นตัวเราเสียแล้ว

    ถัดจากนั้นก็คอยดูว่า จิตมีความรักศีลเพียงใด มีความจงใจทำผิดศีลหรือไม่ เพราะพระโสดาบันนั้น จะไม่มีความจงใจทำผิดศีลเกิดขึ้นเลย การตรวจสอบตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากนะครับ หลายต่อหลายท่าน เจริญสติยังไม่ถูกต้องเลย ปรมัตถธรรมก็ยังไม่เคยเห็น แต่อาศัยการเรียน ความจำ และความคิด จู่ๆ ก็คิดว่า เราน่าจะเป็นพระโสดาบันแล้ว หรือบางท่านจิตรวมด้วยสมถะ แล้วเข้าใจผิดก็มี ต้องคอยสังเกตจิตใจตนเองให้มากๆ นะครับ ว่ายังเห็นว่าจิตเป็นเราหรือไม่ มาถึงจุดนี้แล้ว ผมก็มีความเห็นว่า การสังเกตตนเองในระยะยาว ด้วยการรู้ให้ถึงจิตถึงใจตนเองจริงๆ ไม่ใช่คิดๆ เอา แบบมีอคติเข้าข้างตนเอง น่าจะเป็นวิธีที่มาตรฐานที่สุดในยุคนี้ ส่วนความเห็นของครูบาอาจารย์ เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นครับ

    ถ้าท่านรับรองว่าใช่ ก็มาดูกิเลสตนเองว่าใช่จริงหรือเปล่า
    ถ้าท่านว่าไม่ใช่ แต่เราว่าใช่ ก็มาตรวจสอบว่าเราใช่จริงหรือเปล่า
    ที่สำคัญก็คือ ถ้าเราคิดว่าใช่ แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่
    ก็อย่าท้อแท้จนเตลิดเปิดเปิงเลิกปฏิบัติไปเลย ก็แล้วกันครับ

    โดย คุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
    ณ วัน พฤหัสบดี ที่ 23 พฤศจิกายน 2543

    เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : การตรวจสอบว่าเองตนบรรลุโสดาบันแล้วหรือไม่? | Dhammada.net หลวงพ่อปราโมท��
     
  8. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    แวะมาทักทายคุณนันทะชัยดีค่ะ..(อิอิ) (f)
     
  9. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    ท่านเจ้าของกระทู้ก็บอกอย่างชัดว่า ธรรมของหลวงปู่ท่านสอนมา ท่านก็ยึดนำธรรมของหลวงปู่มาปฏิบัติ แล้วก็นำธรรมของหลวงปู่มาถ่ายทอดต่อ แต่บางท่านจิตใจหยาบช้า มองไม่เห็นแม้คำพูดเจ้าของกระทู้ว่า นำธรรมมาจากหลวงปู่ คำพูดที่อ่านง่ายๆยังมองไม่เห็น มองข้าม แล้วพระธรรมที่รู้เห็นได้ยาก ต้องอาศัยจิตใจที่ละเอียด จะมีปัญญาเห็นได้อย่างนั้นหรือ

    และจริงๆที่เจ้าของกระทู้มาแนะนำต่อ แบบนี้เป็นเรื่องดีมาก แต่มีไม่กี่ท่านที่เหยียบย่ํา เจ้าของกระทู้ ให้มองว่าเป็นเรื่องน่าละอาย เป็นนักก๊อปปี้ไป ไม่ใช่นักปฏิบัติ ให้ท่านผู้อื่นเข้าใจแบบนี้ การกระทำแบบนี้ เป็นความชั่ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

    ท่านที่ตำหนิเจ้าของกระทู้ เป็นนักก๊อปปี้ ไม่ใช่นักปฏิบัติ ท่านลองยกการปฏิบัติของท่านโดยไม่อาศัยธรรมอื่นที่ท่านรู้มาก่อนเลย ท่านทำได้อย่างนั้นหรือ ท่านสามารถรู้ธรรมได้เองโดยไม่ ธรรมใดๆมาก่อนเลยอย่างนั้นหรือ เมื่อตัวผู้ตำหนิยังไม่มีปัญญารู้ธรรมได้เองเลยยังอาศัยการอ่านธรรมมากๆ แล้วไปหาเรื่องตำหนิติเตียน เจ้าของกระทู้ทำไม ในเมื่อตนเองก็ไม่ได้มีปัญญารู้ธรรมได้เอง ก็ยังอาศัยเป็นผู้อ่านตามเหมือนกัน

