พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เรียนท่าน เพชรครับ
    ขอบคุณครับ ว่าแต่ผมก็ได้วิชาแว๊บมาจากท่านเพชรแหละครับ อยู่ๆก็เห็นองค์ที่ 5และ6ผมก็นึกถึงพระพิมพ์ของหลวงปู่ภูเลยครับ ว่ากันว่าท่านได้รับมอบผงจาก สมเด็จ โตและนำมาผสมในพระพิมพ์ที่ท่านให้ทำจำนวนมากครับ สีออกขาวจะแก่ปูน สีออกเหลืองจะมีส่วนของผงสมเด็จมากหน่อยครับ ซึ่งสีน่าจะต่างหลังพระพิมพ์มีอายุ มากกว่า50ปีขึ้นไป ก็จริงครับไปๆมาๆคล้ายกับ พระพิมพ์วังหน้าวังหลวงเป็นต้นแบบ ให้มีการวิวัฒนาการในรุ่นหลังๆครับ (ว่าแต่เปลี่ยนเป็นขอพิมพ์แซยิดแขนหักศอกแทนได้มั้ยครับ ราคาตามเซียนเพิ่ง 170000บาทเองครับ55555)(deejai)
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ความสัมพันธ์ หลวงปู่ภู กับท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต)
    กล่าวว่าหลวงปู่ภู ในคราวที่ออกธุดงค์ ส่วนมากจะร่วมเดินธุดงค์รุกขมูลกับเจ้าประคุณสมเด็จโต และหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายเสมอ ถึงแม้ว่าท่านอยู่ที่วัดอินทรฯ พอมีเวลาว่างท่านก็จะข้ามไปหาประสมเด็จฯ เสมอจนเป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จโตตลอดมา เมื่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จได้มาสร้างพระศรีอริยเมตตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ที่วัดอินทร์ฯ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จก็ได้มอบหมายให้หลวงปู่ดำเนินแทน มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนที่ก่อสร้างพระเจดีย์ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ(โต) ท่านไปตรวจดูขณะที่เดินนำหน้าหลวงปู่ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่พระเจดีย์ซึ่งโบกปูนเสร็จใหม่ๆ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่ฐานล่างของพระเจดีย์ พร้อมกับพูดว่า
    "คุณภู จัดการเสีย"
    หลวงปู่รับคำพร้อมกับเดินไปตามช่าง ให้มาเอาปูนออก พอช่างเอาปูนออกภายในเป็นโพรงเล็กๆ มีคางคกอาศัยอยู่ในนั้นสิบกว่าตัวถ้าปล่อยทิ้งไว้ มีหวังคางคกตายหมด

    มีบางครั้งที่หลวงปู่ภู จะข้ามไปลงโบสถ์ทำวัตร ที่วัดระฆัง กับสมเด็จ(โต) เสมอ วันหนึ่งขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ทำวัตรเสร็จได้เดินออกมาจากพระอุโบสถ โดยมีหลวงปู่ภูเดินตามหลัง พอเดินมาถึงตรงเจดีย์หน้าโบสถ์ซึ่งสร้างใหม่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้หยุดตรงหน้าเจดีย์ พร้อมกับหันไปมองหน้าหลวงปู่ภู และหัวเราะ "ฮึๆ " ในลำคอ ด้วยญาณสมาบัติถึงกันหลวงปู่ตอบว่า
    "ครับ พระคุณท่าน อ้ายคางคกสองผัวเมีย มันกำลังจะหมดลม ใกล้จะสิ้นใจแล้วครับ"
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงพูดว่า
    "นั่นซิ"
    แล้วสั่งให้พระเณรนำจอบเสียมและชะแลง มาขุดเจาะช่องพระเจดีย์ ปรากฏว่าภายในช่องมีคางคกคู่หนึ่งจริงๆ นับว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และหลวงปู่ภูมีญาณวิเศษ คือการบำเพ็ญสมาธิ จนได้เกิดทิพย์จักษุญาณ "ตาทิพย์" สมกับคำพังเพยได้กล่าวไว้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ฉันใด อาจารย์ดี ลูกศิษย์ย่อมจะดี

    กำหนดวันมรณภาพ
    โดยปกติทุกวันหลวงปู่จะถ่ายปัสสาวะลงในกระโถนเคลือบเล็กๆ แล้วส่งให้ลูกศิษย์ไปเทลงในกระโถนใหญ่ วันหนึ่งท่านได้ปฏิบัติดังนี้อีก พอลูกศิษย์นำไปเทแล้ว ท่านได้ถามว่า
    "มีฟองไหม"
    ศิษย์ก็ตอบว่า
    "ไม่มีฟอง"
    ท่านจึงพูดต่อไปว่า
    "นั่นแหละมึงจำเอาไว้ คนแก่เมื่อเยี่ยวหมดฟอง แล้วละก็ ไม่ช้าดอกมึง มรณสัญญาณมันมาแล้ว จะต้องลามึงไป"

    หลังจากที่ท่านได้พูดกับลูกศิษย์อยู่ไม่นาน ก่อนที่ท่านจะอาพาธหนักจนถึงมรณภาพ ซึ่งลูกศิษย์ได้บันทึกไว้ว่าในเดือน ๓ เป็นฤดูหนาว ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านได้นั่งอยู่บนเตียงนับนิ้ว ๓ นิ้วแล้วพูดพึมพำ คล้ายกับพูดอยู่กับตัวเองว่า
    "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ ทุ่มล่วงแล้ว"
    ท่านได้พูดอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายหนจนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้สอบถามเป็นเชิงล้อเลียนท่านว่า
    "หลวงปู่จะทำอะไร จะทำบุญอายุครบ ๑๐๐ ปี อีกหนหนึ่งหรือครับ กระผมจะได้ไปเรียนขุนนางที่เขาเป็นศิษย์ให้ทราบ"
    พอพูดจบท่านก็ตอบสวนทันควันว่า
    "ไอ้โง่ ไอ้โง่"
    แล้วท่านก็นั่งนับนิ้วต่อไป พร้อมกับพูดซ้ำๆซากๆ อยู่อย่างนี้หลายครั้ง ศิษย์ที่นั่งอยู่ก็พูดล้อเลียนอีก ท่านก็ตอบอีกว่า
    "ไอ้โง่ ไอ้โง่ มรณสัญญาณ ของข้าฯ มาแล้ว จะต้องลามึงไป มึงอย่าเสียใจนะ"
    ไม่มีผู้ใดคาดหมายมาก่อนเลยว่าหลวงปู่จะมรณภาพ ถึงแม้ท่านจะไม่ค่อยแข็งแรง คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน แต่ท่านก็มิได้มีอาการเจ็บป่วย อะไรมาก่อน

    จนถึงเดือน ๕ เวลาเช้า ในขณะที่ท่านกำลังฉันจังหันเช้าอยู่ ขณะที่หยิบช้อนขึ้นตักแกงพอยกขึ้นซดช้อนก็หลุดจากมือท่าน พร้อมกับนั้นท่านก็หงายหลังพิงหมอนอิง ปากท่านเบี้ยว นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มเจ็บป่วยโดยโรคอัมพาต หลังจากท่านล้มป่วยมาจนถึงเดือน ๖ ตรงกับวันเสาร์ข้างขึ้น พระจันทร์เต็มดวง เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ๑๐ นาที ท่านก็มีอาการหอบและหูตึง ในขณะนั้นมีศิษย์ซึ่งเฝ้าพยาบาลอยู่หลายคน ต่างวิตกกันไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นทุกคนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบนหลังคาสังกะสีของกุฏิที่ท่านนอนอยู่ดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับลูกระเบิดจนกุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง จากนั้นอีกประมาณ ๕ นาที หลวงปู่ก็สิ้นลมด้วยอาการอันสงบ มิได้มีเวทนาอันเป็นวิบากกรรมให้ปรากฏ
    นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่วันมรณภาพของท่านตรงกับคำพูดของท่านได้บอกไว้ล่วงหน้าคือ "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ นาฬิกาล่วงแล้ว" ซึ่งตรงกับจันทร์คติ เมื่อปีระกา วันเสาร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ เวลา ๑ นาฬิกา ๑๕ นาที ตรงกับ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๖ นับทางสุริยคติรวมอายุได้ ๑๐๓ ปีเศษ หรือ ๑๐๔ ปีซึ่งตรงกับที่ท่านได้พูดไว้คราวที่นิมิตเห็นผู้มาถวายตราแผ่นดิน ๓ อัน ท่านบอกว่า จะมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีเศษ

    การสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลต่างๆ
    ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้จัดสร้างพระเครื่อง เนื้อผง ขึ้นหลายแบบพิมพ์ด้วยกัน ส่วนเหรียญก็มีเฉพาะแจกวันเกิด ส่วนตะกรุดผ้ายันต์อีกทั้งไม้เท้าพ่อครูก็ได้สร้างขึ้นแต่มีจำนวนไม่มากนัก กล่าวกันว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องตอนมาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร ในระยะหลังเท่านั้น ตอนสมัยหลวงปู่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ใครมาขอของขลังท่านจะไล่ให้ไปขอกับหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพระพี่ชายของท่าน ส่วนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ใหญ่ได้สร้างไว้ เป็นแบบใดไม่ปรากฏหลักฐาน เข้าใจว่าคงมีไม่มากนัก
    จากหลักฐานการสร้างพระเครื่อง ของหลวงปู่ภู ได้จัดสร้างขึ้นหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง และหลวงปู่ใหญ่ได้มรณภาพลงไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เนื่องจากท่านมีความสำนึกในจิตใจ จะไม่ทำอะไรแข่งกับผู้ที่ท่านเคารพนับถือ คือไม่แข่งกับครูบาอาจารย์นั่นเอง

    มูลเหตุที่ท่านสร้างพระเครื่อง เกี่ยวเนื่องจากท่านต้องรับภาระต่อจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ดำเนินงานก่อสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้สร้างพระผงขึ้นเพื่อแจกให้กับผู้มีจิตศรัทธา สละเงินช่วยก่อสร้างพระโต โดยท่านมิได้กำหนดราคาค่างวดใดๆ ทั้งสิ้นสุดแท้แต่จะศรัทธาของสาธุชนที่มาทำบุญด้วย ท่านได้ปรารภกับศิษย์
    "กูไม่มีทางอื่นจะเลือก"
    เมื่อหลวงปู่สร้างพระออกแจกจ่ายเพื่อการกุศล ต่อมาได้มีพระภิกษุบางรูปที่อยู่ในวัด ได้สร้างพระเครื่องซึ่งให้ช่างแกะแม่พิมพ์ที่มีความละม้ายคล้ายกันกับหลวงปู่ นำออกแจกจ่ายบ้าง เมื่อท่านได้ทราบเรื่องนี้เข้า ท่านก็ได้ระงับการแจกพระของท่านเสีย โดยท่านนำพระทั้งหมดมาบรรจุใส่ในกระถางมังกร ท่านได้นำมาวางไว้ที่เหนือศีรษะที่ท่านจำวัตร พอเวลาสวดมนต์ตอนกลางคืนท่านก็เอามือจับปากกระถางมังกรปลุกเสกอยู่ทุกคืน ตอนที่มีพระภิกษุทำพระล้อแบบพิมพ์ของท่านออกแจกหาเงินเข้ากระเป๋า ท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า
    "กูต้องเลิกทำละ ไม่ได้การ มันจะตกนรกกันเปล่าๆ ของไม่ได้เสก ไม่ได้ประสิทธิ์ กูไม่เล่นด้วย"
    นับแต่นั้นมาท่านก็ไม่ยอมสร้างอีกเลย มีอยู่วันหนึ่งลูกศิษย์ได้สอบถามท่านถึงเรื่องพระเครื่องที่เหลืออยู่ในกระถางมังกร ทำไมถึงไม่ยอมนำออกไปช่วยการกุศล จะเก็บไว้ทำไมท่านก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูเอาไว้หาเงินทำศพกูเอง ไอ้โง่"
    ตอนที่ลูกศิษย์สอบถามท่านขณะนั้นหลวงปู่อายุประมาณ ๑๐๒ ปีแล้ว

    .........................................................................

    ลองเทียบปีพ.ศ.กันนะครับ

    ปีที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตคือ ๗ มกราคม ปีฉลู ๒๔๐๘
    "ข้อสำคัญอันหนึ่งในเรื่องประวัติสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อตอนก่อนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คือที่ท่านคิดอ่านยกกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญขึ้นเป็นพระมหาอุปราช ดังปรากฏอยู่ในเรื่องจดหมายเหตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต(ซึ่งพิมพ์ในงานสตมวารของสมเด็จกรมหลวงสงขลาฯ) นั้น มีหลักฐานปรากฏว่าท่านได้ตกลงใจมาแล้วหลายปี เห็นจะเป็นตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อปีฉลู พ.ศ. 2408 และได้กราบบังคมทูลความคิดนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบด้วย

    เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ามีพระราชดำรัสเล่าว่าวันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับ ณ พระทวารหน้ามุขพระที่นั่งอนันตสมาคมอันเป็นที่รโหฐาน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เข้าเฝ้าฯส่วนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับคอยรับใช้อยู่เบื้องพระขนองของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้ทรงสดับตรัสประภาษกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ด้วยเรื่องต่างๆมาจนถึงเรื่องวังหน้า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะได้กราบทูลอธิบายว่ากระไรหาทรงได้ยินถนัดไม่ได้ยินแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสตอบว่า

    "ถ้าเช่นนั้นกั้นกำแพงแบ่งกันเสียที่ท้องสนามหลวงก็แล้วกัน"

    เข้าพระทัยว่าเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์คงกราบทูลอธิบายว่าเห็นจำเป็นจะต้องให้กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเป็นพระมหาอุปราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นชอบด้วย แต่จะทรงโต้แย้งขัดขวางก็เห็นไม่เป็นประโยชน์ จึงมีพระราชดำรัสอย่างนั้น

    เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเล่านี้ ก็สมกับการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องกรมหมื่นบวรวิชัยชาญในเวลาต่อมาเช่นโปรดฯให้ไปเยี่ยมตอบราชทูตฝรั่งเศส (ที่ปรากฏในหนังสือเรื่องพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อก่อนเสวยราชย์) และเล่ากันว่าเมื่อเสด็จออกรับเจ้าเมืองสิงคโปร์ที่พลับพลาหว้ากอ โปรดฯให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ หมอบเฝ้าฯ ข้างที่ประทับฝ่ายหนึ่ง คู่กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"


    ปีที่สมเด็จโต พรหมรังสี มรณภาพคือ เดือนมิถุนายน ๒๔๑๕

    "ต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ สมเด็จโตท่านไปดูการก่อสร้างหลวงพ่อโต ที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม แล้วเกิดอาพาธด้วยโรคชรา และถึงแก่มรณภาพ ณ เวลา ๒ ยาม วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ (ต้น)ปีวอก จ.ศ.๑๒๓๔ ตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๑๕"

    ปีที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสวรรคต คือ เดือนสิงหาคม ๒๔๒๘
    ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไว้วางใจพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้ามาก โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 ทั้งสิ่งใดที่มีในพระบรมมหาราชวัง ก็โปรดเกล้าฯให้พระบวรราชวังมีด้วย

    อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อสมเด็จพระปิ่นเกล้าเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามลดบทบาทของวังหน้าลง ด้วยเกรงว่าเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจมากจะชิงราชสมบัติ แต่เมื่อองค์รัชกาลที่ 4 สิ้นพระชนม์ เจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ก็ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการ และตั้งกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หวังให้วังหน้ามีอำนาจกีดขวางวังหลวงฮ

