เมื่อลูกของข้าพเจ้าได้พบยมบาลและได้ไปเที่ยวสวรรค์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 12 สิงหาคม 2014.

  1. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    เรียนคุณ takun ครับ

    ได้เวลา 1 สัปดาห์พอดี ที่กำหนดไว้เป็นเวลาทำแบบทดสอบต่างๆ ขณะนี้ก็ได้เวลาสมควรที่จะมาคุยกันอีกครั้งนะครับ สำหรับผลการทดสอบที่ผ่านมา พบว่าคุณ takun มีพื้นมาจากทางสมถกรรมฐาน ในกองที่ว่าด้วยอากาสกสิณ อย่างเต็มที่โดยธรรมชาติ เป็นสัญญาจากครั้งอดีต ตอนนี้ปฏิภาคนิมิตได้ปรากฏขึ้นแล้วนะครับ และจัดว่ากำลังใจของคุณ มีอยู่ในระดับสูง ซึ่งเกินไปจากขั้นพื้นฐานไปมากแล้ว ดังนั้น การฝึกธาตุ ไม่จำเป็นต้องไปเริ่มในขั้นบริกรรมนิมิตและอุคคหนิมิต อีกต่อไปแล้ว ซึ่งปัญหาคือ ปฏิภาคนิมิต ปรากฏแล้ว กำลังใจมีพอสมควรแล้ว แต่ไม่ทราบหนทางที่จะไปต่อ ตรงนี้เดี๋ยวมาว่ากันต่อครับ


    ตอนที่เจอกันครั้งล่าสุด คุณได้แสดงให้เห็นว่า คุณมีสัมผัสในเรื่องของพลังงานได้ว่องไวมาก ซึ่งลักษณะอย่างคุณนี้ ผมไม่ค่อยจะได้พบเห็นบ่อยนัก เรียกว่า นี่คือจุดเด่น ที่เป็นลักษณะพิเศษเลยทีเดียว น่าทึ่งที่แม้จะพัฒนามาด้วยตัวเอง แต่สัมผัสพลังงานของจิต ยังได้ในระดับดี ถ้าหากมีการขัดเกลาความสามารถส่วนนี้ต่อไป สัมผัสของคุณจะเฉียบคมขึ้นอีกหลายๆ เท่าทีเดียวครับ

    ถ้าคุณ takun ยังพอจะจำได้ ว่าตอนที่เจอกัน ผมได้ทำการดึงกำลังอากาสธาตุในตัวของคุณ ออกมาให้คุณได้สัมผัส ตรงจุดนี้ พอจะจำขั้นตอนและวิธีการได้ไหมครับ? ถ้าพอจะจำได้ ก็นำไปฝึกซ้อมด้วยตัวเองได้เลย ซึ่งวิธีการนี้ ก็คล้ายๆกับที่ทำการฝึกให้กับคุณ evanov ต่างกันแต่เพียง ตอนนั้น ผมทำการดึงกำลังเตโชธาตุในตัวของเขาออกมาให้สัมผัส แต่เนื่องจาก คุณ evanov เอง เขาเห็นพลังงานเป็นเรื่องปกติของเขาอยู่แล้ว (เตโชกสิณเป็นฐานของทิพยจักขุญาณ) จึงมีความสะดวกหน่อย แต่ในกรณีของคุณ takun นั้น ยังแค่สัมผัสได้แค่นั้น ซึ่งหากต้องการเห็นด้วย ก็ต้องทำการฝึกเพิ่มเติมในวิชชาพิเศษต่อไป สำหรับในกรณีของคุณทั้งสองคน ที่จริงผมจะดึงกำลังของกสิณทั้ง ๑๐ กอง ในตัวของพวกคุณออกมาให้ได้สัมผัสกันก็ได้ แต่ในขณะนั้น เอาเพียงเท่านี้ก่อน เพื่อให้เกิดเป็นความเข้าใจในเบื้องต้น จึงใช้กำลังของอากาสธาตุ และกำลังของเตโชธาตุ มาให้คุณ takun และคุณ evanov ได้สัมผัสกันตามลำดับ ในชนิดของธาตุที่เป็นกสิณพื้นฐานเดิม ของแต่ละท่านก่อนนั่นเอง สำหรับในโอกาสต่อไป จะได้ทำการสาธิตการดึงกำลังของกสิณทั้ง ๑๐ กอง ของคุณ มาให้คุณทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างแน่นอนครับ

    ทีนี้มาว่ากันถึงแบบแผนการฝึกสำหรับคุณ takun ผมมีความประสงค์อยากจะปูพื้นฐานของคุณให้มีความแน่นไว้ก่อน เพราะผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า หากมีพื้นฐานที่ดีแล้ว การจะไปต่อยอดในสิ่งใดก็จะสามารถทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ดังนั้น แบบแผนการฝึกที่ผมได้วางไว้ให้ จะทำให้คุณได้ศึกษาวิชชาสำหรับอากาสธาตุ ตั้งแต่ในระดับเริ่มต้น ระดับกลาง และไปจนถึงระดับสูง หากคุณมีอิทธิบาท ๔ อย่างเต็มที่ และไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ทรมาน ตรากตรำ ก็มีโอกาสที่จะทำความสำเร็จของวิชชาให้เกิด หากทำการฝึกตามแบบฝึกนี้ จนสำเร็จในระดับสูง ไม่เพียงแต่กำลังของอากาสธาตุเท่านั้น แม้แต่กำลังของกสิณกองอื่นๆ ทั้ง ๑๐ กอง คุณก็จะสามารถนำมาใช้ได้อย่างสะดวก และยังสามารถนำกำลังของกสิณต่างๆ ดังกล่าวนี้ เอาออกมาให้เห็นกันเป็นที่ประจักษ์ที่ภายนอกร่างกายได้อีกด้วย รวมทั้งการสร้างกำลังธาตุต่างๆขึ้นมาเอง หรือจะรับ จะส่ง จะรวบรวม จะสะสมกำลังของธาตุต่างๆจากธรรมชาติ ก็สามารถกระทำได้อย่างอิสระ อย่างนี้ หากทำการฝึกไว้ จะมีประโยชน์อย่างยิ่งนะครับ