    กระทู้นี้เป็นประโยชน์แต่กลับมอง ไม่เห็นประโยชน์ เพราะ การที่ใจของผู้นั้นเป็น มิจฉาทิฏฐิ จึงมองเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นเป็นโทษ และเห็นสิ่งที่เป็นโทษนั้น เป็นประโยชน์
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068
    อนุโมทนาสาธุ กับ ทุกความดี ทุกระดับ ของผู้ใดก็ตาม

    ไม่ว่า จะยังอาศัยในนามใด รูปไหน

    ซึ่งเป็นผู้ไม่ถอยจากพระโสดาปัตติมรรค -โสดาปัตติผล
     
  11. นันทะชัยดี

    นันทะชัยดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +378
    ชีวิตของมนุษย์นั้นไม่มีอะไรแน่นอน บทจะดีก็ดีใจหาย บทจะร้ายก็ร้ายเหลืออย่างไม่น่าเป็นไปได้ และบทสุดท้ายของชีวิตนั่นก็คือ จุดสิ้นสุดของลมหายใจที่จะฝังกลบทั้งความดีความเลวที่ผ่านวนเข้ามาในมนุษย์คนหนึ่งนั่นเอง เกิดเป็นคน เหมือนกับเกิดมาอยู่ในทางสี่แพร่ง จะทำดีและทำชั่ว ไปสวรรค์หรือตกนรก ก็คนเรานี้ทำทั้งนั้น พระพุทธศาสนาสอน มีความมุ่งหมายตรงนี้ คือ อบรมใจให้เข้าถึงความสงบเป็นหนึ่ง เหตุนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นเครื่องช่วยชีวิตหรือชุบชีวิตของคนเราให้มีคุณค่า ให้ได้รับความสุขสงบที่แท้จริงครับ
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คุณนันทะชัยดี ได้ไปพบเจออะไรมาหรือคะ เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย:cool:
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าเจ้าของกระทู้ เคารพหลวงปู่ลี เคารพพระพุทธศาสนา

    เวลาเจอ พวกมิจฉาทิฏฐิ พวกถือพระเจ้า เทพนอกศาสนา มาชวนเสวนา

    สิ่งที่ต้องปฏิบัติตอบคือ " นิ่ง " ไม่เสวนาด้วย

    ถ้าเสวนาด้วย ร้อยละร้อย จะหมายถึง เคารพเทพของพวกเขาด้วย มี จลศรัทธา
    มีศรัทธาง่อนแง่นจาก พระพุทธศาสนา ความเป็น อริยะหากมี ก็อาจถูกริบด้วย
    ปฏิปทา ที่พิสูจน์ได้ จากการคบหา

    ทั้งนี้ มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่อง เล่นกับหมา มหาเลียปาก ถ้าคุยเรื่องนิมิต
    เขาก็จะ รวบเอาไปเป็น ทาสพระเจ้าของเขา

    เหมือนกับที่อินเดีย ที่เขาบอกว่า พระพุทธเจ้าคือ มารที่ถูกหลอกให้ตกนรกคือนิพพาน

    ไม่สามารถเข้าไปสู่ ใต้ฝ่าพระบาตร ของเทพ พวกเขา


    เว้นแต่ จะมี ศีลปในการ ฝาดให้สิ่งที่เขาถืออยู่ ตกจากมือ โดยไม่ใช่การขวนขวายนอกเขตบุญ
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เราเห็นความไม่แน่นอนของสรรพสัตว์ทั้งมนุษย์ภูมิ นรกภูมิ สวรรค์ภูมิ ความไม่แน่นอนที่เราเอ่ยถึงก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนั้น สำหรับเราทุกเรื่องจึงเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป แม้แต่กายและจิตเราก็ไม่มีอยู่จริง ทุกวันนี้แค่แสดงไปตามบทบาท ตามโลกสมมติเท่านั้นเอง สิ้นโลกสิ้นธรรมเมื่อไหร่นั่นแหละ การแสดงก็สิ้นสุดลง...
     
