พระสัทธรรม VS สัทธรรมปฏิรูป/ธรรมปลอมทำลายพระอริยะสงฆ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย testewer, 20 ธันวาคม 2014.

  1. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    การตัดทอนพุทธะวจนะนี้ของ ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นการกระทำโดยตั้งใจ แต่สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ส่วนใหญ่ไม่ทราบจึงยกมาอธิบายให้ผู้อ่านรับทราบไว้

    การกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล นี้มีผลคือเป็นการทำลายพระศาสนา และทำให้พระสัทธรรมเลือนหาย กลายเป็น สัทธรรมปฏิรูป หรือ ธรรมปลอม /ธรรมเทียมดังนี้
    1.คำสอนที่ไม่มีเคารพยำเกรงใน องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
    2.คำสอนที่ไม่มีความ เคารพยำเกรงใน พระธรรม ตลอดจนถึงตัดทอนพระพุทธวจนะ เพื่อประโยชน์ตนเองเป็นใหญ่
    3.คำสอนที่ทำลายคำสอนพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย และทำลายศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ทั้งที่ องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ชาวพุทธยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
    4.ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา ท่านตัดสิกขาบทของภิกษุจาก 227 ข้อ เหลือ 150 ข้อ
    5.คำขยายพุทธะวจนะ เกี่ยวข้องกับ สมาธิท่านขยายความผิดทั้งหมด ท่านขยายความหรือสอนพุทธะวจนะ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติสมาธิ ทั้งที่ตัวท่านเอง ไม่สามารถปฏิบัติสมาธิได้ตามพุทธะวจนะนั้น
    ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล สอนสมาธิในขณะตนทำไม่ได้ในสิ่งที่ตนสอน ตนขยายความ เป็นการไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ แล้วสาวกท่านจะทำได้อย่างไร ในเมื่อท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโลยังทำไม่ได้เลย เป็นเหตุแห่งการปิดกั้นผลของสมาธิ ให้สิ้นไป

    การกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นการทำลายพระพุทธะศาสนาและ พระรัตนตรัยโดยตรง
    (พระสัทธรรมเลือนหาย นี้ คือ การทำลายพระพุทธะศาสนา และพระรัตนตรัยโดยตรง )

    เกรงว่า สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล จะไม่ทราบว่า ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล มีคำสอนที่ไม่มีเคารพยำเกรงใน องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีจริงหรือไม่ ท่านผู้อ่านพิจารณากันเอง
    link นี้ ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ไม่มีเคารพยำเกรงใน องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยะสงฆ์ สรุป ไม่เคารพยำเกรงทั้ง พระรัตนตรัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2014
  2. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    การกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล นี้ทำให้พระสัทธรรมเลือนหาย ถ้าพระสัทธรรมเลือนหาย พระพุทธศาสนา และพระรัตนตรัยจะตั้งอยู่ได้ไม่นาน

    พระสัทธรรมเลือนหาย ก็เพราะ สัทธรรมปฏิรูป หรือธรรมเทียม/ธรรมปลอม เกิดขึ้น
    ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า พระสัทธรรมเลือนหาย ก็เพราะ สัทธรรมปฏิรูป ตรงกับการกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล หรือไม่

    ความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม หรือ สัทธรรมปฏิรูป เกิดขึ้นจากเหตุผล 5 ประการ คือ พุทธบริษัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)
    1. ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
    2. ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม
    3. ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์
    4. ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา
    5. ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ

    สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ที่มีส่วนร่วมกับกระทำหรือเผยแพร่การกระทำของ ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล คือ ผู้ทำลายพระพุทธศาสนา และพระรัตนตรัยโดยตรง ให้ท่านรีบกลับตัวกลับใจเสีย
     