    ในส่วนของการฝึกธาตุกรรมฐาน นับต่อจากนี้ไป คุณ takun ก็จะมีทางเลือกอยู่หลายทาง ที่จะมีโอกาสได้เดินไป เหนือสิ่งอื่นใด ทางเลือกทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องของคุณ takun แต่เพียงผู้เดียวนะครับ ในการตัดสินใจว่าจะเลือกเดินไปตามหนทางใด ที่คุณมีความปรารถนา ส่วนผม ทำได้เพียง เป็นผู้ให้ความเห็นเพื่อนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นต่อคุณ takun เท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ผมก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะคอยนำเสนอข้อมูลให้กับคุณ takun อย่างต่อเนื่อง ต่อไป เพื่อให้คุณเดินทางไปจนสุดเส้นทางที่คุณตัดสินใจเลือก ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินทางไปในหนทางแบบใดก็ตาม

    สำหรับแบบแผนการฝึกของคุณ takun โดยละเอียด ทั้งในระดับต้น ระดับกลางและระดับสูง ผมได้ทำการส่งข้อมูลทั้งหมดให้กับคุณ takun แล้วทาง PM ขอให้คุณ takun โปรดทำการตรวจเช็ค PM แล้วอ่านรายละเอียดให้เข้าใจ และทำการฝึกปฏิบัติตามได้ทันทีครับ
     
  2. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    ด้วยความยินดีครับ คุณ mesus ครับ ที่จะเข้ามาพูดคุยกันเป็นระยะๆ โดยใช้กระทู้นี้เป็นสื่อกลาง และขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ คือคุณ Supop ที่ได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ด้วยนะครับ ช่วงนี้ตัวผมเองก็กำลังเก็บวิชชาต่างๆ อยู่เหมือนกัน ซึ่งทำให้อาจจะห่างหายไปจากกระทู้ ไม่ได้เข้ามาดูกระทู้เป็นระยะเวลานานๆ ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีอะไร ยังไง ก็สามารถใช้ PM คุยกันได้เหมือนเดิมนะครับ

    ขอให้ทุกท่านมีความก้าวหน้าในสรรพวิชชาทั้งหลาย ยิ่งๆขึ้นไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  3. takun

    takun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +54

    ได้รับรายละเอียดแบบแผนการฝึก ที่คุณ yooyut ได้กรุณาส่งมาให้แล้วครับ ขอขอบพระคุณครับ ซึ่งผมจะได้ทำการศึกษาและฝึกปฏิบัติตามต่อไป ในระหว่างนี้ หากมีสิ่งใดที่เป็นปัญหา อุปสรรค ข้อติดขัดในระหว่างทาง ขออนุญาตนำเรียนเพื่อปรึกษากับคุณ yooyut บ้าง หวังว่าคงจะให้ความอนุเคราะห์ด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ :cool::cool:
     
  4. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    กระทู้นี้มีคนตั้งใจเอาจริงเอาจังเก่งๆกันทั้งนั้น ขออนุโมทนากับทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
     
  5. คณารัตน์

    คณารัตน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +17
    ขออนุโมทนาบุญ กับการปฏิบัติด้วยนะครับ ดีใจแทน ลูกของท่านจัง
    ครับที่มีพ่อ ที่สอนเขาให้พ้นทุกข์ ให้เข้าใจ ภพภูมิ ให้เข้าใจกรรม
    สาธุๆ สาธุๆ
     
  6. evanov

    evanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +64


    อ้าว อ้าว อ้าว อ้าว ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่าน yooyut ปลีกวิเวก ไปฝึกวิชชาเสียแล้ว สิ่งใดที่ไม่มีหน้าที่ ใจคอจะไม่ยุ่งไม่เกี่ยวเลยนะครับเนี่ย อะไรจะถือสันโดษเป็นที่ตั้งกันขนาดน้านนนนนน!!!!!! อย่ากระนั้นเลย ผมก็ขอตัวจรลี ไปเก็บตัวฝึกวิชาบ้างดีกว่า เดี๋ยวจะตามไม่ทันบรรดาท่านๆ ทั้งหลายเอา

    อืมมมม์..... จะฝึกวิชาอะไรดีล่ะเนี่ย วิชาไหมฟ้า ขั้นที่ 9 หรือว่าจะเป็น วิชาดรรชนีสุริยัน ขั้นที่ 10 คิดมากไปก็วุ่นวายใจอีกต่างหาก

    คุณพี่ Supop คร้าบ ช่วงนี้ขอให้คุณพี่ ว่ากระทู้ไปพลางๆ ก่อนเน้อ ประเดี๋ยวน้องคนนี้เสร็จภารกิจแล้ว จะมาร่วมแจม ร่วมพูดคุยกับคุณพี่ ต่อนะคร้าบ ไปล่ะครับผม
     
  7. anakiz

    anakiz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +67
    ช่วงนี้สมาชิกในกระทู้เข้าสู่โหมดการจำศีล ภาวนากันแล้วหรือนี่?

    คุณคนนี้แทนที่จะนำเวลาไปมุ่งปฏิบัติเพื่อเร่งความเพียร กลับมาพูดนั่นพูดนี่อยู่ได้ ลีลาเหลือรับประทานเชียวนะพ่อคุณทูนหัว ยังไงๆ ปล่อยท่านไปเถิดครับ คุณเองก็เป็นผู้ฝึกฌานเช่นเดียวกัน ย่อมต้องทราบดีอยู่แล้วว่า อันวิสัยของผู้ทรงฌาน นั้น การแสวงหาความสันโดษย่อมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเป็นการระวังรักษาอารมณ์ใจให้เกาะอยู่กับสิ่งที่เป็นกุศลใช่ไหมล่ะนั่น?