    ในช่วงเวลานี้ วังหน้าและวังหลวงจึงขัดแย้งกันอีกครั้ง ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ในวัยเยาว์ เพียง 15 พรรษา เทียบกับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีชนมายุถึง 31 พรรษา ทั้งมีฐานสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร

    ต่อมารัฐบาลอังกฤษเดินแผนยุให้วังหน้าและวังหลังแตกแยกกันยิ่งขึ้น เพื่อจะเข้าปกครองโดยง่าย ความขัดแย้งจึงบานปลายเป็นวิกฤตทางการเมืองในปลายปี 2417-2418 ถึงขั้นจะดึงอังกฤษเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงชี้แจงว่าเป็นเรื่องขัดแย้งในตระกูล ทำให้อังกฤษต้องถอยฉาก

    ในที่สุดเมื่อองค์รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงทรงกำหนดขอบเขตอำนาจและทหารในสังกัดของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสียใหม่ ไม่ให้เกิน 200 นาย

    เมื่อกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคตในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศยกเลิกตำแหน่งวังหน้าโดยเด็ดขาด และทรงตั้งตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เป็นรัชทายาทครองราชสมบัติขึ้นแทน


    ปีที่หลวงปู่ภูมรณภาพคือ เดือนพฤษภาคม ๒๔๗๖
    จนถึงเดือน ๕ เวลาเช้า ในขณะที่ท่านกำลังฉันจังหันเช้าอยู่ ขณะที่หยิบช้อนขึ้นตักแกงพอยกขึ้นซดช้อนก็หลุดจากมือท่าน พร้อมกับนั้นท่านก็หงายหลังพิงหมอนอิง ปากท่านเบี้ยว นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มเจ็บป่วยโดยโรคอัมพาต หลังจากท่านล้มป่วยมาจนถึงเดือน ๖ ตรงกับวันเสาร์ข้างขึ้น พระจันทร์เต็มดวง เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ๑๐ นาที ท่านก็มีอาการหอบและหูตึง ในขณะนั้นมีศิษย์ซึ่งเฝ้าพยาบาลอยู่หลายคน ต่างวิตกกันไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นทุกคนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบนหลังคาสังกะสีของกุฏิที่ท่านนอนอยู่ดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับลูกระเบิดจนกุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง จากนั้นอีกประมาณ ๕ นาที หลวงปู่ก็สิ้นลมด้วยอาการอันสงบ มิได้มีเวทนาอันเป็นวิบากกรรมให้ปรากฏ
    นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่วันมรณภาพของท่านตรงกับคำพูดของท่านได้บอกไว้ล่วงหน้าคือ "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ นาฬิกาล่วงแล้ว" ซึ่งตรงกับจันทร์คติ เมื่อปีระกา วันเสาร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ เวลา ๑ นาฬิกา ๑๕ นาที ตรงกับ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๖ นับทางสุริยคติรวมอายุได้ ๑๐๓ ปีเศษ หรือ ๑๐๔ ปีซึ่งตรงกับที่ท่านได้พูดไว้คราวที่นิมิตเห็นผู้มาถวายตราแผ่นดิน ๓ อัน ท่านบอกว่า จะมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีเศษ"

    ณ ปีที่สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต คือ ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์น่าที่จะสร้างไว้ก่อนปีพ.ศ. ๒๔๐๘ เล็กน้อย การจารึกปีพ.ศ. ๒๔๐๘ ไว้ใต้ฐานพระพิมพ์จึงเป็นการระบุถึงการระลึกถึงปีที่พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต (แนวคิดการสร้างพระเครื่องของปัจจุบันจึงต่างจากสมัยโบราณมากคือปัจจุบันสร้างปีไหนก็ระบุปีนั้น จุดนี้หากคนรุ่นหลังไม่เข้าใจ จะเชื่อตามที่เห็น พระเครื่องสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ติดพลอยมากมาย ระบุปีพ.ศ. ๒๔๑๑ แต่พระพักตร์พระองค์ท่านมีพระมัสสุ (หนวด) ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่พระองค์ท่านมีพระชนม์พรรษาได้ ๑๕ พรรษาเท่านั้น แท้จริงคือการสร้างเพื่อเฉลิมฉลองระลึกถึงปีที่พระองค์ท่านเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ ๔๐ ปีนั่นเอง) ซึ่งเวลานั้น
    หลวงปู่โตมีอายุ ๗๗ ปี
    หลวงปู่ภู มีอายุ ๓๖ ปี
    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระชนมายุ ๒๘ พรรษา

    พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ จึงน่าจะทันสมเด็จโตเสก อย่างน้อย ๒ พระราชพิธีหลวงใหญ่ๆ คือ ๒๔๐๘ และ ๒๔๑๑ ด้วยซ้ำไป

    ณ ปีที่สมเด็จโตมรณภาพคือ ปีพ.ศ. ๒๔๑๕ ซึ่งเวลานั้น
    หลวงปู่ภู มีอายุ ๔๓ ปี
    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา

    ตั้งแต่หลังจากปีที่สมเด็จโตท่านมรณภาพคือ ปีพ.ศ. ๒๔๑๕ นั้น สมเด็จโตได้มอบหมายการสร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ที่วัดอินทรวิหารให้ท่านดำเนินการต่อ ซึ่งจุดเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ท่านเริ่มสร้างพระเครื่องตามบันทึกนี้ครับ..

    การสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลต่างๆของหลวงปู่ภู
    ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้จัดสร้างพระเครื่อง เนื้อผง ขึ้นหลายแบบพิมพ์ด้วยกัน ส่วนเหรียญก็มีเฉพาะแจกวันเกิด ส่วนตะกรุดผ้ายันต์อีกทั้งไม้เท้าพ่อครูก็ได้สร้างขึ้นแต่มีจำนวนไม่มากนัก
    กล่าวกันว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องตอนมาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร ในระยะหลังเท่านั้น ตอนสมัยหลวงปู่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ใครมาขอของขลังท่านจะไล่ให้ไปขอกับหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพระพี่ชายของท่าน ส่วนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ใหญ่ได้สร้างไว้ เป็นแบบใดไม่ปรากฏหลักฐาน เข้าใจว่าคงมีไม่มากนัก
    จากหลักฐานการสร้างพระเครื่อง ของหลวงปู่ภู ได้จัดสร้างขึ้นหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง และหลวงปู่ใหญ่ได้มรณภาพลงไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เนื่องจากท่านมีความสำนึกในจิตใจ จะไม่ทำอะไรแข่งกับผู้ที่ท่านเคารพนับถือ คือไม่แข่งกับครูบาอาจารย์นั่นเอง
    มูลเหตุที่ท่านสร้างพระเครื่อง เกี่ยวเนื่องจากท่านต้องรับภาระต่อจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ดำเนินงานก่อสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้สร้างพระผงขึ้นเพื่อแจกให้กับผู้มีจิตศรัทธา สละเงินช่วยก่อสร้างพระโต โดยท่านมิได้กำหนดราคาค่างวดใดๆ ทั้งสิ้นสุดแท้แต่จะศรัทธาของสาธุชนที่มาทำบุญด้วย ท่านได้ปรารภกับศิษย์ "กูไม่มีทางอื่นจะเลือก"
    เมื่อหลวงปู่สร้างพระออกแจกจ่ายเพื่อการกุศล ต่อมาได้มีพระภิกษุบางรูปที่อยู่ในวัด ได้สร้างพระเครื่องซึ่งให้ช่างแกะแม่พิมพ์ที่มีความละม้ายคล้ายกันกับหลวงปู่ นำออกแจกจ่ายบ้าง เมื่อท่านได้ทราบเรื่องนี้เข้า ท่านก็ได้ระงับการแจกพระของท่านเสีย โดยท่านนำพระทั้งหมดมาบรรจุใส่ในกระถางมังกร ท่านได้นำมาวางไว้ที่เหนือศีรษะที่ท่านจำวัตร พอเวลาสวดมนต์ตอนกลางคืนท่านก็เอามือจับปากกระถางมังกรปลุกเสกอยู่ทุกคืน ตอนที่มีพระภิกษุทำพระล้อแบบพิมพ์ของท่านออกแจกหาเงินเข้ากระเป๋าท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "กูต้องเลิกทำละ ไม่ได้การ มันจะตกนรกกันเปล่าๆ ของไม่ได้เสก ไม่ได้ประสิทธิ์ กูไม่เล่นด้วย" นับแต่นั้นมาท่านก็ไม่ยอมสร้างอีกเลย
    มีอยู่วันหนึ่งลูกศิษย์ได้สอบถามท่านถึงเรื่องพระเครื่องที่เหลืออยู่ในกระถางมังกร ทำไมถึงไม่ยอมนำออกไปช่วยการกุศล จะเก็บไว้ทำไมท่านก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูเอาไว้หาเงินทำศพกูเอง ไอ้โง่" ตอนที่ลูกศิษย์สอบถามท่านขณะนั้นหลวงปู่อายุประมาณ ๑๐๒ ปีแล้ว
    ซึ่งเวลานั้น...
    หลวงปู่ภู มีอายุระหว่าง ๔๓-๑๐๔ ปี เท่ากับว่าพระเครื่องที่หลวงปู่ภูท่านสร้างเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา ๖๑ ปี คือระหว่างปีพ.ศ. ๒๔๑๕(หลังสมเด็จโตมรณภาพ)จนถึงปีพ.ศ. ๒๔๗๖

