อยากขอวิธีตัดใจต่อนางแก้ว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย InvisibleForce, 22 พฤศจิกายน 2013.

  1. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เมื่อพระชายาประภาวดีเสด็จไปจากกุสาวดีแล้ว พระเจ้ากุสราชก็ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย เฝ้ารำพึงคิดถึงพระชายาด้วยความรัก ไม่ทรงมีพระทัยให้พระสนมอื่นเลยแม้แต่นางเดียว ความเงียบเหงาหดหู่ของพระองค์นั้นพลอยทำให้พระราชนิเวศน์ที่เคยรุ่งเรืองเกลื่อนกล่นด้วยเสนาะสำเนียง บัดนี้กลับเงียบเหงาวังเวงคล้ายดังไม่มีใครอยู่

    หลายวันผ่านไป พระเจ้ากุสราชคะเนว่าพระชายาประภาวดีคงกลับถึงสาคละแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระมารดากราบทูลว่าพระองค์จะไปรับพระนางประภาวดีอันเป็นที่รักกลับคืนมา กราบทูลลาแล้วพระเจ้ากุสราชก็เหน็บพระแสงอาวุธห้าอย่าง กหาปณะพันหนึ่ง พร้อมทั้งถือพิณเสด็จออกจากพระนคร ด้วยพละกำลังของพระองค์ เพียงสองวันก็เสด็จถึงสาคลนคร

    พระเจ้ากุสราชถือพิณเสด็จไปใกล้โรงช้างต้นใกล้ตำหนัก ทรงบรรเลงเพลงพิณให้พระชายาได้ยิน พระนางประภาวดีพอสดับเสียงเพลงพิณล่องลอยมาก็รู้ว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จตามมา พระนางจึงเก็บองค์ไม่ยอมออกมาพบหน้า อีกทั้งไม่บอกใครให้รู้ด้วยว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมา พระเจ้ากุสราชบรรเลงเพลงพิณจบเห็นพระชายาปิดตำหนักดำริว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผลจึงนำพิณไปเก็บ

    วันรุ่งขึ้น พระเจ้ากุสราชเสด็จไปบ้านนายช่างหม้อ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ วันนั้นพระองค์ไปขนดินมาเต็มเรือน ปั้นภาชนะเล็กบ้างใหญ่บ้างมากมายหลายชนิด และทรงปั้นภาชนะใบเล็กที่มีรูปลายละเอียดประณีตสวยงาม ทรงหมายพระทัยให้พระชายาทอดพระเนตรเห็นพักตร์ของพระองค์ที่ซ่อนอยู่ในลวดลายนั้น เมื่อเผาภาชนะนั้นแล้วนายช่างหม้อได้นำไปถวายพระราชา พระเจ้ามัททราชทอดพระเนตรแล้วตรัสถามว่าเป็นฝีมือของใคร นายช่างหม้อกราบทูลว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ พระราชาตรัสว่าฝีมือประณีตปานนี้ควรที่เจ้าจะสมัครเป็นศิษย์เขามากกว่า แล้วพระเจ้ามัททราชก็รับสั่งให้ช่างหม้อนำภาชนะใบเล็กไปถวายพระธิดา

    เมื่อพระนางประภาวดีทรงรับภาชนะที่พระเจ้ากุสราชทำขึ้นให้โดยเฉพาะ ก็เห็นรูปพระเจ้ากุสราชบนภาชนะ พระนางจึงขว้างภาชนะนั้นทิ้งลงบนพื้นจนแตกกระจายไม่ใยดีพระเจ้ากุสราชดำริว่าหากพระองค์ยังอยู่เรือนช่างปั้นหม้อ ก็คงไม่มีโอกาสได้พบหน้าพระชายา พระองค์จึงเสด็จไปขอเป็นศิษย์นายช่างสาน นำใบตาลมาประดิษฐ์เป็นของใช้ให้พระนางประภาวดีพระนางประภาวดีได้เห็นรูปพระเจ้ากุสราชอีก ทรงกริ้วและขว้างเครื่องสานลงบนพื้น ตรัสว่าใครอยากได้ก็เอาไปเถิด เราไม่ปรารถนาของแบบนี้

    พระเจ้ากุสราชจึงไปยังสำนักของนายช่างร้อยดอกไม้ ทรงร้อยพวงมาลาที่สวยงามถวายพระนางประภาวดี ก็ถูกพระนางประภาวดีจับขว้างทิ้งลงพื้นอีกพระเจ้ากุสราชจึงไปขอทำงานในห้องต้นเครื่องพระราชา พระราชาทรงพอพระทัยฝีมือการปรุงอาหาร รับสั่งให้พระเจ้ากุสราชเป็นพ่อครัวทำเครื่องเสวยประจำพระองค์ วันรุ่งขึ้น หลังจากจัดแจงเครื่องเสวยถวายพระราชาเสร็จแล้ว พระเจ้ากุสราชก็จัดเครื่องเสวยอีกชุดหนึ่งใส่หาบ เสด็จไปยังตำหนักของพระนางประภาวดี

    พระนางประภาวดีไม่ยอมเปิดพระทวารรับ ตรัสว่านางไม่ปรารถนาผู้มีผิวพรรณชั่วเช่นพระเจ้ากุสราช ขอให้พระองค์เสด็จกับกุสาวดี ไปหานางยักษ์ที่มีรูปชั่วเสมอกันมาเป็นมเหสีเถิดพระนางประภาวดีไม่ยอมแตะต้องอาหารที่พระเจ้ากุสราชปรุงถวายเลยแม้แต่น้อย ทรงแลกกับอาหารผักต้มของนางค่อมด้วยความชัง และกำชับนางค่อมไม่ให้ปริปากบอกใครด้วยว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จตามมา