  3. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล มักอ้างว่า การกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และเหล่าสาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นการช่วยรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่
    ท่านเหล่าสาวกคึกฤทธิ์ กำลังมีส่วนช่วยรักษาพระพุทธศาสนา หรือทำลายพระพุทธศาสนา ท่านพิจารณาไตร่ตรองให้ดี เพราะท่านกำลังหลงผิดอย่างมาก


    การกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ไม่ว่าจะเป็นการยกพระพุทธะวจนะ เพื่อให้ตนดูดีกว่าพระสาวกอื่น ยกพระพุทธะวจนะ เพื่อข่มพระสาวกอื่นทั้งหมด ยกพระพุทธะวจนะ เพื่อทำลายคำสอนของพระอรหันต์ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ให้สิ้นๆไป การกระทำดังกล่าวนี้ มิใช่เป็นการช่วยรักษาพระพุทธศาสนา แต่เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จัดว่าการกระทำของ ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล คือ มหาโจร ที่อาศัยในพระพุทธศาสนา

    ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เคยอ้างถึง มหาโจร ในทางพระพุทธศาสนาว่า "ถ้าสาวกยกเอาคำพระศาสดา แล้วบอกว่าเป็นธรรมของตนเอง คือ มหาโจร ประเภทที่ 2 ในทางพระศาสนา "
    ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล นี้ขยายความ มหาโจร ในทางพระพุทธศาสนาผิด เพื่อยกตนให้ดีกว่าสาวกอื่น แต่เราจะชี้ให้เห็นว่ามหาโจร
    ในทางพระพุทธศาสนา ที่ท่านขยายความผิด เมื่อขยายความที่ถูกต้องแล้วนั้น ตรงกับการกระทำของ ตัวท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโลนั้นเอง
     
  4. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
    [๒๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร ๕ จำพวก
    เป็นไฉน


    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ
    เราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี
    เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญ
    สมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและ
    ราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่น
    เผาผลาญฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
    ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว
    เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชา
    ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอเป็นผู้
    อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์
    และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
    และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่
    ในโลก

    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียน
    ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒
    มีปรากฏอยู่ในโลก

    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัด
    เพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่
    พรหมจรรย์อันหามูลมิได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก

    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์
    เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อาราม
    วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ
    มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว
    เครื่องไม้ เครื่องดิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก

    ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง
    นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ
    พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาว
    แว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.
    นิคมคาถา

    ภิกษุใด ประกาศตนอันมีอยู่โดยการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น โภชนะนั้น
    อันภิกษุนั้น ฉันแล้ว ด้วยอาการแห่งคนขโมย ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น
    ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม ไม่สำรวมแล้ว
    ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุ
    ผู้ทุศีล ผู้ไม่สำรวมแล้วบริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ ประเสริฐกว่า การฉันก้อนข้าว
    ของชาวรัฐ จะประเสริฐอะไร.

    พุทธะวจนะนี้ มีความหมายตรงตัวได้ใจว่า แต่ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล แปลว่า "ถ้าสาวกยกเอาคำพระศาสดา แล้วบอกว่าเป็นธรรมของตนเอง คือ มหาโจร ประเภทที่ 2 ในทางพระศาสนา " สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ลองพิจารณาดูว่าตรงตามที่ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ขยายความหรือไม่

    คำขยายความของเรา
    มหาโจร ประเภทที่ 2 คือ ภิกษุเลวทรามที่อาศัยธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว เพื่อให้ตนดูดี ยกตนให้เลิศ
    มหาโจร ประเภทที่ 3 คือ ภิกษุเลวทราม ตามกำจัดภิกษุที่ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ (พระอรหันต์)อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้


    สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ลองพิจารณาดูว่า การกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล นี้ตรงกับมหาโจร ประเภทที่ 2 และ ประเภทที่ 3 หรือไม่
    สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ที่ได้อ่านกระทู้นี้แล้วยังไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้ ท่านจะมีเหตุแห่งอบายภูมิ จะไม่พ้นจากอบายภูมิ ท่านจะมีส่วนช่วยมหาโจร มีส่วนช่วยในการทำลายพระพุทธศาสนา