    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระชนมายุระหว่าง ๓๕-๔๘ พรรษา


    .......................................................................

    พระเครื่องรุ่นแซยิดครบ ๑๐๐ ปีของหลวงปู่ภู จึงสร้างในปีพ.ศ. ๒๔๗๖ ครับ ผมอยากให้ข้อสังเกตว่าการสร้างพระเครื่องในปีครบรอบนั้น ผู้สร้างมักจะให้ความสำคัญ เช่นครบ ๕ รอบคือปีที่หลวงปู่ภู อายุ ๒๔๓๒ ฯลฯ
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ระหว่างที่ผมพิมพ์ไปนี้ คุณน้องนู๋ กับผมมีความเห็นที่คล้ายกันมากครับ ต่างคนต่างวิเคราะห์กันไปตามหลักวิชาวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จ และสมเด็จเจ้าคุณกรมท่านั่นแหละครับ ที่ผมว่ามีค่ามากกว่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท ใครเขาจะสอนให้คุณเก่งกว่าเขาในวงการนี้นอกจากอาจารย์ปู่ประถม อาจสาครแล้ว ลองบอกนามมา..ผมกล้าท้า

    ผมไม่อยากบอกเลยว่า พระพิมพ์ของหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร จะต้องมีผงของหลวงปู่ใหญ่(พระพี่ชาย) และสมเด็จโตผสมอยู่ด้วยตามบันทึกข้างบนแน่นอนตามที่ผมยกมากล่าวทั้งหมดครับ

    ความรู้ในการวิเคราะห์พระพิมพ์นี้ผมไม่หวงครับ เพราะว่าหากคนไม่ชอบแล้ว ต่อให้ประเคนให้อ่าน ยังไงเขาก็ไม่สนใจอ่าน ของแบบนี้จึงขึ้นกับวาสนาของแต่ละคนที่จะไปพบเรื่องราวนี้ เรื่องราวนั้นในเวลาไหนตามวาระที่กำหนดไว้แล้วครับ หากสนใจ และมีวาสนาก็จะได้พบ หากไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน หากเชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่เกี่ยวกับผมเลย ต่อเมื่อท่านมีประสบการณ์ตรงเกิดกับท่านเองเท่านั้น ท่านจึงจะเชื่อเอง เมื่อนั้นก็ไม่รู้ว่าท่านปรามาสไปแล้วมากเท่าไหร่

    บทความนี้ผมไม่สงวนสิทธิ์ หากจะหยิบยกไปเผยแพร่ในที่ใด เพราะเจตนาต้องการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องพระพิมพ์ ๒๔๐๘ อยู่แล้ว บอกตามตรงว่าผมไม่มีพระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ พิมพ์พิเศษ ๘ องค์นี้เลยแม้แต่องค์เดียว จึงไม่ต้องมาว่ากล่าวผมว่า ต้องการปั่นราคาพระสกุลวังหน้าพระพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้าฯ ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ แต่ประการใด เพียงมั่นใจในความรู้ที่ท่านอาจารย์ปู่ประถม อาจสาครได้ถ่ายทอดให้ผมได้ทราบเท่านั้นครับ

    บอกแล้วไงว่า คนที่ไม่เชื่อเขาไม่เข้ามาดูถึงหน้านี้หรอกครับ คงมีแต่พวกเราเท่านั้นที่ได้รับทราบกัน อีกทั้งคนที่ไม่ขยันอ่านก็จะไม่ได้รับทราบด้วย เพราะคุณหนุ่มจะ post ทับไปหมด อยากรู้เรื่องใดต้องขยันอ่านมากๆ ภาพพระเก่าที่คุณหนุ่มเผลอ post ไว้ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจซึ่งจะไม่ post อีก ก็ยังพอมีให้เห็นกันในความเห็นเก่าๆ หากไม่รีบไปดู ไปค้นคว้า อีกไม่นานจะเสียดายกัน บอกได้เท่านี้ครับ...
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    [​IMG]

    สำหรับพิมพ์ไสยาสน์นี้ เป็นพิมพ์ที่ทางวังหน้าเคยสร้างมาก่อน เนื้อหาทรงพิมพ์นั้น รูปมีความใกล้เคียงกัน แต่เนื้อหาจะแตกต่างกันออกไป

    ผมเคยมอบพิมพ์นี้ให้กับพี่ตุ่น(พิมพาภรณ์)แล้ว 1 องค์ครับ ส่วนรูปพิมพ์นี้ของวังหน้า น่าจะอยู่ในกระทู้นี้ แต่ผมไม่ทราบว่าอยู่หน้าไหนแล้วครับ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    เรียนท่าน เพชรครับ
    ขอบคุณครับ ว่าแต่ผมก็ได้วิชาแว๊บมาจากท่านเพชรแหละครับ อยู่ๆก็เห็นองค์ที่ 5และ6ผมก็นึกถึงพระพิมพ์ของหลวงปู่ภูเลยครับ ว่ากันว่าท่านได้รับมอบผงจาก สมเด็จ โตและนำมาผสมในพระพิมพ์ที่ท่านให้ทำจำนวนมากครับ สีออกขาวจะแก่ปูน สีออกเหลืองจะมีส่วนของผงสมเด็จมากหน่อยครับ ซึ่งสีน่าจะต่างหลังพระพิมพ์มีอายุ มากกว่า50ปีขึ้นไป ก็จริงครับไปๆมาๆคล้ายกับ พระพิมพ์วังหน้าวังหลวงเป็นต้นแบบ ให้มีการวิวัฒนาการในรุ่นหลังๆครับ (ว่าแต่เปลี่ยนเป็นขอพิมพ์แซยิดแขนหักศอกแทนได้มั้ยครับ ราคาตามเซียนเพิ่ง 170000บาทเองครับ55555)(deejai)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แล้วแต่วาสนาบารมีละครับ

    ของดีจริงๆ ต้องพิสูจน์ได้

    ไม่จำเป็นต้องปั่น เพราะว่า ผู้ที่ไม่มีวาสนาบารมี ต่อให้มีเงินก็ไม่มีวันที่ได้สิ่งที่วิเศษในแผ่นดินนี้ ไปบูชา

    คงมีแต่คนโง่และเซ่อ(คนบางกลุ่ม บางพวก บัวใต้น้ำ และผู้ที่ค้าขายพระ)เท่านั้น ที่ไม่เห็นคุณค่า แต่คนบ้า(อย่างพวกเรา) กลับมีวาสนาได้ครอบครองสิ่งที่วิเศษในแผ่นดิน