    ทบทวนกันหน่อยนะครับ ว่าการแสวงหาความสันโดษ มีความสำคัญกับผู้ทรงฌานอย่างไร ปกติท่านผู้ทรงฌานนั้น เขาจะไม่พูดอะไรส่งเดช เพราะมีสติสัมปชัญญะควบคุมอยู่เสมอ จัดว่าท่านเหล่านี้เป็นผู้พูดยาก เพราะหากว่าพูดอะไรผิดเรื่องผิดราวขึ้นมา สมาธิมันจะผิดไปนาน ยิ่งถ้าไปพูดอะไรที่เป็นปฏิปักษ์กับสมาธิก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ดังนั้น ในทางปฏิบัติจึงต้องทรงกรรมฐานไว้เป็นปกติเพื่อเป็นการระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน นอกจากนี้แล้วเพื่อให้ฌานทรงตัว ก็ต้องมีพรหมวิหาร 4 เข้าควบคุมอารมณ์ใจอยู่เสมอ หากทำได้อย่างนี้ ฌานก็จะมีการทรงตัวตลอด ดังนั้น การปลีกวิเวก แสวงหาความสันโดษ ย่อมมีส่วนเกื้อหนุนให้เกิดการระวังรักษาอารมณ์ใจได้อย่างสะดวกมากขึ้น ซึ่งเมื่อจิตมีอารมณ์เย็น มีการทรงตัวเป็นฌาน ก็จัดว่าจิตมีความพร้อมในการฝึกอบรมในวิชชาพิเศษด้านอื่นๆ ตามต้องการได้อย่างไม่ลำบากและจะมีความเจริญรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วต่อไป

    นี่คือความสำคัญของการถือความสันโดษ ที่มีต่อการฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาทางจิตให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ จริงๆ ผมก็ว่า คุณก็ทราบดีอยู่แล้วนั่นล่ะ แต่เอามาคุยกัน เพื่อทบทวนหลักการปฏิบัติกันอีกทีล่ะกันนะครับ

    ___________________________________________

    ถึงคุณ takun ครับ

    สำหรับคุณ takun ก็ขอแสดงความยินดีด้วย ที่ได้ทำการทดสอบ จนผลสุดท้ายก็มีผู้ให้การแนะนำอย่างเป็นหลักเป็นการไปแล้ว ก็ขอให้ตั้งใจฝึกอบรมปฏิบัติต่อไปนะครับ ปกติแล้ว ท่านผู้นี้ยากมากที่จะเอาตัวไปผูกติดหรือจะยอมเอาตัวไปมีภาระผูกพันกับใคร แต่นี่ท่านให้การยอมรับในตัวคุณ และยังจะอาสาแนะนำให้จนคุณเดินไปถึงสุดทางที่ได้เลือกไว้ อันนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีมากๆ นะครับ (เห็นท่านชมว่าคุณมีสัมผัสพลังงานที่ดีมากไม่ใช่หรือ? เป็นไงบ้างครับ เจอตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ กันแล้ว คุณว่าท่านผู้นี้เป็นยังไงบ้างครับ รอบๆตัวเป็นยังไงบ้าง? ท่านมีกระแสเป็นยังไง? จิตสังหารรุนแรงไหมครับ? หรือว่าจะเป็นจิตที่มีกระแสของความมีอารมณ์ที่เยือกเย็น มีความกรุณาเป็นที่ตั้ง? จะเป็นแบบไหนกัน? ยังไงรบกวนช่วยเล่าให้ฟังสักทีนะครับ เล่ามาทาง PM ก็ได้ อยากจะได้ฟังความรู้สึกของคุณเพื่อเปรียบเทียบกับตัวเองว่าจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันหรือเปล่า?)

    ในโอกาสนี้ เมื่อคุณทำการทดสอบเสร็จแล้ว ก็อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าจะส่งข้อมูลเกี่ยวกับครูบาอาจารย์สายพระภิกษุที่คุณจะสามารถไปกราบนมัสการเพื่อศึกษาวิชชาเพิ่มเติมได้ต่อไป ซึ่งผมได้ทำการส่งให้คุณเรียบร้อยแล้ว คุณ takun ลองเปิด PM ดูได้เลยครับ
     
  8. takun

    takun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +54
    ได้รับข้อมูลที่ส่งให้แล้ว ขอขอบคุณครับ

    สำหรับเรื่องที่คุณ anakiz ถามมาว่า ท่านผู้สอนนั้นเป็นยังไง ถามเรื่องเกี่ยวกับกระแสของตัวท่าน ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้มีความสามารถในการรู้วาระจิตของผู้อื่นหรอกนะครับ แต่ถ้าสัมผัสกระแสพลังเฉยๆ ก็พอจะบอกได้ว่า ท่านผู้สอนไม่ได้มีอะไรให้สัมผัสได้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นจิตสังหาร หรือว่ากระแสแบบอื่นๆใดๆ ผมว่าท่านเป็นคนสบายๆ ค่อนข้างผ่อนคลายด้วยซ้ำ อยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้มีความรู้สึกสบายไปด้วย ไม่ได้มีความกดดันอะไรเลยครับ ซึ่งผมทราบมาก่อนหน้านี้ว่า เรื่องของกระแสเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจิตสังหารหรือว่ากระแสอย่างอื่นๆ นี่เขาสามารถเก็บเอาไว้ภายใน ไม่ให้แสดงออกมาให้ผู้อื่นสัมผัสก็ได้ ภายนอกจึงดูเหมือนว่าจะเป็นพวกไม่มีสิ่งใดให้ปรากฏ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นคนแบบพื้นๆธรรมดาๆ ไป หลักๆก็มีประมาณนี้