     
  5. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    เราเน้นคำว่า สาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เพราะเราเป็นห่วงสาวกท่านคึกฤทธิ์ ที่มีเป็นจำนวนมาก จะมีเหตุแห่งอบายภูมิทั้งหมด ทั้งที่มีเจตนาดีในการช่วยเหลือพระพุทธศาสนา เราไม่ปรารถนาที่เห็นผู้มีเจตนาดีหลงผิด แล้วต้องมีเหตุแห่งอบายภูมิ

    เราจะเล่าให้ท่านฟังว่า ไฟในนรก นั้น ร้อนแรงมาก ไฟนรกนั้นมี สีส้มเข้ม เสียงของไฟนรกดังประหนึ่งเสียงลมที่พัดเข้าหูอย่างร้าย ที่เล่าให้ฟังนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกับพวกท่านนะ

    เราไม่ปรารถนาให้ท่านใดไป นรก แม้ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เองก็ตาม แต่ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ทำกรรมหนัก เทียบได้กับ ท่านเทวทัต คือ อนันตริยกรรม
    ดังนั้น ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เมื่อตายจากโลกนี้ แล้วจะมีที่ไปอย่างเดียว คือ อบายภูมิ ถ้าท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโลกลับตัวกลับใจเสียก่อนท่านจะไม่ลงไปขุมลึก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2014
  6. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    อนันตริยกรรม คือ กรรมหนักที่สุด

    อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมหนักที่สุด
    1. มาตุฆาต
    2. ปิตุฆาต
    3. อรหันตฆาต
    4. โลหิตุปบาท
    5. สังฆเภท


    เราจะขยายความเฉพาะสังฆเภท

    สังฆเภท แปลว่า การทำสงฆ์ให้แตกกัน การทำลายสงฆ์ ความแตกกันแห่งสงฆ์

    สังฆเภท หมายถึงการยุยง การขวนขวายให้สงฆ์แตกความสามัคคีกัน ไม่
    ปรองดองกันจนถึงกับแยกกันทำอุโบสถสังฆกรรม แม้จะมีการห้ามปรามตักเตือนจนสงฆ์ประชุมกันให้เลิกละการกระทำอย่างนั้นเสีย ก็ยังไม่ปฏิบัติตาม ยังฝืนทำเช่นนั้นอีก เช่นนี้จัดเป็นสังฆเภท

    สังฆเภท จัดเป็นอนันตริยกรรมคือกรรมที่มีโทษหนักที่สุดเท่ากับโทษฆ่าบิดามารดา มีผลถึงห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานทีเดียว ผู้ที่ทำลายสงฆ์ท่านมุ่งเอาเฉพาะภิกษุเท่านั้น คำว่า ทำลายสงฆ์ หมายเอา การทำให้สงฆ์แตกแยกกันเป็น ๒ ฝ่าย หรือมากกว่านั้น โดยที่สงฆ์ เหล่านั้นไม่ยอมทำอุโบสถกรรม ปวารณากรรม หรือสังฆกรรรมอย่างอื่น ๆ ร่วมกัน เพราะเกิดความแตกแยก ความรังเกียจ หรือความอาฆาตพยาบาทจองเวรกัน

    ภิกษุมีศีล 227 ข้อ การที่ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ถือเพียง 150 ข้อนั้น ทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่ถือศีลเพียง 150 ข้อ ไม่สามารถทำ สังฆกรรรมกับ ภิกษุ ที่ถือศีล 227 ข้อ ได้ และด้วยสาเหตุนี้ ทำให้ ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ถูกตัดออกจากวัดหนองป่าพง และการถูกตัดออกจากวัดหนองป่าพงก็เป็นหนึ่งของ สาเหตุที่ทำให้ท่านตามทำลายล้างคำสอนของพระอรหันต์ ไม่เว้นแม้แต่หลวงปู่ชา อาจารย์ท่านเองในอดีต โดยอาศัยพุทธะวจนะที่ขยายความผิดๆ

