อยากขอวิธีตัดใจต่อนางแก้ว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย InvisibleForce, 22 พฤศจิกายน 2013.

  1. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เทพ...มาก ท่านฮิปปี้ :cool:

    อ่านแล้ว อย่าลืมสะสาง ชำระล้าง ให้ถึงความบริสุทธิ์ ตามอัชฌาสัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2013
  2. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    ..อ่ะจร้า ไปอ่านดูหรือยังจ๊ะ..
     
  3. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เห็นว่าท่านฮิปปี้ชวนก็เลยเข้าไปดูเสียหน่อย... ก็นึกว่ากะไร
     
  4. tutong

    tutong เมสัมมุขขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขขา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +236
    ที่ผมเจอผ่านๆมีแต่นางมาร และว่าที่สัตว์ในอบายภูมิ
    เพราะผิดศีลข้อที่ไม่น่าผิดทุกคน
    เช่น ข้อกาเมฯ กับ ข้อสุราฯ
     
  5. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    แถมมุสาอีกข้อครับ
     
  6. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    พระอนาคามีใช้มองร่างคนเป็นอสุภะ ผมใช้การมองใจคนเป็นของไม่ดีไม่งามครับ
    เพราะผมเป็นคนชอบคนที่นิสัยใจคอมากกว่ารูปร่างหน้าตา
    ตอนนี้ผมเลิกปรุงแต่งเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แล้ว พอเจอสาวไหนซน ๆ น่าหมั่นเขี้ยว
    ผมจะตัดการปรุงแต่งได้อัตโนมัต แต่ก็ยอมรับว่ายังติดความกำหนัดอยู่
    เวลางุ่นง่าน แทนที่จะจีบสาว ผมนึกแต่ ความกลัวบาป กับศีล และใช้กลวิธีในการบอกตัวเองให้เลิกคิดเรื่องบ้า ๆ เช่น
    ผมชอบใครผมมักจะนึกถึงศีลข้อสามตลอดล่ะช่วงนี้ บอกตัวเองว่าเราแค่ชอบรูปเขา
    จะให้เราจับทำเมียเขาคงไม่ชอบเราหรอก อีกอย่างถ้าเขารักเรา เราจะรักเขาได้เหรอ
    เราจะทำร้ายเขาเพื่อแค่ระบายความใคร่เฉย ๆ เหรอ
    ประมาณนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2018
  7. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ใจคนเรานี่แหละครับ สกปรกที่สุด เพราะเป็นที่อาศัยของ กิเลศ ตัณหา ราคะ
    เอากิเลส ตัณหา ราคะออกจากตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
    จะรู้เองว่าถ้าจะไปเอามันเข้ามาอีก มันไม่คุ้มกันเลย
    ถ้านางแก้วเป็นคนดี ก็ถือว่าวิเศษครับ ชวนนางแก้วให้มาปฎิบัติด้วยกันน่าจะเวิร์ค
    ถ้านางแก้วไม่ชอบการปฏิบัติธรรมเหมือนเรา เขาก็ไม่ใช่นางแก้วแล้วล่ะ
    เพราะนางแก้วกับเรา ถ้าเป็นคู่บุญกันก็ต้องชอบทำสิ่งที่เป็นบุญเหมือนกัน

    ผมใช้การดูใจคนเป็นสิ่งไม่งามในการตัดรัก
    ดูกายเป็นอสุภะตัดความใคร่ในผัสสะครับ แต่ผมไม่มีพลังจิตดูทะลุอะไร ๆ ของคนได้หรอก ผมคิดหาอุบายที่มันใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด มาประกอบเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2018
  8. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    กะลังอ่านเพลินจบซะละ 5เดือนกว่าแล้ว ไม่มีใครมาโพสท์อะไรอีกเลยเหรอ
     
  9. ฟ้าพราว

    ฟ้าพราว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +26
    ตกลงตัดไปรึยังคะ
    มารอฟังด้วยคนค่ะ
     
  10. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    ระหว่างรอ ขออาราธนาคุณฟ้าพราวเล่าปฏิปทานางแก้วบ้างครับ
    คาดว่าคุณคงจักเป็นนางแก้วผู้หนึ่ง(ขออภัยหากเดาผิด อิิอิ)
     