    จริงๆแล้ว ผมก็ชอบการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวอย่างนี้นะครับ เพราะว่าคล้ายคลึงกับการเรียนการสอนกรรมฐานในสมัยโบราณ ผมทราบมาว่าในสมัยโบราณนั้น หากท่านผู้สอนมีการฝึกวิชชาในหมวดวิชชาสาม ในเรื่องของทิพยจักขุญาณแล้วล่ะก็ จะสามารถกำหนดจิตเพื่อดูรัศมีของกำลังใจ ที่แผ่ออกมาจากผู้เข้ารับการสอน การใช้ทิพยจักขุญาณดูรัศมีของกำลังใจที่่ว่านี้ จัดว่ามีประโยชน์ในการที่ครูใช้สอบอารมณ์กรรมฐานของศิษย์ จะเห็นว่าครูบาอาจารย์สมัยโบราณ การสอบอารมณ์กรรมฐาน ท่านทำกันละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะใช้เจโตปริญญาณดูสภาวะของจิตแล้ว ยังใช้ทิพยจักขุญาณ ดูรัศมีของกำลังใจกันด้วย อย่างนี้คนไหนได้สมาธิระดับใด ได้ถึงไหน ยังไม่ได้อะไร ถูกตีแผ่ เปลือยล่อนจ้อนกันหมด ปิดครูบาอาจารย์ไม่ได้ การสอนแบบนี้ ถ้าได้เจอกับตัวเองเข้าสักครั้ง จะเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำทีเดียวครับ จึงเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงประทับใจกับการเรียนการสอนแบบนี้ มากไปกว่าการถามตอบและเรียนกันตามหน้าเว็บไซด์ทั่วๆไปนั่นเองครับ

    แต่ในวาระการพบกันในครั้งนั้น ก็ยังมีวาระแบบพิสดารอย่างอื่นอยู่ด้วย ซึ่งเหตุการณ์การสอนในโหมดพิสดารพันลึกนั้น ผมขอเล่าต่อใน PM ก็แล้วกันนะครับ รบกวนคุณ anankiz ช่วยเช็ค PM ด้วยครับ
     
  9. mesus

    mesus Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2014
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +35
    เห็นคุยกันเรื่องทิพยจักขุญาณ ขอร่วมด้วยเพื่อพูดคุยกันสักที ตามปกติแล้ว ในร่างกายของคนเรา จัดว่ามีธาตุรู้ อยู่ 6 อย่าง คือ จักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ กายธาตุและมโนธาตุ เรียกรวมๆว่า อินทรียธาตุ มีเรื่องที่น่าสนใจและเป็นที่น่าสังเกตอย่างมาก คือ ในทางพระพุทธศาสนา หากจะฝึกความเป็นทิพย์ให้เกิดมีขึ้นกับอินทรียธาตุเหล่านี้ เช่นการฝึกทิพยจักขุญาณ หรือ การฝึกทิพยโสตญาณ เป็นต้น นั้น ครูบาอาจารย์แต่โบราณ ท่านจะให้ทำการฝึกใจก่อนที่จะมาทำการฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 อยู่เสมอ การกระทำอย่างนี้ เป็นเพราะว่าในทางพระพุทธศาสนานั้น จะถือว่า ใจเป็นศูนย์กลางที่รวมทั้งความดีและความชั่ว เมื่อใจดีก็บังคับกาย วาจาให้ทำดี เมื่อใจชั่วก็บังคับกาย วาจาให้ทำชั่ว ใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้น หากใจได้รับการอบรมอย่างดีแล้ว จึงจะเป็นที่ตั้งแห่งความเป็นทิพย์ เมื่อใจมีความเป็นทิพย์อย่างดียิ่งแล้ว ย่อมสามารถรับรู้ในทิพยวิสัยทุกอย่างได้ ด้วยเหตุนี้ ในทางพระพุทธศาสนา จึงกำหนดให้ทำการฝึกใจ เป็นอันดับแรก ก่อนการฝึกความเป็นทิพย์ของประสาทสัมผัสทั้งหลายนะครับ ก็ขอฝากให้เป็นข้อคิดกับทุกท่านไว้ในที่นี้ด้วยครับ
     
  10. ntncmd

    ntncmd Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +27
    สาธุๆๆๆ กับเรื่องราวที่แบ่งปันครับ
     
  11. anakiz

    anakiz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +67

    ขอบคุณครับ เรื่องที่เล่ามาให้อ่าน สมกับเป็นภาคพิสดาร ก็พยายามอ่านอยู่ ใช้เวลาอ่านอยู่นาน อ่านอยู่หลายวัน กว่าจะได้มาตอบกระทู้ เนื่องจากต้องค่อยๆ แกะ ค่อยๆ แคะ ค่อยๆ ตีความไปทีละเล็ก ทีละน้อย จากต้นจนกระทั่งจบตอน มีบ้างบางตอนที่ยังไม่เข้าใจ แต่บางตอนก็ทำความเข้าใจได้ดี ชอบตรงที่มีการสอดแทรกการฝึกสติในทางธรรม อยู่ในทุกขั้นตอน อย่างว่านะครับ ก็มันเป็นเรื่องของคุณ เป็นแบบฝึกสำหรับคุณ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปเกี่ยวข้องด้วยทั้งในทางตรงหรือทางอ้อม ความเข้าอก เข้าใจ จึงไม่ทะลุแทงตลอด ขอขอบคุณอีกครั้งที่ได้นำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกันนะครับ

    ในโอกาสนี้ ผมถือโอกาสลาทุกท่านไปเป็นการชั่วคราว เพื่อไปเก็บตัวปฏิบัติเพื่อเร่งความเพียร ตามแนวทางที่ได้ตกลงกันไว้ ก็ขอลาคุณ Supop เจ้าของกระทู้ และสหายธรรมของผมทุกท่าน และท้ายสุด สุดท้าย ท่าน yooyut ผู้ประสาทสรรพวิชชาให้กับผมในกาลก่อนหน้านี้ด้วยครับ โอกาสหน้า เมื่อเสร็จภารกิจในช่วงนี้ ก็จะได้มาคุยกับทุกท่านในกระทู้นี้ เพื่อแลกเปลี่ยนกันอีกครั้งหนึ่งนะครับ
     
  12. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    ขอบคุณที่ยังระลึกถึงกันนะครับ แต่ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ขอเชิญตามสะดวกได้เลยครับ

    สำหรับคุณ พอจะทราบว่าคุณนั้นมีเป้าหมายในสิ่งใดที่ปรารถนา เพราะท่านที่ตั้งใจจะเข้าถึงซึ่งกรรมฐานให้ครบทั้ง ๔๐ กอง นั้น ความปรารถนาจะเป็นอย่างใด ย่อมเป็นไปตามวิสัยที่คู่ควร

    สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ คุณมีความตั้งใจที่จะฝึกวิชชาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาตามหลักการและเหตุผล หากในอนาคต เมื่อคุณฝึกวิชชา ได้มากพอสมควรแล้ว (จริงๆของเก่าของคุณในขณะนี้ก็มีอยู่บ้างแล้ว แต่ยังเรียกกลับคืนมาไม่ได้ทั้งหมด) คุณก็น่าที่จะเอาความรู้ตรงนี้มาใช้ช่วยเหลือคนอื่นๆ มาสอนให้ผู้อื่นเข้าถึงซึ่งพระนิพพานพร้อมๆกับคุณ ก็จะเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง แต่ถ้าในตอนนี้ ในขณะนี้ ยังไม่มีความจัดเจนในการสอน ก็ต้องทำการฝึกฝนตัวเอง ให้มีความจัดเจน ความชำนิ ชำนาญ ในสรรพวิชชา ให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นต่อไป

    ซึ่งถ้าคุณมีความตั้งใจในแบบนี้ ก็ขอให้ตั้งใจเอาไว้ก่อนว่า คุณจะขอเอาวิชชามาถ่ายทอด มาแนะนำ มาช่วยเหลือผู้อื่น หากคุณจะตั้งใจไว้แบบนี้ วิชชาทั้งหลายของคุณ ก็จะรวมตัวกันได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม แต่จะมีงานช่วยเหลือผู้อื่นให้ต้องทำ เป็นภาระหน้าที่ ที่เพิ่มเติมเข้ามา นอกเหนือไปจากภาระหน้าที่ในการฝึกฝนตนเองตามปกติ

    แต่หากคุณจะขอฝึกวิชชาต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนเข้าพระนิพพานเฉยๆ ก็ย่อมได้ ซึ่งจะไม่มีงานให้ต้องช่วยเหลือผู้อื่นแบบเป็นกิจลักษณะ จะแค่ช่วยเหลือพอประมาณ แต่ว่าวิชชาอาจจะไม่รวมตัวกันมากนัก หรืออาจจะไม่แก่กล้าเท่ากับการที่คุณตัดสินใจเลือกทางเดิน ที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย

    ทางเลือกทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้ เป็นของคุณแต่เพียงผู้เดียวนะครับ ก็ขอฝากไว้ เพื่อเป็นการย้ำเตือนกันอีกครั้ง ก่อนที่จะจากกันไปในวันนี้ครับ
     
  13. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    สำหรับในตอนนี้ เนื่องจากได้ทำการอภิปรายเรื่องหลักการต่างๆ กันมาพอสมควรแล้ว ขอให้ทุกท่าน ที่ผมได้ทำการแนะนำไว้ แยกย้ายกันไปปฏิบัติเพื่อเร่งความเพียร เป็นการเฉพาะของแต่ละท่านนะครับ โดยละเว้นการเข้าบอร์ดสักระยะหนึ่ง ทุกท่านโปรดระลึกไว้ว่า การฝึกในคราวนี้ เป็นการฝึกกำลังใจเพื่อเตรียมความพร้อม เมื่อพบกันคราวหน้าในโอกาสต่อไป จะได้ใส่ในส่วนของแบบฝึกทางด้านอิทธิวิธีอย่างจริงจัง ซึ่งท่านใดจะรับได้ หรือรับไม่ได้ ก็สุดแล้วแต่วาระของแต่ละท่านนะครับ ดังนั้น ขอให้แต่ละท่านยึดถือตามนี้ คือ

    ๑.ท่านใดมาทางแนวอิทธิวิธีเป็นที่ตั้ง ก็ขอให้ตั้งใจฝึกกำลังใจ ตามแนวทางที่ได้คุยกันไว้แล้ว

    ๒.ท่านใดมาทางแนววิชชาสาม ก็ขอให้ตั้งใจฝึกกำลังใจ ตามแนวทางที่ได้คุยกันไว้แล้ว เช่นเดียวกับข้อที่ ๑

    ๓.ท่านใดมาทางแนวอนุสติ และจะยกกำลังใจให้เข้าถึงซึ่งกรรมฐานโดยตลอดทั้ง ๔๐ กองเป็นที่ตั้ง ก็ขอให้ตั้งใจฝึกกำลังใจ ตามแนวทางที่ได้คุยกันไว้แล้ว เช่นเดียวกันกับข้อที่ ๑ และข้อที่ ๒

    เมื่อพร้อมแล้ว (จริงๆก็ควรจะพร้อมได้ตั้งนานแล้วล่ะ!!!!) ก็เริ่มได้เลยครับ

    ขอให้ทุกๆท่าน มีความตั้งมั่น ประคองรักษาและคล่องตัวในกรรมฐานทุกๆกองที่ได้เข้าถึงแล้ว เอาไว้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  14. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมของทุกท่านครับ

