ธาตุไฟ ฝึกกสินไฟ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย bschaisiri, 14 ธันวาคม 2014.

  1. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    พอจะมีใคร. อธิบาย เรื่องธาตุไฟ และฝึกกสินไฟ

    เพื่ออาไรให้รู้หน่อยได้ใหมคับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ถ้าเคยได้ฟังเทปของ หลวงพ่อมีชื่อในอดีตในเรื่อง ของปฏิสัมภิทาญาน
    ชุดนั้นถ้าจำไม่ผิดจะมีอยู่ ๖ หรือ ๕ ตอนไม่แน่ใจครับ..
    และตั้งใจฟังให้ดีๆ.โดยมากเวลาท่านจะสอนทริคต่างๆ ท่านมักจะลดโทน
    เสียงลงเล็กน้อย และฟังให้ดีๆและให้ทำตามที่ท่านกล่าวจะเข้าถึงได้เร็ว
    และจะพบว่าเป้าหมายในการฝึกนั้นก็เพื่อที่จะนำสมาธิที่ได้
    จากฝึกตรงนี้เพื่อนำไปเป็นฐานสำหรับการวิปัสสนาเพื่อตัดกิเลสในระดับ
    ที่ละเอียดขึ้นที่อยู่ภายในก้นบึงของตัวจิตครับ ซึ่งกิเลสละเอียดตรงนี้
    ต้องอาศัยการปฏิบัติให้เข้าถึงจึงจะสามารถทราบได้..
    และถ้าตัดได้น้อยมากขึ้น จนเหลือได้น้อยแล้วเมื่อไร
    ตัวจิตก็จะเริ่มก้าวสู่ระดับปฏิสัมภิทาญานขั้นพื้นฐานได้..
    นั่นหมายความว่าในสภาวะปกติ จิตจะต้องว่างใช้งานได้
    แบบไม่ข่ม ไม่บังคับ ไม่มีกิเลสมาแทรกนะเวลานั้นและ
    บวกกับตัวจิตมีความเป็นทิพย์และมีกำลังสมาธิสะสมเพียงพอ
    ในระดับใช้งานได้จริงเป็นพื้นฐานร่วมด้วยครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ..
     
  4. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก ตั้งแต่หาสถานที่ ในป่า หรือที่ไกลเสียง

    ควรเจริญกสิณไฟในเวลากลางคืน

    เตรียมอุปกรณ์ เช่นกล่องสังกระสี เจาะเป็นวงกลมในระดับสายตา ขนาดเท่าลูกฟุตบอลก็ได้

    ภายในสามารถวางถาดไฟ ส่วนเชื้อเพลิง ควรเป็นประเภทฟืนและน้ำมันมะพร้าว เพราะจะไม่ให้ควัน

    ทีนี้ลักษณะภาวนา ไม่นั่งไกล้ หรือไกลมากนัก เพื่อสัมผัสความร้อน และเสียงของเปลวไฟ

    วิธีพิจารณา ให้กำหนดดูที่ช่องไฟ จนเปลวไฟลุกเต็มช่องไฟ พร้อมบริกรรม เตโชๆ

    ไม่ดูนาน เอาแค่ไฟเต็ม แล้วหลับตาน้อมนิมิตไฟ เมื่อหาย ให้ลืมตาดู แล้วหลับตา

    ทำเช่นนี้แล้วๆเล่าๆในระดับเริ่มต้น

    ปล. ถ้าเจริญกสิณไฟแล้วรู้สึกร้อน ถือว่าผิดทาง

    เพราะวัตถุประสงค์ เพื่อกำหนดนิมิตจากแสงไฟมาเป็นอารมณ์

    การเพ่งเทียนไม่แนะนำ


    ส่วนจะพิจารณาธาตุไฟ หรือ เตโช ในวิปัสสนา

    ให้น้อมไปที่อุณหภูมิ หรือ ความร้อนเย็นที่ปรากฏภายในกายบ้าง โดยผัสสะที่กระทบภายนอกบ้าง