    .
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระพิมพ์หนึ่งที่น้อยคนจะรู้คือ พระพิมพ์รูปเหมือนขรัวแสง หรือหลวงปู่แสง(ท่านเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จโต) วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรี สร้างในปีพ.ศ. ๒๕๑๘ แต่เป็นผงเก่าของหลวงปู่แสง หรือขรัวแสงสร้างแล้วบรรจุในโถเจดีย์วัดมณีชลขันธ์นั่นเอง เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ที่หลวงปู่แสงสร้างเองไม่มีผู้ใดช่วยสร้าง จึงร่ำลือกันว่าท่านเป็นพระผู้มีบุญญาธิการสูงส่ง สามารถสร้างเจดีย์ที่ใหญ่โตมโหฬารด้วยตนเอง แม้แต่ในพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เองก็ยังชื่นชม ยกย่อง หลวงปู่แสง หรือขรัวแสง

    ด้วยความที่ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองด้านวิปัสสนากรรมฐาน ที่โงดังมากที่สุดเมื่อเกือบ ๒๐๐ ปีก่อน จากชื่อเสี่ยง และกิตติศัพท์เป็น"หนึ่ง"นี้เอง จึงทำให้สามเณรโต(อายุระหว่าง ๑๖-๑๗ ปี) มาเรียนวิชาจากท่าน

    สามเณรโต ต่อมาก็คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แห่งวัดระฆัง ผู้ให้กำเนิดพระสมเด็จ แลพพระคาถาชินบัญชรอันลือลั่นสะท้านปฐพี..

    เรื่องราวของหลวงปู่แสงขอค้างเอาไว้ก่อน รอเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นระเบียบก่อน จึงขอบอกเล่าเฉพาะการสร้างพระพิมพ์รูปเหมือนนี้ก่อน

    ในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๑๐ เศษๆ เจดีย์องค์ที่หลวงปู่แสงสร้างนี้ได้ชำรุดทรุดโทรม ทางคณะสงฆ์วัดมณีชลขันธ์จึงได้ทำการบูรณะใหม่ พบว่าที่คอระฆังเกิดเป็นช่องโหว่ขึ้นมา เพราะคนร้ายเจาะเอาเอามีค่าไป จึงสำรวจพบว่า มีโถดินเผาอยู่ใบหนึ่งได้บรรจุ"ผงเก่าหลวงปู่แสง" จึงนำมาจัดสร้างพระพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่แสง ด้านหลังเป็นเจดีย์องค์ที่หลวงปู่แสงสร้างไว้ โดยผสมว่านชนิดต่างๆลงไป และผงเก่าคือ ผงของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เขียน และลบผงไว้ และอื่นๆ ซึ่งทางวัดได้เก็บรวบรวมไว้เป็นส่วนผสมหลัก

    พระพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่แสงนี้ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก ๓ ครั้ง
    พิธีพุทธาภิเษกครั้งแรกที่อุโบสถวัดมณีชลขันธ์ โดยมี
    ๑) หลวงปู่พริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู จงลพบุรี
    ๒) หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
    ๓) หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวการาม จ.กาญจนบุรี
    ๔) หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี จ.กรุงเทพมหานคร
    ๕) หลวงบุญมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี
    ๖) หลวงพ่อมัง วัดเทพกุญชร จ.ลพบุรี
    ๗) หลวงปู่สิม วัดถ้าผาป่อง จ.เชียงใหม่
    ๘) หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่
    ๙) หลวงปู่บาง วัดหนองพลับ จ.สระบุรี

    พิธีพุทธาภิเษกครั้งที่ ๒ ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ที่ศูนย์สงครามพิเศษ โดยสมเด็จพระญาณสังวร(พระสังฆราชองค์ปัจจุบัน)

    พิธีพุทธาภิเษกครั้งที่ ๓ ปีพ.ศ. ๒๕๒๙ ที่วัดมณีชลขันธ์ เมื่อคราวหล่อรูปเหมือนหลวงปู่แสง

    หลังจากทีเจ้าอาวาสองค์ที่ ๙(พระครูวินัยรัตนมุนี) รับตำแหน่งเจ้าอาวาส จึงได้สำรวจทรัพย์สินอดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ ๘ (คือพระอาจารย์อ่ำ ต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็นพระเทพวรคุณ) พบพระผงชุดนี้มีจำนวนไม่มากนัก บรรจุในลังไม้ฉำฉา ปลวกขึ้นทำรังเต็มไปหมด จึงนำออกแจกจ่ายสาธุชนที่ศรัทธาเท่านั้น

    พระพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่แสงนี้ พระเณรในวัดช่วยกันกดพิมพ์เอง จึงไม่สวยงามเหมือนออกจากโรงงานผลิต บางองคืออกสีเนื้อบางองค์ออกสีเข้มคล้ายน้ำตาลไหม้ บางองค์ขาวอมเหลือง สุดแล้วแต่ใส่ว่านมาก หรือน้อย เพราะไม่ชำนาญในการจัดสร้างมาก่อน แต่เนื้อพระทุกองค์แห้งแกร่ง

    เนื่องด้วยความอยากทราบประวัติของเจ้าอาวาสองค์ที่ ๘ นี้ เพราะสามารถจะต่อภาพของพระพิมพ์รูปเหมือนนี้ ผมลองสืบค้นไปจนพบว่า หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม ได้เคยมาพำนักกับพระอาจารย์อ่ำ เป็นเวลาถึง ๓ เดือน การเจริญกรรมฐานของหลวงปู่ดูลย์ที่วัดมณีชลขันธ์ พระพิมพ์พระรูปเหมือนหลวงปู่แสงนี้เปรียบเสมือนได้รับการแผ่เมตตาจากหลวงปู่ดูลย์ไปด้วย ดังความนี้ครับ

    ๒๙. ไปภาวนาที่ถ้ำอรหันต์ ลพบุรี


    <!--mstheme-->
    เมื่อหลวงปู่ไปถึงจังหวัดลพบุรี ได้ไปพำนักกับ พระอาจารย์อ่ำ ซึ่งต่อมาภายหลังมีสมณศักดิ์ที่ พระเทพวรคุณ เจ้าอาวาสวัดมณีชลขันธ์

    หลวงปู่พำนักที่จังหวัดลพบุรีเป็นเวลา ๓ เดือน พระอาจารย์อ่ำทราบอัธยาศัยของหลวงปู่ว่าท่านมุ่งแสวงหาความวิเวก เพื่อบำเพ็ญธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงได้พาหลวงปู่ไปพำนักที่ ถ้ำน้ำจันทร์ ซึ่งต่อมาเรียกว่า ถ้ำอรหันต์

    ที่ชาวบ้านเรียกถ้ำแห่งนี้ว่า "ถ้ำน้ำจันทร์" หรือ "ถ้ำน้ำ" ก็เพราะภายในถ้ำแห่งนี้มีแอ่งน้ำขนาดเล็ก น้ำใสสะอาดและมีกลิ่นหอม

    หลวงปู่ตั้งใจว่าจะบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด แต่แล้วท่านก็ไม่อาจอยู่ที่นั่นให้เนิ่นนานไปอีกได้

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010024.JPG
      P1010024.JPG
      ขนาดไฟล์:
      333.9 KB
      เปิดดู:
      507
    • P1010025.JPG
      P1010025.JPG
      ขนาดไฟล์:
      351.1 KB
      เปิดดู:
      429
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ปัจจุบันมีคนอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ ที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับพระวังหน้าหรือพระกรุวัดพระแก้ว