  15. นันทะชัยดี

    นันทะชัยดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +378
    ธรรมนี้เป็นยาก เมื่อเราปฏิบัติโดยกำหนดจิต พิจารณาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เพื่อให้จิตเข้าฌาน สมาธิ จนได้อัปปนาสมาธิ แต่ก่อนถ้าถอยออกมาวิตกที่อุปจารสมาธิ แล้วย้อนคืนกลับไปก็จะเกิดวิชชา(อภิญญา) แต่ธรรมนี้ยากกว่า เพราะยากตรงที่เมื่อเข้าสู่อัปปนาสมาธิ ตอนถอยต้องใช้สติปัฏฐานที่เป็นตัวนำทาง น่าจะเรียกว่า เป็นการตื่นในภวังค์ ย้อนคืนมาแต่ต้องไม่ถึงอุปจารสมาธิ ต้องหาจุดนี้ให้เจอ พอเจอแล้วก็มาตั้งสงบเป็นเอกัคคตาจิตที่ศูนย์กลางของภวังค์ มิน่าท่านผู้รู้ถึงกล่าวธรรมนี้เป็นของละเอียด ยากแก่การเข้าถึง ผู้ปฏิบัติต้องมีความเพียรในการปฏิบัติ ต้องไม่ถอยจากทางเดินที่เพียรพยายามกระทำอยู่ เพราะถ้าถอยมากไปก็จะเป็นแนวที่หย่อนไป แต่ถ้าถอยมากไปก็จะตึงไป ไปต่อไม่ได้
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เฮ้ย จริงดี

    พระแม่กาลี พระวิษณุ พระวิศวะ อะไรนั่น เคยเกิด ดับ ให้คุณเห็น ด้วยหรือ !?

    พระพุทธองค์ นั้น แสดงการเกิด ดับ ปรินิพพาน ประกาศชัดว่า เทพ มาร อินทร์ พรหม จะเห็นท่านไม่ได้อีก เมื่อ ปรินิพพาน ไปแล้ว
     
  17. นันทะชัยดี

    นันทะชัยดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +378
    ใหม่ๆกว่าเราจะหาเจอใช้เวลาเป็นสัปดาห์ สำหรับเราถือว่านานมาก เพราะปกติเราจะใช้เวลาไม่เกินสามวันในเรื่องเหล่านี้ เช่น ตอนที่เราเจริญอสุภะ กำหนดขันธ์ทั้งหลายเป็นโครงกระดูก หรือกำหนดเห็นม้าม เห็นปอด เห็นหัวใจ เห็นอะไรในกายต่างๆของเรา เราก็ใช้เวลาแค่สามวันเอง เราถึงว่า การเดินมรรคนั้นยากกว่า
     
  18. นันทะชัยดี

    นันทะชัยดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +378
    วันที่เราทำได้ เราเคยใช้อภิญญาที่เรียกว่า หูทิพย์ ซึ่งปกติถ้าเราเข้าฌานลึกๆ เสียงจะไม่ค่อยได้ยิน ได้รับรู้ แต่ในวันที่เราใช้วิชาหูทิพย์เพื่อใช้สื่อสารกับภพภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ มันเป็นความแปลกใหม่สำหรับเราในวันนั้น เป็นลักษณะของของภวังค์ที่ต้องใช้สติปัฏฐานตัดกระแสภสัวค์บางส่วน อธิบายเป็นภาษาปริยัติ คือตอนเข้าสู่ภวังค์ เป็นระดับภวังคบาท สงบ พอจวรเจียนจะสุดภวังค์ ก็ต้องตื่นเพื่อมาตัด มันอธิบายยากเหมือนกัน วันที่เราเดินมรรคได้ หาทางเข้ามรรคเจอ เราก็ทำคล้ายๆกันนี่แหละ แตกต่างกันตรงที่ตอนเป็นอภิญญา จิตมันมีการส่งออกนอก แต่มรรคมันส่งออกไม่ได้ นั้นคือความต่างหนึ่งข้อระ
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ภาษาไทยมันดิ้นได้ หรือว่าคนเราชอบปรุงแต่งตีความ เราไม่รู้หรอกนะว่าคุณเอกวีร์ต้องการอะไร เราไม่เคยไปเบียดเบียนใคร เราก็อยู่ส่วนของเรา ธรรมะเป็นของกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของทั้งนั้น เรามีความรักเคารพพระพุทธองค์สูงสุด และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก

    ส่วนใครจะคิดอะไรยังไงไม่เกี่ยวกับเรา ไม่ใช่เรื่องของเรา ปากของใครก็อยู่ที่คนนั้น หูเป็นของใครก็หูของคนนั้น ความคิดก็คือการปรุงแต่งเป็นของใครก็ของคนนั้น ชอบที่จะสร้างภพชาติก็ชอบไปคนเดียว อย่าดึงคนอื่นไปร่วมวงด้วย กรรมของใครของมัน คิดดีทำดีพูดดี ความคิดของเราไม่เคยไปทำให้ใครเดือดร้อน

    พึงพิจารณาด้วยนะ ความคิดความเห็นของคุณทำให้คุณมีความสุขหรือเปล่า ถ้ามีก็จงทำพูดคิดต่อไป สำหรับเราเฉยๆ หวังว่าคงจะเข้าใจนะ ถ้าอยากรู้จักเราจริงๆ เราจะบอกให้ว่าเราไม่มีตัวตนอยู่จริง

    คุณเข้าไปอ่านกระทู้บทความฯ ในห้องจักรวาลฯ แล้วคุณก็ประมวลความจากคติของตนเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถูกคืออะไร ผิดคืออะไร เพราะคุณยังเป็นปุถุชนธรรมดาที่ถูกย้อมด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน ปรุงแต่งขันธ์ห้าอยู่ตลอดเวลา จริงมั้ย? เราเห็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้นแก่จิตคุณนะ
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กั๊กๆ ผมจะดูอะไร อันแรก ก็ อัลบั๊มรูปส่วนตัวของคุณ ไง หละครับ

    ก็เห็น ชัดอยู่ว่า เคารพอะไรเป็นหลัก

    ส่วน ธรรมะเป็นของกลาง .....ฮึย ท่านคร้าบ พระพุทธองค์ตรัสสั่งแก่
    พุทธบริษัทสี่ของพระองค์ว่า ให้ ทำการแก้ไขทันทีที่ถูกบุคคลนอกศาสนา
    ทำการ จาบจ้วง ขโมยธรรมะ

    พระพุทธองค์ตรัสบอกว่า พระธรรมของพระพุทธองค์นัดงดงามมาก และหาก
    เอาไปกล่าวแล้ว จะคัดค้านไม่ได้

    ด้วยเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงพยากรว่า จะมีพวก หัวขโมย ไม่มีสัจจ ไม่มีศีล
    แสดงอาการลักปิด ลักเปิด อำพรางด้วย ร้อยเลห์ มารยา เข้ามา หยิบจับ
    คำของพระพุทธองค์ไปใช้

    เพื่ออะไร

    เพื่อ ขโมยเอาไปเป็นของตน ประกาศความเป็นอริยะ เหนือ บุคคลในพุทธบริษัทสี่

    พระพุทธองค์ตรัสบอกว่า จริงๆแล้ว พระพุทธองค์นั้น พร้อมปรินิพพาน นานแล้ว

    แต่ ความที่พุทธบริษัท ยังโง่เขลา รับสั่งอะไรแล้ว ก็ทำนิ่งเฉย ไม่แก้ไข พระพุทธ
    จึงทรงลำบากพระวรกาย พระหทัย ต้องรอจนกว่า พุทธบริษัทสี่ จะหาญกล้าพอ
    ที่จะทำการ แก้ไขการโดนจาบจ้วง ทันที ที่ปรากฏปัญหา มิเช่นนั้น อินเดียเรียกพี่ แน่นอน

    ศาสนาพุทธจะอันตรธานหายไปจาก ประเทศไทย เหมือนในอินเดียแน่นอน เพราะ พวกมิจฉาทิฏฐิ
    ยังตามมาจาบจ้วงไม่เลิก
     

แชร์หน้านี้

Loading...