  11. ฟ้าพราว

    ฟ้าพราว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +26
    มิบังอาจค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2014
  12. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ใครสนใจเป็นนางแก้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคู่นายแก้วนะครับ
    เพราะว่าในที่นี้ นางแก้วขาดแคลนครับ ..
    ถ้าไม่เชื่อ ลองประกาศโพสต์กระทู้ดูได้ครับ
     
  13. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    อัตราส่วน ชายต่อหญิง
    หลังจากหักลบ คนแก่ เกย์ ตุ๊ด กะเทย เด็ก ไรไปเรียบร้อยแล้ว
    ปรากฏว่าอัตราส่วนชายไทยต่อหญิงไทย 1:70
    มันเป็นไปได้เหรอ ที่นางแก้วขาดแคลน
    โอ้วววว.....เหลือเชื่ออออ

    แต่...ฟังแล้วก็ดูดีนะ หึ หึ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2014
  14. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    ท่านคิดว่าป่านนี้เจ้าของกระทู้จะเป็นยังไง
    ๑,คืนดีกับนางแก้วไปแล้ว
    ๒,ตัดได้แล้ว และไปได้นางกรวดมาแทน
    ๓,ได้นางแก้วที่เจียรนัยสุกใสแวววาวกว่า
    ๔,ตัดทางโลกโดยเด็ดขาดแล้ว ตอนนี้อยู่ในถ้ำเขาวงกต
    ๕,อื่นๆโปรดระบุ..............
     
  15. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    คิดว่าน่าจะคืนดีกับนางแก้วไปแล้ว
    และอาจมีการทำ mou ไปแล้วด้วย
     
  16. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    :'(
     
  17. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่ผู้เลือกนางแก้ว...
    นางแก้วต่างหากที่เลือกโพธิสัตว์....
    พระโพธิสัตว์ตั้งหน้าตั้งตาสะสมบารมีไปเถิด...
    นางแก้วจะปรากฎตัวเมื่อรู้ว่า...
    "นี่แหละคนที่เราตามหา นี่แหละคนที่เราอยากช่วย นี่แหละคนที่เราจะเป็นกำลังใจที่จะช่วยให้ก้าวไปถึงสูงสุดแห่งความปรารถนา และถ้าท่านไม่ทิ้งเรา เราก็ไม่ทิ้งท่าน
    เราจะคอยอยู่ข้างท่าน เราจะไม่ทิ้งท่านไปไหน เราจะไม่ปล่อยให้ท่านเดียวดายลำพัง"
    เมื่อใดที่เจอคนที่คิดแบบนี้ นั่นแหละท่านจงมั่นใจว่า หญิงนั้นคือ.......นางแก้ว
     
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ก็มีที่ท่านเลือกพระนางแก้ว และเจาะจงเลย เอาในสมัยที่นางแก้วยังไม่รู้จักอะไรด้วยซ้ำไป นี่เป็นเรื่องราวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน

    ฝากชาดกเรื่องนี้ ให้น้องนางทั้งหลาย
    พระเจ้ากุสราช

    เจ้าหญิงประภาวดี

    ด้วยจิตคิดเกลียดชัง

    สุมิตตาพราหมณีมีศรัทธา ตั้งจิตปรารถนาจะเป็นคู่ครองช่วยสุเมธดาบสสร้างสมบุญบารมี แต่สังสารวัฏฏ์นี้กว้างใหญ่ ยาวไกล หาความแน่นอนไม่ได้ คนสองคนเพียงอธิษฐานแล้วหวังว่าจะได้เกิดมาพบกันง่ายๆ นั้นอย่าพึงหวัง คนสองคนหากจะได้เกิดมาพบกันอย่างน้อยต้องเคยได้ทำบุญหรือทำกรรมร่วมกัน มีศีลหรือไร้ศีลเสมอกัน มีปัญญาหรือความศรัทธาไปทางเดียวกัน แต่ในระยะแรกนั้นสุมิตตาพราหมณีกับสุเมธดาบสยังมีศีลมีปัญญาไม่เสมอกัน ต่างฝ่ายจึงต่างเวียนเกิดเวียนตายไปตามบุญกรรมของแต่ละคน ไม่ได้เกิดมาพบกันอีกเลยนานแสนนาน จนเมื่อมีศีลและปัญญาใกล้เคียงกัน แรงอธิษฐานจึงหนุนนำให้ทั้งสองได้เกิดมาพบกันอีกครั้ง