    1.กลุ่มผู้ที่อนุรักษ์ ,สะสม และเผยแพร่ความรู้พระวังหน้าหรือพระกรุวัดพระแก้ว
    กลุ่มนี้ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ
    1.1กลุ่มพระวังหน้า ที่ไม่ได้ติดพลอย ,ติดอัญมณีต่างๆ
    1.2กลุ่มพระวังหลวง ที่ติดพลอย ติดอัญมณีต่างๆ
    ทั้งสองกลุ่มนี้ มีการเผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆ ที่ตนเองได้ศึกษาและค้นคว้ามา นำออกมาให้กับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาได้ศึกษาเรียนรู้ว่า พระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ มีอะไรบ้าง เป็นอย่างไร ตลอดจนการสร้าง ,การเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษกหลวง ,การเข้าพิธีพุทธาภิเษก เรื่องของการใช้พระพิมพ์และวัตถุมงคล ฯลฯ

    2.กลุ่มเซียนพระ
    กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับในพระวังหน้าหรือพระกรุวัดพระแก้ว เนื่องจากว่า หากมีการยอมรับในวงกว้างแล้ว พระพิมพ์ที่ตนเองมีอยู่(ในรัง ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเรียกว่ารัง อาจจะเป็นรังหนูก็ได้) ไม่สามารถที่จะขาย(เป็นสินค้า) ในราคาที่แพงๆ(โดยไม่เสียภาษี) ธุรกิจก็อาจจะล้มกันทั้งระบบได้

    3.กลุ่มที่ไม่สนใจในพระพิมพ์หรือวัตถุมงคล
    กลุ่มนี้ ไม่สนใจว่า จะมีพระวังหน้าหรือพระกรุวัดพระแก้วหรือไม่ และนิยมตามความชอบ ,ความเชื่อและความศรัทธาของตนเองเป็นหลัก



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ไอเอ็มเอฟ เตือนระบบธนาคารพังเป็นลูกโซ่ จับตาแบงก์ใหญ่ในสหรัฐฯล้มทั้งยืน </TD><TD vAlign=baseline align=right width=85>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>24 มกราคม 2551 16:12 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>นักเศรษฐศาสตร์ IMF คาดแบงค์พาณิชย์จำนวนมากอาจไม่รอดพ้นวิกฤตซับไพรม์ แนะจับตาแบงก์ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ อาจต้องล้มทั้งยืน ขณะที่อดีต ปธ.สมาคมธนาคารไทย เชื่อสัญญาณเฟดหั่นดอกเบี้ย 0.75% ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินของไทยไม่มาก


    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า วันนี้ (24 ม.ค.) นายเคนเน็ธ โรจอฟฟ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวถึงสถานการณ์ในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์) ของสหรัฐฯ ที่กำลังส่งผลกระทบลุกลามไปยังเศรษฐกิจทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่า ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมาก จะไม่สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ซับไพรม์ และคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่แห่งหนึ่งจะต้องเผชิญวิกฤตการณ์ที่แสนสาหัส ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ

    นายโรจอฟฟ์ ระบุว่า การที่ตลาดสินเชื่อทั่วโลกตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น จะช่วยให้การนำผลิตภัณฑ์ด้านการเงินแบบใหม่เข้าสู่ตลาดเป็นไปอย่างโปร่งใสมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลใช้มาตรการคุมเข้มอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม โรจอฟฟ์ คาดว่า ตลาดจะยังไม่มีเสถียรภาพก่อนถึงช่วงปลายปี และคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกรอบ

    ทั้งนี้ นายโรจอฟฟ์ คาดการณ์ว่า ดัชนีดาวโจนส์จะเคลื่อนไหวในกรอบ 10,000-11,000 จุด ในช่วงปลายปีนี้ และคาดว่า ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ จะทรุดตัวลงด้วย ส่วนตลาดหุ้นยุโรปคาดว่าจะได้รับแรงกดดันน้อยที่สุด

    กรณีที่เกิดขึ้น คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม อดีตประธานสมาคมธนาคารไทย ได้ออกมาแสดงความเห็น โดยระบุว่า การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด 0.75% ถือเป็นมาตรการที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบันของประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้พยายามใช้มาตรการอื่นๆ เพื่อบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจจากวิกฤติซับไพรม์แล้ว แต่ไม่เป็นผล คาดว่า การลดดอกเบี้ยของเฟด จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากประเทศไทยยังมีจุดแข็ง ทั้งทางด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกอาหาร แต่ก็จำเป็นต้องจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด

    อดีตประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ เร่งสร้างความเชื่อมั่นในทุกด้านไม่เพียงเฉพาะด้านเศรษฐกิจเท่านั้น และคุณสมบัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ยังต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ความสามารถ และรอบรู้รอบด้านทั้งนโยบายและการบริหารจัดการ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE class=tborder id=post937204 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] วันนี้, 04:33 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#14216 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_937204", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 05:01 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 19,171 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 24,673 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 110,594 ครั้ง ใน 15,189 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 13007 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_937204 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    เรียนท่าน เพชรครับ
    ขอบคุณครับ ว่าแต่ผมก็ได้วิชาแว๊บมาจากท่านเพชรแหละครับ อยู่ๆก็เห็นองค์ที่ 5และ6ผมก็นึกถึงพระพิมพ์ของหลวงปู่ภูเลยครับ ว่ากันว่าท่านได้รับมอบผงจาก สมเด็จ โตและนำมาผสมในพระพิมพ์ที่ท่านให้ทำจำนวนมากครับ สีออกขาวจะแก่ปูน สีออกเหลืองจะมีส่วนของผงสมเด็จมากหน่อยครับ ซึ่งสีน่าจะต่างหลังพระพิมพ์มีอายุ มากกว่า50ปีขึ้นไป ก็จริงครับไปๆมาๆคล้ายกับ พระพิมพ์วังหน้าวังหลวงเป็นต้นแบบ ให้มีการวิวัฒนาการในรุ่นหลังๆครับ (ว่าแต่เปลี่ยนเป็นขอพิมพ์แซยิดแขนหักศอกแทนได้มั้ยครับ ราคาตามเซียนเพิ่ง 170000บาทเองครับ55555)(deejai)


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    ระหว่างที่ผมพิมพ์ไปนี้ คุณน้องนู๋ กับผมมีความเห็นที่คล้ายกันมากครับ ต่างคนต่างวิเคราะห์กันไปตามหลักวิชาวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จ และสมเด็จเจ้าคุณกรมท่านั่นแหละครับ ที่ผมว่ามีค่ามากกว่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท ใครเขาจะสอนให้คุณเก่งกว่าเขาในวงการนี้นอกจากอาจารย์ปู่ประถม อาจสาครแล้ว ลองบอกนามมา..ผมกล้าท้า

    ผมไม่อยากบอกเลยว่า พระพิมพ์ของหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร จะต้องมีผงของหลวงปู่ใหญ่(พระพี่ชาย) และสมเด็จโตผสมอยู่ด้วยตามบันทึกข้างบนแน่นอนตามที่ผมยกมากล่าวทั้งหมดครับ

    ความรู้ในการวิเคราะห์พระพิมพ์นี้ผมไม่หวงครับ เพราะว่าหากคนไม่ชอบแล้ว ต่อให้ประเคนให้อ่าน ยังไงเขาก็ไม่สนใจอ่าน ของแบบนี้จึงขึ้นกับวาสนาของแต่ละคนที่จะไปพบเรื่องราวนี้ เรื่องราวนั้นในเวลาไหนตามวาระที่กำหนดไว้แล้วครับ หากสนใจ และมีวาสนาก็จะได้พบ หากไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน หากเชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่เกี่ยวกับผมเลย ต่อเมื่อท่านมีประสบการณ์ตรงเกิดกับท่านเองเท่านั้น ท่านจึงจะเชื่อเอง เมื่อนั้นก็ไม่รู้ว่าท่านปรามาสไปแล้วมากเท่าไหร่

