หลวงพ่อชา เล่าว่า ที่ยากจริงๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 11 ตุลาคม 2014.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]


    ไม่เป็นผู้ขอ

    บางตอนจากหนังสือ อุปลมณี


    ผ้าสบงที่เราใช้ไปสองปีแล้วจนจะขาดหมด จะนั่งแต่ละครั้งต้องถลกผ้าขึ้นมานิดหนึ่งเสียก่อน เพราะผ้าที่เก่าจนขาดมันจะติดตัว ไม่ลื่นเหมือนผ้าใหม่ ตอนนั้นอยู่บ้านป่าตาว กำลังกวาดลานวัด เหงื่อออก เผลอนั่งลงเลย ไม่ได้ถลกผ้าขึ้น ขาดแควกตรงก้นพอดี ต้องเอาผ้าขาวม้ามาเปลี่ยน แต่หาผ้ามาปะสบงไม่ได้ ต้องเอาผ้าเช็ดเท้าไปซักให้สะอาดแล้วเอามาปะข้างใน

    เลยมานั่งคิดว่า เอ! พระพุทธเจ้านี้ทำไมทำให้คนต้องทนทุกข์จังเลย ขอคนก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ นึกท้อใจ เพราะจีวรก็ขาด สบงก็ขาด มานั่งภาวนาก็ตั้งใจได้ใหม่ คิดว่าเอาเถอะ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ถอยละ ไม่มีผ้าก็ไม่ต้องนุ่ง จะเปลือยมันเลยทีนี้ ใจมันฮึดถึงขนาดนั้นทีเดียว คิดว่าทำให้ถึงที่สุดแล้ว ดูซิมันจะเป็นยังไง จากนั้นมาก็นุ่งผ้าปะหน้าปะหลังมาเรื่อย ไปถึงไหนก็นุ่งมันอย่างนั้นแหละ

    ปีนั้นเป็นปีที่มีเดือนแปด ๒ หน ไปกราบ อาจารย์กินรี อีกครั้ง ไปอยู่กับท่านก็ไม่เหมือนคนอื่น เพราะธรรมเนียมของท่านไม่เหมือนใคร ท่านก็มองๆ อยู่ เราก็ไม่ขอ ถ้ามันขาดอีกก็หาผ้ามาปะเข้าไปอีก ท่านก็ไม่ได้เอ่ยปากให้อยู่ด้วย เราก็ไม่ได้ขออยู่เหมือนกัน แต่ก็อยู่กับท่านน่ะแหละ ปฏิบัติไปทำไป ต่างคนต่างไม่พูด ใครจะเก่งกว่ากันว่างั้นเถอะ จวนเข้าพรรษาท่านคงไปบอกญาติของท่านว่า มีพระมารูปหนึ่ง จีวรขาดหมดแล้ว ให้ตัดผ้าไตรไปถวายด้วยเถอะ เพราะมีคนเอาผ้ามาถวายเป็นผ้าทอเอง หนาทีเดียว ย้อมแก่นขนุน ก็เอาด้านจูงผีน่ะแหละมาเย็บ เย็บด้วยมือทั้งผืนเลย พวกโยมชีเขาช่วยกันเย็บให้ ดีใจที่สุด ใช้อยู่ ๔-๕ ปีก็ไม่ขาด ใช้ครั้งแรกก็ดูกระปุกกระปุย เพราะผ้าใหม่มันกระด้าง ยังไม่กระชับตัว เวลาเดินเสียงดังสวบสาบ ยิ่งใส่สังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้าไปยิ่งดูอ้วนใหญ่ แต่เราก็ไม่เคยบ่น ใส่ไปได้สักปีสองปีน่ะแหละผ้าจึงอ่อนตัวลง ก็ได้อาศัยผ้าผืนนั้นมาเรื่อย ยังนึกถึงบุญคุณของท่านอยู่เสมอ เพราะท่านให้มาโดยที่เราไม่ได้ขอ เป็นบุญมาก ตั้งแต่ได้ผ้าผืนนั้นมาก็รู้สึกสบายกายสบายใจ

    มองดูการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคต ทำให้นึกได้ว่ากรรมใดทำไปแล้วไม่ผิด ไม่ทำให้เดือดร้อน มีแต่ความสบายใจ กรรมนั้นดี มีความเห็นอยู่อย่างนั้น เห็นจริงตามนั้น ก็รู้สึกว่าชักเข้าท่า เลยเร่งการภาวนาเป็นการใหญ่ ไม่หยุดเลย ผ้าผืนนั้นนะ ใส่ขึ้นภูเจอเสือเหลืองผมว่ามันไม่กล้ากัดแน่ พอมันโฮกมาเจอก็จะงักจังงังไปเลย

    แต่ปัญหาใหญ่ในการปฏิบัติของหลวงพ่อในช่วงนี้ ก็ยังคงเป็นตัว “กามราคะ” นั่นเอง เมื่อธุดงค์ไปพักที่วัดบ้านต้อง จังหวัดนครพนมนั้น ท่านก็ต้องผจญมารคู่ปรับเก่าตัวนี้จนเกือบเสียท่า ต้องตัดสินใจเผ่นหนีกลางดึก เหตุก็เกิดเพราะแม่ม่ายสาวสวยแถมรวยทรัพย์คนหนึ่ง มาถวายจังหันทุกวัน ไม่ช้าไม่นานหลวงพ่อก็รู้สึกได้ว่า สีกาม่ายคนนี้คิดมิดีมิร้ายกับท่านเข้าเสียแล้ว ตัวท่านเองจิตใจก็ชักจะหวั่นไหว มารกับธรรมะสู้รบกันอยู่อย่างหนักหน่งภายในจิตใจ กระทั่งคืนวันหนึ่งเมื่อจิตของท่านคิดปรุงแต่งเรื่องของแม่ม่าย จนรู้สึกว่าจะไว้ใจตัวเองไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจเก็บบริขารในกลางดึกคืนนั้น แล้วก็เดินอย่างกระกวีกระวาดไปปลุกพ่อแก้ว

    “ไปมื่ออื่นบ่ได้บ่ขะน่อย” (ไปพรุ่งนี้ไม่ได้หรือครับ) พ่อแก้วกราบเรียนถามอย่างงัวเงีย

    “บ่ ฟ่าวไปเดี๋ยวนี้โลด” (ไม่ รีบไปเดี๋ยวนี้เลย) หลวงพ่อตอบหนักแน่นและเด็ดขาด

    หลังจากที่มาอยู่วัดหนองป่าพง และสยบมารร้ายตัวนี้ได้อย่างราบคาบแล้ว ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงพ่อมีโอกาสได้ไปโปรดญาติโยมที่วัดบ้านต้อง ระหว่างปรารภถึงความหลัง ท่านก็เล่าถึงการปฏิบัติของตัวเองในสมัยก่อนให้ชาวบ้านฟังอย่างขำๆ ว่า

    “โอย! ยากหลายแนว แต่แนวที่มันยากนำอีหลีก็เรื่องแม่ออกนี่แหละ”
    (ยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ)

    เรื่องมันคงยากจริงๆ อย่างที่ท่านเล่าไว้ เพราะเมื่อไปจำพรรษากับท่านอาจารย์กินรีในปีเดียวกันนั้น กามราคะก็หวนกลับมาเล่นงานท่านใหม่ และยิ่งร้ายกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำ ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งกามราคะก็เข้ามารุมเร้าอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรืออยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ปรากฏว่ามีอวัยวะเพศของผู้หญิงลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรงจนแทบทำความเพียรไม่ได้ ต้องอดทนต่อสู้กับความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็น หลวงพ่อเล่าว่า ความรู้สึกต่อกามราคะในครั้งนั้นย่ำยีจิตใจรุนแรงพอๆ กับความกลัวที่เกิดขึ้นในคราวที่ไปอยู่ป่าช้าครั้งแรกนั่นเอง เดินจงกรมก็ไม่ได้ เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็มีอาการไหวตัว ต้องให้เขาทำที่จงกรมในป่าทึบเพื่อเดินเฉพาะในเวลาค่ำมืดและเวลาเดินต้องถลกสบงพันเอวไว้ การต่อสู้กับกามราคะเป็นไปอย่างทรหดอดทน ขับเคี่ยวกันอยู่นานถึง ๑๐ วัน ความรู้สึกนิมิตเหล่านั้นจึงสงบและขาดหายไป