    สมัยนั้นสุมิตตาพราหมณีเกิดเป็นหญิงในปัจจันตประเทศ เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ออกเรือนไปอยู่กับสามีที่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ในเรือนนั้นมีพ่อแม่และน้องสามีอีกคนหนึ่ง หญิงผู้เป็นพี่สะใภ้ให้ความเอ็นดูน้องสามีเหมือนน้องชายตน เหตุเพราะเห็นและเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก และน้องสามีผู้นี้คือสุเมธดาบสที่ตนเองมีศรัทธาให้ในอดีตชาตินั่นเอง วันหนึ่งน้องสามีไปป่า พี่สะใภ้อยู่ทางบ้านได้ทอดขนมอร่อยชนิดหนึ่ง แล้วแบ่งปันบริโภคกันจนครบทุกคน และไม่ลืมแบ่งเก็บไว้ให้น้องสามีด้วย

    ขณะนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาตที่หน้าเรือน พี่สะใภ้จึงนำขนมที่เก็บไว้ให้น้องสามีมาใส่บาตร คิดว่าเดี๋ยวค่อยทำให้ใหม่ แต่พอพระปัจเจกพุทธเจ้าปิดบาตรเดินจากไปไม่ทันพ้นสายตาน้องสามีก็กลับมาจากป่าพอดี พี่สะใภ้จึงบอกกับน้องสามีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า

    “น้องชายเอ๋ย จงทำจิตใจให้ผ่องใสเถิด พี่ทำขนมอร่อยไว้เผื่อเธอ แต่มีพระสมณะรูปหนึ่งมาบิณฑบาต พี่จึงนำขนมของเธอใส่บาตรพระสมณะรูปนั้นไปหมดแล้ว เธอจงอนุโมทนาบุญเถิด เดี๋ยวพี่จะทำขนมให้เธอใหม่” น้องสามีกำลังหิวจึงต่อว่าพี่สะใภ้ด้วยความโกรธ “ชิชะนางตัวดี เจ้ากินขนมส่วนของเจ้าอิ่มหนำสำราญแล้วนี่จึงไม่เป็นห่วงใคร เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าไปป่ากลับมาจะต้องหิว แต่เจ้ากลับเอาขนมส่วนของข้าไปใส่บาตรจนหมด ข้าจะไปทวงขนมของข้าคืน”แล้วน้องสามีก็ผลุนผลันวิ่งตามพระปัจเจกพุทธเจ้าไป บอกให้พระปัจเจกพุทธเจ้าหยุดแล้วทวงขนมทอดในบาตรกลับคืนมา

    พี่สะใภ้เห็นการกระทำน่ารังเกียจของน้องสามี จึงรีบกลับไปเรือนมารดาที่อยู่ติดกัน เอาเนยใสสดใหม่สีเหลืองคล้ายดอกจำปามาใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าแทนขนมทอดจนเต็มบาตร เมื่อเธอเห็นเนยใสแผ่รัศมีอยู่ในบาตร จึงได้ตั้งความปรารถนาว่า

    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งบิณฑบาตนี้ เมื่อดิฉันได้เกิดในที่ใดในกาลเบื้องหน้า ขอให้ดิฉันมีร่างกายงดงาม ขอให้ผิวกายของดิฉันมีรัศมีเปล่งปลั่งดังรัศมีของเนยใสนี้ด้วยเถิด”ครั้นหันกลับมามองน้องสามีที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ เธอก็อธิษฐานต่อด้วยความขัดเคืองว่า“อนึ่ง น้องสามีของดิฉันผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ขออย่าให้ดิฉันต้องอยู่ร่วมกับเขาในที่แห่งเดียวกันอีกเลย”ฝ่ายน้องสามีที่บัดนี้มีใจสงบเยือกเย็นลงแล้ว พิจารณาดูพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีความศรัทธาอยากจะทำบุญด้วย เมื่อได้ยินพี่สะใภ้ตั้งความปรารถนาดังนั้น จึงเอาขนมทอดของตนใส่ลงในบาตรที่เต็มด้วยเนยใส และตั้งความปรารถนาว่า