    การที่ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล กระทำเช่นนี้เป็นการแยกสังฆกรรรมของภิกษุ กรรมที่กระทำนี้ มีผลอนันตริยกรรมคือกรรมที่มีโทษหนักที่สุด ในยุคนี้ภิกษุที่กระทำหนักที่ยิ่งไปกว่าท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล นี้ไม่มี (เณรคํา ยันตระ นิกร ยังไม่เท่ากับท่านเลย)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2014
  7. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    ตัวอย่าง ภิกษุที่สอนพุทธวจนะ ปรามาสภิกษุอื่นและพระอริยะเจ้า ไปอเวจี

    ๒๔. ตัณหาวรรควรรณนา
    ๑. เรื่องปลาชื่อกปิละ [๒๔๐] ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปลาชื่อกปิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มนุชสฺส" เป็นต้น.

    สองพี่น้องออกบวช
    ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ปรินิพพานแล้ว กุลบุตรสองคนพี่น้องออกบวชในสำนักแห่งพระสาวกทั้งหลาย.
    บรรดากุลบุตรสองคนนั้น คนพี่ได้ชื่อว่าโสธนะ คนน้องชื่อกปิละ. ส่วนมารดาของคนทั้งสองนั้น ชื่อว่าสาธนี น้องสาวชื่อตาปนา. แม้หญิงทั้งสองนั้นก็บวชแล้วใน (สำนัก) ภิกษุณี.
    เมื่อคนเหล่านั้นบวชแล้วอย่างนั้น พี่น้องทั้งสองทำวัตรและปฏิวัตรแก่พระอาจารย์และพระอุปัชฌายะอยู่ วันหนึ่ง ถามว่า "ท่านขอรับ ธุระในพระศาสนานี้มีเท่าไร?" ได้ยินว่า "ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ ๑ วิปัสสนาธุระ ๑" ภิกษุผู้เป็นพี่คิดว่า "เราจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" อยู่ในสำนักแห่งพระอาจารย์และพระอุปัชฌายะ ๕ พรรษาแล้ว เรียนกัมมัฏฐานจนถึงพระอรหัต เข้าไปสู่ป่า พยายามอยู่ ก็บรรลุพระอรหัตผล.

    น้องชายเมาในคันถธุระ
    ภิกษุน้องชายคิดว่า "เรายังหนุ่มก่อน ในเวลาแก่จึงจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" จึงเริ่มตั้งคันถธุระ เรียนพระไตรปิฎก. บริวารเป็นอันมากได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยปริยัติของเธอ ลาภก็ได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยบริวาร. เธอเมาแล้วด้วยความเมาในความเป็นผู้สดับมาก อันความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว
    เพราะเป็นผู้สำคัญตัวว่าฉลาดยิ่ง ย่อมกล่าวแม้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ อันคนเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่า "เป็นอกัปปิยะ" กล่าวแม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่า "เป็นกัปปิยะ" กล่าวแม้สิ่งที่มีโทษว่า "ไม่มีโทษ" กล่าวแม้สิ่งไม่มีโทษว่า "มีโทษ"
    เธอ แม้อันภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักทั้งหลายกล่าวว่า "คุณกปิละ คุณอย่าได้กล่าวอย่างนี้" แล้วแสดงธรรมและวินัยกล่าวสอนอยู่ ก็กล่าวว่า "พวกท่านจะรู้อะไร? พวกท่านเช่นกับกำมือเปล่า" เป็นต้นแล้ว ก็เที่ยวขู่ตวาดภิกษุทั้งหลายอยู่.