    เช่น ลมหายใจ เข้าเย็น ออกร้อน

    เวทนาที่รุนแรง อากร้อนก็ปรากฏให้รู้โดยเป็นรูปธาตุ เตโชธาตุ

    การรู้อย่างนี้จัดเป็น จตุธาตุววัฏฐาน พิจารณาโดย ๑๒ ลักษณะ


    ลองพิตารณาดูว่าอย่างไหนถูกจริต และเป็นประโยชน์บัจจุบัน ประโยชน์โลกนี้ ประโยชน์โลกหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2014
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ผมฝึกเพ่งไฟจากเปลวเทียน ทั้งกลางวันและกลางคืน
    การเพ่ง ให้มองไปที่เปลวไฟที่ลุกสว่าง ในจิตให้ภาวนาพุทธ โธ ควบคู่ไปด้วย การฝึกแบ่งเป็นสามระยะ

    1ระยะเริ่มต้น เพ่งดูความสวยงามของเปลวไฟ จนพอใจแล้วหลับตา นึกภาพให้ปรากฏ พอเราเพ่งเราหลับตาภาพจะยังคงอยู่ ให้จดจำภาพหรือระลึกถึงภาพนั้นให้ปรากฏ หากจำไม่ได้ก็ให้ลืมตาแล้วเพ่งดูใหม่ ขณะเพ่งภาวนาไปด้วย ทำจนกว่าจะเกิดปรากฏภาพดวงไฟจากเปลวเทียน ทำให้ชำนาญ จนสร้างภาพนิมิตได้สำเร็จ คืออุคหนิมิต ภาพดวงไฟหรือเปลวไฟจากเปลวเทียน

    2 เมื่อทำข้อหนึ่งชำนาญแล้ว ให้ฝึกแบบเพ่งมองโดยไม่กระพริบตามองอยู่อย่างนั้นใหม่ๆตาจะกระพริบบ่อยเพราะไม่เคยชิน ประกอบกับแสงไฟจากเปลวเทียนมีอำนาจทะลุทะลวงทำให้ดวงตาเกิดน้ำตา ไหลออกมา ให้ฝึกเพ่งแบบนี้ให้ยาวนานยิ่งขึ้น จนตาไม่กระพริบ น้ำตาลไม่ไหล เมื่อนั้นท่านจะหลับตาหรือลืมตา ภาพอุคหนิมิตดวงไฟจากเปลวไฟของเทียนจะเกิดปรากฏในจักษูของท่านตลอดเวลา
    การฝึกข้อสองนี้ มีความอันตราย ท่านจะทำได้สำเร็จต้องผ่านข้อ1และผ่านสมาธิระดับฌาณ1ขึ้นไปจึงทำได้ เมื่อทำได้แล้ว ปฏิภาคนิมิตรจะปรากฏ แสงสว่างจากดวงไฟจะขยายใหญ่แผ่รังสี สว่างมาก ปฏิภาคนิมิตในขณะจิตทรงฌาณจะมีกำลังมาก เกิดได้หลากหลายรูปแบบ วิธีนี้เป็นทางลัดที่อันตราย แต่ถ้าแบบไม่อันตรายคือฝึกตามข้อหนึ่ง แบบสายกลางเพ่งดับเพ่งดับ ทำไปจนชำนาญ แล้วหลับตา ดึงภาพอุคหนิมิตให้เกิด เมื่อทำจนชำนาญแล้วค่อย เพิ่มกำลังสมาธิด้วยการกำหนดให้ดวงไฟมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งการฝึกแบบนี้จะใช้เวลานานกว่าจะไปถึงปฏิภาคนิมิต

    เมื่อทำข้อสองจนชำนาญ ผมจะกล่าวไปถึงขั้นที่สามคือ
    3 หลังจากเกิดปฏิภาคนิมิต ให้ฝึกสมาธิอาศัยภาพความสว่างของดวงไฟหรือเปลวไฟ เคลื่อนไปทำประโยชน์ตามที่ตนปารถนา จิตต้องสงบร่มเย็น เยือกเย็นอ่อนโยนค่อยๆกำหนดให้กสินไฟจากปฏิภาคนิมิตที่เกิด เคลื่อนไปตามปราถนา เช่น เคลื่อนไป ยังสถานที่ใดที่หนึ่ง สถานที่นั้นจะที่เคยมืดก็จะสว่าง เคลื่อนลงไปในน้ำ น้ำนั้นก็จะสว่าง เป็นต้น
    เป็นการสร้างอิทธิฤทธิ์จากกสินไฟ ขั้นต้น ผมเรียกว่า มหาปฏิภาคนิมิต