    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์ของบิณฑบาตนี้ พี่สะใภ้ของข้าพเจ้าผู้นี้ แม้จะอยู่ในที่ไกลแสนไกลร้อยโยชน์พันโยชน์ก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้ามีความสามารถไปนำเธอมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้ และขอให้เธอหายขัดเคืองใจข้าพเจ้าด้วยเถิด”น้องสามีใส่บาตรเสร็จแล้วก็หยอกล้อพี่สะใภ้ให้หายโกรธ กลับมาคืนดีกันดังเดิม ทำบุญกรรมร่วมกันในชาตินั้นแล้วต่างก็ไปตามกรรมของตนเมื่อถึงกาล
     
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    กาลเวลาล่วงมาถึงสมัยหนึ่ง สุมิตตาพราหมณีหรือหญิงพี่สะใภ้มาเกิดเป็น เจ้าหญิงประภาวดี ราชธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราช เมืองสาคละ แคว้นมัททะ มีกนิษฐาอีก ๗ องค์ พระธิดาทุกองค์ล้วนเป็นเจ้าหญิงสวยโสภา แต่เจ้าหญิงประภาวดีมีสิริโฉมงดงามเป็นเลิศกว่ากนิษฐาทั้งหมด เพราะกุศลกรรมจากการใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยเนยใส ทำให้พระธิดามีพระฉวีเป็นนวลสวยสีคล้ายแสงอาทิตย์อ่อน เปล่งปลั่งคล้ายมีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย ความงามของเจ้าหญิงประภาวดีร่ำลือไปทั้งชมพูทวีป เป็นที่ต้องใจของบุรุษเพศทุกคน โดยเฉพาะเจ้าชาย ๗ นคร

    ชมพูทวีปในครั้งนั้นมีนครใหญ่นครหนึ่งนามว่า กุสาวดี มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าโอกกากราช อัครมเหสีพระนามว่า สีลวดี มีสนมนางในแวดล้อมอีกหมื่นหกพันนาง แต่พระเจ้าโอกกากราชไม่มีโอรสหรือธิดาเลย ชาวเมืองเกรงว่ากุสาวดีจะขาดรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ จึงถวายฎีกาขอให้พระเจ้าโอกกากราชทรงปล่อยพระสนมไปเป็นนางฟ้อนโดยธรรมเจ็ดวัน ให้พระสนมไปอยู่กับชายอื่นจะได้มีโอรส ซึ่งพระเจ้าโอกกากราชก็ทรงยินยอมตามฎีกาของชาวเมือง แต่ก็ไม่มีพระสนมองค์ใดให้โอรส


    ชาวเมืองกราบทูลว่าพระสนมเหล่านั้นไม่มีบุญจึงไม่มีโอรส แต่พระมเหสีสีลวดีนั้นทรงรักษาศีล เป็นผู้มีบุญ ขอให้พระราชาปล่อยพระนางไปเป็นนางฟ้อนโดยธรรม คงจะได้พระโอรสเป็นแน่แท้
    พระเจ้าโอกกากราชทรงยินยอมตามคำขอของชาวเมือง รับสั่งให้ตีกลองประกาศว่าพระองค์จะปล่อยพระนางเจ้าสีลวดีให้เป็นนางฟ้อนโดยธรรม ๗ วัน เพื่อให้ได้โอรส ให้ผู้ชายทั้งแก่และหนุ่มมาประชุมกันที่หน้าประตูพระนครเพื่อให้พระนางสีลวดีทรงเลือก