    หลายวันผ่านไป พระเจ้ากุสราชอยากรู้ว่าพระชายาประภาวดีมีความเสน่หาอาลัยในพระองค์บ้างหรือไม่ เมื่อหาบเครื่องเสวยผ่านหน้าตำหนักพระชายา พระองค์จึงแกล้งกระทืบบาทเสียงดัง แล้วทำทีเป็นสลบล้มลงอยู่หน้าทวารพระนางประภาวดีเปิดทวารออกมาดู เห็นพระเจ้ากุสราชสิ้นสติอยู่จึงเข้าไปช้อนพระเศียรตรวจดูลมหายใจ พระเจ้ากุสราชได้ทีถ่มน้ำลายถูกตัวนาง ทำให้พระนางประภาวดีกริ้ว ทรงบริภาษพระสวามีอย่างรุนแรงแล้วเสด็จหนีกลับเข้าตำหนัก แม้พระเจ้ากุสราชจะพูดง้องอนอย่างไรพระนางก็ไม่หายโกรธ

    ฝ่ายนางค่อมเห็นพระเจ้ากุสราชพยายามง้อขอคืนดีพระชายา จึงได้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอีกแรงหนึ่ง กราบทูลว่าพระธิดาไม่ควรมองพระเจ้ากุสราชเพียงแค่รูปกาย แต่ควรมองที่ความดีและพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทั่วทั้งชมพูทวีปนี้จะหาใครมีพระปรีชาสามารถเสมอพระสวามีของพระธิดาไม่มีอีกแล้ว แต่พระนางประภาวดีไม่ฟัง

    เวลาผ่านไป ๗ เดือน พระเจ้ากุสราชทรงท้อพระทัยที่ไม่ได้เห็นหน้าพระชายาของพระองค์เลย และทรงเป็นห่วงบ้านเมืองจึงคิดจะเสด็จกลับกุสาวดีขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่าพระเจ้ากุสราชทรงเบื่อระอา ดำริว่าจะต้องช่วยให้พระองค์สมประสงค์ จึงเนรมิตทูต ๗ คน ส่งสาส์นไปยังกษัตริย์ ๗ นคร บอกข่าวว่าพระนางประภาวดีทรงทิ้งพระเจ้ากุสราชกลับสาคลนครแล้ว ถ้าพระราชาองค์ใดมีพระประสงค์ในพระนาง ก็เสด็จมารับพระนางประภาวดีไปเถิด
     
  2. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระราชาทั้ง ๗ นคร ต่างองค์ต่างนำขบวนมารับพระนางประภาวดี เมื่อมาถึงสาคละ ขบวนของพระราชาทั้ง ๗ นครก็ได้มาพบกัน ต่างองค์ต่างพิโรธว่าพระเจ้ามัททราชดูถูกที่ยกธิดาองค์เดียวให้กับกษัตริย์ถึง ๗ องค์ พระราชาทั้ง ๗ จึงพร้อมใจกันยกพลล้อมสาคละไว้ แล้วส่งสาส์นไปหาพระเจ้ามัททราชให้ออกมารบ หรือไม่ก็ส่งพระนางประภาวดีออกมา

    พระเจ้ามัททราชเมื่อได้รับสาส์นก็กริ้วพระธิดาที่เป็นเหตุให้มีศึกมาประชิดพระนคร ทรงบริภาษพระธิดาว่ามีพระสวามีเลิศที่สุดในชมพูทวีปแล้วยังทิ้งมาได้เพียงเพราะรังเกียจรูปโฉมภายนอกของพระสวามี บัดนี้บ้านเมืองถึงคราวคับขันหาใครมาช่วยเหลือการศึกไม่ได้ พระองค์จำเป็นต้องตัดร่างพระธิดาเป็น ๗ ท่อน ส่งไปให้พระราชา ๗ นครเพื่อสงบศึก

    พระนางประภาวดีสดับแล้วตกพระทัยกลัว รีบเสด็จไปหาพระมารดากรรแสงไห้คร่ำครวญทูลขอให้พระมารดาช่วย พระมารดาสงสารพระธิดาจึงเสด็จไปเฝ้าพระเจ้ามัททราชขอให้ทรงปรานี แต่พระเจ้ามัททราชตรัสว่าธิดาของเราไม่ทำตามคำของบิดามารดาละทิ้งพระสวามีมาจนทำให้มีศึกมาติดพระนคร เมื่อเธอเป็นต้นเหตุทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนก็ต้องลงโทษเธอ

    พระมารดาหมดทางช่วยจึงกลับมาหาพระธิดาประภาวดี ตรัสว่า พระเจ้ากุสราชสวามีของลูกเป็นกษัตริย์นครใหญ่และทรงพระปรีชาสามารถ กษัตริย์เมืองอื่นทั่วชมพูทวีปไม่มีใครหาญกล้าสู้พระองค์ได้ หากลูกไม่หลงมัวเมาในรูปโฉมละทิ้งพระองค์มา วันนี้พระเจ้ากุสราชคงจะประทับอยู่ที่นี่และช่วยขับไล่กองทัพของกษัตริย์ ๗ นครนี้ไปได้ พระนางประภาวดีหมดหนทางจึงกราบทูลความจริงว่า พระเจ้ากุสราชนั้นประทับอยู่ในนครนี้แล้วถึง ๗ เดือน แต่พระมารดาไม่เชื่อ ถ้าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาจริงแล้วพระองค์ประทับอยู่ที่ไหน พระนางประภาวดีจึงเปิดบานพระแกลชี้ให้พระมารดาทอดพระเนตรดูพนักงานต้นเครื่องที่กำลังก้มทำงานล้างหม้ออยู่ ทูลว่าชายคนนั้นคือพระเจ้ากุสราช พระมารดาทอดพระเนตรดู พิเคราะห์แล้วว่าเป็นพระเจ้ากุสราชจริงๆ จึงตรัสเตือนสติพระธิดาว่า