    ระดับอิทธิฤทธิ์ คือหมายถึงการต่อยอดจากข้อสาม คือการซึมซับเอา พลังแสงสว่าง ความร้อน คือรับเอาทั้งรูป และนามของตัวกสินไฟ ที่เกิดนำไปใช้ประโยชน์ ข้อนี้อาศัยพื้นฐานจากข้อสองคือการเพ่งแบบต่อเนื่อง จากข้อสอง เพิ่มกำลังสมาธิกำลังจิต ด้วยการฝึกเพ่งอาศัยระยะเวลา ที่จิตทรงพลัง เสวยปฏิภาคนิมิต ยาวนานต่อเนื่อง จนจิตมีกำลังก่อให้เกิดเป็นพลัง ซึ่งส่วนมากทุกท่านที่ฝึกจะต้องเจอลักษณะคล้ายๆกันคือ เพ่งจน เปลวไฟจากดวงเทียนระเบิดกระจายออก ซึ่งนับว่าอันตรายมาก ผู้ที่พื้นฐานยังไม่ดีไม่ควรทำการฝึกแบบข้ามขั้น

    เมื่อเราทำจนชำนาญ นั่นคือมหาปฏิภาคนิตมีกำลัง เพราะอาศัยกำลังจากสมาธิและกำลังจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว ทำให้กสินไฟมีกำลัง จุดติดไฟได้จริง หรือ เกิดไฟลม หลอกหลอนจิตผู้อื่นได้ เหมือนถูกไฟครอก แต่ความจริงเป็นแค่เพียงภาพมายาที่หลอนจิตเขาเหล่านั้น เป็นสภาวะขั้นสูงที่จัดอยู่ในกวิชาแปรธาตุ ครับ เป็นของพระอนาคามีขึ้นไปครับทำได้ไม่อันตรายครับ

    สิ่งสำคัญการฝึกต้องอยู่ในสถานที่อันเงียบสงบ จะมืดหรือสว่างก็ได้ แต่ควรเริ่มต้นจากความสว่างก่อนแล้วมืด แล้วค่อยต่อยอดคือความืด พอฝึกขั้นสูงไปเรื่อยๆ ก็ให้ทำสลับกัน คือให้สามารถทำได้ทั้งมืดและสว่าง ทั้งแบบลืมตาและหลับตาครับ สมาธิท่านต้องดีจริงครับจึงจะทำได้ก้าวหน้า สาธุ

    สิ่งที่ผมถ่ายทอดมาผมฝึกอยู่ในถ้ำและในป่าที่สงบ มีบรมครูปู่ฤษีตาไฟ ท่านถ่านทอดสั่งสอนครับ [ชื่อท่านคือ ปู่ฤาษี อัคนีเนตรนฤมิต ครูของผมเอง ท่านสอนมาแบบนี้ครับขออุญาตุท่านแล้วท่านไม่หวงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2014
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =================

    ทีนี้สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ต่อไปคือ การนำเอาหลักพุทธธรรมเข้ามากำกับใช้งาน

    หมายความว่า เราฝึกกสินความจริงไม่ใช่เพื่อ นิมิต เพื่ออิทธิฤทธิ์ แม้เราจะทำได้หรือไม่ได้ เราต้องไม่ยึดติด แก่นแท้แห่งกสินคือสติปัญญารอบรู้ ในรูป นาม ทั้งปวง ให้เป็นไปเพื่อบาทฐานแห่ง ฌาณ อรูปฌาณ อันหมายถึงบาทฐานแห่งสมถะ และวิปัสสนานั่นเองครับ

    นี่คือแก่่นแท้สิ่งสำคัญที่ต้องไปให้ถึงครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2014
  7. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    ท่านนิวรณ์ครับ ระหว่างความสงบ.