    ชาวเมืองจำนวนมากที่เป็นชาย ทั้งแก่และหนุ่ม เมื่อได้ยินประกาศจึงมาชุมนุมกันที่หน้าประตูพระนคร เมื่อพระมเหสีเสด็จออกมาเพื่อทรงเลือก ก็มีพราหมณ์แก่คนหนึ่งเดินงกเงิ่นออกมายืนด้านหน้า ชายหนุ่มคนอื่นพยายามจะฉุดพราหมณ์แก่ให้กลับมาอยู่ด้านหลังก็ไม่เป็นผล พยายามจะเบียดแทรกมายืนบังข้างหน้าก็ทำไม่ได้ กลับเป็นพราหมณ์แก่คนนั้นที่ยืนบังบุรุษอื่นจนหมดสิ้น แล้วจูงหัตถ์พระนางสีลวดีไป พระเจ้าโอกกากราชและชาวเมืองเห็นพระนางสีลวดีไปกับพราหมณ์แก่ พากันเสียใจว่าพระนางสีลวดีได้พราหมณ์ที่ไม่คู่ควร แต่ก็ไม่อาจจะแก้ไขประการใดได้
    พราหมณ์แก่คนนั้นแท้จริงคือท้าวสักกเทวราชจำแลงองค์มา พระองค์ทรงพาพระนางสีลวดีไปยังวิมานในเทวโลก แล้วตรัสให้พรพระนางข้อหนึ่งตามแต่จะขอ

    พระนางสีลวดีจึงทูลขอพระโอรส ๑ องค์ท้าวสักกะตรัสว่าจะให้ ๒ องค์ โดยองค์หนึ่งมีปัญญามากแต่รูปไม่งาม กับอีกองค์หนึ่งรูปงามแต่ปัญญาน้อยกว่า พระนางจะเลือกองค์ไหนให้ไปประสูติก่อนพระนางสีลวดีทรงเลือกโอรสที่มีปัญญาก่อนท้าวสักกะตรัสให้พรตามที่ขอแล้วประทานสิ่งของ ๕ อย่างแก่พระนางสีลวดี คือ หญ้าคา ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตต์ทิพย์ และพิณ แล้วพาพระนางกลับไปส่งคืนในห้องบรรทม ทรงลูบอุทรพระมเหสีก่อนเสด็จกลับเพื่อให้กำเนิดโอรส เมื่อพระเจ้าโอกกากราชตื่นบรรทมทอดพระเนตรเห็นพระนางสีลวดีจึงตรัสถาม พระมเหสีเล่าเรื่องที่ได้รับพรจากท้าวสักกะให้ฟังและนำสิ่งของ ๕ อย่างให้พระราชาทอดพระเนตรดู พระเจ้าโอกกากราชจึงทรงเชื่อว่าพระมเหสีได้รับพรจากท้าวสักกเทวราชจริง

    กาลต่อมาพระนางสีลวดีก็ประสูติราชโอรส ๒ องค์ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระโอรสองค์โตมีนามว่า กุสติณ ส่วนองค์เล็กมีนามว่า ชยัมบดีกุสติณราชกุมารนั้น เมื่อเจริญวัยขึ้นเป็นผู้มีปัญญามาก พระองค์เชี่ยวชาญในศิลปศาสตร์ทุกอย่างโดยไม่ต้องมีอาจารย์ แต่ด้วยอกุศลกรรมจากชาติที่ไปทวงขนมคืนจากบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์จึงมีรูปอัปลักษณ์ ต่างจากชยัมบดีพระอนุชาที่มีรูปงามยิ่งนัก

    เมื่อกุสติณกุมารอายุได้ ๑๖ ชันษา พระเจ้าโอกกากราชจะให้อภิเษกสมรส แต่กุสติณกุมารดำริว่าตนเองมีรูปอัปลักษณ์ แม้ได้พระธิดาที่รูปสวยมาเป็นชายา นางก็คงจะหนีไป พระองค์จึงปฏิเสธกราบทูลว่าวันหน้าเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วพระองค์จะบวช กุสติณกุมารปฏิเสธทำนองนี้ไป ๓ ครั้ง ต่อมาครั้งที่ ๔ ดำริว่าตนเองเป็นโอรสการปฏิเสธบิดามารดาเช่นนี้เป็นการไม่สมควร พระองค์จึงคิดอุบายขึ้นอย่างหนึ่ง
     
  20. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    กุสติณกุมารนำทองคำมาปั้นเป็นรูปหญิงสาว ด้วยอำนาจบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ ทองคำนั้นก็เป็นรูปหญิงสาวสวยงามปานเทพอัปสรในสรวงสวรรค์ มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งมีชีวิตจริง จนแม้แต่ช่างทองฝีมือดีที่สุดได้เห็นยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเทพธิดาจริงๆ เมื่อตบแต่งรูปทองด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับแล้วจึงให้ช่างทองนำไปถวายพระราชบิดา กราบทูลว่าพระองค์จะครองเรือนและรับราชสมบัติหากได้อภิเษกกับหญิงงามเหมือนรูปปั้นทองนี้