    “พระเจ้ากุสราชเป็นถึงพระราชานครใหญ่ พระเกียรติยศร่ำลือไปทั้งชมพูทวีป พระราชาองค์ไหนๆ ล้วนต้องยอมศิโรราบแก่พระองค์ แต่ลูกหญิงจงมองดูว่าเหตุใดพระองค์จึงยอมทนทำงานเป็นต้นเครื่องอยู่นี่ถึง ๗ เดือน ลูกหญิงมีชายที่รักและอดทนเพื่อความรักได้มากถึงเพียงนี้จะยังปรารถนาอะไรอีกเล่า”พระนางประภาวดีทอดพระเนตรดูพระเจ้ากุสราช ทรงได้สติรู้สึกองค์ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นพระนางมองแต่ว่าพระสวามีอัปลักษณ์ ไม่เคยมองเลยว่าพระเจ้ากุสราชนั้นทรงปรีชาสามารถและยอมทำทุกอย่างเพื่อพระนาง แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นชายและเกียรติยศของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่พระเจ้ากุสราชก็นำมาทิ้งไว้ที่นี่เพื่องอนง้อพระนาง ดำริแล้วก็เศร้าพระทัยทรุดนั่งอยู่ใกล้พระแกล

    พระมารดาเมื่อรู้ว่าพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่แล้ว จึงรีบไปกราบทูลให้พระเจ้ามัททราชทรงทราบ พระเจ้ามัททราชรีบเสด็จไปหาพระเจ้ากุสราชและรับสั่งให้ตามพระธิดามาขอขมาพระเจ้ากุสราชต้องการจะขจัดมานะของพระชายา จึงตักน้ำราดพื้นรอบองค์จนพื้นเละเป็นโคลน พระชายาประภาวดีเสด็จมาถึงด้วยความสำนึกผิด ทรงทิ้งมานะธิดากษัตริย์ผู้สูงศักดิ์เสียสิ้น หมอบกราบขอขมาโทษบนพื้นโคลนที่แทบพระบาทพระเจ้ากุสราช กราบทูลว่า“เสด็จพี่กุสราชหม่อมฉันหลงมัวเมามองความงามของคนเพียงแค่รูปกาย

    ไม่ได้มองความงามแท้จริงที่อยู่ภายใน จึงทอดทิ้งพระองค์มา ขอเสด็จพี่ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิด บัดนี้หม่อมฉันเป็นต้นเหตุให้เกิดศึกแก่สาคละ หากแม้นพระองค์ยังทรงมีไมตรีให้หม่อมฉันผู้สำนึกผิด ก็ขอได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย แต่หากแม้นพระองค์ยังคงถือโทษโกรธหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันก็ขอยอมตายถวายชีวิตให้ ขอเพียงพระองค์ทรงช่วยสาคละให้พ้นภัยด้วยเถิด”

    พระเจ้ากุสราชทรงเห็นว่าพระชายาทรงละมานะแล้ว จึงทรุดกายลงตรัสว่า
    “น้องหญิงอย่ากังวลไปเลย ที่พี่ทิ้งกุสาวดีติดตามน้องหญิงมาถึงสาคลนครเพียงผู้เดียวก็ด้วยความรัก พี่ทนทำงานหนักไร้เกียรติและยศศักดิ์อยู่ที่นี่ ไม่ใช้กำลังหาญหักทำลายสาคลนครให้ราบคาบแล้วฉุดคร่าพาน้องหญิงกลับคืนไป ก็เพราะความรัก ดวงหทัยของพี่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีให้น้องหญิงตั้งแต่แรกเห็นจนไม่มีส่วนเหลือไว้โกรธเคืองหรือเกลียดชังเลยแม้เพียงนิด

    ศึกของสาคละครั้งนี้ อย่าว่าแต่กองทัพเพียง ๗ นครเท่านี้เลย ต่อให้มากันเป็นร้อยนครพี่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาย่ำยีน้องหญิงของพี่เป็นอันขาด”พระเจ้ากุสราชโอบประคองพระชายาประภาวดีให้ลุกขึ้น ทั้งสองพระองค์ทรงชำระล้างและทรงฉลองพระองค์ใหม่ แล้วพระเจ้ากุสราชก็กราบทูลให้พระเจ้ามัททราชพาพระมเหสีและพระนางประภาวดีเสด็จขึ้นไปประทับดูการศึกบนพระตำหนัก ส่วนพระองค์จะนำทัพเสด็จออกไปจับกษัตริย์ทั้ง ๗ นครพระเจ้ากุสราชยกทัพออกจากประตูเมืองสาคลนคร ทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจราชสีห์ กัมปนาทกึกก้องไปทั้งชมพูทวีป ประกาศว่า

    “เราคือพระเจ้ากุสราช ใครรักชีวิต ก็จงอ่อนน้อมกับเราเสียเถิด”

    กองทัพกษัตริย์ ๗ นคร พอได้ยินสีหนาทของพระเจ้ากุสราชก็ตกใจกลัวจนขวัญหาย เมื่อเห็นพระเจ้ากุสราชประทับราชรถออกมาก็ยิ่งกลัวพระบารมีพากันวิ่งหนี กองทัพแตกกระจายสภาพไม่ต่างจากฝูงเนื้อแตกหนีราชสีห์พระเจ้ากุสราชจับกษัตริย์ทั้ง ๗ นครไว้ได้โดยง่าย ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาอวยชัยและประทานแก้วมณีให้ดวงหนึ่ง จากนั้นพระเจ้ากุสราชก็นำกษัตริย์ ๗ นครมาถวายพระเจ้ามัททราชเพื่อลงพระอาญา พระเจ้ามัททราชตรัสว่ากษัตริย์ ๗ นครนี้ไม่ได้เป็นศัตรูของพระองค์ แต่เป็นศัตรูของพระเจ้ากุสราชโดยตรง ขอให้พระเจ้ากุสราชเป็นผู้ตัดสินพระทัยเอง