    กับไร้ความรู้สึก สิ่งใดประเสริฐกว่ากันครับ
     
  8. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    สงบ ไม่เห็นกิเลส

    ไร้ความรู้สึก ก็ไม่เห็นกิเลส

    ไหนหละ ภาวนาเพื่อจะเป็น คนดี ไม่มีกิเลส โยนเข้าป่า ไปโน้นนนนนนน ..... ว่างเปล่าพอกัน


    ***************************

    สงบ แล้วเห็นกิเลส

    ไร้ความรู้สึก แล้วเห็นกิเลส

    ไม่สงบ แล้วเห็นกิเลส

    ไร้ความรู้สึก แล้วเห็นกิเลส

    มันจะไม่เลือกหรอกว่า จะต้องอะไร


    แยกธาตุ แยกขันธ์ไม่ได้ มันก็ไม่มี ส่วนใดรองรับการเจริญของปัญญา มันก็ ว่างเปล่า

    ปัญญาไม่เจริญ ก็ไม่มี การภาวนา

    แล้ว แยกธาตุแยกขันธ์ ยังไง ฮะเอ่อ พระพุทธองค์บอกให้สร้างความดี
    เพื่อสำรอกความดี สิ่งที่หยาบกว่าความดี ก็ไม่ต้องไปพูดถึง
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ลองใช้คำแบบ พระพุทธองค์ถามสิ

    สมมติว่า จิตใจเราสงบ หรือ ไร้ความรู้สึกขึ้นมา

    แทนที่จะ สมมติคำเรียกว่า สงบ สงัด ว่างๆ วาง เวิ้ง ว้าง

    ก็เปลี่ยนเป็น พิจารณาลงไปเลยว่า " สงัดจากกิเลส สงบจากนิวรณ์ " หรือเปล่า

    ถ้าใช่ ก็ลองถามใครก็ได้ว่า

    คุณครับๆ ผม " สงัดจากกิเลส สงบจากนิวรณ์ " มันประเสริฐหรือยังฮับ !!?

    คนอื่นเขาก็จะ เงียบกริบเลย

    อำนาจของความ " สงัดจากกิเลส สงบจากนิวรณ์ " ยังทำให้ เพื่อนๆ ไม่เกิดการกระเพื่อม ฟุ้งซ่าน เลยนะ

    แล้วถ้า " สิ้นกิเลส " หละ

    ถ้า สิ้นกิเลส อันนี้ หากไปถามสุ่มสี่สุ่มห้า เขาจะกระแทกกลับเลยว่า " อย่าประมาท " แล้วค่อยเงียบ

    เว้นแต่ เซ้าซี้ ถามมันทุกกระทู้ โมทนาเขาไปเรื่อย .....อันนี้ ก็เป็นอันว่า ไม่ต้องเจรจากัน ป่วยการณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2014
  10. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    ท่านเอาความรู้มาแต่ใดนี้ สุดยอดจริงๆ

    ขอบพระคุณมากครับ
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    นะ ไหนๆ ก็ไหน

    พอบอกว่าให้ ปรารภเนื่องกับการดับกิเลสเป็นหลัก ส่วนใหญ่ก็จะ รีบร้อนตัดอีก
    ไม่อดทนค่อยเป็นค่อยไป แทนที่จะดับกิเลส ก็จะ ไปกันใหญ่

    พระพุทธองค์ ตรัสบอกว่า การตัดกิเลสนั้น มันเหมือน ยิงธนูใส่กองทรายกองใหญ่

    คนไม่ฉลาดจะมุ่งตัดกิเลส ยิงมันกลางเป้า ลูกธนูมันก็กลายเป็นกองขยะ กลายเป็นเกราะ
    ให้กองทรายไป

    คนฉลาด เขาก็ไม่รีบร้อน ยิงเฉียดเข้าไปทางขอบของสันทราย ยิงพลาดบ้าง โดนบ้าง
    ผลก็ย่อมได้กองทรายที่เสมอราบลงกับพื้นได้