    บทความนี้ผมไม่สงวนสิทธิ์ หากจะหยิบยกไปเผยแพร่ในที่ใด เพราะเจตนาต้องการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องพระพิมพ์ ๒๔๐๘ อยู่แล้ว บอกตามตรงว่าผมไม่มีพระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ พิมพ์พิเศษ ๘ องค์นี้เลยแม้แต่องค์เดียว จึงไม่ต้องมาว่ากล่าวผมว่า ต้องการปั่นราคาพระสกุลวังหน้าพระพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้าฯ ปีพ.ศ. ๒๔๐๘ แต่ประการใด เพียงมั่นใจในความรู้ที่ท่านอาจารย์ปู่ประถม อาจสาครได้ถ่ายทอดให้ผมได้ทราบเท่านั้นครับ

    บอกแล้วไงว่า คนที่ไม่เชื่อเขาไม่เข้ามาดูถึงหน้านี้หรอกครับ คงมีแต่พวกเราเท่านั้นที่ได้รับทราบกัน อีกทั้งคนที่ไม่ขยันอ่านก็จะไม่ได้รับทราบด้วย เพราะคุณหนุ่มจะ post ทับไปหมด อยากรู้เรื่องใดต้องขยันอ่านมากๆ ภาพพระเก่าที่คุณหนุ่มเผลอ post ไว้ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจซึ่งจะไม่ post อีก ก็ยังพอมีให้เห็นกันในความเห็นเก่าๆ หากไม่รีบไปดู ไปค้นคว้า อีกไม่นานจะเสียดายกัน บอกได้เท่านี้ครับ...


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แล้วแต่วาสนาบารมีละครับ

    ของดีจริงๆ ต้องพิสูจน์ได้

    ไม่จำเป็นต้องปั่น เพราะว่า ผู้ที่ไม่มีวาสนาบารมี ต่อให้มีเงินก็ไม่มีวันที่ได้สิ่งที่วิเศษในแผ่นดินนี้ ไปบูชา

    คงมีแต่คนโง่และเซ่อ(คนบางกลุ่ม บางพวก บัวใต้น้ำ และผู้ที่ค้าขายพระ)เท่านั้น ที่ไม่เห็นคุณค่า แต่คนบ้า(อย่างพวกเรา) กลับมีวาสนาได้ครอบครองสิ่งที่วิเศษในแผ่นดิน



    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    หึหึ พูดไปให้ชัดๆกันเลยดีกว่าครับพระพิมพ์พระรูปเหมือนหลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรีที่ผมนำเสนอให้ได้ทราบนั้นเป็นผงเก่าของหลวงปู่แสงที่ท่านบรรจุภายในโถดินเผาในพระเจดีย์ ผสมกับมวลสารอื่น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หากท่านใดสนใจพระพิมพ์ที่หลวงปู่แสงสร้างไว้หากนับอายุการสร้างพระพิมพ์สมเด็จของหลวงปู่แสงจนถึงขณะนี้(๒๕๕๐)ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปีแล้ว ก็ลองสอบถามคุณหนุ่มเอานะครับ อาจจะนำออกมาให้ร่วมบุญกันพระเครื่องพระอาจารย์ของสมเด็จโต ซึ่งสมเด็จโตเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ภู ..ก็ลองคิดกันเอาเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทำไมพระเครื่องดีๆถึงไปอยู่กับคุณหนุ่มมากมายขนาดนั้น...อืมมม วาสนาโดยแท้...<O:p</O:p
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่างที่ผมเคยบอก(ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง) ผมเคยท้าผู้ที่ดูถูกและปรามาสพระวังหน้า แต่ก็ไม่เคยเห็นมีใครสักคนที่กล้ารับคำท้า โดยสาบานกันสักราย พวกนี้ดีแต่แถและเถือกกันไปวันๆแค่นั้น

    ก็เข้าใจว่า ทาง......ของคนเหล่านี้ คงไม่ได้อบรมกันมา ให้เป็นมนุษย์ เพียงแต่ให้เป็นคน คนกันทั้งกาแฟ ,ชา ,น้ำหวาน ,น้ำอัดลม ,เหล้า ,เบียร์ ,เหล้าขาว ,บรั่นดี ฯลฯ คนกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

    หลายๆท่านที่เข้ามาอ่าน คงมองผมว่า ผมเป็นพวกนิยมความรุนแรง นิสัยของคนไทย มักจะไม่นิยมความรุนแรง ชอบการประณีประนอม ถึงแม้ว่า จะเป็นสิ่งที่ผิดๆก็ตาม ผมเองถ้ารู้จักผม ก็คงทราบว่าผมเป็นอย่างไร หลายๆเรื่องที่ผมเคยบอกไป ก็ไม่ค่อยเห็นมีผู้ที่จะทำตาม ก็คงเห็นว่าไม่จำเป็นและไม่สำคัญอะไร ดังนั้น ผมเองก็คิดว่า ไม่จำเป็น และไม่สำคัญอะไรที่จะต้องบอกกันบนเว็บ ไปแอบบอกกันในกลุ่มก็เพียงพอแล้ว ถึงแม้องค์ความรู้ต่างๆที่คณะผม ได้รับมานั้น ต้องสูญสิ้นไปเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ก็คงแล้วแต่วาสนาบารมีก็แล้วกัน

    อย่างเช่นการไปหาพระพิมพ์มาเอง แต่มาถามผมว่า แท้หรือไม่ ถ้าอุตสาห์ไปหามาเองแล้ว จะมาถามทำไม ก็ต้องมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่หามาเองนั้น จะแท้หรือไม่แท้ ใช่หรือเปล่าครับ
    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เราเป็นแค่ผู้ที่รักษาไว้ชั่วคราวแค่นั้นครับ แล้วก็ส่งให้กับผู้ที่มีวาสนาบารมีได้มีโอกาสครอบครองและสักการะบูชากันในรุ่นต่อๆไป

    เรานำไปได้เพียงบุญและกรรมที่เรากระทำกัน

    คุณเพชรเองก็มีไม่น้อยไปกว่าผม พระพิมพ์และวัตถุมงคลบางอย่างที่คุณเพชรมี ผมเองไม่มี ก็มีอยู่มากเหมือนกัน

    พูดไปพูดมา เดี๋ยวจะถูกข้อหา เป็นหน้าม้าซึ่งกันและกันนะครับ
    .
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ก็เข้าใจว่า ทาง......ของคนเหล่านี้ คงไม่ได้อบรมกันมา ให้เป็นมนุษย์ เพียงแต่ให้เป็นคน คนกันทั้งกาแฟ ,ชา ,น้ำหวาน ,น้ำอัดลม ,เหล้า ,เบียร์ ,เหล้าขาว ,บรั่นดี ฯลฯ คนกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
    ภาษาตอนผมเรียน เค้าเรียกว่าสังขยาครับ หลังจากทานเข้าไปมากๆจะเกิดการกระอักกระอ่วนแล้งก็.............ครับ55555
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เสียวซ่าน อารายจ๊ะ หุ้นลงเสียวกว่าเยอะครับ 55555
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    หึหึ พูดไปให้ชัดๆกันเลยดีกว่าครับพระพิมพ์พระรูปเหมือนหลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรีที่ผมนำเสนอให้ได้ทราบนั้นเป็นผงเก่าของหลวงปู่แสงที่ท่านบรรจุภายในโถดินเผาในพระเจดีย์ ผสมกับมวลสารอื่น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หากท่านใดสนใจพระพิมพ์ที่หลวงปู่แสงสร้างไว้หากนับอายุการสร้างพระพิมพ์สมเด็จของหลวงปู่แสงจนถึงขณะนี้(๒๕๕๐)ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปีแล้ว ก็ลองสอบถามคุณหนุ่มเอานะครับ อาจจะนำออกมาให้ร่วมบุญกันพระเครื่องพระอาจารย์ของสมเด็จโต ซึ่งสมเด็จโตเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ภู ..ก็ลองคิดกันเอาเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทำไมพระเครื่องดีๆถึงไปอยู่กับคุณหนุ่มมากมายขนาดนั้น...อืมมม วาสนาโดยแท้...<O:p</O:p
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chaipat [​IMG]
    วาสนาพี่หนุ่มจริงๆ แต่ก็จะมีคนตามหาพี่หนุ่มกันมากขึ้นครับ
    ระวังนะครับ พี่หนุ่ม จะเสียวซ่านไปทั่งตัว มีมาก