    ตั้งใจกันดีครับ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วยใจจริงครับ

    ข้าพเจ้าเองก็เริ่มเดินไปบ้างแล้ว ก็ค่อยๆก้าวไปเนอะ

    มีอีกเรื่อง พระเพื่อนของข้าพเจ้ามาลาเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ท่านว่าจะเร่งแล้ว จะหยุดการติดต่อกับโลกภายนอก และกำชับอีกครั้งว่า ให้ข้าพเจ้าเร่งรีบปฏิบัติตามท่านไปเร็วๆ (แต่สงสัยข้าพเจ้าคงจะตามไม่ทัน ณ.ปัจจุบันนี้)

    ข้าพเจ้าขอให้ทุกท่านสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้นะครับ

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  15. zaff

    zaff Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2014
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +56
    Amazing สำหรับกระทู้นี้ เป็นแนวกรรมฐานโบราณชัดๆ เพราะการเรียนการสอนไม่มีการมาจ้ำจี้ จ้ำไชกันมาก บอกกันแล้ว รู้เรื่องกันแล้ว ซักซ้อมกันจนเข้าใจดีแล้ว ไม่มีข้อสงสัยแล้ว ให้แยกย้ายกันไปทำ หากยังทำไม่เสร็จตามที่มอบหมาย ก็ยังไม่กลับมาคุยกันต่อ แถมยังชักชวนกันไม่ให้มาเข้าบอร์ด ถ้ามีกระทู้ยังงี้เยอะๆ สงสัยว่าเว็บมาสเตอร์คงกุมขมับ เพราะยอด view มันหายไปมาก แต่ก็น่ายินดีที่ยังมีผู้เข้าชมเว็บมากมายอยู่ พอจะมาถัวกับสมาชิกที่ชอบปลีกวิเวกที่เป็นสมาชิกส่วนน้อยได้ จึงยังมีเว็บให้เรามาเข้ากันเรื่อยไป

    เพ้อเจ้อไปตามเรื่องนะครับ เพราะมาช้า เลยไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร งั้นผมขอคุยกับคุณ Supop เจ้าของกระทู้ เป็นการเฉพาะล่ะกัน คุณ Supop ครับ การพิจารณาในเรื่องของ ราคะ นั้น นอกจาก กามราคะแล้ว จะมีข้อสังเกตว่าการยึดถือสิ่งที่มีรูปและไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ก็ทำให้เกิดการยึดติดในความสงบ ประณีตได้เหมือนกัน จึงกล่าวได้ว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของ ราคะ เช่นเดียวกัน ทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องกาม แต่ก็มีความดึงดูดใจเช่นเดียวกันกับ กาม มิหนำซ้ำยังมีความละเอียดลุ่มลึกมากกว่า กาม ด้วยซ้ำ

    ขอสนทนากับคุณ Supop ว่า ในส่วนของ ราคะไร้รูป หรือ อรูปราคะ นั้น การตามหาสภาวะที่ยึดโยงอยู่ จะตามหาได้ยังงัย และเมื่อพบเห็นอาการยึดโยงแล้ว จะทำการสลายพันธะนั้นยังไงต่อไป เพื่อให้เกิดเป็นความหลุดพ้น แยกธาตุ แยกขันธ์ รู้แจ้งแทงตลอดในวิปัสสนาญาณได้ในที่สุดน่ะครับ ไม่ทราบว่า พระเพื่อนของคุณ Supop ได้เคยคุยให้ฟังในเรื่องนี้หรือเปล่า ? ขอถามเป็นแนวทางหน่อยครับ
     
  16. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาครับ และขอบคุณที่ร่วมเสวนากัน

    แต่ทางพระเพื่อนผมนั้น ท่านไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด ท่านเพียงศึกษาเพียงหลักใหญ่ๆ แล้วก็เข้าป่าไปเลย ถ้าจะไปพูดคุยซักถามถึงขนาดนั้นในทางบทบัญญัติ ท่านคงตอบไม่ถูก แต่หลักใหญ่ๆที่ท่านให้กับข้าพเจ้าไว้เป็นแนวปฏิบัติ ข้าพเจ้าก็เข้าใจและลงกันได้ครับ

    ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขออนุญาติกล่าวไปตามประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่กำลังทำอยู่ ผิดถูกอย่างไรบอกกล่าวแนะนำได้ครับ

    กิเลสอย่างหยาบ กลาง ละเอียด หรือจะเป็นรูปราคะ อรูปราคะ ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งสิ้น กิเลสอย่างหยาบอาศัยเกิดต่อเนื่องมาจากกิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างกลางอาศัยต่อเนื่องมาจากกิเลสอย่างละเอียด เช่นกัน รูปราคะก็สืบเนื่องมาจากอรูปราคะ การจะดูให้ไปถึงอย่างละเอียดก็ต้องดูให้เห็นจากหยาบเข้าไป ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นรูปราคะหรืออรูปราคะก็เหมือนกัน เปรียบเสมือนขี้ไคล มีน้อยๆบางๆมันก็ดูละเอียดเหมือนไม่มี แต่เมื่อมันสะสมมากเข้า มากเข้า มันก็ดูเห็นเป็นของหยาบจากการจับตัวเป็นกลุ่มก้อน แต่จะมีมากมีน้อย ขี้ไคลก็คือขี้ไคล

    กิเลสที่ข้าพเจ้าเข้าใจในตอนนี้คือ ความสุข ความยินดีพอใจ ความสบาย ความเพลิดเพลิน ข้าพเจ้าเห็นเมื่อตอนนั้นกำลังไล่หาเหตุของกิเลสอยู่ นี่เอง คือเวทนาสุขนี่เอง ใช่อรูปราคะที่คุณ zaff บอกไหมครับ