    น้องชายไม่เชื่อพี่
    ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายบอกเนื้อความนั้นแม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายของเธอแล้ว. แม้พระโสธนะเถระเข้าไปหาเธอแล้ว ตักเตือนว่า "คุณกปิละ ก็การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายผู้เช่นเธอ ชื่อว่าเป็นอายุพระศาสนา เพราะฉะนั้น เธออย่าได้ละการปฏิบัติชอบแล้ว กล่าวคัดค้านสิ่งที่เป็นกัปปิยะเป็นต้นอย่างนั้นเลย." เธอมิได้เอื้อเฟื้อถ้อยคำแม้ของท่าน แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเถระก็ตักเตือนเธอ ๒-๓ ครั้ง ทราบเธอผู้ไม่รับคำตักเตือนว่า "ภิกษุนี้ไม่ทำตามคำของเรา" จึงกล่าวว่า "คุณ ถ้าดังนั้น เธอจักปรากฏด้วยกรรมของตน" ดังนี้แล้วหลีกไป.

    น้องชายเสียคนเพราะถูกทอดทิ้ง
    จำเดิมแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักแม้เหล่าอื่น ทอดทิ้งเธอแล้ว. เธอเป็นผู้มีความประพฤติชั่วอันพวกผู้มีความประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่
    วันหนึ่ง คิดว่า "เราจักสวดปาติโมกข์" จึงถือพัดไปนั่งบนธรรมาสน์ในโรงอุโบสถแล้ว ถามว่า "ผู้มีอายุ ปาติโมกข์ย่อมเป็นไปเพื่อภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นี้หรือ?" เห็นภิกษุทั้งหลายนิ่งเสีย ด้วยคิดว่า "ประโยชน์อะไรด้วยคำโต้ตอบที่เราให้แก่ภิกษุ?" จึงกล่าวว่า "ผู้มีอายุ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ไม่มี, ประโยชน์อะไรด้วยปาติโมกข์ที่พวกท่านจะฟังหรือไม่ฟัง" ดังนี้แล้ว ก็ลุกไปจากอาสนะ.
    เธอยังศาสนา คือปริยัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้เสื่อมลงแล้วด้วยอาการอย่างนี้.
    แม้พระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้นเอง.
    ในกาลสิ้นอายุ ภิกษุกปิละเกิดในอเวจีมหานรก. มารดาและน้องสาวของเธอแม้นั้น ถึงทิฏฐานุคติของเธอนั่นแล ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักแล้ว ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกนั้นเหมือนกัน.

    โจรเกิดในเทวโลกด้วยอำนาจของศีล
    ก็ในกาลนั้น บุรุษ ๕๐๐ คนทำโจรกรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็นต้น เป็นอยู่ด้วยกิริยาของโจร ถูกพวกมนุษย์ในชนบทตามจับแล้ว หนีเข้าป่า ไม่เห็นที่พึ่งอะไรในป่านั้น เห็นภิกษุผู้อยู่ในป่าเป็นวัตรรูปใดรูปหนึ่ง ไหว้แล้ว กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้าเถิด."
    พระเถระกล่าวว่า "ชื่อว่าที่พึ่งเช่นกับศีล ย่อมไม่มีแก่ท่านทั้งหลาย, พวกท่านแม้ทั้งหมดจงสมาทานศีล ๕ เถิด."
    โจรเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" ดังนี้แล้ว สมาทานศีลทั้งหลาย.
    ลำดับนั้น พระเถระตักเตือนโจรเหล่านั้นว่า "บัดนี้ พวกท่านเป็นผู้มีศีล พวกท่านไม่ควรล่วงศีลแม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเลย ความประทุษร้ายทางใจ ก็ไม่ควรทำ"
    โจรเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" แล้ว.
    ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้น (มา) ถึงที่นั้นแล้ว ค้นหาข้างโน้นข้างนี้ พบโจรเหล่านั้นแล้ว ก็ช่วยกันปลงชีวิตเสียทั้งหมด. พวกโจรเหล่านั้นทำกาละแล้ว ก็บังเกิดในเทวโลก. หัวหน้าโจรได้เป็นหัวหน้าเทพบุตร.