    ตอนเห็นมากๆ ผมก็อยู่ไม่ได้ครับ เสียวซ่านซะทั่งตัว
    นั่งไม่ติดโต๊ะ ทั้งสองครั้งที่ไปบ้าน ... ความแปลกที่เกิด
    แต่เรื่องจริงๆ ครับ

    วาสนาพี่หนุ่มจริงๆ แล้วจะเสียวซ่านไปทั่งตัว
    มิรู้ว่าจะแบ่งความเสียวให้ พี่น้องหนู พี่ตั้งจิตได้ไหมน้า.... นะพี่ๆ
    แต่ผมมิกล้าครับ

    สาธุครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไม่เสียวครับ แต่ ผบทบ.เป็นคนเสียวแทน เพราะว่าเจอกันจะจะ และโทร.มาหาผม โวยวายเสียงดัง จนผมต้องรีบกลับบ้านไปจุดธูป ......

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมจะถวายวัตถุมงคล กับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ,พระอาจารย์นิล และท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    ซึ่งจะมีวัตถุมงคลอยู่หลายๆอย่าง จะขอเชิญชวนพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในกลุ่ม ร่วมกันบริจาคเงิน

    เพื่อนำวัตถุมงคล(หลายๆอย่าง) ถวายพระอาจารย์รูปหนึ่ง ,พระอาจารย์นิล และท่านอาจารย์ประถม อาจสาครกัน ถ้าท่านใดสนใจ รบกวนโทร.หาผมด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .




    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมมาแจ้งเรื่องของจำนวนเงินที่พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆทุกๆท่านที่จะร่วมทำบุญเพื่อนำวัตถุมงคลถวายพระอาจารย์รูปหนึ่ง ,พระอาจารย์นิล และท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร รวมทั้งหมดจะอยู่ที่ 16,400 บาทครับ

    ขณะนี้มีผู้ร่วมทำบุญซึ่งโอนเงินมาแล้ว 2 ท่าน จำนวน 4,500 บาทครับ

    รายละเอียดเมื่อเรียบร้อยแล้ว ผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมรบกวนแจ้งผมก่อนวันเสาร์(26 มกราคม 51) ขอให้แจ้งผมภายในวันศุกร์(25 มกราคม 51)นี้นะครับ ผมจะได้จัดให้ลงตัว

    ผมเองก็อาจจะไม่มากนัก เนื่องจากว่า ช่วงนี้ต้องใช้เงินมากครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2008
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมาต่อให้ กระอักกระอ่วนแล้วก็ อ้วก ครับ

    อ่า สงสัยว่า เดี๋ยวนี้ นิยมสังขยากันแน่เลย ก็ต้องมีการพัฒนาอาหารทางสายยางกัน มีการพัฒนาเก้าอี้กัน มีการพัฒนาเตียงนอนกัน หุหุหุ

    .
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555555555555555555555555555555555(deejai)
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เดือนหน้าที่จะนัดพบกัน ผมจะนำน้ำมนต์ไปฝากทุกๆท่าน ขอให้ทุกๆท่านนำขวดน้ำเปล่า ใส่น้ำสะอาดมาด้วย ผมจะต่อน้ำมนต์ให้

    น้ำมนต์นี้ เป็นน้ำมนต์ที่ได้ขอพระเมตตา จากหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ทั้ง 5 พระองค์ 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ,หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ,หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ,หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ,หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ อธิษฐานจิตให้ และเป็นน้ำมนต์ที่ลอยดอกมณฑาทิพย์ด้วยครับ

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=17796&catid=27

    <TABLE id=table110 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=6 rowSpan=3></TD><TD colSpan=2>'ปศุสัตว์' พบเชื้อไข้หวัดนกในฟาร์มไก่จ.นครสวรรค์ </TD><TR><TD width=608>

    นายสัตวแพทย์ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานตามโครงการรณรงค์ค้นหาโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกแบบบูรณาการ (x-ray) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกพื้นที่ และได้มีการสุ่มเก็บตัวอย่างสัตว์ปีกป่วยตายส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ได้มีผลการตรวจพบเชื้อไข้หวัดนก ชนิด H5 ซึ่งตรวจด้วยวิธี Real time RT PCR เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 จากตัวอย่างซากไก่เนื้อ ที่ส่งตรวจโดยสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งผลการสอบสวนโรค และควบคุมโรคเบื้องต้นพบว่า พื้นที่พบเชื้อไข้หวัดนก เป็นฟาร์มไก่เนื้อ ศรีไพรฟาร์ม ของนางศรีไพร แก้วมณีฉาย ต.พิกุล อ.ชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เลี้ยงไก่เนื้อ จำนวน 4 โรงเรือน จำนวนไก่เนื้อทั้งสิ้น 59,670 ตัว โดยโรงเรือนที่เกิดเหตุเป็นโรงเรือนหลังที่ 2 เลี้ยงบนบ่อปลา เลี้ยงไก่เนื้อ จำนวน 14,000 ตัว ทั้งนี้ ฟาร์มดังกล่าวเป็นฟาร์มไก่เนื้อระบบปิด มีจำนวนทั้งสิ้น 4โรงเรือน แบ่งเป็นโรงเรือนระบบปิดบนบ่อปลา จำนวน 2 โรงเรือน และโรงเรือนระบบปิดบนพื้นดิน จำนวน 2 โรงเรือน
    อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ไก่เนื้อจำนวนดังกล่าว เริ่มป่วยตายผิดปกติ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2551 จำนวน 4,085 ตัว โดยเจ้าของฟาร์มแจ้งไก่ป่วยตายกับปศุสัตว์อำเภอชุมแสงเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2551 ซึ่งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ได้ทำการเก็บตัวอย่างซากไก่เนื้อ จำนวน 10 ตัวอย่าง ส่งตรวจที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ ภาคเหนือ ตอนล่าง จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2551 ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้มีการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรค และห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตร รอบจุดเกิดโรค ประกอบด้วยพื้นที่ จำนวน 35หมู่บ้าน 5 ตำบล 1 อำเภอที่มีจำนวนสัตว์ปีกทั้งสิ้น 182,240 ตัว เกษตรกร จำนวน 413 ราย และได้เข้าทำลายไก่เนื้อบริเวณจุดเกิดโรคโรงเรือนที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 9,915 ตัว เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 พร้อมทั้งพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในฟาร์มเกิดเหตุ และบ้านที่เลี้ยงสัตว์ปีกในหมู่ 3 ตำบลพิกุล อำเภอชุมแสง และ บริเวณหมู่บ้านใกล้เคียง โดยประสานงานกับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอชุมแสง และองค์การบริหารส่วนตำบลพิกุล ในการดำเนินงาน
    นอกจากนี้ ได้มีสุ่มเก็บตัวอย่าง (cloacal swab) ในโรงเรือนที่เหลือของฟาร์ม และทุกหลังคาเรือนที่เลี้ยงสัตว์ปีกของหมู่ 3 ตำบลพิกุล อำเภอชุมแสง และหมู่บ้านในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบจุดเกิดโรค หมู่บ้านละ 20 ตัวอย่าง และได้ประสานงานกับสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ ในการเฝ้าระวังโรคโนคน และฝ่ายปกครอง ในการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังจุดอื่นเพิ่มเติม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, nongnooo+, viroj, ตั้งจิต+, พรตวิปลาศ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดึกแล้ว คุณตั้งจิต คุณnongnooo ยังไม่นอนหรือครับ รักษาสุขภาพ ระวังหวัดนกกันนะครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...