    การจะแยกธาตุ แยกขันธ์เพื่อจะดูให้เห็นชัดในแต่ละธาตุ แต่ละขันธ์นั้น ในอริยสัจสี่มีบอกไว้แล้วครับ มรรคแปด สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะทำให้เข้าไปดูไปรู้ในส่วนที่ละเอียดได้ ถ้าคุณเคยมีผลการปฏิบัติ ที่จิตได้รู้จักความสงบจากสุขจากทุกข์ และมีความตั้งมั่นโดยไม่เข้าไปร่วมกับสภาวะใดๆแล้ว คุณก็จะเข้าใจ การดูอยู่ เห็นอยู่ในสภาวะต่างๆ การเห็นสภาวะของจิตที่เข้าไปยึดในสิ่งต่างๆ มันจะเริ่มต้นจากที่เราเห็นว่าเราเป็นน้ำที่ไหลไปตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ต่อมาจึงเริ่มเห็นว่าเราไม่ใช่น้ำแต่เป็นอีกสิ่งหนึ่งหรือสิ่งเจือปนที่ไหลไปกับกระแสน้ำ ต่อมาจึงเริ่มที่จะฝืนตัวเองได้ไม่ให้ไหลไปกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากนั้น ต่อมาเราสามารถที่จะเดินสวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากนั้นได้ จนกระทั่งเราเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปเล่นอยู่ในกระแสน้ำนั้น จึงขึ้นมายืนที่ริมตลิ่งและมองดูกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากนั้น
    หรือ คุณเคยไหม ที่กำหนดสติให้จิตอยู่กับฐานตลอดวัน เมื่อดูหนังหรือสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ทันเห็นการย้ายจิตหรือการย้ายบ้านของจิตไปอยู่กับสิ่งนั้นไหม การรู้ตัวหรือรู้อยู่ในฐานของเรา มันย้ายไปรู้อยู่ในจอรู้อยู่กับสิ่งที่สนใจเสียแล้ว (ที่ข้าพเจ้าเรียกว่าย้ายบ้าน เพราะมันรู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งนั้นเป็นเราเลยทีเดียว)
    แต่ถ้าในทางสมาธิ เมื่อจิตเคลื่อนออกไปจากฐาน ไปยึดสภาวะใดก็ตามที่มากระทบ เราจะรู้สึกถึงการเคลื่อนออกจากฐานไปสู่สภาวะนั้นๆแล้วจะรู้สึกถึงการยึดได้อย่างชัดเจน (เป็นความรู้สึกอย่างชัดเจนนะครับ ไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง มาเกี่ยวข้อง)

    การทำสมาธิ เมื่อมีสติที่ระลึกรู้ในปัจจุบันโดยตลอด และมีจิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับสภาวะใดๆ เราก็จะเห็น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสภาวะต่างๆ และเราจะรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเราของเขา จนปล่อยวาง สิ่งเหล่านี้มันจะดำเนินไปเอง มันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติเอง ไม่ต้องไปใส่อารมณ์ ไม่ต้องไปปรุงแต่งเพิ่ม ว่ามันไม่ใช่เราๆๆ
    และที่สำคัญ ที่ข้าพเจ้าจะเน้นย้ำเสมอ คือ ทำโดยละเอียดปราณีต

    การครองสติในชีวิตประจำวันนั้น เป็นการเน้นดูและรู้สภาวะอย่างหยาบเป็นเบื้องต้น
    การนั่งสมาธิ เป็นการเน้นดูและรู้ในสภาวะอย่างละเอียด
    เมื่อมีสติ ก็จะมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิ ก็จะมีสติ
    เราจะเห็นว่าไม่เคยมีครูบาอาจารย์ในอดีตท่านใดที่เน้นปฏิบัติแต่สติ หรือสมาธิ เพียงอย่างเดียว

    ส่วนเรื่องของขันธ์ ๕ ข้าพเจ้าเคยลงไปบ้างแล้ว เอาไว้ว่างๆจะไปก็อปมาลงนะครับ

    อีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่าจากที่กล่าวไป ข้าพเจ้ากำลังดูในเวทนาสุขอยู่ และจากของพระเพื่อนที่เมตตาบอกข้าพเจ้ามา คือการใช้ รูปดับรูป เวทนาดับเวทนา สัญญาดับสัญญา สังขารดับสังขาร วิญญาณดับวิญญาณ หรือข้ามกันไปมา ที่กล่าวอย่างนี้ เพราะมีผู้ทำอยู่และเห็นผลอยู่
    เช่นการใช้รูปไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาทำลายรูปสวยงามที่ปรากฏอยู่และกำลังจะเกิดความยินดีพอใจขึ้นมาก็จะกลายเป็นความขยะแขยงไป
    การใช้เวทนาสุขมาดับเวทนาทุกข์ ตรงนี้ขอกล่าวละเอียดนิดหนึ่ง เมื่อเกิดทุกขเวทนาจากสิ่งใดก็ตาม เช่น ความเจ็บปวด เราใช้ความสุขมาดับให้ทุกข์นั้นหายไป เช่นสุขจากสมาธิ (สำหรับผู้ที่ระลึกถึงความสุขให้เกิดขึ้นได้)
    ตรงนี้เราจะแยกได้ ความทุกข์จากความเจ็บปวด กับ ความเจ็บปวดทางกายภาพ นั้น เป็นคนละอย่างกัน ถ้าผู้ที่เคยนั่งทนเพื่อดูเวทนามาก่อนจะเข้าใจ แม้มีสุข(ถ้าเป็นสุขอย่างอ่อน หรือมีกำลังของสุขน้อย) ก็จะยังเจ็บปวดอยู่ แต่ไม่รู้สึกทุกข์ทรมานทุรนทุราย เหมือนว่าทนได้อยู่ได้ เพราะจิตไม่ได้ไปเกาะที่เวทนาทุกข์
    ที่ข้าพเจ้าเห็นตรงนี้ ก็เนื่องด้วยที่ข้าพเจ้า สามารถกำหนดเวทนาสุข เพื่อดับเวทนาต่างๆได้ หรือดับ รูป สัญญา ฯลฯ ข้าพเจ้าเคยทำบ่อยๆ เมื่อมีอารมณ์โกรธ กาม หรือ มีความทุกข์จากความเจ็บปวดต่างๆ ข้าพเจ้าจะกำหนดเข้าสู่ความสุขทันที แล้วสภาวะต่างๆเหล่านั้นจะหายไปในทันที หายไปต่อหน้าต่อตา แต่ต่อมา ข้าพเจ้าเริ่มเห็นว่า มันอันตราย มันทำให้เราไม่รู้ความจริง จึงหยุดไป และพยายามให้อยู่กับความจริงเท่านั้น