    นี้ อุปมาหนึ่ง ถ้าชอบแนวสมถะยานิก ( สมาธินำหน้า )

    ถ้าเมื่อไหร่ เริ่มวิปัสสนาได้ มีสติปัฏฐานเป็น หนทาง พระพุทธองค์
    จะตรัสเปรียบเอา กองทรายวางไว้กลางสี่แยก แล้วเอา รถม้าวิ่งจากสี่
    ทิศ

    คนไม่ฉลาด ก็จะ เอารถม้าวิ่งเข้าใส่กองทรายตรงๆ ตายทั้งคนทั้งม้า

    คนฉลาด เขาก็ค่อยๆวิ่ง ไปทางริมขอบ ไม่วิ่งห่างเกินไป ทรายมันก็เรียบลงได้

    ขยันๆ ภาวนา มันก็ต้องได้ผล แต่อย่า เล็งผลเลิศ อย่าโลภแม้นจะเป็นกุศลนิมิต
     
  12. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    ท่านผู้รู้ครับ อ่านไปก็ใคร่จะรู้ ใครเป็นผู้ช่วงชิงสิ่งนั้นไปจากเขาคับ

    แล้วการจะได้คืนมาทำไมต้องมีอุปสรรคเข้ามาอีกครับ

    เพราะการจะได้คืนมาย่อมทำให้เขานั้นประเสริฐขึ้นมาอีก

    เพราะผมอ่านไปก็สงสัยไป ท่านผู้รู้ช่วยไขปริศนาทีครับ
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถามอะไรหว่า

    ถ้า " เพราะการจะได้คืนมาย่อมทำให้เขานั้นประเสริฐขึ้นมาอีก "
    คือประเด็น

    ก็หมายความว่า " การซ่องเสพเวทนาที่เป็นกุศล ย่อมทำให้เกิดกุศล
    ประเสริฐขึ้นไป "

    แล้วก็ งง ใช่ไหมว่า ประเสริฐแล้ว แล้วมันหายไปไหน ทำไม
    ต้อง เสพกุศลไปเหมือนมันไม่จบสิ้น เหมือนหาที่สิ้นสุดไม่เจอ

    เวลาตรึกธรรม ต้องระวังการ ตรึกถามหาส่วนสุด สุดโลก สุดงาน
    การเต็มโดยมีภพ ชาติ มารองรับผลประโยชน์ [ ภาวนาไปเสริมภพ
    ภาวนาอีกแสนชาติ ก็ไม่เต็ม 80 อสงไขยก็ไม่เต็ม และไม่ได้มี
    ใครมาขโมยด้วย กรรมย่อมรอให้ผลแน่นอน ]

    ตรึกแบบนั้น จะเรียกว่า " เข้าไปส่วนสุด เพื่อ บัญญัติ " จะถูก
    หลอกให้ตรึก แล้ว ก็ งง

    จริงๆ ให้พิจารณาไปที่ " การส่องเสพเวทนาที่เป็นกุศลให้มากๆ "

    ทำไมต้องทำให้มากๆ .....

    เพื่อ กำหนดรู้ "เวทนา" มันไม่เที่ยง

    พอกำหนดรู้ เวทนาไม่เที่ยงได้ ผู้เสพจะไม่มี

    และ เพราะ เวทนามันไม่เที่ยง แต่ไม่เคยกำหนดรู้ มันเลยเหมือน ใครมาขโมยไป

    มันไม่มีใคร มาช่วงชิงไปหรอก ...... เวทนา มันไม่เที่ยง ต่างหากหละ

    ถ้า กำหนดเห็นเวทนาไม่เที่ยงไม่ได้ เวลาเสพกุศล จะสำคัญว่า มีอะไรเพิ่ม
    จะสำคัญตนว่า ประเสริฐศรี เลิศสะแมนแตน ........มันมี ใครเสพซะที่ไหน
    กันหละ เวทนามันตั้งตรงไหน มันก็ดับไป ตรงนั้น ปีมะโว้แล้ว !!! ไม่มี
    อะไรเป็นตน หรือ ของตน มาแต่ไหน แต่ไร