    พระเจ้าโอกกากราชจึงรับสั่งให้อำมาตย์แห่รูปทองไปตามเมืองต่างๆ เพื่อเสาะหาหญิงสาวที่งามเหมือนรูปทองนั้น อำมาตย์พร้อมขบวนบริวารจึงนำรูปปั้นทองขึ้นตั้งบนยาน เที่ยวเสาะหาหญิงงามไปทั่วชมพูทวีป เมื่อขบวนไปถึงที่ชุมนุมชนใด อำมาตย์ก็จะปล่อยยานทิ้งไว้ และคอยสดับฟังมหาชนว่าเขาจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับรูปทองบ้างมหาชนทั้งหลายเมื่อเห็นรูปทองก็เข้าใจว่าเป็นหญิงสาวจริงๆ พากันมามุงดูและพูดกันว่าเธอผู้นี้เป็นใครมาจากเมืองไหนกันหนอ ช่างงามดุจเทพธิดา หญิงงามปานนางฟ้านี้เมืองเราไม่มีเลยเมื่อได้ยินว่าเมืองนี้ไม่มีหญิงใดงามเท่ารูปทอง อำมาตย์ก็จะเคลื่อนขบวนไปเมืองอื่นเรื่อยไป จนกระทั่งไปถึงเมืองสาคละ จอดยานที่มีรูปทองไว้ที่ท่าน้ำแล้วคอยสังเกตการณ์อยู่

    วันนั้นนางทาสี ๘ คน ไปตักน้ำที่ท่าน้ำเพื่อให้พระธิดาประภาวดีใช้สรงสนาน แต่นางทาสีหายไปนานกว่าปกติ พระธิดาจึงรับสั่งให้นางค่อมหญิงพี่เลี้ยงออกไปดู นางค่อมออกไปตามหานางทาสีที่ท่าน้ำเห็นรูปทองคำตั้งอยู่บนยานริมทางเข้าใจว่าเป็นเจ้าหญิงประภาวดีจึงเข้าไปหาทูลว่า พระธิดารับสั่งให้หม่อมฉันออกมาตามนางทาสี แล้วเหตุใดพระธิดาจึงเสด็จมาเองเพคะ ถ้าพระราชาทรงทราบหม่อมฉันและนางทาสีจะเดือดร้อน ทูลแล้วก็เอามือแตะหัตถ์จะพาพระธิดากลับเข้าวัง พอสัมผัสจึงรู้ว่าเป็นรูปทองไม่ใช่เจ้าหญิงประภาวดี นางค่อมจึงยืนพิศดูด้วยความสงสัย

    อำมาตย์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เข้ามาสอบถามนางค่อม พอรู้ว่ารูปทองนี้งามคล้ายเจ้าหญิงประภาวดี จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้ามัททราช ถวายรูปทองคำและเครื่องราชบรรณาการ กราบทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชแห่งกุสาวดีประสงค์จะสู่ขอพระธิดาประภาวดีให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายกุสติณพระโอรสองค์โต พระเจ้ามัททราชก็ทรงรับด้วยความยินดีพระเจ้าโอกกากราชและพระนางสีลวดีเสด็จไปรับเจ้าหญิงประภาวดี ทรงยินดีที่ได้พระสุนิสาที่งามเลิศเป็นศรีศักดิ์ให้กุสาวดี แต่พระนางสีลวดีดำริว่าพระสุนิสาของตนนั้นงามปานเทพธิดา

    หากเธอได้เห็นพักตร์พระโอรสกุสติณเต็มตาก็คงรังเกียจและหนีไป ระหว่างที่ประทับมาในขบวนเสด็จกลับกุสาวดีพระนางจึงออกอุบายลวงเจ้าหญิงประภาวดีว่า“ลูกหญิง แม่ไม่เคยเห็นหญิงใดเลยในชมพูทวีปนี้ที่จะมีความงดงามปานเทพธิดาเหมือนอย่างเธอ หากกุสติณได้เห็นหน้าเธอคงลุ่มหลงจนทิ้งงานราชการเป็นผลเสียแก่กุสาวดี แม่จึงขอว่าเมื่ออภิเษกสมรสกันแล้วเธอทั้งสองอย่าเพิ่งเห็นหน้ากันในเวลากลางวันเลย ให้รอจนกว่าเธอจะมีครรภ์เสียก่อน”เจ้าหญิงประภาวดีไม่รู้ว่าเป็นอุบายจึงทรงรับปฏิบัติตาม