    เมื่อเกริ่นมาเยอะแล้ว คุณจะเห็นว่า การที่เราพยายามตัดมันก็ดี พยายามดับก็ดี โดยวิธีการต่างๆ จะทำให้เรารู้ชัดในสภาวะการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป. ทั้ง เกิดขึ้นเอง ตั้งอยู่เอง ดับไปเอง และ ทำให้เกิด ทำให้ตั้งอยู่ ทำให้ดับไป เราจะเห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ เกิดขึ้นเอง ตั้งอยู่เอง ดับไปเอง และ ทำให้เกิด ทำให้ตั้งอยู่ ทำให้ดับไป และเราจะรู้ว่าที่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวตนของเราของเขา เพราะอะไร เราจะเห็นการแยกกันอยู่ การเป็นสิ่งสิ่งหนึ่งอย่างชัดเจน ก็มาจากการนั่งดูเฉยๆบ้าง วิ่งเข้าไปหาบ้าง ถอยออกมาบ้าง นั่นเอง

    ข้าพเจ้าต้องขอโทษ มาณ.ที่นี้ด้วย หากผิดจากหลักคำสอนที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าก็งูๆปลาๆ ดำน้ำไปเรื่อยๆ น่ะครับ และไม่รู้ว่าจะอ่านรู้เรื่องหรือตอบตรงกับคำถามหรือเปล่า ขอโทษครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  17. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    ตอนแรก นิวรณ์ให้ผมแวะมาดู ผมไม่อยากแวะ แต่พอมาอ่านโพสสุดท้ายของคุณ ผมก็อยากคุย
    ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ผมชื่อ ขจรศักดิ์ ธรมมภัทรปัญโญ เราอาจจะเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ให้ลืมมันไปซะ เพราะ คุณดูจิตได้ และฝึกมาจริง ผมชอบตรงนี้แหล่ะครับ
     
  18. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    อ่านแล้วประทับใจครับ ดีใจที่คุณฝึกมาดี

    ดังที่คุณพูดว่า เห็นกระแสน้ำแล้วไม่ไหลตามมัน แล้วยังแยกตัวออกมานั่งดู คุณทำถูกแล้วครับ ที่ไหลอยู่นั้นผมเรียกว่าใจมันทำงานมันปรุงแต่งอยู่ ที่แยกออกมานั่งดูคือตัวสติหรือจิตรู้ครับ ขอแนะนำว่า ดูมันไหลอยู่อย่างนั้น จนตัวที่ไหลมันรู้ตัวว่าเราไม่ไหลตามมัน จนมันเอะใจว่าทำไมเราไม่ไหลตามมัน ดูเฉยๆ ไม่ต้องเข้าไปหา จนทำไห้มันรู้ตัวเองว่า ผู้ดูที่ดูอยู่รู้เห็นความจริงแล้ว เพื่อให้เกิดปัญญาปล่อยวางกันและกันได้ ย้ำว่าปล่อยวางกันและกันได้ ไม่ไช่ฝ่ายผู้รู้ปล่อยวางแต่ฝ่ายเดียวนะครับ

    ขอเป็นกำลังใจครับ
     
  19. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    การย้ายบ้านของจิต ไปอยู่ไปดู ในสิ่งต่างๆ อ้นนี้ มันคือวิญญาณรู้ ที่เข้าไปรู้ ในสิ่งที่ใจมันคิดหรือใจไม่คิด มันจะเหมือนเงาที่เคลื่อนแผ่ขยาย เข้าไปรู้หรือหดกลับ ถอยออกมาไม่เข้าไปรู้ อันนี้อแหล่ะ ที่ผมเรียกมันว่า วิญญาณของตัวรู้

    ทีนี้ ตัวที่ไหลตลอดเวลานั่นผมเรียกว่าตัวใจมันปรุงอยู่ตลอด เพราะมันรับผัสสะเข้ามาตลอดเวลา
    ทีนี้ จะเห็นว่าคุณแยกตัวรู้ออกมาจากตัวใจที่คิดได้แล้ว ให้ฝึกแยกอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆครับ
    จนกว่าตัวใจที่คิดที่ไหลอยู่ มันรู้ว่าตัวรู้ไม่ตามไปรู้กับมัน และแยกดูไปเรื่อยๆ เข้าไปรู้บ้าง ถอยออกมาบ้าง เพื่อให้เกิดความชำนาญ ว่า ไม่จำเป็นต้องเข้าไปรู้ทุกเรื่องก็ได้ แต่ตัวรู้ก็รู้อยู่

    ดูจนตัวใจที่คิดมันหันหน้ามาจะเอ๋กับตัวรู้ให้ได้ แล้วดูต่อจนมันเกิดความเบื่อหน่ายในกันและกัน จนมันจะหาทางแยกออกจากกันในที่สุด แล้วดูต่อไป จนกว่ามันจะยกมือบ๊ายบายกัน เป็นพันธะสัญญาว่า ต่อไปมันจะเลิกยุ่งเกี่ยวกันตลอดไป ครับ
     
  20. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    ทั้งหมดที่ผมบอกคุณ ในสติปัฏฐานสี่ เรียกว่า ฐานจิตดูจิต นั่นเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...