    เรื่องนี้หลวงพ่อได้เปิดเผยให้สานุศิษย์ทราบในภายหลัง ด้วยเห็นว่าเป็นคติธรรมที่ดี โดยเฉพาะแก่พระหนุ่มวัยฉกรรจ์ เพราะท่านเป็นพยานพิสูจน์ว่า กามราคะจะฮึกเหิมเท่าไร ผู้มีศรัทธายิ่งก็เอาชนะได้

    ฉะนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ เมื่อ ท่านพระอาจารย์มหาอมร เขมจิตฺโต ได้บันทึกชีวประวัติของหลวงพ่อตามคำบอกเล่าของท่านมาถึงตอนนี้ ก็รู้สึกไม่แน่ใจว่าสมควรจะเผยแผ่ต่อสาธารณชนหรือไม่ แต่หลวงพ่อก็ได้กำชับว่า

    “ต้องเอาลง ถ้าไม่เอาตอนนี้ลงในหนังสือด้วย ก็ไม่ต้องพิมพ์ประวัติเลย”

    เกี่ยวกับเรื่องสตรี หลวงพ่อท่านจะเข้มงวดเอากับลูกศิษย์ของท่านมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า กามราคะ เป็นมารตัวสำคัญที่ทำให้พระต้องสึกหาลาเพศ เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการประพฤติปฏิบัติ ในพระวินัยบัญญัติก็มีหลายสิกขาบทที่วางหลักไว้อย่างเข้มงวด เพื่อกำกับการติดต่อกับมาตุคาม ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะสายเกินแก้ กามราคะก็เหมือนกับสุนัข ถ้าเอาข้าวเปล่าๆ ให้กินทุกวันๆ มันก็อ้วนอย่างหมูเหมือนกัน การปฏิบัตินั้นยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ ระวังนะ! อย่าให้งูเห่ามันฉก วันไหนมันแผ่แม่เบี้ยมากๆ ก็ให้ทำความเพียรให้มาก!

    หลวงพ่อเองก็ระวังตัวมาก ใต้ถุนกุฏิท่านซึ่งใช้เป็นที่รับแขกก็โล่ง ถ้ามีแขกผู้หญิงมา ต้องมีพระหรือเณร หรือโยมผู้ชายเป็นพยานรู้เห็นสิ่งที่หลวงพ่อสนทนากับผู้หญิงนั้นด้วย

    และท่านก็เตือนพระภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า “ระวังเถอะผู้หญิง อย่าไปใกล้มัน ไม่ใช่ใกล้ไม่ใช่ไกล แค่สายตาไปผ่านพริบเท่านั้นแหละ มันเป็นพิษเลย”

    หลวงพ่อท่านกล่าวอธิบายพุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องที่พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้า ในเรื่องการติดต่อกับผู้หญิงว่า ไม่ให้เห็นดีกว่า ถ้าเหตุจะต้องเห็นมีอยู่ ก็ไม่ต้องพูดด้วย เหตุจะต้องพูดมีอยู่จะทำยังไง ต้องมีสติให้มาก นี่คือการปฏิบัติต่อสตรีเพศ

    ปีที่หลวงพ่อจำพรรษาที่วัดป่าหนองฮีนั้น ไม่ใช่ว่าแต่เรื่องดุเดือดวุ่นวายอย่างเดียว ตรงกันข้าม... คืนวันหนึ่งหลังจากทำความเพียรแล้ว หลวงพ่อคิดจะพักผ่อนบนกุฏิเล็กๆ เอนกายลงศรีษะถึงหมอนกำหนดสติ พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตขึ้นว่า “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต” ได้มาอยู่ใกล้ๆ นำแก้วลูกหนึ่งมายื่นให้แล้วพูดว่า

    “ชา...เราขอมอบลูกแก้วนี้แก่ท่าน มันมีรัศมีสว่างไสวมากนะ”

    หลวงพ่อได้ยื่นมือขวาออกไป รับแก้วลูกนั้นกับมือของท่าน พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง พอรู้สึกตัวก็เห็นตัวเองยังกำมือและอยู่ในท่านั่งตามปกติ มีอาการคิดค้นธรรมะเพื่อความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติมีสติปลื้มใจตลอดพรรษา