    โดนขันธ์5 มันตบตาเอา


    แต่อย่าไปโทษมันนะ ถ้าไม่มีขันธ์5 แล้วจะเอาอะไรมากำหนดรู้ทุกขสัจจ กิจในอริยสัจจ

    ถ้ายังสงสัย ก็จะ บรรยายเรื่อง ปฏิบัติง่ายรู้เร็ว ปฏิบัติง่ายแต่รู้ช้า ปฏิบัติลำบาก
    รู้เร็ว ปฏิบัติลำบากรู้ช้า ฯ เพื่อบรรเทา ยังจิตให้สมาทานอาจหาญ ร่าเริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2014
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เรื่องที่ถามเป็นของเฉพาะบุคคลนั้นๆที่ถาม
    สิ่งที่ตอบก็หมายตอบเพื่อแก้ไขปัญหาคาใจเฉพาะบุคคลนั้นๆ

    ก่อนตอบก็อาจจะต้องมีถามกลับบ้างว่า สิ่งที่ท่านเข้าใจคืออะไร
    สงบของท่านคืออะไร
    ความไร้ความรู้สึกของท่านคืออะไร
    ทั้งสองอย่างท่านเข้าใจอย่างไร เมื่อทราบพื้นฐานความเข้าใจ
    การอธิบายส่วนที่เหลือให้เขาเห็นประโยชน์ที่แตกต่างและยิ่งกว่าก็เป็นเรื่องง่ายครับ

    การอธิบายธรรมหรือสอนธรรมแก่ผู้อื่น พึงเข้าใจพื้นฐานของแต่ละบุคคลให้แจ่มชัด ไม่ควรเอาตนเองเป็นบรรทัดฐาน แต่ให้พิจารณาภูมิธรรม เป็นรายๆไปครับ สาธุ
    สิ่งที่ตอบมานั้นดีแล้วครับ สาธุ
     
  15. Earth n Water

    Earth n Water เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    930
    ค่าพลัง:
    +2,050


    สาธุ ขอขอบคุณที่อธิบายมาอย่างละเอียดค่ะ

    บังเอิญแวะผ่านเข้ามาอ่านเจอกระทู้นี้
    ชอบคำอธิบายที่คุณ tjs ได้ให้มา
    เพราะเฉียดๆกับประสบการณ์ที่ฉันเองได้เคยมีมา
    เมื่อตอนอายุน้อยๆอยู่ คือ.......

    ตัวเองทำเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
    สมัยนั้นชอบนั่งอยู่ข้างหน้าโต๊ะหมู่บูชาพระคนเดียวที่บ้าน
    แล้วมองพระพุทธรูป เพราะทำให้สงบและสบายใจก่อนไป
    โรงเรียนในตอนบ่าย บางทีก็มองเปลวเทียนที่จุดถวายพระ
    เพ่งเปลวเทียนไปแบบไม่รู้ตัวบ่อยๆ แต่ไม่นาน
    บังเอิญหลับตา ก็เห็นเปลวเทียนสีส้มขนาดเล็กมาก
    เล็กกว่าเปลวเทียนขนาดจริงที่ได้เพ่งดูก่อนหลับตา
    ตอนแรกใจก็สงสัยว่านั่นคืออะไร
    ก็เลยเพ่งดูเปลวเทียนในจิตไป
    สักครู่เดียว เปลวเทียนสีส้มขนาดเล็กมากนั้น
    ก็เคลื่อนลอยดิ่งตรงเข้ามาหาใบหน้าฉัน
    ด้วยความเร็วสูง เหมือนกับว่ามันจะพุ่งตรงเข้า
    หน้าฉันจริงๆ ใหม่ๆตกใจกลัวว่ามันจะพุ่งชนเข้า
    ใบหน้าจริงๆ ใจหายเลย แต่ขณะเดียวกันใจก็อยากรู้
    ว่ามันจะพุ่งชนเราจริงๆไหม เลยทำใจกล้าเพ่งดูมัน
    ด้วยตาในต่อไป พอมันพุ่งใกล้จะชนหน้าจริงๆ แล้วมันก็
    เลี้ยวตัวกลับไปทางขวาของมันอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่ง
    ตรงกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่
    แล้วก็เคลื่อนลอยดิ่งตรงเข้ามาหาใบหน้าฉันเหมือนครั้งแรก
    ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของมันซ้ำแล้วซ้ำอีก