    เทพบุตรถือปฏิสนธิในตระกูลชาวประมง
    เทพบุตรเหล่านั้นท่องเที่ยวไปในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ด้วยอำนาจอนุโลมและปฏิโลม ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดแล้วในบ้านชาวประมง ๕๐๐ ตระกูลใกล้ประตูพระนครสาวัตถี. หัวหน้าเทพบุตรถือปฏิสนธิในเรือนของหัวหน้าชาวประมง, พวกเทพบุตรนอกนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนชาวประมงนอกนี้. การถือปฏิสนธิและการออกจากท้องมารดาแห่งชนเหล่านั้น ได้มีแล้วในวันเดียวกันทั้งนั้น ด้วยประการฉะนี้.
    หัวหน้าชาวประมงให้คนเที่ยวแสวงหาว่า "พวกทารกแม้เหล่าอื่นในบ้านนี้ เกิดแล้วในวันนี้มีอยู่บ้างไหม?" ได้ยินความที่ทารกเหล่านั้นเกิดแล้ว จึงสั่งให้ๆ ทรัพย์ค่าเลี้ยงดูแก่ชาวประมงเหล่านั้น ด้วยตั้งใจว่า "พวกทารกนั้น จักเป็นสหายของบุตรเรา"
    ทารกเหล่านั้นแม้ทุกคนเป็นสหายเล่นฝุ่นร่วมกัน ได้เป็นผู้เจริญวัยโดยลำดับแล้ว บรรดาเด็กเหล่านั้น บุตรของหัวหน้าชาวประมงได้เป็นผู้เยี่ยมโดยยศและอำนาจ.

    กปิละเกิดเป็นปลาใหญ่
    แม้ภิกษุกปิละไหม้ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว ในกาลนั้น บังเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี มีสีเหมือนทองคำ มีปากเหม็น ด้วยเศษแห่งวิบาก.
    ต่อมาวันหนึ่ง สหายเหล่านั้นปรึกษากันว่า "เราจักจับปลา" จึงถือเอาเครื่องจับสัตว์น้ำมีแหเป็นต้นทอดไปในแม่น้ำ. ทีนั้น ปลานั้นได้เข้าไปสู่ภายในแหของคนเหล่านั้น. ชาวบ้านประมงทั้งหมดเห็นปลานั้นแล้ว ได้ส่งเสียงเอ็ดอึงว่า "ลูกของพวกเรา เมื่อจับปลาครั้งแรก จับได้ปลาทองแล้ว คราวนี้ พระราชาจักพระราชทานทรัพย์แก่เราเพียงพอ." สหายแม้เหล่านั้นแล เอาปลาใส่เรือ ยกเรือขึ้นแล้วก็ไปสู่พระราชสำนัก.
    แม้เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นปลานั้น ตรัสว่า "นั่นอะไร?" พวกเขาได้กราบทูลว่า "ปลา พระเจ้าข้า." พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลามีสีเหมือนทองคำ ทรงดำริว่า "พระศาสดาจักทรงทราบเหตุที่ปลานั่นเป็นทองคำ" ดังนี้แล้ว รับสั่งให้คนถือปลา ได้เสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่อปากอันปลาพออ้าเท่านั้น พระเชตวันทั้งสิ้นได้มีกลิ่นเหม็นเหลือเกิน.
    พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า เพราะเหตุไร ปลาจึงมีสีเหมือนทองคำ? และเพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของมัน?"
    พระศาสดา. มหาบพิตร ปลานี้ได้เป็นภิกษุชื่อกปิละ เป็นพหูสูต มีบริวารมาก ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป, ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำของตน ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้เสื่อมลงแล้ว. เขาบังเกิดในอเวจีด้วยกรรมนั้นแล้ว บัดนี้ เกิดเป็นปลาด้วยเศษแห่งวิบาก ก็เพราะเธอบอกพระพุทธวจนะ กล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน จึงได้อัตภาพมีสีเหมือนทองคำนี้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เธอได้เป็นผู้บริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น มหาบพิตร อาตมภาพจะให้ปลานั้นพูด.
    พระราชา. ให้พูดเถิด พระเจ้าข้า.
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามปลาว่า "เจ้าชื่อกปิละหรือ?"
    ปลา. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ.
    พระศาสดา. เจ้ามาจากที่ไหน?
    ปลา. มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. พระโสธนะพี่ชายใหญ่ของเจ้าไปไหน?
    ปลา. ปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. ก็นางสาธนีมารดาของเจ้าเล่าไปไหน?
    ปลา. เกิดในนรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. นางตาปนาน้องสาวของเจ้าไปไหน?
    ปลา. เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. บัดนี้ เจ้าจักไปที่ไหน?
    ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า "จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว อันความเดือดร้อนครอบงำแล้ว เอาศีรษะฟาดเรือ ทำกาละในทันทีนั่นเอง เกิดในนรกแล้ว.
    มหาชนได้สลดใจมีโลมชาติชูชันแล้ว.