    พระเจ้าโอกกากราชอภิเษกเจ้าชายกุสติณเป็นพระเจ้ากุสราช และอภิเษกเจ้าหญิงประภาวดีเป็นมเหสี ทั้งสองอยู่ร่วมกันเฉพาะในเวลากลางคืน แต่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยในเวลากลางวัน พระนางประภาวดีจึงไม่รู้ว่าพระสวามีอัปลักษณ์พิธีสยุมพรผ่านไปได้เพียง ๒-๓ วัน พระเจ้ากุสราชก็อ้อนวอนพระมารดาว่าอยากเห็นหน้าพระชายา พระมารดาตรัสให้รอก่อน แต่เมื่ออ้อนวอนหนักเข้าพระมารดาก็พระทัยอ่อนออกอุบายให้พระเจ้ากุสราชทำตัวเป็นคนเลี้ยงช้างไปรออยู่ที่โรงช้าง

    พระมารดาพาพระนางประภาวดีประพาสโรงช้าง พระเจ้ากุสราชอยากจะเห็นหน้าชายาจึงหยิบมูลช้างก้อนหนึ่งขว้างไปที่หลังเพื่อให้พระนางหันมา พระนางประภาวดีกริ้วคนเลี้ยงช้างเป็นอย่างมากทูลขอให้พระมารดาลงโทษ แต่พระมารดาทรงปลอบประโลมให้หายกริ้วว่าอย่าไปเอาความคนเลี้ยงช้างเลยต่อมาพระเจ้ากุสราชอยากเห็นหน้าพระชายาอีก พระมารดาจึงออกอุบายพาพระนางประภาวดีเสด็จไปโรงม้า ครั้งนี้พระเจ้ากุสราชทรงขว้างด้วยมูลม้า พระนางประภาวดีกริ้วคนเลี้ยงม้ามาก แต่พระมารดาก็ทรงปลอบประโลมให้หายกริ้วเหมือนเดิม

    วันต่อมา พระชายาประภาวดีทรงใคร่จะได้เห็นหน้าพระสวามีบ้าง จึงทูลขอพระมารดา พระนางสีลวดีตรัสให้พระสุนิสารอไปก่อน แต่เมื่อถูกรบเร้าหนักเข้าพระมารดาจึงบอกว่าพรุ่งนี้พระเจ้ากุสราชจะเสด็จเลียบพระนคร ให้พระชายาประภาวดีไปแอบดูเอาเองวันรุ่งขึ้น พระมารดารับสั่งให้ ชยัมบดีอนุชา ทรงเครื่องต้นอย่างกษัตริย์ ประทับนั่งบนหลังช้าง ให้พระเจ้ากุสราชประทับนั่งบนอาสนะข้างหลัง แล้วพระมารดาก็พาพระชายาประภาวดีไปประทับทอดพระเนตรจากสีหบัญชร พระชายาประภาวดีสำคัญผิดว่าชยัมบดีอนุชาคือพระเจ้ากุสราช ก็มีพระทัยโสมนัสว่าเราได้พระสวามีที่มีความงามคู่ควรกัน

    ฝ่ายพระเจ้ากุสราช เมื่อทอดพระเนตรขึ้นมาเห็นพระชายา พระองค์ก็แสดงอาการยั่วเย้า พระชายาประภาวดีไม่พอพระทัย ทูลขอพระมารดาให้ลงโทษ แต่พระมารดาก็ตรัสแก้ต่างให้อีก พระชายาประภาวดีจึงเริ่มสงสัยว่า ชรอยนายควาญช้างคนนี้อาจจะเป็นพระเจ้ากุสราช แต่เพราะพระองค์มีหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์จึงไม่ยอมแสดงองค์พระชายาประภาวดีจึงกระซิบสั่งนางค่อมพี่เลี้ยง ให้ตามไปดูว่าองค์ไหนคือพระเจ้ากุสราช โดยหากเป็นพระเจ้ากุสราช พระองค์จะต้องเสด็จลงจากหลังช้างก่อน