    ฉันเองไม่รู้จะทำอะไรต่อเพื่อข้ามระดับนั้นไปได้
    ไม่มีครูอาจารย์ทางด้านนี้สอนหรือแนะนำให้ด้วย
    จึงหยุดเพ่งเทียนตั้งแต่นั้นมา




    ==================================

     
  16. รัตนสุวรรณ

    รัตนสุวรรณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +60
    ฟังแล้วกระจ่างในหลายๆอย่างเลยครับขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    วิธีการ มีให้ศึกษาจากตำราหรือจากที่ผมกล่าวไว้ สามารถที่จะนำไปฝึกเป็นแนวทางได้

    และเมื่อทำการฝึกจริง สิ่งที่จะต้องเกิดปรากฏ สภาวะของการฝึกทุกขณะ ย่อมมีความแตกต่างกันตามปัจจัยภายในและภายนอก สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ให้สังเกตุจดจำและเรียนรู้ ให้ทำไปตามลำดับขั้น

    ในที่สุดท่านก็จะค่อยๆเรียนรู้และก้าวผ่านแต่ละขั้นไปได้ สำเร็จครับ

    สมาธิ เป็นเรื่องของจิต เป็นการงานของจิต พึงฝึกฝนให้จิตเข้าใจในการงาน คือเข้าใจในสมาธิ เมื่อเข้าใจแล้ว ปัญญาย่อมเกิด เมื่อเกิดปัญญา การงานทั้งปวงก็สามารถทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน ครับ สาธุ
     
  18. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ขอเสริมจาก คุณ tjs เล็กน้อยนะครับ ในประเด็นของท่านที่พบกับเหตุการณ์ที่ทำการเพ่งจนเปลวไฟจากดวงเทียนระเบิดกระจายออก ซึ่งนับว่ามีอันตรายมากนี้ แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงการบรรเทาเหตุการณ์ไว้ในคราวเดียวกันนี้ด้วย ผมจึงขอเสริมไว้เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ของกระทู้ในโอกาสนี้นะครับ เผื่อว่าท่านใดจะพบกับอุบัติเหตุในลักษณะนี้ จะได้มีทางหนีทีไล่ไว้จัดการกับสภาพปัญหาต่อไป

    สำหรับการบรรเทาอันตรายจากการระเบิดของเปลวไฟจากดวงเทียนนั้น ทางหนึ่งที่พึงกระทำเพื่อบรรเทาอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ฝึก กล่าวคือ พึงจะต้องมีสติสัมปชัญญะให้ครบถ้วนในระหว่างการฝึกทุกขั้นตอน เมื่อเกิดเหตุการณ์ระเบิดของเปลวไฟจากดวงเทียน พึงตั้งสติให้มั่นคง (สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ในระหว่างการฝึก จะเป็นตัวช่วยควบคุมขอบเขตของการระเบิด ให้อยู่ในวงที่สามารถจะจัดการได้ ไม่ขยายออกไปกว้างจนไร้ขอบเขต) จากนั้นพยายามรวบรวมกำลังใจ ทำการรวบรวมชิ้นส่วนของดวงเทียน ที่แตกแยกออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆนั้น ให้กลับมารวมตัวกันเป็นเปลวไฟของดวงเทียนเหมือนเช่นเดิม เมื่อทำการประกอบเปลวไฟของดวงเทียนขึ้นมาใหม่ได้แล้ว จัดว่าใช้ได้และสามารถทำการฝึกได้ตามปกติต่อไป

    ขอเสริมไว้เพียงเท่านี้ และขออนุญาตรบกวนพื้นที่ในกระทู้เพียงเท่านี้ ขอเรียนเชิญท่านสมาชิก ทำการฝึกต่อได้ตามอัธยาศัยต่อไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...