    พระเจ้ากุสราชจึงกราบทูลว่า กษัตริย์ ๗ นครนี้เป็นขัตติยชาติ มีความองอาจห้าวหาญไม่แพ้ใครในชมพูทวีป หากพระองค์ประทานพระธิดาอีก ๗ องค์ให้แก่กษัตริย์เหล่านี้ก็จะเป็นการผูกสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ซึ่งพระเจ้ามัททราชก็ตกลงและจัดพิธีอภิเษกสมรสให้

    หลังพิธีอภิเษกสมรสกษัตริย์ ๗ นครกับพระธิดาทั้งหลายแล้ว พระเจ้ากุสราชจึงพาพระนางประภาวดีเสด็จกลับกุสาวดี ทั้งสองพระองค์ประทับนั่งเคียงข้างกันบนราชรถ และด้วยอานุภาพของแก้วมณีขององค์อัมรินทร์ พระรูปโฉมของพระเจ้ากุสราชก็หายอัปลักษณ์ แต่กลับงดงามดังเทพบุตร เหมาะสมกับพระสิริโฉมอันงดงามของพระนางประภาวดีผู้เป็นพระชายายิ่งนัก

    เมื่อพระเจ้ากุสราชและพระนางประภาวดีเสด็จกลับถึงกุสาวดีนครแล้ว ก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองตลอด ๗ วัน แล้วทั้งสองพระองค์ก็ร่วมกันปกครองกุสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก ทรงให้ทาน รักษาศีล บำรุงสมณะชีพราหมณ์ ช่วยกันสร้างสมกองกุศลด้วยความศรัทธาเสมอกัน
     
  3. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เดี๋ยวค่อยมาสรุปพระสูตรเรื่องนี้ครับ
     
  4. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    ตรองดูเถิด ผู้ใดเลือกผู้ใด...

    พระโพธิสัตว์ ความปรารถนาสูงสุด คือ พุทธภูมิ แม้ต้องเดินลำพังก็ยังคงปรารถนาพุทธภูมิ แม้จะต้องบริจาคนางแก้วเป็นทาน ก็เพื่อเป้าหมายสูงสุด พุทธภูมิ...
    นางแก้ว ความปรารถนาสูงสุด คือ การได้ช่วยพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี แม้จะต้องลำบากแค่ไหน แม้จะต้องเป็นบุคคลที่พระโพธิสัตว์เสียสละเพื่อให้ทานบารมีเต็ม ก็ยินดี เพราะเป้าหมายสูงสุด คือความสำเร็จของพระโพธิสัตว์...

    ยังไม่นับรวมที่นางแก้ว ต้องเสียสละเพื่ออธิฐานเพื่อให้ตนเกิดเป็นหญิงในทุกชาติ แม้รู้ว่าการเกิดเป็นหญิงนั้นลำบาก แต่เพื่อความสำเร็จของพระโพธิสัตว์ นางแก้วไม่ย่อท้อ...

    กำลังใจที่เด็ดเดี่ยวเช่นนั้น จึงทำให้พระนางคู่ควรและเหมาะสมกับพระโพธิสัตว์...และเพื่อทำกิจบางอย่างที่ทำให้การงานของพระโพธิสัตว์ลุล่วงไปได้โดยบริบูรณ์...

    หากไม่มีจิตอันมั่นคง เด็ดเดี่ยวเช่นนั้นไซร้ ต่อให้เป็นหญิงที่พระโพธิสัตว์รักสักปานใด วันหนึ่งก็ต้องแยกทางเพราะไม่อาจทนต่อความยากลำบากเหนือคนปกติได้.... ก็ใครกันละ ที่จะมั่นคงต่อเส้นทางที่พระโพธิสัตว์ได้เลือกแล้ว
     
  5. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    สนับสนุนแนวคิดท่านน้าpcoครับ ถ้าไม่มีกรรมปฏิสัมพันธ์มา อยู่ดีใครจะจัดสรรใครมาให้ใครได้ ส่วนตัวเห็นว่าพระโพธิสัตว์นั่นแล คือคนผูกเรื่องแล้ว
    จะเป็นผู้ดำเนิน โดยมีผู้และสิ่งที่มองไม่เห็น ทั้งเบื้องยน ล่าง กลาง และขวางคอยหนุน แม้มหาพุทธาปทานจะเริ่มที่สุ เมธ เ ดาบส นสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า แต่ยโสธราเถรียาปทาน ท่านสัมพันธ์กันมาก่อนหลายโกฏกัปปพระพุาทธเจ้าไม่ค่อยตรัสชาดกเกี่ยวกับนางแก้ว เข้าใจว่าคงไม่เหมาะสมสักเท่าใด หรือไม่ก็ให้นางเล่าเอง
    ...เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่รู้ถูกป่าว อิอิ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2014
  6. ฟ้าพราว

    ฟ้าพราว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +26
    ............................................
    ไม่เข้าใจค่ะว่าทำไมต้องมีคนคอยขวางด้วยคะ
     
  7. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    การเกิดของคนเรานั้น หลายชาติภพเหลือเกิน มีคู่มาแล้วก็นับไม่ถ้วน สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง..
    และการที่จะครองคู่กันได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า ต้องเคยมีกรรมสัมพันธ์กันมาในอดีตชาติ และจะต้องเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบัน...