    นางค่อมตามไปดูรู้ว่าพระเจ้ากุสราชคือองค์ที่ประทับด้านหลัง แต่พระเจ้ากุสราชทอดพระเนตรเห็นนางค่อมเสียก่อน รู้ว่านางมาแอบดูจึงรับสั่งให้เรียกนางค่อมมาเฝ้า ตรัสกำชับว่าห้ามนางบอกเรื่องนี้แก่พระชายาประภาวดีเด็ดขาด นางค่อมจึงกลับไปทูลพระชายาประภาวดีว่าผู้ประทับอยู่ข้างหน้าเสด็จลงก่อน พระชายาประภาวดีก็ทรงหลงเชื่อถ้อยคำของนางค่อม

    วันต่อมา พระเจ้ากุสราช ประสงค์จะทอดพระเนตรพักตร์พระชายาอีก จึงทูลอ้อนวอนพระราชมารดา พระมารดาจึงพาพระชายาประภาวดีเสด็จประพาสอุทยาน ส่วนพระเจ้ากุสราชลงไปอยู่ในสระบัว เอาใบบัวกำบังไว้แอบดูพระชายาพระชายาประภาวดีเห็นสระโบกขรณีดารดาษไปด้วยดอกบัวสีสวย จึงเสด็จลงสรงน้ำพร้อมด้วยเหล่านางบริจาริกา ทรงแหวกว่ายธาราเข้าไปชมดอกบัว ครั้นทอดพระเนตรเห็นบัวดอกใหญ่ที่พระเจ้ากุสราชทรงถืออยู่ก็นึกอยากได้ จึงเอื้อมพระหัตถ์ออกไป

    ทันใดนั้น พระเจ้ากุสราช ก็เผยพระองค์ออกจากใบบัว แล้วคว้าพระชายาด้วยพระหัตถ์พลางร้องว่า เราคือพระเจ้ากุสราชเมื่อพระชายาประภาวดีเห็นพระพักตร์ของพระสวามีเต็มตาก็ตกใจ เข้าใจว่าเป็นยักษ์ ทรงกรีดร้องและถึงวิสัญญีภาพไปทันที พระเจ้ากุสราชทรงอุ้มพระชายาขึ้นจากสระบัว ให้สนมกำนัลดูแล แล้วพระองค์ก็เสด็จหลีกไปเมื่อพระชายาประภาวดีรู้สึกพระองค์ ก็ทรงเสียพระทัยคร่ำครวญว่า

    “คนอัปลักษณ์ที่เอามูลช้างขว้างเราที่โรงช้าง คือพระเจ้ากุสราช…
    คนอัปลักษณ์ที่เอามูลม้าขว้างเราที่โรงม้า คือพระเจ้ากุสราช…
    คนอัปลักษณ์ที่หยอกล้อเราบนหลังช้าง คือพระเจ้ากุสราช…
    คนอัปลักษณ์ที่จับมือเราในกอบัว คือพระเจ้ากุสราช…
    เราไม่ต้องการพระสวามีที่อัปลักษณ์เช่นนี้ เราจะทิ้งพระองค์ไป”

    พระชายาประภาวดีตัดสินพระทัยเสด็จกลับสาคละ รับสั่งให้อำมาตย์ที่ตามเสด็จมาจากสาคละจัดเตรียมพาหนะ อำมาตย์เหล่านั้นจึงไปกราบทูลให้พระเจ้ากุสราชทรงทราบพระเจ้ากุสราชดำริว่าเวลานี้พระชายากำลังเสียพระทัย หากเธอไม่ได้เสด็จกลับสาคละวันนี้ ดวงหทัยของเธอคงจะแตกเป็นแน่ จึงควรปล่อยให้พระชายาเสด็จกลับไปก่อน แล้วพระองค์จึงค่อยไปรับเธอกลับมาในภายหลัง ดำริแล้วจึงทรงอนุญาตให้อำมาตย์พาพระชายาประภาวดีเสด็จกลับไปได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...