    [​IMG]
    พระเดชพระคุณพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    บันทึกภาพร่วมกันกับคณะศิษยานุศิษย์

    แถวหน้า จากซ้าย : หลวงพ่อชา สุภัทโท,
    พระมงคลกิตติธาดา (พระอาจารย์อมร เขมจิตฺโต)

    แถวสอง จากซ้าย : พระภาวนาวิเทศ (เขมธัมโม ภิกขุ),
    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก,
    พระราชสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ), พระอาจารย์ปสันโน ภิกขุ

    แถวสาม จากซ้าย : พระอาจารย์อนันโท ภิกขุ,
    พระวิสุทธิสังวรเถร (พรหมวังโส ภิกขุ), พระอาจารย์วีระธัมโม ภิกขุ

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=45741
     
  2. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ชอบอ่านประวัติของหลวงพ่อมาก ตอนแรกคิดว่าเป็นผู้หญิงนี่ลำบากอดเป็นพระ แต่พอมาพิจารณาหลายๆอย่างก็จะพบว่าเป็นผู้ชายก็คงลำบากตรงกิเลสกามที่หลวงพ่อกล่าวถึง ท่านสอนเรื่องจริง ว่ากิเลสนี่แหละทำเอาเป๋เลย ศัตรูของชายคือหญิง ศัตรูของหญิงคือชาย ถ้าไม่เขียนให้โลกสวยเกินไปนี่ก็คือความจริง เราเองก็ได้ประมาทพลาดพลั้งไปก็เป็นไปตามกรรมล่ะทีนี้ เสียดายพระอาจารย์มิซูโอะมาก แต่ก็เข้าใจท่านนะว่ามันยากจริง ถ้าเป็นแบบสมัยก่อนนะพระอาจารย์ทั้งหลายท่านจะหนีเลย เพราะอีกฝ่ายทำไมมันตื้อซะจริงๆ จนไม่คิดว่าเขาจะทำได้ไปอ่านประวัติหลวงปู่ทั้งหลายก็จะพบว่าท่านต้องหนีกันทั้งนั้นเพื่อความไม่ประมาท หากหนีไม่ทันก็จบเลย ส่วนตัวเลยไม่คิดใกล้พระอาจารย์ท่านใดเป็นพิเศษ ใช้วิธีการเข้าเว็บถามเอา หรืออื่นๆ
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,482
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +70,077
    คนใกล้ๆที่คุ้นเคย ที่ขนาดครูบาอาจารย์สายพระป่ากรรมฐาน
    ที่หลายท่านในวงการรู้จักดี แทบทุกองค์ รับรองว่าได้ไม่ต่ำกว่าอนาคามีมรรคแล้ว

    พอมีสตรีสาวสวย รวยทรัพย์ อันเป็นที่พึงปรารถนาของโลก มาตามใกล้ชิด
    และตรวจดูด้วยญาณของตนเองว่า มีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมา

    ก็ต้องหนึเข้าป่า หายไปเป็นเดือนๆ ไปตั้งหลัก

    ถ้าไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมา ก็ง่าย ไม่สะเทือนเข้าหู ตา จมูก อายตนะใดๆเลย

    แต่พอเจอเจ้ากรรมนายเวร ที่เคยมีกรรมร่วมกันมานับภพชาติไม่ถ้วน ก็ต้องตั้งหลักดีๆ


    เฮ้อ...ความรักแบบโลกๆ ขนาดเจ้าชายสิทธัตถะก่อนตรัสรู้ ยามที่พระราชบุตรท่านเกิดมา ท่านยังต้องตั้งชื่อ "ราหุล" เลย


    บ่วง ที่หลวมๆ แต่ยากจะหลุดพ้น
     
  4. athip999

    athip999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +151
    คำสอนนั้นลึกซึ้งมาก
     
  5. ped2011

    ped2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +1,096
    กามราคะ เป็นมารตัวสำคัญ! ...

    เฮ้อทุกวันนี้ก็ติดอยู่ตรงนี้ถึงไปไหนไม่ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...