    แต่คู่ครองแบบปุถุชน หรือจะเทียบเคียง กับจิตอันเป็นมหากุศลของพระโพธิสัตว์ ที่มุ่งประโยชน์เกื้อกูลต่อสัตว์โลกมากกว่าที่จะเกื้อกูลจิตตนเอง อีกทั้งจิตของพระโพธิสัตว์นั้นมีเมตตามาก การจะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่บารมี ก็ย่อมเอาประโยชน์ในการบำเพ็ญบารมีเป็นหลักใหญ่
    ....แต่หญิงใดกันที่จะมีความอดทนได้หากไม่ได้อฐิษฐานจิตในการเป็นนางแก้ว อันเป็นมหากุศลจิต
    ...หากเพียงแต่อาศัยความผูกพันเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากการอฐิษฐานจิตแล้ว จิตคงไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะลุยน้ำลุยไฟไปพร้อมกันพระโพธิสัตว์.....

    ขอยกตัวอย่างประกอบ

    ถ้าชายใดรักและผูกพันกับหญิงสักคนหนึ่ง แต่ชายนั้นมีเป้าหมายชีวิตว่า ต้องเป็นแพทย์อาสาในชนบทที่ห่างไกล มีความทุรกันดาน มีความลำบาก แต่ชายนั้นไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์ที่ได้ตั้งไว้ แม้หญิงที่เขารักจะทนไม่ได้ต่อความยากลำบากเหล่านั้น และได้แยกทางกันไปในที่สุด ทั้งที่ยังรักกันมากมาย สุดท้ายวิบากที่เคยสะสมกันมาก็จางคลายไปตามกาลเวลา...
    แต่กับหญิงอีกคนที่อาจไม่ได้รักกันมากเหมือนคนแรก แต่นางเห็นความทุ่มของแพทย์อาสาผู้นั้น จิตเกิดความศรัทธา และพร้อมจะลำบากไปพร้อมกับชายที่ตนไม่อาจทิ้งให้ลำบากเพียงลำพัง จิตอันเป็นกุศลที่มุ่งเกื้อกูลกันแบบนี้ โดยมีเชื้อแห่งกรรมสัมพันธ์ในอดีตมาบ้าง ก็เพียงพอต่อการเกื้อหนุนให้สามารถเคียงข้างกันไปในหนทางอันแสนยากลำบาก ที่หญิงปกติไม่อาจทำได้...ชาติภพต่อๆ ไป กรรมก็จัดสรรให้จิตคู่ที่มุ่งเกื้อกูลกัน เป็นคู่บารมีแท้กันในที่สุด

    ใครกันที่เลือกที่จะไม่ไปไหน ใครกันที่มีเป้าหมายเพื่อเกื้อกูลโพธิสัตว์....
    หญิงที่พระโพธิสัตว์รักสักปานใด หากแม้นไม่ได้ตั้งเป้าหมายเพื่อเกื้อกูลพระโพธิสัตว์ สุดท้ายก็อาจได้เป็นเพียงบุตรที่พระโพธิสัตว์ไม่ทอดทิ้ง และรักยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ...
    ความผูกพันไม่ได้ตัดใครออกจากวงจร เพียงแต่จัดสรรในตำแหน่งที่เหมาะสม ต่อจิตภายในของเจ้าของจิตเท่านั้น..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤศจิกายน 2014
  8. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    น้ำจันทร์ => เหล้า
     
  9. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    น้ำ- จันทร์ ในนามปากกาตามความหมายของข้าพเจ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหล้าเลยแม้แต่น้อย..

    เป็นความหมายตามชื่อและนามสกุลของข้าพเจ้า ที่แสดงให้เห็นถึงสภาวะที่สอดคล้องเชื่อมโยงกัน

    น้ำ และ จันทร์ มีความสัมพันธ์ในกันแง่ของแรงดึงดูด เป็นสภาวะตามธรรมชาติที่ไม่อาจเป็นอิสระแก่กันได้...
    แต่แม้ว่าน้ำยังไม่เป็นอิสระจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ก็ใช่ว่าจะให้ประโยชน์แก่โลกมนุษย์ไม่ได้...
     
  10. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    ขวาง ผมหมายถึงเบื้้องขวางครับ ผู้ขวางก็เชื่อว่ามี อย่างน้อยๆก็เทวบุตมารและอกุศลวิบากของเราเอง
    ขออนุญาตเดากำรวางใจลงในเหล่าสัตว์ที่จะเกี่ยวข้อง
    กับพระโพธิสัตว์ดังนี้คับ-นอกเหนือจากมุ่งมั่นโพธิญานแล้ว
    คือใส่ใจทุกดวงจิตและตอบแทนให้มากกว่าที่เขามีต่อเรา
    จากคนใกล้ตัวไปจนใกลไม่มีประมาณ สุดความสามารถที่เรามีในห้วงนั้นๆและ
    ความสามารถที่เขาจะรับการสงเคราะห์ได้ แล้วค่อยอุเบกขาพิจารณาหาทางต่อ
    แต่อย่าให้ประเด็นที่เราช่วยไม่ได้นั้นมาเกาะกินใจเรา จะต้องวางกำลังใจให้ถูกต้องตามสถาณการให้มากที่สุด โม้มากไป ขออภัย
     
  11. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    โมทนาสาธุอย่างยิ่งครับ

    แล้วคุณน้ำ-จันทร์ เป็นหนึ่งในหญิงผู้ที่จะหิ้วกระเป๋าสะพายย่าม ที่พร้อมจะลำบากไปพร้อมกับชายที่ตนไม่อาจทิ้งให้ลำบากเพียงลำพังได้ หรือปล่าวครับ