    พระศาสดาตรัสกปิลสูตร
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูวาระจิตของบริษัทผู้ประชุมกันในขณะนั้น เพื่อจะทรงแสดงธรรมให้สมควรแก่ขณะนั้น จึงตรัสกปิลสูตรในสุตตนิบาต๑- ว่า
    "นักปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวการประพฤติธรรม ๑ การประพฤติพรหมจรรย์ ๑ นั่นว่า เป็นแก้วอันสูงสุด"
    ____________________________
    ๑- ขุ. สุ. ๒๕/ข้อ ๓๒๑. ธรรมจริยสูตร.
     
  8. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    การกระทำของท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโลนี้ ไม่ได้มีแต่เฉพาะในสมัยนี้ สมัยองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดมเท่านั้น แต่ในอดีตสมัยองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสป ก็มีภิกษุเลวทราบต่ำช้า เช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

    ภิกษุผู้เลวทรามต่ำช้า สอนพระพุทธะวจนะ เป็นพหูสูต มีบริวารมาก ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำของตน ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้เสื่อมลง แล้ว. เขาบังเกิดในอเวจี
    (ลงนรกอเวจี เพราะไปปรามาส พวกภิกษุผู้ไม่ถือคำของตน รวมถึงพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ส่วนท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล นี้กระทำสังฆเภทด้วยหนักกว่าท่านนี้เยอะ ไม่ต้องไปอ้างตำราว่ามีศีลเท่าไร ให้ดูที่เจตนาการกระทำ ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์หรือไม่ พิจารณาดูเอง )

    ที่ยกตัวอย่างขึ้นมานี้ไม่ได้เป็นการตอกย้ำหรือเอาชนะท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล หรือเหล่าสาวกท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เราไม่เห็นประโยชน์อะไรจากการเอาชนะพวกท่าน แต่พวกท่านจะได้ประโยชน์จากการเตือนของเรานี้ เพราะเหล่าสาวกท่านคึกฤทธิ์ จะได้กลับตัวกลับใจได้ และเหล่าสาวกกับท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล จะได้ไม่ตกนรกไปถึงโลกันตร์นรก (กระทำผิดซ้ำๆซากๆ จะไปถึงโลกันตร์นรก ) ย้ำกว่าเหล่าสาวกท่านคึกฤทธิ์ ที่ได้ปรามาสพระอริยะเจ้าแล้ว มีผลไปนรกอเวจีเช่นเดียวกัน ให้รีบกลับตัวกลับใจเสีย ดูได้จากตัวอย่างที่ยกมาให้อ่านในอดีต ถ้าเราไม่ปรารถนาช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ เราคงไม่มาเสียเวลาแบบนี้ เราคงนิ่งเฉยไปนานแล้ว
     
  9. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ดูกันหลายๆมุม เมื่อผิดก็ทักท้วงกัน เพื่อความเข้าใจถูกต้อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...