    ผมเองมีแก้วใหญ่ที่เธอไม่ได้แค่สะพายย่ามเดินตามแพทย์อาสาชนบทไปแบบไม่อาจทอดทิ้งให้ไปตายลำพังได้ แต่แก้วนี้ของผมเป็นแบบพยาบาลที่หาหญ้าหนวดแมว ผสมต้นข้าวเย็นเหนือข้าวเย็นใต้ ต้มกับน้ำค้างบนใบสาปเสือ มาหยอดๆ ทาๆ ประสายามยาก ให้ผมพอกระย่องกระแย่งคลานต่อไปได้ เพราะแพทย์อาสาชนบทอย่างผมบางทีมันก็เจ็บไข้ได้ป่วยจนคลานไปเองไปไหวเหมือนกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 พฤศจิกายน 2014
  12. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241

    ขอยอมรับว่าเคยคิด...
    -คิดว่า จะเป็นนางแก้วช่วยใครสักคนบำเพ็ญบารมี แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะคนที่ข้าพเจ้าไม่อาจทิ้งให้อยู่เพียงลำพังได้ เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ
    -คิดว่า ในเมื่อคนที่ไม่อาจทิ้งไปได้ เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา เราก็ตั้งความปรารถนาเสียเอง แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะถามใจตนเองลึกๆ ว่าอยากบรรลุโพธิญาณจริงหรือ แต่ได้คำตอบว่าไม่
    -คิดว่า เหตุใด จึงไม่อาจทิ้งจริตนิสัยที่อยากช่วยคนอื่นไปด้วยกัน ได้คำตอบประจักษ์แก่ตนเองว่า อาจเป็นเพราะเคยตั้งความปรารถนาและได้สะสมมาบ้าง
    -คิดและถามตนเองว่า ในเมื่อกลับตัวไม่ได้และไปไม่ถึง จะทำอย่างไรต่อไป ได้คำตอบกลับมาว่า ก็ทำในสิ่งที่อยากทำตามหลักอิทธิบาทสี่ ช่วยเท่าที่อยากช่วย ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ช่วยตามสติปัญญา ช่วยคนที่ควรช่วย....และพบว่า การช่วยที่ง่ายที่สุดคือ การแนะนำให้คนรอบข้างปฏิบัติธรรมตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ .... และหากตายชาตินี้และหากได้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น ก็จะคอยช่วยพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ตามกรรมที่ได้สัมพันธ์กันโดยไม่ยึดติดว่าต้องเป็นนางแก้ว

    เพราะรู้แล้วว่า การได้ช่วยเหลือเป็นความสุข แต่ไม่ตั้งความปรารถนาเพื่อจะเป็นอะไรทั้งสิ้น ขอเป็นเพียงจิกซอว์ตัวเล็กๆ ที่ทำให้งานสำเร็จก็พอ
     
  13. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ถ้าไม่มีคู่พุทธภูมิ แต่ต้องบำเพ็ญบารมีรอนานเท่าพุทธภูมิ
    ผมเสนอว่า เปลี่ยนใจปรารถนาพุทธภูมิ เสียเลยดีกว่าครับ
    และชาติหน้าต่อๆ ไปจะได้กลับมาเป็นชายสร้างบารมียาวๆ ไปเลยครับ
     
  14. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241


    "ถ้าไม่มีคู่พุทธภูมิ แต่ต้องบำเพ็ญบารมีรอนานเท่าพุทธภูมิ"
    ....ก็ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญบารมีนานขนาดนั้น พอใจแค่ไหน เอาแค่นั้น

    "ผมเสนอว่า เปลี่ยนใจปรารถนาพุทธภูมิ เสียเลยดีกว่าครับ"
    ....ยิ่งปรารถนามาก ยิ่งต้องเกิดตายในโลกมนุษย์มาก จิตยังต้องเรียนรู้ทุกข์อีกมาก เพื่อจะได้เข้าใจทุกข์ของสาวกภูมิได้ถ้วนทั่ว แต่พอวางความปรารถนาลงไป กลับพบว่า ใจเบาขึ้น ใจมีวิชชามากขึ้น เพราะไม่ต้องคอยแบกรับความทุกข์และคอยทำตามแรงผลักดันเบื้องลึกในจิตใจ

    "และชาติหน้าต่อๆ ไปจะได้กลับมาเป็นชายสร้างบารมียาวๆ ไปเลยครับ"
    ....ยิ่งจิตผูกติดกับการอยากเกิดเป็นชาย พบว่า แทนที่ชาตินี้จะพอใจในการเกิด กลับยิ่งร้อนรนอยู่ภายใน แทนที่จะเรียนรู้ความหมายของคำว่า สันโดษ กลับมีแต่ ปฏิฆะเต็มดวงจิต

    .....และมีคำถามสะท้อนกลับมาในความคิดตนเองว่า หากข้าพเจ้าตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิอีกคน สังสารวัฎนี้ ของดวงจิตอีกมากมาย จะยาวขึ้นหรือสั้นลง.....
    .....และบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้ารักและห่วงใยเป็นหนักหนา แทนที่จะได้บรรลุเป็นสาวกภูมิอย่างช้าสุดก็ในสมัยพระอนาคตวงศ์ องค์ที่ 10 กลับต้องรอไปอีกยาวนานแค่ไหน กว่าที่ข้าพเจ้าจะสำเร็จ
    ....ข้าพเจ้าจึงขอเป็นเพียงดวงจันทร์ที่คอยสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ไม่ให้กลางคืนมืดมิดเกินไปนัก เพราะแหล่งกำเนิดแสงที่แท้คือแสงอาทิตย์ ไม่ใช่แสงจันทร์.....
    ....ขอเพียงเป็นจุดเชื่อมต่อให้บริวารของข้าพเจ้าได้รู้จักพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพียงเท่านั้น ข้าพเจ้าคิดว่าบริวารของข้าพเจ้าคงมีกำลังที่จะไม่จมน้ำและมีกำลังพอที่จะข้ามพ้นสังสารวัฎนี้ไปได้ด้วยกำลังของพวกเขาเอง....ข้าพเจ้าก็ปรารถนาเพียงเท่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤศจิกายน 2014
  15. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ผมชอบแนวคิดของคุณน้ำ-จันทร์ นะครับ เป็นตัวของตัวเองดี ผมเองก็คิดว่าการช่วยเหลือสรรพสัตว์มีหลายแนวทางนอกจากการเป็นพระโพธิสัตว์หรือนางแก้ว และผมก็ชอบที่จะเป็น กองหนุนมากกว่า ผมเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แต่เปลี่ยนแนวจากรูปแบบมาตรฐาน เป็นแนวทางส่วนตัว เพราะสำรวจใจตัวเองแล้วลึกๆพบว่า แม้ว่าจะมีอุปนิสัยชอบช่วยเหลือสรรพสัตว์ก็จริงอยู่ แต่กลับไม่ค่อยชอบเป็นผู้นำมากสักเท่าไร ออกจะชอบสันโดษด้วยซ้ำ และจะว่าเป็นแนวพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือสาวกภูมิก็ไม่ใช่อีก เพราะยังชอบที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ไปเรื่อยๆ เคยสงสัยอยู่นานว่าทำไมอุปนิสัยตัวเองออกจะแปลกๆ ไม่เข้าข่ายไปทางไหนสักทางหนึ่งที่ชัดเจนไปเลย แต่กลับอยู่ครึ่งๆกลางๆชอบกล สุดท้ายจึงปรารถนาที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ไปตามกำลังบารมีของตนไปเรื่อยๆ เป็นแนวร่วมหรือผู้ช่วยไปก่อน ประมาณนี้ เป็นภารกิจที่ยาวนานมากนับเวลาไม่ได้เลย ถ้าเมื่อไรถึงยุคที่ ไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วค่อยวางแผนต่อว่าจะทำภารกิจอะไรต่ออีกแล้วจึงจะเข้าพระนิพพาน
     
  16. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ผมก็เป็นคล้ายๆกันแบบนี้มาก่อนครับ แต่โดนสถานการณ์บังคับ
    สุดท้าย อยากเป็นอะไร อธิษฐานเอาครับ มันเป็นไปได้หมดครับ
     
  17. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมครับ ย่อๆก็ได้ครับ ^_^
     
  18. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    บอกตรงๆว่า ผมเพิ่งรู้จักสายพุทธภูมิไม่นานครับ
    แม้ว่าจะเคยอ่านประวัติพุทธเจ้ามาเยอะ ศึกษาสายพระป่ามาพอสมควร

    แต่ด้วยความทุกข์ที่เจอส่วนตัว และคิดว่าอาจจะไม่พ้นนรก
    จึงคิดว่าไหนๆก็ไหนๆ เอาดีให้สุดไปเลย ก็ลองคิดจะเป็นพระพุทธเจ้าเลย
    แต่พอถามใจตัวเอง ตอนนั้นกลับไม่กล้านะ เป็นแบบนี้อยู่นานเลย
    และอีกทั้งคิดๆแล้วก็ยังกลัวเรื่องสละอวัยวะและชีวิต

    เป็นแบบนี้นานเลย แต่พอโดนความทุกข์ทางโลกเล่นงาน
    เลยลองขอถวายชิวิตกับพระพุทธเจ้าทางความนึกคิดดู ก็ปรากฎว่าให้ผลดีครับ
    ใจมันดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ค่อยกลัวครับ

    อีกอย่างสิ่งที่ต่างไปชัดเจนคือ เมื่อก่อนพอเวลาเราอยากเก่งมากๆ
    อยากเป็นที่หนึ่ง มันจะมีอารมณ์ชั่วๆอยากชนะคนอื่น
    แต่หลังจากปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ใจมันเบา คืออยากเป็นเลิศ
    แต่กลับไม่มีอารมณ์ชั่วร้าย แต่อยากดีเลิศของมันเอง

    และความสามารถต่างๆ ที่เมื่อก่อนเหมือน จะพยายามเท่าไรก็จะตันๆ ไปไม่ได้
    เดี๋ยวนี้ขีดความสามารถที่จะรับ ความสามารถใหม่มีเพิ่มไม่จำกัด
    ยังพัฒนาต่อได้เรื่อยๆ อีกทั้งความรู้แปลกๆพิศดารก็มีมาเรื่อยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2014
  19. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    สมัยนี้หญิงที่มีนำ้ใจน่ากราบอย่างนางแก้วคงไม่มีหรอก
     
  20. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    แต่ผมมีนะในชาติปัจจุบันสมัยนี้นี่แหละ หลายต่อหลายคน แม่ของผมท่านก็เป็นแก้วของผม มีแม่ที่ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเหนิดผมท่านหนึ่ง ที่เรียกกันว่าแม่เลี้ยง แม่ท่านนี้ก็ได้ทำหน้าที่ มีน้ำใจต่อลูกๆที่ท่านไม่ได้เป็นผู้ให้กำเหนิด มีความรักซื่อสัตย์จงรักภักดิ์ดีต่อพ่อของผม อยู่เคียงคู่ดูแลจนวินาทีสุดท้ายของพ่อ ท่านเป็นแม่แก้วของผม ที่ผมก็ได้เอาเป็นเยี่ยงเป็นอย่างไว้สอนลูกหลาน ท่านเป็นนางแก้วของพ่อผม คนอื่นจะดีอย่างไรนั้น นั่นเขาดีสำหรับคนอื่น นั่นมันคนอื่น ไม่ใช่แก้วของพ่อ ไม่ใช่แม่แก้วของผม ดีอย่างไรก็แก้วของคนอื่น เพชรของคนอื่น คำว่าแก้วมันต้องดูว่าแก้วของใคร แก้วของลูก คือพ่อแก้วแม่แก้ว แก้วของพ่อของแม่คือ ลูกแก้ว

    แก้วหมายความว่าดี ว่าประเสริฐ เพื่อนดีเรียกว่าเพื่อนแก้ว เมียที่ดีเรียกว่าเมียแก้ว นางแก้วของสามี ไม่ใช่แก้วของคนอื่นไม่ใช่แก้วสาธารณะ หากสาธารณะเมื่อไรมันก็เป็นอย่างอื่น หากจะเป็นน้องนางแก้วสำหรับชายหนึ่งที่ถึงพร้อมไปด้วยประการทั้งปวง มันก็ต้องนำเขามาเจียระไน นำมาตกแแต่ง เพื่อให้เป็นแก้วมณีรัตนที่สมบูรณ์แบบถึงพร้อมไปด้วยประการทั้งปวง

    ผู้หญิงจะดูงดงามล้ำค่าส่วนหนึ่งอยู่ที่คนนำพาเขาด้วยว่า จะพาเขาไปทางใหน จะเป็นแก้วที่ดีไปไม่ได้หากพาเขาไปในทางที่เป็นมิจฉาทิฐิ

    ตัวอย่างเช่นสาวบ้านนอกชนบท เมื่อเป็นสาวอยู่กับพ่อกับแม่ถูกเลี้ยงดูถูกอบรมบ่มนิสัยมาอย่างหมดจดงดงามเมื่อแต่งงานแล้วมีครอบครัว หากสามีเป็นคนดีขยันหมั่นเพียรซื่อสัตย์ ประกอบในกิจการงาน สามีพาเธอไปในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล ความที่เธอเป็นแก้วโดยเนื้อแท้มาแต่เดิมมีค่ามีราคาอยู่แล้ว เช่นก่อนแต่งงานมีการสู่ขอเธอมาจากพ่อจากแม่ของเธอมา ค่าตัวของเธออาจจะเป็นสินสอดทองหมั้น ทองคำหนักสี่บาท หกบาท ไปจนถึงเท่าไรก็สุดแล้วแต่ สตางค์หนึ่งแสนหรือหลายล้านบาทก็ว่ากันไปตามฐานะ แถมกองทุนของพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายที่มอบทรัพย์สินเป็นที่ดินเป็นไร่เป็นนาให้อีกข้างสิบไร่ ร้อยไร่ก็ตามฐานะอีก นี่เป็นต้นทุน นี่เป็นค่าเป็นราคาค่าตัวของน้องนาง หากพาเธอไปเจียระไนต่อ จากแก้วธรรมดา ก็เป็นแก้วมณีรัตนที่ล้ำค่าได้

    แก้วของผม ผมก็ถือว่าได้มาจากแหล่งที่ดี ที่จะเจียระไนให้ล้ำค่าสูงส่งสวยสดงดงามเท่าไรก็เท่ากันได้ ในเมื่อเรามีแหล่งมีเครื่องมือมีความพร้อมมีความชำนาญพอ

    ในส่วนของพระพุทธศาสนามีบารมีทั้งสิบทัศเป็นเครื่องเจียระไน หากว่าต้นทุนที่เราเลือก เราเสาะหามาเป็นวัตถุดิบที่ต้นทุนคือเพชร คือแก้วมณีรัตน เมื่อผ่านขบวนการเจียระไน หากพุทธภูมิแบบวิริยาธิกะ ผ่านการเจียระไนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนนับจำนวนครั้งไม่ได้ เป็นเวลาอย่างน้อยสิบหกอสงไขย กำไรอีกแสนกัป เขาจะไม่เป็นแก้วมณีรัตนที่ล้ำค่าหาประมาณไม่ได้ก็ให้รู้ไป

    สรุปก็คือว่าอย่าเพิ่งไปคิดว่าสมัยนี้คนที่ดีระดับนางแก้วนั้นไม่มี สำหรับผมแล้วผมคิดว่า เท่าที่พบคำสอนในพระพุทธศาสนา พอพูดเรื่องนางแก้ว ผมก็รู้จักว่านางแก้วนั้นคุณสมบัติเป็นอย่างไร ต้องดูก่อนว่าดีนั้นดีของใคร แก้วของใคร

    แม่ที่เป็นแดนเกิดของลูกทุกๆคน จะไม่มีค่ามีราคาควรแก่การกราบไหว้ เป็นแม่แก้วของลูกเลยหรือไร ถึงได้บอกว่าสมัยนี้ไม่มีนางแก้วที่มีน้ำใจน่ากราบไหว้

    แม่แก้วของคนอื่นท่านก็ดีท่านก็ประเสริฐกับลูกหลานว่านเครือของท่าน เราก็เห็นมีอยู่ทั่วไป แม้ว่าท่านประพฤติปฏิบัติดีต่อหมู่ญาติของท่านแบบนั้นเรารู้สึกอย่างไร ความดีที่หญิงนั้นท่านทำกับหมู่ญาติ เราจะเห็นว่าดีน่ากราบไหว้ หรือเพราะท่านไม่ได้ทำกับเรา ความดีนั้นอาจกลายเป็นความน่าหมั่นไส้ไปเลย หากเป็นแบบนี้ก็ไม่มีวันพบกับนางแก้ว ถึงพบก็ไม่รู้จัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...